ตอนที่ 8 ฉันคือไอ้สวะคนนั้นเอง
สายตาของเจิ้งหยางดูเลื่อนลอย ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นซีดขาวและดูหม่นลงไปเมื่อได้ยินคำนี้ ในที่สุดเขาจึงยอมเฉลย
“ผมเคยหลงรักเด็กสาวคนหนึ่ง จากนั้น… ผมก็รู้สึกแย่ แต่นั่นมันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณและเพลงหอกที่ผมได้แสดงออกไปเมื่อครู่”
ในอดีตเขาเคยหลงรักผู้หญิงคนหนึ่ง เขาสารภาพรักกับเธอแต่ความรักครั้งนั้นไม่ประสบผลสำเร็จ เขาเก็บเรื่องนี้เป็นความลับมาเนิ่นนาน แม้แต่โม่วเซียวที่เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทที่สุดก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้ แล้วอาจารย์ตรงหน้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกัน
“จริงหรือเจิ้งหยาง ทำไมนายไม่เล่าให้ฉันฟัง เด็กสาวคนนั้นเป็นใคร?” เมื่อเห็นเจิ้งหยางไม่ปฏิเสธ โม่วเซียวจึงแปลกใจและรีบป้อนคำถามเขาหลายคำ
“ฉันจะเล่าให้ฟังภายหลัง” เจิ้งหยางส่ายหัว ปฏิเสธที่จะพูดเรื่องนี้อีกต่อไป เขามองอาจารย์และกล่าวว่า “อาจารย์ นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของผม ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร แต่ผมไม่คิดว่ามันจะเกี่ยวข้องอะไรกับเพลงหอก”
“คุณคิดว่าไม่เกี่ยวข้องกันงั้นรึ?” จางเซวียนส่ายหัว “มันเกี่ยวข้องกันอย่างแยกออกไม่ได้เลยทีเดียว”
“อย่างนั้นหรือ?” เจิ้งหยางสงสัยในคำพูดของอีกฝ่าย การอกหักเกี่ยวข้องอะไรกับการที่จางเซวียนจะชี้แนะเขากันแน่
“เพลงหอกของคุณดูเด็ดเดี่ยวและมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกับบุคลิกของคุณที่ดูมุ่งมั่น ไม่ว่าคุณจะทำสิ่งใด คุณมักมุ่งตรงไปโดยไม่คิดถึงผลของการกระทำ ซึ่งอันที่จริงน่าจะเป็นคุณสมบัติที่ดีของนักรบนะ มุ่งตรงไปข้างหน้า ไม่ต้องกังวลกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่รายล้อม” จางเซวียนมองไปที่เจิ้งหยางอย่างใจเย็นแล้วกล่าวต่อ “แต่ก็เป็นที่น่าเสียดาย
หลังจากเจอประสบการณ์ด้านความรักอันเลวร้าย จิตใจของคุณเริ่มโอนเอน ไม่เด็ดเดี่ยวเหมือนแต่ก่อน มีความกลัวซุกซ่อนอยู่ในตัวคุณและสิ่งเหล่านั้นมันก็ไปแสดงออกที่เพลงหอก นี่คือสาเหตุที่ทำให้อานุภาพเพลงหอกของคุณด้อยประสิทธิภาพลง”
“คุณ คุณ คุณ… คุณวิเคราะห์สิ่งเหล่านี้จากเพลงหอกของผมได้อย่างไร คุณสามารถบอกได้ว่าผมผิดหวังเรื่องความรักมาก่อน คุณสามารถวิเคราะห์บุคลิกของผมได้อย่างนั้นรึ ทั้งหมดจากการแสดงเพลงหอกของผมเนี่ยนะ?” เจิ้งหยางตกใจมาก สิ่งที่อาจารย์คนนี้พูดมาไม่ผิดเพี้ยนจากสิ่งที่เขารู้สึกเลยแม้แต่น้อย
เขาเป็นคนมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว กล้าเผชิญหน้ากับสิ่งรอบตัวเสมอ แต่ความรักในครั้งนั้นทำลายความเชื่อมั่นของเขาจนหมดสิ้น การจะบอกเล่าเหตุการณ์ที่เป็นปมในใจทั้งหมด แม้แต่เรื่องของความรักที่ผิดหวังออกมาได้ เพียงแค่มองการแสดงเพลงหอกไม่ใช่เรื่องง่าย ทำไมอาจารย์คนนี้ถึงได้เก่งกาจนัก
โรงเรียนแห่งนี้มีอาจารย์ที่เก่งกาจขนาดนี้อยู่ตั้งแต่เมื่อไร?
ตอนนี้เขากำลังจะบ้า
ก่อนหน้านี้ เมื่อเขาเข้าไปพบอาจารย์หว่างเชาเพื่อร้องขอให้ยอมรับเขาเป็นศิษย์ อาจารย์หว่างเชาบอกเพียงแค่เขายังไม่เข้าใจวิถีของหอกอย่างแท้จริง แต่เหตุผลที่ลึกไปกว่านั้น อาจารย์หว่างเชาเองก็ไม่สามารถกล่าวออกมาได้ แต่อาจารย์ที่อยู่ตรงหน้ากลับถ่ายทอดเรื่องราวในอดีตของเขาผ่านเพลงหอกออกมาได้อย่างตรงเผง
สรุปว่าทั้งหมดทั้งมวลมันเกิดจากการที่เขาถูกทำร้ายทางอารมณ์อย่างนั้นหรือ?
อาจารย์ท่านนี้มีความสามารถมากกว่าอาจารย์หว่างเชางั้นรึ?
“ผมคิดว่าเป็นเรื่องปกติ” จางเซวียนยกมือเสริมคำพูดของเขาซึ่งมองแล้วคล้ายกับผู้เชี่ยวชาญระดับสูง “หอกคือภาพสะท้อนจิตใจของผู้ฝึกอย่างหนึ่ง ถ้าจิตใจไม่แข็งแกร่ง เพลงหอกที่ออกมาก็จะสะท้อนความรู้สึกเหล่านั้นตามไปด้วย
แม้ว่าทักษะของคุณกับหอกจะเชื่อมโยงกัน แต่มันฟ้องบางอย่างออกมา ในบางความรู้สึกที่คุณอาจจะไม่สามารถรับรู้มันได้ บางอย่างที่คุณยังไม่สามารถตัดมันออกไปได้ ผมมองเพียงแค่ครั้งเดียวก็บอกได้เลยว่ามันคือความรัก”
“สิ่งนี้…”
เวลานี้ไม่เพียงแต่ใบหน้าของเจิ้งหยางจะแข็งค้าง แม้แต่ปากของโม่วเซียวที่ยืนข้างเขาก็เปิดกว้างพอที่จะยัดไข่สักใบเข้าไปในปากได้ “อ่า… คุณแน่ใจอย่างนั้นรึ”
“เพียงแค่มองเพลงหอก คุณสามารถบอกได้ถึงอารมณ์ที่แอบซ่อนไว้และความรู้สึกที่ไม่สามารถตัดได้… นี่ใช่ตาของมนุษย์งั้นรึ”
โม่วเซียวและเจิ้งหยางมองหน้าสลับกันไปมา ไม่เชื่อในสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
“อาจารย์ คุณจะช่วยชี้แนะให้ผมอีกสักคนได้ไหม” หลังจากตกใจไปพักใหญ่ เมื่อตั้งสติได้ โม่วเซียวรีบเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าจางเซวียนเพื่อให้เขาคลายปัญหาในการฝึกให้ โดยไม่รอว่าจางเซวียนจะตอบรับหรือปฏิเสธ เขาเริ่มบรรเลงเพลงหอกให้จางเซวียนได้ชม หอกในมือสั่นระรัว เพลงหอกของเขาเป็นแบบเดียวกับเจิ้งหยางเพียงแต่ดูแข็งแกร่งและสง่างามมากกว่า ความชำนาญเพลงหอกของเขาย่อมเหนือกว่าเพื่อนมาก ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่อาจารย์หว่างเชาเลือกเขาแทนที่จะเลือกเจิ้งหยาง
ฟุ่บ!
หลังจากสายลมหยุดพัด โม่วเซียวก็ลดหอกของเขาและยืนตรง เมื่อหอกของเขาเคลื่อนไหว เขาเปรียบเสมือนปีศาจไร้ผู้ต้าน ความแข็งแกร่งที่เห็นนั้นมากล้น แม้แต่เทพและปีศาจก็ไม่อาจต่อกรกับเพลงหอกของเขาได้ แต่เมื่อเขาลดหอกลง เขากลับดูเงียบสงบราวกับรูปปั้น
เพลงหอกของเขานั้นดูพลิ้วไหว สอดประสานคล้องจองกันทั้งมือและเท้า เขาอาจจะไม่ใช่นักรบอันดับหนึ่งในเพลงหอก แต่ดูจากกระบวนท่า เชื่อว่าต้องเป็นคนหนึ่งที่จะมีพัฒนาการระดับเซียนในอนาคตอันใกล้
“กระเพาะของคุณอ่อนแอ ถ้าผมเดาไม่ผิด วันนี้คุณท้องเสียมาใช่ไหม?”
เจิ้งหยางหันไปหาเพื่อนเพื่อรอคำตอบ…
“อ่า…” โม่วเซียวตัวสั่น “คุณสามารถบอกได้ว่าผมท้องเสียจากเพลงหอกงั้นรึ?” ใช่… วันนี้เขารู้สึกไม่ดีนัก เพราะเมื่อวานท้องเสีย วันนี้อาการเริ่มแย่ลง ร่างกายของเขาจึงรู้สึกอ่อนเพลียไปบ้าง แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเขามากนัก เขายังคงสามารถแสดงกระบวนท่าออกมาได้เป็นอย่างดี แม้แต่อาจารย์หว่างเชาก็ยังกล่าวชื่นชมเพลงหอกของเขา แต่ชายตรงหน้ากลับสามารถวิเคราะห์ได้ว่า… เขาท้องเสีย
“นี่เป็นเรื่องจริงใช่ไหม?”
สามารถบอกได้ถึงอาการอกหักและท้องเสียจากเพลงหอก เขามีของวิเศษหรือมีตาวิเศษรึ?
“ผมชี้แนะคุณในเบื้องต้นแล้ว ถ้าคุณต้องการคำแนะนำที่มากกว่านี้ คุณต้องรับผมเป็นอาจารย์”
ดูจากอาการตกตะลึงของทั้งคู่ จางเซวียนก็รอคำตอบ อันที่จริงไม่ได้ยากเย็นอะไรที่จะชี้แนะพวกเขาทั้งสอง เมื่อทั้งคู่แสดงเคล็ดวิชา หอสมุดเทียบฟ้าก็รวบรวมหนังสือเกี่ยวกับสองคนนี้มาให้เขาโดยอัตโนมัติ อาการอกหักและท้องเสียเป็นเรื่องธรรมดาที่ปรากฏอยู่ในข้อบกพร่องของพวกเขา จางเซวียนแค่มองและอ่านออกมาดังๆ แค่นั้นเอง ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย
“ศิษย์เจิ้งหยางเต็มใจที่จะรับอาจารย์เป็นที่ปรึกษา” เจิ้งหยางคุกเข่าลงเพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ของจางเซวียนทันที เขาประทับใจในฝีมือของจางเซวียนเป็นอย่างมาก เพียงแค่สายตาอันเฉียบแหลมและคำชี้แนะที่แสนวิเศษนี้ก็มากพอที่จะฝากชีวิตไว้ได้แล้ว
“อืม” จางเซวียนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เขายื่นหยกสัญลักษณ์แทนตัวให้แล้วกล่าวว่า “ยืนยันความสัมพันธ์ของเราซะ”
“ตกลง” เจิ้งหยางหยดเลือดลงทันทีอย่างไม่รีรอเพื่อยืนยันความเป็นศิษย์อาจารย์
ทุกขั้นตอนเสร็จสมบูรณ์อย่างรวดเร็ว
“ตอนนี้คุณเป็นลูกศิษย์ผมแล้ว ผมเต็มใจที่จะให้คำชี้แนะต่อคุณ ถ้าคุณต้องการเป็นที่ยกย่อง มีคนเคารพนับถือ คุณต้องแสดงความแข็งแกร่งตั้งแต่ ณ วินาทีนี้ เพราะถ้าคุณแข็งแกร่งพอ ผู้หญิงคนนั้นจะเสียดายคุณ ดังนั้นสิ่งแรกที่คุณต้องทำในตอนนี้ไม่ใช่การคร่ำครวญ แต่จงเปิดใจและให้ความสำคัญในการฝึกฝนเพลงหอก คุณต้องทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเธอโง่แค่ไหนที่ปฏิเสธคุณไป คุณต้องใช้ความแข็งแกร่งของคุณพิสูจน์ให้คนรอบด้านเห็น…”
จางเซวียนจำข้อความจากหนังสือ ‘เสริมกำลังใจให้ชีวิต’ ที่เขาเคยอ่านขึ้นมาได้ เขายิ้มจางๆ และกล่าวว่า “แม่น้ำหลีไหลจากที่สูงลงที่ต่ำเพียงสามสิบปีเท่านั้น อย่ารังแกเยาวชนเพียงเพราะพวกเขายากจน”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น เจิ้งหยางรู้สึกจุกตรงหน้าอก เขาตื่นเต้นจนใบหน้าเปลี่ยนสี ร่างกายของเขาสั่นเกินกว่าจะควบคุม เพราะว่าเกิดในโลกใบนี้ เจิ้งหยางจะเคยได้ยินคำพูดที่อยู่ในหนังสือจาก ‘อีกโลก’ ของจางเซวียนได้อย่างไร
ในตอนนั้น ตัวของเขาเหมือนได้รับแสงสว่าง อารมณ์ซึมเศร้าจากอาการอกหักลดลงเหมือนดั่งเพชรที่เริ่มส่องประกายอีกครั้ง
“ลองแสดงกระบวนท่าใหม่อีกครั้งสิ”
ครั้งนี้เจิ้งหยางผงาดขึ้นมาด้วยท่าทางที่มั่นใจ ไม่ต้องมีคำพูดใดๆ บรรยายออกมา ท่าทางของเจิ้งหยางในตอนนี้ช่างแตกต่างกับท่าทางของเขาก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ
หอกของเขากวาดเป็นรัศมีแล้วส่งเสียงออกมา พลังที่เปี่ยมประสิทธิภาพส่งผ่านปลายหอกและกระจายแรงสั่นสะเทือนออกไปทั่วทั้งห้อง
เปรี้ยง!
ในตอนท้าย… เขาแทงเป็นแนวนอนไปทางเสาหิน เสียงกึกก้องอึกทึกมาพร้อมกับแถวของตัวเลขที่ปรากฏอยู่บนนั้น
235!
ใครจะคิด 235 กิโลกรัม!
ก่อนหน้านี้ต่อให้เขาฟาดลงเต็มแรง ค่าที่ได้ยังมีเพียง 110 แต่ตอนนี้ตัวชี้ความแข็งแกร่งของเขากลับเพิ่มขึ้นกว่าหนึ่งเท่า
“ขอบคุณอาจารย์”
ทันทีที่มองเห็นตัวเลข ความสงสัยของเจิ้งหยางพลันสลาย เขาคุกเข่าลงบนพื้น มั่นใจอย่างแท้จริงในความสามารถของอาจารย์ตน
“เหลือเชื่อ” เมื่อมองไปที่ตัวเลขบนเสาหิน โม่วเซียวก็สั่นสะท้าน
เขารู้สึกปลื้มปีติที่หาสุดยอดปรมาจารย์ให้เพื่อนได้ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกผิดหวังที่เขามาเจออาจารย์ท่านนี้ช้าไป ก่อนหน้านี้ตอนที่อาจารย์หว่างเชาชี้แนะ ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นเพียงแค่ 30% เท่านั้น แต่อาจารย์ตรงหน้ากลับเพิ่มความแข็งแกร่งให้เจิ้งหยางได้มากกว่าหนึ่งเท่าตัว
ถ้าเพียงเขารู้ว่ามีอาจารย์นิรนามที่น่ากลัวเช่นนี้ซ่อนตัวอยู่ เขาจะไม่เสียเวลาไปหาอาจารย์หว่างเชาและจะรีบรุดมาฝากตัวกับอาจารย์ท่านนี้ก่อน
ตอนนี้เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เสี้ยววินาทีนั้นเขาก็เกิดความสงสัยอยู่ในใจว่า ปรมาจารย์ระดับเซียนเช่นนี้จะไม่เป็นที่รู้จักในโรงเรียนได้อย่างไร
เขาอดสอบถามไม่ได้ “เนื่องจากคุณได้รับเจิ้งหยางเป็นลูกศิษย์แล้ว จะเป็นอะไรหรือไม่ถ้าพวกเราอยากจะได้รับเกียรติขอทราบชื่อเสียงเรียงนามของคุณ…” ทันทีที่ได้ยินคำพูดของโม่วเซียว เจิ้งหยางเองก็รอฟังอย่างใจจดใจจ่อ
เขาประทับใจอาจารย์ท่านนี้มาก แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่ทราบชื่อเสียงเรียงนามของท่านมาก่อน
“ผมชื่อจางเซวียน” จางเซวียนตอบอย่างใจเย็น
“จางเซวียน? ชื่อคุ้นๆ นะ” โม่วเซียวนึกในใจ เมื่อคิดอะไรบางอย่างได้ เขาก็เบิกตาโพลง ปากสั่นละล่ำละลักกล่าวออกมาว่า “ผมนึกออกแล้ว… ดูเหมือนว่าอาจารย์ที่ได้คะแนนต่ำที่สุดระดับปลายแถวของโรงเรียนแห่งนี้ก็ชื่อว่าจางเซวียนนะ ชื่อเหมือนคุณเลย”
“อืม ผมนี่แหละ อาจารย์ห่วยแตกปลายแถวคนนั้น” จางเซวียนพยักหน้า
“หา…” เจิ้งหยางและโม่วเซียวตกตะลึง