ตอนที่ 199 คุณคงเป็นอาจารย์จางเซวียน
“ลู่ฉวิน คุณหมายความว่าอย่างไร?”
ได้ฟังแบบนั้น หวงหวี่ก็อดรนทนไม่ไหว
ถูกนินทาคืออะไร? แล้วที่พูดว่าชื่อเสียงของโรงเรียนหงเทียนจะต้องเสื่อมเสียนั้น หมายความว่าอย่างไรกัน?
สามปรมาจารย์เป็นผู้เชิญอาจารย์จางมาร่วมงานฉลองวันเกิด ทำไมคุณถึงพูดเหมือนกับว่าการที่เขาปรากฏตัวที่นี่เป็นเรื่องน่าอับอาย?
“ผมก็ไม่ได้หมายความเป็นอื่น คนเราไม่ควรจะอยู่ในสถานที่ที่ไม่เหมาะสมกับสถานภาพของตัวเอง หวงหวี่ ผมรู้ว่าคุณเป็นผู้ช่วยปรมาจารย์ และปรมาจารย์หลิวก็ไว้เนื้อเชื่อใจคุณมาก ดังนั้น คุณจึงไม่ควรทำตัวดื้อรั้นแบบนี้ นี่งานฉลองวันเกิดของผู้อาวุโสเทียนนะ ควรระมัดระวังการกระทำของคุณให้มากกว่านี้สักหน่อย! ผู้อาวุโสเทียนเป็นทั้งกึ่งอาจารย์กึ่งสหายของปรมาจารย์หลิว ถ้าคุณพาอาจารย์ระดับล่างที่มีชื่อเสียงย่ำแย่แบบนี้เข้าไป คุณอาจจะลำบากก็ได้ หากปรมาจารย์หลิวเกิดขุ่นเคืองขึ้นมา!”
ลู่ฉวินส่ายหน้า
สีหน้าของเขาไม่มีทั้งการประชดประชันหรือความโกรธขึ้ง ดูเหมือนว่าเขาแค่พูดความจริงเท่านั้น
ในสายตาของเขา ไม่สำคัญเลยว่าจางเซวียนจะได้ 0 คะแนนในการสอบวัดผลอาจารย์หรือไม่ เพราะถึงอย่างไรชายผู้นี้ก็เป็นแค่อาจารย์ระดับล่าง ไม่มีความเหมาะสมเลยที่จะเข้ามาร่วมงานฉลองวันเกิดของคนชั้นสูงแบบนี้ การพาคนแบบนี้ไปด้วยก็รังแต่จะทำให้สถานภาพของหวงหวี่ตกต่ำลง
สิ่งนี้ไม่ต่างอะไรกับการพาขอทานเข้าโรงแรมหรู ต่อให้อีกคนหนึ่งแต่งตัวสวยมารยาทงามอย่างไร ก็จะต้องถูกอีกฝ่ายฉุดให้ตกต่ำลงและกลายเป็นตัวตลก
มังกรจะเป็นมังกรก็ต่อเมื่ออยู่เคียงข้างกับนกฟีนิกซ์เท่านั้น หากอยู่คู่กับหมู มังกรก็คงจะกลายเป็นหมา
“คุณ…”
ได้ฟังอย่างนั้น หวงหวี่ก็โมโห เธอกำลังจะตอบโต้เมื่อเห็นจางเซวียนเดินไปที่โต๊ะ และนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง
เขารินชามาหนึ่งถ้วย และเงยหน้ามองสองอาจารย์คนดัง
“พล่ามอะไรไร้สาระเสียมากมาย สุดท้ายที่คุณจะพูดก็คือ ผมมันแค่อาจารย์ต๊อกต๋อยชื่อเสียงย่ำแย่ ก็ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงแล้วล่ะก็…อาจารย์ลู่ผู้เลิศเลอ คุณมายื่นคำท้าผมในการประเมินอาจารย์ทำไมกันเล่า ไม่กลัวชื่อเสียงตัวเองเสื่อมเสียหรือ?”
อันที่จริง จางเซวียนไม่อยากใส่ใจคำพูดพล่ามของสองคนนี้ แต่…
ผมพยายามรักษาศักดิ์ศรีให้คุณอยู่นะ แต่คุณก็เอาแต่เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของผมอยู่นั่น
ได้ฟังแบบนั้น หวงหวี่กับไป๋ซวินมองหน้ากัน ทั้งคู่ต่างชอบใจ คำพูดของเขาช่างแสบสันนัก
แต่มันก็ฟังขึ้น คุณพูดเองไม่ใช่หรือว่าการพาเขามาด้วยจะฉุดเกียรติยศของฉันให้เสื่อมเสีย
ก็ถ้าเป็นอย่างนั้น ในฐานะอาจารย์ดาวเด่นของโรงเรียนหงเทียน คุณยื่นคำท้าเขาทำไมกันล่ะ มันไม่ทำให้ตัวคุณเองดูโง่เง่าหรือ?
“คุณน่ะหรือ?” ลู่ฉวินหัวเราะหึๆ ไม่ได้รู้สึกรู้สากับคำพูดของจางเซวียนเลย เขาเลิกคิ้วและตอบ “คุณมันก็แค่หินรองฝ่าเท้าให้ผมก้าวไปยังจุดที่สูงกว่าเดิมเท่านั้น หากคุณอยากจะโทษอะไรสักอย่างล่ะก็ โทษโชคชะตาอันห่วยแตกของคุณเถอะ ที่พาให้คุณมาพบผม”
“หินรองฝ่าเท้า?”
“ก็ใช่น่ะสิ การประเมินอาจารย์ในวันพรุ่งนี้น่ะจะต้องทำให้ปรมาจารย์หยางกับอีกสามปรมาจารย์สนใจแน่ พี่ลู่จะแสดงให้พวกเขาได้ประจักษ์ถึงความสามารถของบรรดาลูกศิษย์ ซึ่งปรมาจารย์ทั้งสี่จะต้องชื่นชมอย่างแน่นอน แล้วเขาก็จะมีโอกาสก้าวหน้า ได้กลายเป็นผู้ช่วยปรมาจารย์ ส่วนคุณมันก็แค่ม้าใช้ตัวหนึ่ง!”
หว่างเชาหัวเราะขณะมองจางเซวียนอย่างสมเพช
‘คุณมันก็แค่หินรองฝ่าเท้า นึกว่าตัวเองเป็นยอดมนุษย์หรือ?
‘เอาจริงๆนะ แค่ได้เป็นหินรองฝ่าเท้าของลู่ฉวินนี่ ก็จัดว่ามีวาสนาแล้ว’
“คุณสองคนแน่ใจหรือว่าจะชนะ?”
เห็นทั้งคู่มีความคิดแบบนั้น จางเซวียนได้แต่ส่ายหน้า
เขาไม่รู้ว่าทั้งสามปรมาจารย์มีความตั้งใจอย่างไร แต่เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่ ‘ปรมาจารย์หยางจะมาชมการประลอง พอๆกับที่เขาไม่มีทางรับลู่ฉวินเป็นศิษย์นั่นแหละ
“อันที่จริง จะชนะหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ยังมีบางเรื่องที่พวกคุณน่าจะยังไม่รู้!”
หว่างเชากับลู่ฉวินกำลังจะตอบโต้ ตอนที่เทียนหลงหัวเราะหึๆและพูดขัดขึ้น
“อะไรหรือ?”
หว่างเชามองเทียนหลง
“อันที่จริง การที่ปรมาจารย์หลิวมาถึงอาณาจักรเทียนเซวียนนั้นไม่ใช่แค่มาอวยพรวันเกิดให้ท่านปู่ แต่เขายังตั้งใจจะมารับน้องลู่เป็นผู้ช่วยด้วย เรื่องนี้เป็นความลับ ปรมาจารย์หลิวได้เขียนจดหมายมาแจ้งท่านปู่โดยตรง แต่ผมเห็นจดหมายนั้นเข้า จึงได้รู้เรื่อง”
“ฮะ? เป็นความจริงหรือ?”
ลู่ฉวินตาโตเพราะไม่เคยรู้เรื่องนั้นมาก่อน
“ใช่สิ น้องลู่มีชื่อเสียงขนาดนี้ ก็เป็นธรรมดาที่ปรมาจารย์จะสนใจ ในฐานะที่เป็นศิษย์ของท่านปู่ ปรมาจารย์หลิวจึงไม่กล้าปิดบังเรื่องนี้ ก็เพราะอย่างนี้แหละผมจึงเชิญคุณมาเพื่อที่ท่านปู่จะได้แนะนำให้รู้จักกับปรมาจารย์หลิว และให้เขาได้รับคุณเป็นผู้ช่วย” เทียนหลงพูด
“ถ้าอย่างนั้น ผมต้องขอขอบคุณผู้อาวุโสเทียนสำหรับเรื่องนี้…”
ได้ยินอีกฝ่ายยืนยัน ลู่ฉวินลุกขึ้นยืนอย่างกระสับกระส่าย
เมื่อรู้ตัวว่าไม่มีหวังกับปรมาจารย์หยางแล้ว เขาก็เบนความสนใจมาหาอีกสามปรมาจารย์ แต่ดูเหมือนสองวันมานี้ ทั้งสามคนจะไม่อยู่เลย ทุกครั้งที่เขาพยายามขอเข้าพบก็ไม่เคยอยู่สักครั้ง ทำให้เขาร้อนรนนัก
ตอนแรกเขาคิดว่าแผนการนี้คงล้มเหลวเหมือนเมื่อครั้งปรมาจารย์หยาง แต่กลายเป็นว่าปรมาจารย์หลิวก็สนใจในตัวเขา
วิเศษมาก!
“ดูเหมือนเราจะได้เป็นสหายกันนะ…”
ลู่ฉวินยิ้มให้หวงหวี่อย่างอ่อนโยน
“ใครเป็นสหายของคุณกัน!” หวงหวี่พ่นลมพรืด
หวงหวี่ไม่รู้ว่าปรมาจารย์หลิวคิดอย่างไร แต่ในเมื่อเทียนหลงเพิ่งพูดออกมา ก็แปลว่าเขาต้องมั่นใจ นี่เธอจะต้องเป็นสหายกับชายผู้นี้จริงๆหรือ
ขัดใจนัก
เธอไม่ชอบความยโสโอหังเกินขนาดของเขา
แต่ถ้าจะพูดกันตามตรง เขาก็เก่งกาจจริงๆ ซึ่งเรื่องนั้นเธอก็ชื่นชม
การที่เขามีชื่อเสียงถึงจุดนี้ได้โดยปราศจากคำชี้แนะของปรมาจารย์คนไหน ก็แปลว่าเขาต้องมีวิธีสอนนักเรียนในแบบของตัวเอง
“ได้ยินไหม? พี่ลู่กำลังจะได้เป็นผู้ช่วยปรมาจารย์แล้ว ไม่อับอายขายหน้าบ้างหรือไรที่มายืนอยู่ตรงนี้?”
เมื่อได้รับข่าวดีขนาดนั้น หว่างเชาก็ดีใจกับเพื่อน เขาหันมามองจางเซวียนที่ยืนไม่รู้ร้อนรู้หนาว และรู้สึกขยะแขยงขึ้นอีก
“กำลังจะได้เป็น ก็แปลว่าเขายังไม่ได้ตอบรับน่ะสิ ใช่ไหม?”
จางเซวียนไม่อาจอยู่เฉยกับเรื่องนี้ได้
ไม่ใช่แค่เรื่องที่เขาไม่รู้มาก่อนว่าปรมาจารย์หลิวสนใจในตัวลู่ฉวิน แต่ตอนนี้เขากำลังคิดว่า คงต้องใช้ตัวตนของ ‘หยางชวนเพื่อยับยั้งอีกฝ่ายจากเรื่องนี้
เพราะไม่อย่างนั้น หาก ‘หยางชวนรับหลิวหลิงเป็นศิษย์ ลู่ฉวินก็จะต้องกลายเป็นศิษย์ของศิษย์ของเขาอีกที แต่หมอนี่ทั้งหลงตัวเองทั้งโอหังขนาดนั้น…
ลูกศิษย์แบบนี้ไม่อยู่ในสายตา!
เขาไม่อยากได้!
“ปากดีไปเถอะ จะรอดูว่าต่อไปจะทำอย่างไร…”
เห็นจางเซวียนทำท่าไม่รู้สึกรู้สาแบบนั้น ชายสองคนที่พยายามสุดตัวเพื่อให้ได้เป็นศิษย์ของศิษย์ของเขาต่างจ้องเขาอย่างสมเพช
เห็นคนสำคัญตัวผิดมาก็เยอะ แต่ไม่เคยเห็นใครอาการหนักขนาดนี้
เดี๋ยวพอสามปรมาจารย์มาถึง ลู่ฉวินก็จะได้กลายเป็นผู้ช่วยปรมาจารย์ แต่หมอนี่ยังยืนบื้ออยู่ตรงนี้อย่างไม่มีทีท่าจะอับอายเลย…อะไรจะหน้าด้านหน้าทนขนาดนั้น
แถมยังนั่งจิบชาสบายใจ…ยังมีอารมณ์ดื่มชาอีกหรือ!
ถ้าเป็นเรา คงอับอายจนต้องโดดตึกตายให้รู้แล้วรู้รอด
“ฮ่าฮ่า น้องหว่างพูดแบบนั้นก็ไม่ถูก ผมเพิ่งได้ยินเสี่ยวหวี่กับท่านอ๋องน้อง
ไป๋ซวินเรียกอาจารย์จางคนนี้ว่าปรมาจารย์ ได้ยินว่าเขาเป็นปรมาจารย์ด้านการวาดภาพ และดูจะเป็นคนสำคัญมาก!”ดูเหมือนจางเซวียนจะหน้าหนากว่าที่เทียนหลงคิดไว้ เมื่อเห็นเขายังมีทีท่าไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่แบบนั้น เทียนหลงจึงกระทุ้งอีก
“ปรมาจารย์ด้านการวาดภาพหรือ?”
ลู่ฉวินเอามือไพล่หลังและมองจางเวียนอย่างสมเพช “นี่คุณกล้าเรียกตัวเองว่าปรมาจารย์จิตรกรต่อหน้าผม? มันไม่น่าขันไปหน่อยหรืออย่างไร? จะโม้อะไรก็ให้มีขอบเขตบ้าง!”
ถึงเขาจะไม่ได้กลับบ้านมาหลายปีแล้ว แต่ก็รู้ดีกว่าทุกคนว่าการจะได้เป็นปรมาจารย์จิตรกรนั้นยากเย็นแค่ไหน
การที่อาจารย์ผู้มีชื่อเสียงย่ำแย่ที่สุดในโรงเรียนได้เป็นเพื่อนที่ดีกับหวงหวี่นั้นก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ถึงกับโม้ขนาดนี้ มันมากไปไหม?
“จริงด้วย! พี่เทียนน่าจะได้ยินมาผิดแล้ว พี่ลู่น่ะมาจากครอบครัวของจิตรกรมือฉมัง ปรมาจารย์ลู่เฉินผู้เป็นบิดาก็เป็นจิตรกร เป็นปรมาจารย์จิตรกรที่เก่งกาจที่สุดในอาณาจักรเทียนเซวียน ขนาดฮ่องเต้เซินจุยยังทรงเรียนด้วยเลย และพี่ลู่ก็เรียนการวาดภาพกับเขามาตั้งแต่เด็ก เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรหากว่ามีปรมาจารย์จิตกรอีกคนปรากฏตัวขึ้นในอาณาจักร?”
หว่างเชาส่ายหน้าและหัวเราะหึๆ
“คุณสองคนพูดแบบนี้ผมก็เบาใจ นึกว่าเป็นเรื่องจริงเสียอีก แต่ว่าปรมาจารย์หยวนหยู่ก็…”
เกิดความชุลมุนที่ชั้นล่างตอนที่เทียนหลงกำลังจะพูดถึงทีท่าของปรมาจารย์หยวนหยู่
“เร็วหน่อย สามปรมาจารย์มาถึงแล้ว!”
“ฮ่องเต้เซินจุยก็มาถึงแล้วเหมือนกัน รีบออกไปต้อนรับพวกเขาเร็ว…”
เสียงซุบซิบดังหึ่งไปทั่วห้อง
“สามปรมาจารย์กับฮ่องเต้เซินจุยมาถึงแล้วหรือ?”
เมื่อได้ยินความชุลมุนข้างล่าง เทียนหลงก็หยุดพูด เขาหันมาทางลู่ฉวินกับหว่างเชา “น้องลู่ น้องหว่าง ลงไปต้อนรับพวกเขากันเถอะ!”
“ได้!”
เมื่อสามปรมาจารย์มาถึง ฝูงชนในห้องก็นั่งไม่ติด พวกเขารีบลงไปข้างล่าง
“รุ่นพี่หวงหวี่ ไปต้อนรับอาจารย์กัน!”
ลู่ฉวินหัวเราะหึๆ
“ใครเป็นรุ่นพี่คุณ?” หวงหวี่คำรามในคอ เธอหันไปมองจางเซวียน
“ไปกันเถอะ!”
รู้ว่าหวงหวี่ต้องไปต้อนรับอาจารย์ของเธอในฐานะที่เป็นศิษย์ จางเซวียนจึงพยักหน้า
อีกอย่าง เขามาที่นี่ก็เพื่อพบทั้งสามปรมาจารย์ ในเมื่อพวกเขามาถึงแล้ว ก็ควรจะไปดูเสียหน่อย
พรึ่บ!
ฝูงชนบนชั้น 2 หายตัวหมดเกลี้ยงภายในพริบตา
เมื่อพวกเขาเดินไปถึงห้องโถงใหญ่ ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งอยู่บริเวณทางเดิน พวกเขาคือสามปรมาจารย์ – หลิวหลิง จวงเชียน เจิงเฟย และฮ่องเต้เซินจุย
แม้ทั้งสี่จะเคยแสดงความเคารพนอบน้อมเมื่ออยู่ต่อหน้าปรมาจารย์หยาง แต่ตอนนี้พวกเขาดูสง่าผ่าเผยมาก
“คารวะปรมาจารย์หลิว ปรมาจารย์จวง และปรมาจารย์เจิง! คารวะฝ่าบาท!”
แม้จะมีบรรดาหัวหน้าตระกูลและผู้อาวุโสจากตระกูลอันทรงเกียรติอยู่ที่นี่มากมาย แต่ทุกศีรษะก็ก้มน้อมคำนับ
“เรามาอวยพรผู้อาวุโสเทียนเหมือนกัน พวกท่านไม่ต้องมีพิธีรีตองหรอก”
ฮ่องเต้เซินจุยยิ้ม
แม้จะทรงพูดเช่นนั้น แต่ก็ไม่มีใครกล้า ฝูงชนต่างยิ้มอย่างสุภาพและกลัวเกรงเกินกว่าจะพูดอะไรออกมา
“ไปกันเถอะ!”
เมื่อเห็นสามปรมาจารย์กับฮ่องเต้กำลังเดินมา เทียนหลงก็ยิ้มและพาลู่ฉวินกับหว่างเชาเดินเข้าไป ในฐานะผู้ช่วยปรมาจารย์ มีหรือที่หวงหวี่จะยอมรั้งท้าย? เธอเดินไปกับไป๋ซวินและจางเซวียนเช่นกัน
“อาจารย์!”
เมื่อเดินไปถึง หวงหวี่กับไป๋ซวินรีบคำนับด้วยความเคารพ
“คุณเชิญเขามาหรือยัง?”
เมื่อเห็นทั้งคู่ หลิวหลิง จวงเชียน และเจิงเฟยต่างมีนัยน์ตาเบิกโพลง
เมื่อ 2 วันที่แล้ว พวกเขาปลอมตัวไปซุ่มที่โรงเรียนหงเทียน รอให้จางเซวียนปรากฏตัวเพื่อที่จะได้รับเขาเป็นผู้ช่วย แต่ก็ไม่มีวี่แววของชายหนุ่มคนนั้น ดูเหมือนเขาจะหายตัวไป ขนาดฮ่องเต้เซินจุยก็หาตัวเขาไม่พบ
ทั้งสามจึงไม่มีทางเลือก ต้องให้หวงหวี่กลับไป๋ซวินไปตามหา ตอนแรกก็ไม่ได้หวังอะไรมาก แต่เมื่อเห็นทั้งคู่ไม่มีสีหน้าผิดหวัง พวกเขาก็ใจเต้นแรงขึ้นอีก
“เราเชิญเขามาแล้ว คนที่ยืนข้างฉันนี่คือ…”
หวงหวี่กำลังจะแนะนำตัวจางเซวียน แต่ลู่ฉวินโผล่พรวดเข้ามาเสียก่อน เขาประสานมือคารวะและเอ่ยด้วยสีหน้ากระตือรือร้น “ลู่ฉวินคารวะปรมาจารย์หลิว ปรมาจารย์จวง และปรมาจารย์เจิง…”
ตอนแรก เขาคิดว่าเมื่อแนะนำตัวแล้ว ทั้งสามคงจะหันมาสนใจเขาทันที และคงถามไถ่ก่อนที่จะต่อด้วยการรับเขาเป็นผู้ช่วย แต่ปรากฏว่าทุกคนทำท่าไม่แยแสราวกับไม่เห็นเขา ต่างเดินเข้าไปรุมล้อมเทียนหลงพร้อมรอยยิ้มสดใสที่ระบายอยู่บนใบหน้า
“คุณคงเป็นอาจารย์จางเซวียน ในที่สุดเราก็ได้พบกันเสียที คุณไม่รู้หรอกว่ากว่าเราจะหาคุณเจอนั้นยากเย็นแค่ไหน…”
“ฮะ?” เทียนหลงผงะไป