ตอนที่ 200 ผู้อาวุโสเทียน
“ผม…”
เทียนหลงยืนตัวแข็ง เห็นทั้งสามปรมาจารย์ฉีกยิ้มและแทบจะเข้ามาอุ้มเขาก็ยิ่งงงงัน เขาอยากจะอธิบายแต่พูดไม่ออก
มัน…มันเกิดอะไรขึ้น?
จางเซวียนงงกว่า ก็แค่ 2-3 วันที่ไม่ได้พบกัน…ทำไมพากันปัญญาอ่อนไปได้ขนาดนี้
ก็ถ้าผมคือจางเซวียน แล้วพวกคุณตื่นเต้นอะไรกัน?
คนที่เอาเงินของพวกคุณไปคือปรมาจารย์หยาง ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมเลย…ต่อให้พวกคุณรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ก็ควรจะตามหาเขา ไม่ใช่ผม…
“แค่ก แค่ก ปรมาจารย์หลิว นั่นไม่ใช่อาจารย์จาง เขาคือเทียนหลง หลานชายของผู้อาวุโสเทียน…” หวงหวี่รีบเอ่ยขึ้นเพราะทนดูไม่ไหวแล้ว
“อ้าว? คุณไม่ใช่เขาหรอกหรือ ไม่ใช่แล้วทำไมไม่บอก ทำให้ผมดีใจไปเปล่าๆปลี้ๆ! เจิงเฟยจ้องหน้าเทียนหลงและพ่นลมพรืด ถ้าไม่ใช่ในสถานการณ์แบบนี้ เขาคงจะตบหน้าเจ้านี่ไปแล้ว
เทียนหลงแทบปล่อยโฮเมื่อเห็นสีหน้าดุดันของเขา
“ไม่ใช่ผมไม่อยากบอก แต่พวกคุณทั้งสามรี่เข้ามาเหมาว่าผมคืออาจารย์จาง
เซวียน ไม่ให้โอกาสผมอธิบายเลย ผมก็แค่ตกใจกับอาการโอภาปราศรัยแบบกะทันหันของพวกคุณ เข้าใจนะ?”
ก็ไม่น่าแปลกใจที่สามปรมาจารย์จะเข้าใจผิด เพราะไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหรือหน้าตา เทียนหลงดูดีกว่าจางเซวียนมาก หวงหวี่แค่พูดว่าจางเซวียนยืนอยู่ข้างเธอ ยังไม่ทันจะได้บอกว่ายืนข้างขวาหรือข้างซ้าย ลู่ฉวินก็เข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน ทั้งสามจึงคิดว่าชายหนุ่มรูปร่างสูงสง่าหล่อเหลาคือคนที่พวกเขากำลังตามหา
“ถ้าเขาไม่ใช่…แล้วอาจารย์จางอยู่ไหน? หลิวหลิงมองไปรอบๆอีกครั้งหนึ่ง
“ผมคือจางเซวียน…”
ดูทรงแล้ว หากเขายังชักช้า คงจะต้องอิหลักอิเหลื่อกันไปกว่านี้ จางเซวียนจึงก้าวออกมาแสดงตัวตน
“คุณคืออาจารย์จางหรือ? คุณดูปราดเปรื่องและมีชีวิตชีวาอย่างที่ผมคิดไว้เลย” หลิวหลิงยิ้มกว้าง
“จริงด้วย! ด้วยบุคลิกเก่งกล้า คุณดูโดดเด่นกว่าใครๆในที่นี้ ถึงจะอยู่ท่ามกลางฝูงชนมากมาย ผมก็รู้ทันทีว่าเป็นคุณ” ปรมาจารย์จวงยกย่อง
“สมกับที่เป็นอาจารย์ตัวอย่างของอาณาจักรเทียนเซวียน ไม่เลว ไม่เลวเลย” เจิงเฟยรีบเสริม
“…..”
จางเซวียนมึน
‘เรานี่นะ? มีชีวิตชีวา เก่งกล้า และเป็นอาจารย์ตัวอย่างหรือ?’
‘ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง พวกคุณทักผิดคนได้อย่างไร ทำไมพากันคิดว่าเทียนหลงคือเรา?’
ขนาดเป็นปรมาจารย์ ก็ยังโกหกหน้าด้านๆ
ศักดิ์ศรีของพวกคุณอยู่ที่ไหน?
แล้วสถานภาพปรมาจารย์ล่ะ?
“ขอทราบหน่อยได้ไหมว่าทำไมคุณทั้งสามถึงตามหาผม?” เห็นสายตาปลื้มปริ่มร้อนรนของสามปรมาจารย์ จางเซวียนรีบเอ่ยถามเพราะทนดูไม่ไหว
“เอ่อ…ตรงนี้มีผู้คนพลุกพล่าน ไปหาที่ๆเหมาะจะคุยกันเถอะ!” หลิวหลิงตอบ
คนมากมายขนาดนี้ เขาไม่อาจพูดออกมาได้ว่าได้ยินเรื่องราวของจางเซวียนมา จนถึงกับตั้งใจไปสอดส่องดูเขาที่โรงเรียน และอยากรับเขาเป็นผู้ช่วย
ถ้าพูดออกมาแบบนั้น ไม่เพียงแต่ผู้อื่นจะคิดว่าเขาเป็นบ้า จางเซวียนก็อาจจะตกใจจนหนีเตลิดไปได้
มีที่ไหนในโลกที่ปรมาจารย์กระตือรือร้นอยากรับศิษย์ขนาดนี้?
“ได้!” จางเซวียนพยักหน้า
ดูทีท่าแล้ว ฝ่ายนั้นน่าจะยังไม่รู้ว่าเขาคือ ‘หยางชวนมิฉะนั้นก็คงจะเอาเรื่องไปเสียนานแล้ว
ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาก็จะได้โอกาสถามเรื่องรังสีดำทะมึนในตัวเสียด้วยเลย จางเซวียนจึงตกลง
“ไปกันเถอะ!”
เห็นอาจารย์จางมีท่าทีว่าง่าย สามปรมาจารย์ถอนหายใจอย่างโล่งอก พวกเขายืนรุมล้อมจางเซวียนราวกับกลัวว่าจะหนี และพาตัวเขาไป
ทุกคนงงงันกับภาพที่เห็น ส่วนลู่ฉวินรู้สึกราวกับโลกพังทลายลงตรงหน้า
ตอนแรกเขาคิดว่า เพียงแค่แสดงตัวตน ทั้งสามปรมาจารย์ก็คงจะชื่นชมและยินดีรับเขาเป็นผู้ช่วยทันที แล้วชื่อเสียงของเขาก็จะเลื่องลือไปไกล แต่นี่…มันเกิดอะไรขึ้น?
ไม่เพียงแต่จะไม่แยแสเมื่อได้ยินชื่อเขา ทุกคนยังพุ่งเข้าใส่จางเวียนที่ลู่ฉวินเพิ่งจะดูถูกเหยียดหยามไป ทั้งยังพินอบพิเทาขนาดนั้น…
เทียนหลงเพิ่งบอกไม่ใช่หรือว่าเขากำลังจะได้เป็นศิษย์ของปรมาจารย์หลิว?
จางเซวียนคนนั้นเป็นแค่อาจารย์ระดับล่าง แถมชื่อเสียงก็ย่ำแย่ ทำไมสามปรมาจารย์ถึงต้องรุมล้อมเขา?
ลู่ฉวินกัดฟันพูด
“ปรมาจารย์หลิว…ผมคือลู่ฉวิน อาจารย์ดาวเด่นของโรงเรียนหงเทียน…”
“อ๋อ ผมรู้แล้ว ผมเพิ่งพบคุณที่พระราชวัง” หลิวหลิงพยักหน้าและไม่สนใจเขาอีก “เอาล่ะ ผมขอตัวนะ มีเรื่องต้องคุยกับอาจารย์จาง ช่วยหลบไปด้วย อย่าขวางทาง!”
“…..”
ลู่ฉวินยืนเซ่อขณะที่มองปรมาจารย์หลิวเดินห่างออกไป อยากจะฆ่าตัวตายเสียเดี๋ยวนั้น
‘ถึงอย่างไร เราก็คือเบอร์ 1 เป็นอาจารย์ดาวเด่นของอาณาจักรเทียนเซวียน พูดกับเราแค่สองสามคำแล้วเขี่ยเราทิ้ง จะถามถึงงานการของเราสักนิดก็ไม่มี ถึงกับผลักไส บอกเราไม่ให้ขวางทาง…’
แต่กับจางเซวียน ทำราวกับเขาจะสลายเป็นอากาศธาตุ พากันรุมล้อมเหมือนเป็นสมบัติล้ำค่า ส่วนกับเขา…
ลู่ฉวินรู้สึกหายใจหายคอไม่ออกขึ้นมาทันใด
‘ใครก็ได้ช่วยบอกทีว่าเกิดอะไรขึ้น?
กลั้นความอยากกระอักเลือดไว้ ลู่ฉวินหันไปทางเทียนหลง
คุณบอกว่ารู้ข่าววงในไม่ใช่หรือ?
ไม่ใช่คุณหรือที่พูดว่าปรมาจารย์หลิวเขียนจดหมายมาบอกว่าเขาอยากรับผมเป็นศิษย์?
มีอาจารย์ที่ไหนในโลกที่ไม่ชายตาแลลูกศิษย์ของเขาเลย?
เห็นสายตากล่าวหาของลู่ฉวิน เทียนหลงก็อยากจะบ้า
ผมเห็นจดหมายนั้นจริงๆ! และไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น…
ขณะที่ทั้งคู่กำลังงงงัน หว่างเชารู้สึกเหมือนถูกตบหน้าซ้ำแล้วซ้ำอีก
เขามั่นใจว่าวันนี้ลู่ฉวินจะต้องได้เป็นผู้ช่วยของปรมาจารย์หลิวแน่ และเขาก็เพิ่งจัดการจางเซวียนไป แต่สุดท้ายคำพูดของเขาก็กลับมาทำร้ายตัวเอง
เขาพูดว่าฝ่ายนั้นก็เป็นแค่ม้าใช้และหินรองฝ่าเท้า แต่ทำไมตอนนี้จึงรู้สึกเหมือนกับว่าลู่ฉวินกลายเป็นม้าใช้และหินรองฝ่าเท้าเสียเอง
เขาพูดว่าฝ่ายนั้นช่างหน้าด้านหน้าทนและควรจะจบชีวิตไปเสีย…แต่ตอนนี้ดูเหมือนเขาคือคนที่ควรจะจบชีวิต!
บางที…
ทั้งหว่างเชา ลู่ฉวิน และเทียนหลงมองหวงหวี่กับไป๋ซวินเป็นตาเดียว
หากจะมีใครสักคนที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ต้องเป็นสองคนนี้
คนหนึ่งเป็นผู้ช่วยของปรมาจารย์หลิว ในขณะที่อีกคนเป็นศิษย์ของปรมาจารย์จวง
และทั้งคู่เป็นคนพาจางเซวียนมา
“เรา…เราก็ไม่รู้เหมือนกัน”
หวงหวี่รีบส่ายหน้า
สามปรมาจารย์บอกแค่ให้พวกเขาพาจางเซวียนมา ไม่ได้บอกว่าจะทำอะไร เธอกับไป๋ซวินก็สงสัยเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นปรมาจารย์หลิวหรือปรมาจารย์จวง ทั้งคู่ต่างวางตัวสูงส่งเคร่งครัดในสายตาของใครต่อใคร แต่มาตอนนี้กลับทำตัวเหมือนตามตื๊อดาราคนโปรด เดินตามจางเซวียนไปทุกที่ ถ้าไม่เห็นกับตาตัวเองก็ไม่มีทางเชื่อ
“พวกเรา…ไปดูกันดีไหม?”
ทุกคนไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ต่างเก็บความอยากรู้ไว้ไม่ไหว จึงรีบตามไป
โดยเฉพาะลู่ฉวิน หากวันนี้เขาไม่ได้รับคำตอบ คงต้องตายเพราะความเดือดดาลและแค้นเคืองเป็นแน่
เมื่อครู่นี้เอง เขายังวางท่าหยิ่งผยองว่าการนำเขาไปเทียบกับจางเซวียนก็รังแต่จะทำให้ตัวเขามัวหมอง แต่มาตอนนี้ ทั้งสามปรมาจารย์ต่างเข้ากลุ้มรุมจางเซวียน ขณะที่สลัดเขาทิ้งอย่างไม่แยแส
“หมอนั่นมีอะไรดี? สามปรมาจารย์ถึงเมินเราแบบนี้?”
“ฝ่าบาท ปรมาจารย์หลิว ปรมาจารย์จวง ปรมาจารย์เจิง นายท่านส่งผมมาต้อนรับพวกคุณ”
ยังไม่ทันจะได้ไปไหนไกล ผู้อาวุโสคนหนึ่งก็ตรงเข้ามาต้อนรับ
พ่อบ้านของคฤหาสน์ตระกูลเทียน เทียนกัง
“อือ!” ปรมาจารย์หลิวพยักหน้า
แม้ตอนนี้เขาอยากรับจางเซวียนเป็นผู้ช่วยใจจะขาด แต่ที่นี่คืองานฉลองวันเกิดผู้อาวุโสเทียน เป็นการไม่เหมาะสมหากแขกจะแย่งซีนของเจ้าบ้าน
“เชิญทางนี้เลย นายท่านรอพวกคุณอยู่ที่ห้องโถงใหญ่” เทียนกังนำทางไป
“อาจารย์จาง เชิญไปกับพวกเราเถอะ ผู้อาวุโสเทียนเป็นคนใจดีมาก เขาเคยเป็นอาจารย์สอนการชงชาให้ผมครั้งหนึ่ง” หลิวหลิงอธิบายด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นความเอื้อเฟื้อของทั้งสามปรมาจารย์ จางเซวียนก็ได้แต่พยักหน้ารับ
หลังจากเดินไปได้อีกสองสามก้าว ก็เห็นฮ่องเต้เซินจุยเดินยิ้มร่าเข้ามา
“อาจารย์จางเซวียน เราได้ยินชื่อคุณมานานแล้ว วันนี้มีโอกาสได้พบ คุณก็น่าทึ่งอย่างที่พวกเขาพูดกันจริงๆ คุณจะต้องมีอนาคตไกลและชื่อเสียงลือลั่นเป็นแน่
หากมีอะไรให้เราช่วยก็บอกมาเลย อย่าได้เกรงใจ อาณาจักรเทียนเซวียนอาจไม่ใช่ดินแดนที่ทรงอำนาจมากมาย แต่เราก็ไม่ขาดแคลนทรัพยากร หากอยู่ในขอบเขตที่เราทำได้ เราจะจัดหาให้คุณอย่างดีที่สุด!”
ได้ฟังแบบนั้น จางเซวียนมีสีหน้าพิลึกพิลั่น
คือ…ก็เข้าใจได้ว่าฮ่องเต้กำลังแสดงความปรารถนาดี ว่าแต่…เขาเป็นแค่อาจารย์ธรรมดาคนหนึ่ง ฮ่องเต้จะมาแสดงความปรารถนาดีให้เขาทำไมกัน?
อีกอย่าง ฮ่องเต้ก็น่าจะเคยได้ยินว่า…เราเป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงย่ำแย่
คนเหล่านี้พากันปฏิบัติต่อเขาเป็นอย่างดี พลิกทีท่าจากหลังมือเป็นหน้ามือ
เมื่อสองสามวันก่อน จางเซวียนก็ยังปลอมตัวเป็นปรมาจารย์หยาง และไม่เคยปรากฏตัวในฐานะอาจารย์จางเลย!
ทำอย่างไรก็คิดไม่ออก ว่าคนเหล่านี้เปลี่ยนท่าทีเพราะอะไร
แต่จะว่าไปก็เป็นเรื่องดี เพราะเขายังคิดอยู่ว่า ในฐานะจางเซวียน คงจะเข้าถึงตัวปรมาจารย์ทั้งสามได้ยาก แต่ดูทีท่าแล้วเหมือนว่าเขาจะคิดมากไปเอง…
น่าสงสัยนักว่า แค่สองสามวันที่เขาหายตัวไป จู่ๆชื่อจางเซวียนกลายเป็นผู้ทรงเกียรติขึ้นมาได้อย่างไร
ขนาดฮ่องเต้กับสามปรมาจารย์ยังรี่เข้ามาพินอบพิเทา
จางเซวียนแค่พยักหน้าและไม่พูดอะไร ฮ่องเต้เซินจุยประทับใจนักกับใบหน้าสงบนิ่งของชายหนุ่ม
สมกับเป็นผู้ที่สามปรมาจารย์ได้หมายตาไว้ สภาวะจิตของเขาช่างเหนือชั้น
หากเป็นคนอื่น มีฮ่องเต้เข้ามายกย่องชมเชยและสัญญิงสัญญาแบบนี้ คงจะตัวลอยและหลงนึกไปว่าตัวเองเป็นผู้ที่สวรรค์ประทานพรให้
แต่ชายผู้นี้เพียงแค่พยักหน้าอย่างเฉยเมย ไม่หวั่นไหวไปกับถ้อยคำของพระองค์ แค่ความสงบเยือกเย็นนี้เพียงอย่างเดียวก็ควรค่าแก่การนับถือแล้ว
แต่ฮ่องเต้เซินจุยไม่ทรงรู้ความจริงที่ว่านั่นไม่ใช่ความสงบเยือกเย็น หากแต่เป็นการหมกมุ่นครุ่นคิด
แต่จางเซวียนก็ได้คุ้นเคยกับพวกเขาในฐานะปรมาจารย์หยางไปตั้งแต่เมื่อสองสามวันที่แล้ว จึงไม่รู้สึกผิดแปลกหรือกังวลอะไรมากมาย
เดินตามพ่อบ้านไปไม่นานก็มาถึงห้องโถงใหญ่
เมื่อเดินเข้าไป กลิ่นชาอันอบอวลก็เตะจมูกทันที พวกเขารู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นในทันใด
“เข้ามานั่งเถอะ!”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงกลางห้อง เบื้องหน้าเขาคือชุดชงชาอันงดงาม มีน้ำร้อนที่ควันขึ้นกรุ่นเป็นสาย กลิ่นหอมอบอวลของชามาจากตรงนี้
“เซินจุย (หลิวหลิง จวงเชียน เจิงเฟย) คารวะผู้อาวุโสเทียน!”
ทั้งสี่คนเดินเข้าไป
จางเซวียนเดินรั้งท้ายและชำเลืองมองผู้อาวุโส
แม้จะเป็นวันเกิดปีที่ 90 แล้ว แต่เขายังดูเหมือนอายุเพียง 70 ปี เคราสีขาวราวหิมะนั้นทำให้เมื่อมองจากที่ไกลๆก็ดูเหมือนเซียนผู้รู้แจ้ง
“ตามสบาย ตามสบาย”
ผู้อาวุโสโบกมือด้วยทีท่าสบายๆ ยังคงไม่เงยหน้า
เขาถือถ้วยชาไว้และเทน้ำชาลงไป ในทันทีนั้นกลิ่นสดชื่นของใบชาก็รวยรินออกมา ราวกับชาชุดนั้นมีจิตวิญญาณของตัวเอง ด้วยการขยับเพียงเล็กน้อยของผู้อาวุโสเทียน น้ำร้อนก็ถูกรินลงไปในถ้วยชา
ท่วงท่าของเขาลื่นไหลและงดงามอย่างน่าทึ่ง ยังไม่ทันได้ชิมชาก็รู้สึกอิ่มเอมใจแล้ว ทุกสายตาต่างจับจ้องที่อิริยาบถของผู้อาวุโสเทียน
แค่ได้มองการเตรียมชาก็ทำให้รู้สึกเป็นสุขแล้ว
“นี่คือวิถีทางแห่งชาหรือ? น่าทึ่งมาก!”
จางเซวียนเคยคิดว่าการชงชานั้นไม่อาจเทียบได้กับการปรุงยาหรืออะไรทำนองนั้น แต่หลังจากได้เห็นท่วงท่าของผู้อาวุโสแล้ว เขาพลันรู้สึกได้ว่าทุกอาชีพที่อยู่ในเก้าสถานภาพนั้น ไม่มีอาชีพใดที่ง่ายดาย
“เชิญ!”
ผู้อาวุโสร้องเรียก แม่บ้านหลายคนก้าวออกมาและเสิร์ฟน้ำชาให้ฮ่องเต้เซินจุยกับสามปรมาจารย์
มีน้ำชาทั้งหมด 6 ถ้วย หลังจากเสิร์ฟให้ทั้งสี่คนแล้วก็ยังเหลือ อีก 2 ถ้วย
เมื่อชงชาเสร็จแล้ว ผู้อาวุโสเช็ดมือให้แห้ง ในตอนนั้นเองที่เขาเงยหน้าขึ้นเพื่อมองกลุ่มคนตรงหน้า และได้เห็นจางเซวียน เขาผงะไป
“คุณคือ…”