ตอนที่ 63 ผู้เฒ่าโม่เสียง
ณ [เจดีย์แห่งความประสงค์] ที่สูงตระหง่าน
“ผู้เฒ่าโม่ ครั้งนี้ผมต้องขอรบกวนคุณแล้วจริงๆ” ผู้เฒ่าซั่งเฉินมองไปที่ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ เขา
โม่เสียง ผู้เฒ่าประจำสมาพันธ์คณาจารย์
“ผู้เฒ่าซั่งพูดอะไรกัน พวกเราเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ ไม่ต้องเกรงใจอะไรผมหรอก” ผู้เฒ่าโม่เสียงอายุราวห้าสิบ เขามีหนวดเคราสีเทาขาวเต็มใบหน้า “คุณวางใจเถอะ ถ้าอาจารย์คนนี้ใช้วิธีบังคับให้เด็กมาเป็นศิษย์ของเขาจริง ผมจะต้องรายงานเรื่องนี้ต่อสมาพันธ์อย่างแน่นอน แล้วอาจารย์คนนี้ก็จะถูกเพิกถอนสิทธิของการเป็นอาจารย์”
“ทั้งหมดเป็นล้วนเป็นความผิดของผมเอง” ผู้เฒ่าซั่งเฉินส่ายหัว ท่าทางหมดอาลัยตายอยาก “อาจารย์คนนี้ ครั้งที่แล้วก็ได้ศูนย์คะแนนในการสอบประเมินผลอาจารย์ ผมเองก็เคยส่งหนังสือเตือนไปเขาหนหนึ่งแล้ว เขียนไปอย่างชัดเจนว่าหากยังหานักเรียนของตัวเองไม่ได้ ก็จะต้องถูกไล่ออกจากโรงเรียน… อาจจะเป็นเพราะคำพูดของผมทำให้อาจารย์คนนั้นเกิดความกดดัน เลยต้องใช้วิธีแบบนี้หลอกนักเรียน เรื่องทั้งหมดมันเป็นความผิดของผมเอง ต้องโทษผมจริงๆ” ผู้เฒ่าซั่งเฉินพูดไปถอนหายใจไป
“ผู้เฒ่าซั่งพูดแบบนี้ได้อย่างไร คุณเป็นคนมีเมตตา อุตส่าห์ให้โอกาสแต่เขากลับไม่สำนึกบุญคุณ แล้วยังมาทำเรื่องเลวร้ายตอบ เป็นคนที่ไร้ยางอายจริงๆ” สีหน้าของผู้เฒ่าโม่เสียงดูเคร่งเครียดขึ้นทันที มีความน่าเกรงขามแฝงอยู่อย่างเข้มข้น “เป็นอาจารย์ ไม่คิดจะสอนหนังสือ เอาแต่คิดจะใช้วิธีสกปรกชั่วร้าย ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าอาจารย์คนนี้กล้าดีมาจากไหน”
ผู้เฒ่าโม่เสียงเป็นคนทิฐิแรง พอได้ยินว่ามีอาจารย์คนหนึ่งบีบบังคับนักเรียน จึงรู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก
“ถ้าไม่ได้อาจารย์เฉาฉงมารายงานว่านักเรียนของเขาถูกแย่งตัวไป แล้วไปยื่นคำร้องขอให้ดำเนินการทดสอบความประสงค์ของตัวนักเรียน ผมเองก็อาจจะยังไม่รู้เรื่องเลยก็ได้” ผู้เฒ่าซั่งเฉินไขว้แขนทั้งสองข้างไว้ด้านหลังพร้อมกับส่ายหัวอยู่ตลอดเวลา ท่าทางเหมือนกับรู้สึกผิดหวังที่ตัวเองไม่ได้ดูแลความประพฤติของเหล่าอาจารย์ให้ดี
ถ้าจางเซวียนมาเห็นท่าทางเช่นนี้ของซั่งเฉิน เขาคงรู้สึกนับถือในความสามารถเสแสร้งแกล้งทำของซั่งเฉินอย่างแน่นอน ฝีมือการแสดงของซั่งเฉินสูงส่งกว่าเขามากจริงๆ
“แม้ว่าการทดสอบความประสงค์ของนักเรียนจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ก็จริง แต่ถ้าสามารถจัดการกับตัวปัญหาได้ มันก็คุ้มค่าไม่น้อย คุณเองก็ไม่ต้องตำหนิตัวเองนะ” ผู้เฒ่าโม่เสียงเห็นท่าทางของผู้เฒ่าซั่งเฉิน ในใจแอบรู้สึกนับถือ
ในโรงเรียนมักจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้อยู่บ่อยๆ มีอาจารย์หลายคนที่มักหมายตานักเรียนคนเดียวกันเพราะนักเรียนคนนั้นมีความสามารถ ถ้ามีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น อาจารย์เหล่านั้นก็มักจะไปหาวิธีตกลงกันเอาเอง ไม่ถือเป็นการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างกัน ทั้งยังเป็นการรักษากฎของโรงเรียนอีกด้วย
แต่ถ้ามีกรณีที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหากันเองได้ ก็จะต้องยื่นคำร้องขอให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาในรูปแบบนี้
การทดสอบความประสงค์ของนักเรียนคือการให้นักเรียนบอกถึงความในใจที่แท้จริงของตนออกมา ให้นักเรียนได้เลือกในสิ่งที่ตนเองอยากได้จริงๆ การกระทำแบบนี้ก็เหมือนกับการประกาศสงคราม ความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ที่เกี่ยวข้องจะถูกทำลายลงจนหมดสิ้น
ด้วยเหตุนี้ ในประวัติศาสตร์หลายร้อยปีของโรงเรียนหงเทียน จึงมีอาจารย์ร้องขอทำ ‘การทดสอบความประสงค์ของนักเรียน’ มาเพียงไม่กี่สิบครั้ง คิดไม่ถึงว่าวันนี้พวกเขาจะมาเจอกับปัญหาแบบนี้เข้าจนได้
ผู้เฒ่าซั่งเฉินเสแสร้งเก่งเสียจนผู้เฒ่าโม่เสียงรู้สึกโกรธแค้นจางเซวียน ในใจของผู้เฒ่าซั่งเฉินรู้สึกดีเล็กน้อย เขาโบกมือแล้วออกคำสั่งทันที “ให้พวกเขาเข้ามา”
พอสิ้นเสียงของผู้เฒ่าซั่งเฉิน ประตูบานใหญ่ก็ถูกเปิดออก จางเซวียน เฉาฉง ซั่งปิง เสิ่นปี้หรู และหลิวหยางเดินเข้ามาในห้องทันที
“อาจารย์เฉาฉง คุณเป็นผู้ยื่นคำร้องขอให้ดำเนินการทดสอบความประสงค์ของนักเรียนใช่ไหม” ผู้เฒ่าซั่งเฉินพูดขึ้นทันทีที่เห็นว่าทุกคนที่เกี่ยวข้องมาถึงกันพร้อมหน้า
“ครับ ขอให้ท่านผู้เฒ่าได้โปรดให้ความเป็นธรรมด้วย” เฉาฉงตอบ
“จางเซวียนคนนี้ บังคับให้หลิวหยางศิษย์ของผม ไปเป็นศิษย์ของเขาแทน เป็นการละเมิดต่อกฎกติกาของโรงเรียน ผมเลยจำเป็นต้องยื่นคำร้องขอให้ดำเนินการทดสอบความประสงค์ของนักเรียน เพื่อให้ความเป็นธรรมกับหลิวหยาง และขอให้ทางโรงเรียนได้โปรดใช้บทลงโทษกับอาจารย์ที่ไร้ยางอายคนนี้ด้วยครับ”
“ให้ความเป็นธรรมเหรอ” หลิวหยางมาที่นี่เพราะได้รับคำสั่งจากจางเซวียน ตอนแรกเขาไม่รู้ว่ามาทำไม แต่พอได้ยินคำพูดของเฉาฉง เขาก็รู้ทันทีว่าเฉาฉงกำลังจะเล่นงานอาจารย์ผู้มีพระคุณของตน หลิวหยางมองไปที่จางเซวียนทันที “อาจารย์…”
ยังพูดไม่ทันจบ ก็เห็นอาจารย์จางที่มีมาดสงบนิ่งเริ่มมีอาการลุกลี้ลุกลน แล้วจางเซวียนก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ขาดความมั่นใจ
“อาจารย์เฉาฉง คุณพูดส่งเดช… หลิวหยางเขา… เขายอมเป็นศิษย์ของผมเอง… ผม… ผม… ไม่ได้ไปบังคับอะไรเขาเลยนะ” คำพูดของจางเซวียนฟังแล้วติดๆ ขัดๆ
เหมือนคนทำผิดที่ถูกเปิดโปงอะไรบางอย่าง “อ… อาจารย์” หลิวหยางงงเป็นไก่ตาแตก
เขาเรียนกับจางเซวียนมาสองคาบแล้ว รู้ดีว่าจางเซวียนมีความสามารถแค่ไหนและตัวเขาเองก็รู้สึกนับถือจางเซวียนจากใจจริง หลิวหยางเห็นว่าจางเซวียนเป็นอาจารย์ที่สามารถทำได้ทุกอย่าง แล้วการที่ตนได้มาเป็นศิษย์ของจางเซวียน ก็เกิดจากการประลองที่ยุติธรรมระหว่างอาจารย์ทั้งสอง แต่ทำไมจู่ๆ จางเซวียนกลับแสดงอาการแบบนี้ออกมาได้
เหมือนว่าเขามาแบบ… ไม่ถูกต้อง
โดยเฉพาะท่าทาง จางเซวียนใช้สายตาลุกลี้ลุกลน ร่างกายก็สั่นไปมา เหมือนกับคนที่กำลังจะถูกข่มขืน ทำให้หลิวหยางรู้สึกงงมาก… หรือว่าเส้นอาจารย์จะกระตุก
“อาจารย์ครับ…” หลิวหยางทนไม่ไหว มองไปที่จางเซวียน เขายังไม่หายงงเลยก็เห็นจางเซวียนหันมาทางเขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน “หลิวหยาง คุณพูดดีๆ นะ ผมได้บังคับอะไรคุณไหม” จางเซวียนพูดจบก็แอบกะพริบตาให้หลิวหยาง
“อ่า ครับ ใช่ครับ” หลิวหยางพยักหน้า ต่อให้หลิวหยางโง่เง่าขนาดไหนก็รู้ว่าจางเซวียนกำลังแกล้งอีกฝ่ายหนึ่งอยู่ เขาแค่แสดงบทบาทให้สอดคล้องกับจางเซวียนต่อไปก็พอ
จางเซวียนและหลิวหยางต่างเข้าใจซึ่งกันและกัน แต่สำหรับคนรอบข้าง การกระทำของจางเซวียนคือการขู่บังคับหลิวหยาง ไม่อย่างนั้น ทำไมถึงพูดจาไม่ปะติดปะต่อลับๆ ล่อๆ แบบนี้เล่า
ผู้เฒ่าโม่เสียงที่เห็นพฤติกรรมแบบนี้ของจางเซวียน ก็เริ่มรู้สึกโกรธขึ้นมาทันที “คุณชื่อจางเซวียนใช่ไหม ผมให้โอกาสคุณอีกครั้งหนึ่ง จงถอนชื่อของหลิวหยางออกจากการเป็นศิษย์ซะดีๆ ให้เขาได้กลับไปเป็นศิษย์ของอาจารย์เฉาฉงตามเดิม แล้วคุณก็จะได้ไม่ต้องถูกดำเนินการทดสอบความประสงค์ในครั้งนี้”
“ถอนชื่อเขาออกจากห้องเรียนของผมเหรอ” จางเซวียนส่ายหัว “หลิวหยางสมัครใจจะเป็นศิษย์ของผมเอง ถ้าจะให้ผมถอนชื่อเขาออก มันจะเป็นการไม่ยุติธรรมต่อเขานะครับ…”
“ไม่ยุติธรรม… สมัครใจงั้นรึ?” ผู้เฒ่าโม่เสียงรู้สึกไม่สบอารมณ์
พูดแบบนี้ไม่รู้สึกละอายใจบ้างหรือไง หากได้ถอนตัวออกจากห้องเรียนของอาจารย์ที่สอบได้ศูนย์คะแนนแบบนี้ นักเรียนมีแต่จะจะดีใจจนเนื้อเต้น ยังมีหน้ามาบอกว่านักเรียนจะรู้สึกไม่ยุติธรรมอีก… ความมั่นใจของคุณมาจากไหนเนี่ย
โม่เสียงกำลังจะพูดต่อ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของเฉาฉงและซั่งปิงตะโกนออกมาพร้อมกัน “ท่านผู้เฒ่าโม่ อย่าทำเช่นนั้นนะครับ”
“ทำไมเหรอ” การทดสอบความประสงค์ของนักเรียนเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง ถ้าดำเนินการแล้วจะต้องมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้รับโทษ ไม่งั้น อาจารย์ทุกคนก็จะยื่นเรื่องขอดำเนินการแบบนี้ตลอด โรงเรียนไม่มีงบประมาณมากพอที่จะมาทดสอบเรื่องอะไรแบบนี้ได้ตลอดเวลา
ทีแรกผู้เฒ่าโม่เสียงก็คิดจะแก้ไขปัญหาแบบละมุนละม่อม แต่พอมาได้ยินคำปรามของทั้งสองเข้า เขาก็หันไปมองทั้งคู่ทันที
“ท่านผู้เฒ่าโม่ อาจารย์เฉาฉงได้ยื่นคำร้องไปเรียบร้อยแล้ว ทางโรงเรียนก็เห็นด้วย ถ้ามาหยุดการทดสอบตอนนี้ แบบนี้ก็ถือว่าเป็นการไม่เคารพในกฎของโรงเรียนสิครับ” ซั่งปิงกล่าว
ล้อเล่นกันใช่ไหม อุตส่าห์หาโอกาสจัดการกับเจ้าจางเซวียนได้แล้ว แล้วจะมาแก้ไขปัญหาแบบละมุนละม่อมแบบนี้ ก็เท่ากับว่าที่ทำมาก็เสียแรงเปล่าสิ
ทำแบบนี้ เรื่องน่าอับอายเมื่อวานที่เจ้าจางเซวียนเป็นต้นเหตุก็ไม่ต้องสะสางพอดีกัน
“ใช่แล้วครับท่านผู้เฒ่าโม่ ผมเองก็คิดแทนนักเรียน หวังว่านักเรียนคนนี้จะได้รับในสิ่งที่เขาอยากได้จริงๆ อยากให้เขาเลือกอาจารย์คนที่เขาชอบจริงๆ แต่ไม่ใช่มาถูกบังคับอะไรแบบนี้” เฉาฉงรีบเสริมทันที เขาชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูด ถ้าไม่ใช่เพราะบนใบหน้าเขายังมีรอยฝ่ามือที่ถูกซั่งปิงตบอยู่ คงจะมีคนจำนวนไม่น้อยเชื่อในคำพูด และนับถือในตัวเขา
“งั้นก็ได้” โม่เสียงเห็นท่าทางของซั่งปิงและเฉาฉงดูจริงจัง เขาก็ไม่ขัดข้องอีกต่อไป
“ในเมื่อเลือกที่จะทดสอบความประสงค์ของนักเรียน งั้นก็ต้องบอกให้ทุกฝ่ายรู้ถึงกฎระเบียบการทดสอบเสียก่อน หลังจากที่ทดสอบความประสงค์ของหลิวหยางแล้ว สุดท้ายเขาต้องการจะคารวะใครเป็นอาจารย์ คนๆ นั้นก็เป็นฝ่ายชนะ และแน่นอน ฝ่ายที่แพ้จะต้องถูกลงโทษ ผมจะแจ้งบทลงโทษให้ทุกฝ่ายได้รับรู้เสียก่อน”
ผู้เฒ่าซั่งเฉินที่นั่งฟังอยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นทันที “ครั้งนี้ อาจารย์เฉาฉงเลือกบทลงโทษที่หนักที่สุด ซึ่งบอกได้เลยว่า ฝ่ายแพ้จะต้องถูกไล่ออกจากโรงเรียนทันที จางเซวียน คุณมีข้อสงสัยอะไรไหม”
พอได้ยินคำว่าบทลงโทษที่หนักที่สุด จางเซวียนก็หันไปมองซั่งเฉินทันที เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่สุขุมกว่าเดิม “ผมกับอาจารย์เฉาฉงไม่เคยมีความแค้นอะไรต่อกัน คุณจะมาไล่เขาออกแบบนี้… มันไม่ดูโหดร้ายไปหน่อยเหรอ”
ผู้เฒ่าซั่งเฉินได้ยินคำพูดของจางเซวียนก็ถึงกับสะดุ้ง เขามองจางเซวียนเหมือนมองคนปัญญาอ่อน
ไอ้บ้านี่สติยังดีอยู่รึเปล่าเนี่ย… ฉันไม่ได้จะไล่เฉาฉง ฉันจะไล่แก!
“การทดสอบความประสงค์ของนักเรียน ถึงแกจะไม่ยอมทดสอบก็ต้องยอม จะมาปฏิเสธการทดสอบตอนนี้มันสายไปแล้ว” เฉาฉงคิดว่าจางเซวียนกำลังพูดจาส่งเดช เพราะต้องการจะปฏิเสธการทดสอบ เขายิ้มเล็กๆ
“ผมหวังดีกับคุณจริงๆ นะ… อยู่ดีๆ คุณจะมาถูกไล่ออกในรูปแบบนี้ ผมรู้สึกว่ามันจะโหดเกินไปสักหน่อย เอางี้ไหม” จางเซวียนนึกอยู่สักพักแล้วก็พูดต่อ “ผมว่าอย่าไล่ออกเลย แค่เพิกถอนสิทธิของการเป็นอาจารย์ก็พอ แล้วก็… โบยอีกสักร้อยที”
“เพิกถอนสิทธิของการเป็นอาจารย์ โบยอีกร้อยที” ทุกคนที่ได้ยินต่างมองหน้ากันและกัน นี่มันจะโหดอะไรปานนี้
การกระทำแบบนี้เหมือนจะบอกว่า คนแพ้จะยังมีงานทำอยู่ ไม่ได้ตกงาน แต่จริงๆ แล้ว เป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมยิ่งกว่าการไล่ออกเสียอีก
แน่ใจนะว่าคุณไม่ได้พูดอะไรผิด?