Skip to content

Library Of Heaven’s Path 198

ตอนที่ 198 ครั้งหน้าจะไม่ให้อภัย

“ฮะ?”

เมื่อเห็นภาพนั้น เทียนหลงถึงกับยืนโงนเงนราวกับโดนคทาตีแสกหน้า

ปรมาจารย์หยวนหยู่เรียกเขาว่าอะไรนะ?

ปรมาจารย์หรือ?

ปรมาจารย์หยวนหยู่เป็นใครกัน? เขาเป็นถึงนายแพทย์มือฉมัง เป็นคนระดับเดียวกับปู่ของเขา, ผู้อาวุโสเทียน ไม่ว่าเขาจะไปไหนก็มีแต่คนยกย่อง ขนาดฮ่องเต้

เซินจุยยังทรงปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพอย่างสูง

แม้คนปราดเปรื่องอย่างตัวเขาเอง ซึ่งเป็นที่รู้กันดีในคนรุ่นเดียวกัน ก็ยังต้องพูดกับปรมาจารย์หยวนหยู่อย่างเกรงอกเกรงใจ แล้วเพราะอะไรคนระดับนั้น…ถึงไปพินอบพิเทาเจ้าหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่า ถึงกับเรียกเขาอย่างยกย่องว่า…ปรมาจารย์?

แถมยังทำท่าราวกับได้พบดาราคนโปรด…

บ้าแล้ว นี่มันอะไรกัน?

ที่แย่กว่านั้น เขาเพิ่งพูดไปว่าจางเซวียนไม่มีสิทธิใช้คำนำหน้าว่าปรมาจารย์ แต่อีกแค่แป๊บเดียว ปรมาจารย์หยวนหยู่ก็เข้ามา นี่มันตบหน้ากันชัดๆ…

เทียนหลงหน้าร้อนผ่าวด้วยความอับอาย

ยังมีที่เจ็บแสบกว่านั้นอีก ตอนแรกเขาคิดว่าเมื่อปรมาจารย์หยวนหยู่อวยขนาดนั้นแล้ว หมอนั่นก็คงจะปลาบปลื้มยินดี แต่เปล่าเลย เขาแค่ขมวดคิ้ว “เราเพิ่งพบกันเมื่อสองสามวันนี้เองไม่ใช่หรือ?”

‘ขมวดคิ้ว?’

‘ขมวดคิ้วหาอะไร?’

เทียนหลงเบ้ปาก

อีกฝ่ายหนึ่งมีอาวุโสกว่า เขาพูดว่านานแล้วที่ไม่ได้พบกัน…ก็เป็นแค่การคุยสัพเพเหระ แต่หมอนั่นโพล่งออกมาต่อหน้าธารกำนัล…

‘จะพูดให้มันน่าฟังกว่านี้ไม่ได้หรือ?’

ตอนแรก เขาคิดว่าปรมาจารย์หยวนหยู่จะโมโห แต่เขาแค่ทำหน้าผากย่นราวกับเพิ่งนึกอะไรออก “ใช่! ใช่สิ! ผมตั้งภาพวาดของปรมาจารย์ไว้ในห้องผม และชื่นชมมันทุกวัน ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าเราห่างชั้นกันเหลือเกิน ทำให้ผมลืมไปว่าเราเพิ่งพบกันเมื่อสองสามวันนี้เอง”

“มันก็เป็นแค่ภาพวาดนะ ไม่มีอะไรให้ชื่นชมนักหรอก ถ้าคุณอยากเรียน ผมจะสอนให้” จางเซวียนพยักหน้า

“จริงหรือ? ผมจะซาบซึ้งมากเลยหากคุณยอมสอน…” ปรมาจารย์หยวนหยู่ตื่นเต้นจนเคราพะเยิบพะยาบไปตามคำพูด

ฮะ!

เทียนหลงผงะ แทบจะเห็นสายฟ้าฟาดลงมาจริงๆ

หยวนหยู่…คุณเป็นปรมาจารย์นะ? ทำไมทำตัวเหมือนเด็กประถมแบบนี้?

จะเรียนกับหมอนี่? เรียนบ้าเรียนบออะไรกัน?

หมอนี่มีคุณสมบัติเพียงพอหรือ?

“เขา…”

ทนดูไม่ไหวอีกต่อไป เขาหันไปทางไป๋ซวิน

“ปรมาจารย์จางเป็นปรมาจารย์ตัวฉกาจด้านการวาดภาพ แม้แต่ปรมาจารย์ลู่เฉินก็ยังยกนิ้วให้ หากคนอย่างเขาไม่ควรค่าแก่การเรียกว่าปรมาจารย์ แล้วใครเล่าจะคู่ควร?” ไป๋ซวินมองเขาอย่างสะใจ

‘อวดดีนักใช่ไหม?’

‘ดูซิว่าแกจะพูดอะไรได้อีก!’

วางท่าหยิ่งผยองนัก ถึงกับบอกให้เขารู้ที่ทางของตัวเอง แกนั่นแหละที่ควรจะรู้ที่ทางของตัวเอง!

“ปรมาจารย์ด้านการวาดภาพหรือ?”

เทียนหลงเพิ่งรู้ในตอนนั้นว่าปรมาจารย์หยวนหยู่ไม่ได้เป็นเพียงนายแพทย์ผู้เก่งกาจ แต่ยังเป็นจิตรกรฝีมือดีด้วย

แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจว่า คนอายุยังไม่ถึงยี่สิบแถมมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ในโรงเรียนหงเทียน ทำท่าไหนให้จิตรกรมือฉมังอย่างหยวนหยู่ประทับใจได้

แม้การวาดภาพจะไม่ได้เป็นที่นิยมแพร่หลายเท่าการชงชา แต่ก็ถือเป็นหนึ่งในเก้าสถานภาพ ซึ่งการจะไปให้ถึงระดับของผู้เชี่ยวชาญนั้นทำได้ยาก

“เขาอาจจะลอกเลียนภาพวาดของปรมาจารย์ที่ไหนมาสักคน แล้วมาบิดเบือนดัดแปลงนิดหน่อย เพราะด้วยอายุเพียงแค่นี้ ต่อให้เรียนวาดภาพมาตั้งแต่เกิด ก็ไม่มีทางที่จะเชี่ยวชาญถึงระดับของปรมาจารย์ได้…”

การวาดภาพก็ไม่ได้ต่างจากการชงชา เทียนหลงรู้ซึ้งถึงความยากเย็นของมัน

เขาเรียนวิธีการชงชามาตั้งแต่เจ็ดขวบ มาถึงตอนนี้ก็ล่วงมาสิบแปดปีแล้ว แต่เขาก็เพิ่งสำเร็จการชงชาขั้น 2 เท่านั้นเอง (การฟื้นฟูแก่นแท้)

หากเทียบกับลำดับขั้นของนักปรุงยา เขาก็เทียบเท่ากับมือใหม่ขั้นสูง แต่ก็ยังห่างไกลนักต่อการจัดอันดับอย่างเป็นทางการของวิชาชีพชงชา

แล้วอีกฝ่ายก็อ่อนกว่าเขา จะเก่งกาจถึงขั้นปรมาจารย์ได้อย่างไร?

ปรมาจารย์เป็นคำนำหน้าที่ใช้กับผู้ซึ่งเข้าถึงจุดสูงสุดของอาชีพแล้วเท่านั้น

อย่างเช่น ผู้ที่ได้เป็นนักปรุงยาอย่างเป็นทางการ จึงจะเรียกว่าเป็นปรมาจารย์ด้านการปรุงยา ผู้ที่วาดภาพขั้น 4 ได้ จึงคู่ควรกับการเรียกว่าปรมาจารย์ด้านการวาดภาพ

แล้วไอ้หนุ่มไม่เต็มยี่สิบนี่วาดภาพขั้น 4 ได้อย่างนั้นหรือ?

ก็เหมือนกับเขาพูดว่าตัวเองชงชาขั้น 4 ได้แล้วอย่างนั้น บ้า!

เทียนหลงจะเชื่อหรือไม่ก็ตามแต่ แต่กิริยาของปรมาจารย์หยวนหยู่ที่ทักทายจางเซวียนนั้นเตะตาผู้คนจำนวนมาก จางเซวียนจึงโบกมืออย่างไม่ยี่หระ “คุณไปทำภารกิจก่อนเถอะ อยากเรียนเมื่อไรก็ตามตัวผมได้ทุกเวลา!”

เขามาพบสามปรมาจารย์ถึงที่นี่เพราะอยากถามเรื่องรังสีดำทะมึนในร่างกาย ไม่ได้อยากสร้างเรื่องอึกทึกครึกโครม ถึงอย่างไรคนเราก็ควรถ่อมตัวไว้!

แต่หากปรมาจารย์หยวนหยู่ยังเกาะติดเขาแบบนี้ จางเซวียนจะถ่อมตัวอย่างไร!

นี่ไม่ใช่เป้าหมายของเขาเลย

“ได้ ผมขอตัวก่อน หากมีเวลาเมื่อไรก็จะไปขอเรียนกับคุณ”

ปรมาจารย์หยวนหยู่รู้ตัวเช่นกันว่าสถานภาพของเขานั้นสะดุดตามาก และหากเขายังอยู่ตรงนี้ก็มีแต่จะสร้างปัญหาให้จางเซวียน เขาจึงประสานมือคารวะและจากไป

ใครก็ตามที่มีทักษะล้ำเลิศก็สมควรได้รับการขนานนามว่าปรมาจารย์ แม้อีกฝ่ายจะอ่อนวัยนัก แต่การวาดภาพขั้น 5 ได้ก็จัดว่าควรค่าแก่การที่เขาจะยกย่องและไปขอเรียนด้วยแล้ว

ทั้งอึ้งทั้งอาย เทียนหลงจับบทสนทนาของทั้งคู่ได้ไม่ชัดนัก แต่เมื่อมองจางเซวียนทีไร ไม่เพียงแต่จะไม่ปลื้มเท่านั้น เขายังเดือดดาลมากขึ้นทุกที

เรื่องที่เขาชอบหวงหวี่นั้นไม่ใช่ความลับ และมันก็เป็นเหตุให้เขาปะทะกับ

ไป๋ซวินอยู่บ่อยครั้ง

เมื่อรู้ว่าหวงหวี่จะมางานฉลองวันเกิดท่านปู่ เขาตั้งใจเรียนการชงชาแบบพิเศษเพื่อแสดงให้เธอชม แต่ก่อนที่จะได้ทำอย่างที่หวัง ก็ต้องมาอับอายต่อหน้าหมอนี่เสียก่อน เขารู้สึกว่าตัวเองควบคุมอารมณ์ได้ดีมากที่ไม่ไปฉะกับจางเซวียน

“ต่อให้หมอนี่ไม่ใช่ปรมาจารย์ที่แท้จริง แต่การที่ปรมาจารย์หยวนหยู่ถึงกับเข้ามาทักทาย ก็แปลว่าเขาต้องไม่ธรรมดา…”

ถึงเทียนหลงจะอารมณ์เสีย แต่เขาก็ยังควบคุมตัวเองได้ เขานึกหาหนทางที่จะเอาคืนให้อีกฝ่ายอับอายขายหน้าบ้างเพื่อเรียกเกียรติยศศักดิ์ศรีของตัวเองคืนมา แล้วความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นทันใด

“ดีเลย พวกนั้นก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน เรามัวแต่รอเสี่ยวหวี่ ก็เลยไม่มีโอกาสไปทักทาย ถ้าเราพาหมอนี่ไปหาพวกเขา ต้องมีอะไรดีๆแน่…”

เมื่อคิดได้ เขาก็เดินเข้าไปและพูดว่า “อาจารย์จาง ผมขออภัยอย่างยิ่ง ผมไม่รู้เลยว่าคุณเชี่ยวชาญด้านการวาดภาพ โปรดยกโทษให้กับความหยาบคายของผมด้วย!”

แม้เทียนหลงจะพูดแบบนั้น แต่ก็ไม่มีความจริงใจอยู่ในน้ำเสียงเลยแม้แต่น้อย

สำหรับคนปากว่าตาขยิบแบบหมอนี่ จางเซวียนไม่อยากเสียเวลาข้องแวะด้วย เขาจึงบอกปัดอย่างไม่แยแส “ครั้งนี้ผมไม่ว่าอะไร แต่ครั้งหน้าผมไม่ให้อภัยแน่!”

“คุณ…”

ขอโทษขอโพยก็แล้ว อีกฝ่ายก็ยังสั่งสอนเขาราวกับอาจารย์สอนนักเรียน ความเดือดดาลแน่นอยู่ในอกเขาจนแทบจะระเบิดออกมา

‘นี่จะพูดกันแบบปกติธรรมดาไม่ได้รึ?

‘เราได้ยินคนพูดกันว่า ผู้เชี่ยวชาญการวาดภาพจะเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน มีคำพูดที่ปราดเปรื่องและล้ำลึก แต่ถ้อยคำของหมอนี่เชือดคอคนฟังได้เลย…’

เขาเป็นปรมาจารย์ ด้านการวาดภาพจริงๆหรือ?

โมโหจนแทบระเบิด เทียนหลงกำหมัดแน่น ยิ่งเดือดดาลเท่าไร ก็ยิ่งรู้อยู่แก่ใจว่าแสดงออกมาไม่ได้ นัยน์ตาของเขาฉายแววเลือดเย็นออกมา แต่ใบหน้ายังคงระบายด้วยรอยยิ้ม “ได้ ผมจะจำไว้ แต่ในเมื่อตอนนี้เราไม่รู้ว่าปรมาจารย์หลิวกับคนอื่นๆจะมาถึงเมื่อไร ทำไมเราไม่ขึ้นไปข้างบนกันก่อน อยู่ตรงนั้น เราจะมองเห็นได้ชัดเมื่อพวกเขามาถึง”

หากคนที่สนิทกับเทียนหลงได้เห็นสีหน้าของเขาตอนนี้ ก็จะรู้ได้ทันทีว่าต้องมีใครสักคนตกที่นั่งลำบากแน่

“เอ่อ…” หวงหวี่ลังเลและหันไปมองชายหนุ่มที่ยืนข้างเธอ

แม้เธอจะเป็นผู้ช่วยปรมาจารย์และจัดว่ามีสถานภาพสูงส่ง แต่จางเซวียนถือเป็นสหายของปรมาจารย์ลู่เฉิน ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าตัดสินใจโดยไม่ถามความเห็นของเขา

จางเซวียนพยักหน้า

เขาเตะตาผู้คนมากมายไปแล้วตอนที่ปรมาจารย์หยวนหยู่เข้ามาทัก ดังนั้น จะรออยู่ข้างล่างหรือข้างบนก็ไม่แตกต่าง และเขาก็ต้องอยู่ที่นี่ทั้งวัน จึงไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อน

“ก็ได้” เห็นจางเซวียนตกลง หวงหวี่จึงหันมาแสดงอาการตกลงเช่นกัน

เมื่อเห็นภาพนั้น เทียนหลงยิ่งปรี๊ดหนักขึ้นอีก

เขาไม่รู้ว่าจางเซวียนกับหวงหวี่มีความสัมพันธ์กันแบบไหน แต่เมื่อเห็นทั้งคู่ สบตากันตรงนั้นทีตรงนี้ที ดูใกล้ชิดสนิทสนมกันราวกับเป็นคู่รัก…

ความหึงหวงอย่างแรงทำให้เขาหน้าบูดหน้าเบี้ยว และเพลิงโทสะก็ใกล้ถึงขีดสุดเต็มที

พื้นที่รับแขกอยู่บริเวณชั้น 2 ของปีกห้องโถง จากตรงนี้ บรรดาแขกเหรื่อจะได้จิบชาขณะที่รื่นรมย์กับทัศนียภาพนอกหน้าต่างซึ่งเป็นสวนดอกไม้ขนาดมหึมา เป็นที่รื่นหูรื่นตาอย่างยิ่ง

ทั้งสี่เดินขึ้นบันไดไป

มีที่นั่งมากมายอยู่บนชั้น 2 แขกเหรื่อสองสามคนนั่งอยู่ ต่างจิบชาและพูดคุยกันอย่างสบายใจ

ทุกคนที่ได้มาร่วมงานฉลองวันเกิดของผู้อาวุโสเทียนต่างเป็นคนมีชื่อเสียงในอาณาจักรเทียนเซวียน และล้วนแต่มีภูมิหลังไม่ธรรมดา ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงมีคนรับใช้ส่วนตัวตามมาดูแล

ดูเหมือนว่าคนรับใช้เหล่านี้จะได้รับการฝึกฝนเป็นพิเศษในเรื่องการชงชาเช่นกัน ท่วงท่าของพวกเขาช่างลื่นไหล เกิดเป็นภาพที่งดงามอย่างน่าทึ่ง

“ทางนี้…”

เทียนหลงเดินนำหน้าพร้อมกับกวาดสายตาไปรอบๆราวกับกำลังมองหาใครสักคน แต่สุดท้ายก็หยุด

“น้องลู่กับน้องหว่าง ขอโทษด้วยที่ไม่ได้ทักทายคุณทั้งสองก่อนหน้านี้ ผมไม่รู้ว่าพวกคุณอยู่ที่นี่…”

เมื่อคนที่เหลือมองตาม ก็เห็นชายสองคนนั่งอยู่ที่โต๊ะซึ่งห่างออกไปไม่มาก

ทั้งคู่คืออาจารย์ดาวเด่นของโรงเรียนหงเทียน ลู่ฉวินและหว่างเชา

พวกเขามาร่วมงานฉลองวันเกิดของผู้อาวุโสเทียน

“เทียนหลง คุณจงใจทำแบบนี้ใช่ไหม?” เห็นอีกฝ่ายนำพวกเธอมาที่นี่ มีหรือที่หวงหวี่จะไม่รู้เจตนาของเขา สีหน้าของเธอบูดบึ้ง

ใครๆก็รู้ว่าอีกไม่นานอาจารย์จางเซวียนจะประชันกับอาจารย์ลู่ฉวิน และทั้งคู่ต่างไม่ถูกกัน ชัดเจนว่าเทียนหลงพาจางเซวียนมาเจอกับลู่ฉวินด้วยความประสงค์ร้าย

“เสี่ยวหวี่ คุณพูดเรื่องอะไร? ผมก็แค่เจอน้องลู่กับน้องหว่างตรงนี้ด้วยความบังเอิญ แต่ไหนๆก็เจอกันแล้ว ทำไมเราไม่นั่งดื่มชาด้วยกันสักหน่อยล่ะ? คุณจะได้ลองชิมชาของผมด้วย”

เทียนหลงแสยะยิ้มและชำเลืองมองจางเซวียน

ไอ้หนู, ยังจะโอหังอีกไหม?

“ครั้งหน้าจะไม่ให้อภัยแน่” ไม่ให้อภัยบ้านแกน่ะสิ!

ตอนนี้อาจารย์ลู่ฉวินอยู่ที่นี่ ดูซิว่าแกจะยังทู่ซี้สร้างภาพเป็นปรมาจารย์ เป็นผู้เชี่ยวชาญได้อีกไหม!

ลู่ฉวินกับหว่างเชาไม่คิดสักนิดว่าจะเจอจางเซวียนที่นี่ หว่างเชามองเทียนหลงและขมวดคิ้ว “พี่เทียน องครักษ์ได้ตรวจตราจดหมายเชิญหรือเปล่า นี่งานฉลองวันเกิดผู้อาวุโสเทียนนะ ทำไมดูเหมือนใครๆก็เข้ามาได้?”

ได้ยินคำพูดนั้น เทียนหลงดีใจแทบเนื้อเต้น

เขารู้มาว่าหว่างเชาเป็นคนหุนหันพลันแล่น ซึ่งจะกลายเป็นอาวุธชั้นดีก็คราวนี้

เขากำลังครุ่นคิดอยู่พอดีว่าจะจุดชนวนความขัดแย้งได้อย่างไร หมอนี่ก็เปิดศึกกับจางเซวียนขึ้นมา

ถึงจะยินดีปรีดา แต่เทียนหลงก็แสร้งทำเป็นลำบากใจ “องครักษ์คงจะตรวจตราจดหมายเชิญแล้ว ผมเชิญผู้ช่วยปรมาจารย์หวงหวี่กับท่านอ๋องน้องไป๋ซวินเป็นการส่วนตัว ส่วน…อาจารย์จาง ถึงผมจะไม่ได้เป็นคนเชิญ แต่ในเมื่อเขาเป็นแขก ผมก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะพูดอะไรได้…”

“แขก? อาจารย์ต๊อกต๋อยนี่ได้รับเชิญให้เป็นแขกมาร่วมงานฉลองวันเกิดผู้อาวุโสเทียนด้วยหรือ?” หว่างเชาเยาะหยัน

จางเซวียนเป็นเพียงอาจารย์ระดับล่างของโรงเรียน ในแง่ของสถานภาพทางสังคม เขาก็ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าร่วมงานฉลองวันเกิดของผู้อาวุโสเทียนจริงๆ

“พอเสียที หว่างเชา!”

ลู่ฉวินโบกมือขัดถ้อยคำประชดประชันของเพื่อน เขามองจางเซวียนและพูดอย่างไม่ยินดียินร้าย “ผมเสียใจด้วยนะอาจารย์จาง หว่างเชาก็แค่พูดอย่างที่คิด ก็อาจจะดูหยาบคายไปบ้าง แต่…ที่นี่ก็ไม่ใช่สถานที่ที่คุณควรจะอยู่จริงๆ คุณควรจะรีบกลับ เพื่อที่หวงหวี่จะได้ไม่ถูกนินทาเพราะคุณ และชื่อเสียงของโรงเรียนหงเทียนก็จะได้ไม่เสื่อมเสีย!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version