ตอนที่ 9 เดิมพัน
มีข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับอาจารย์ปลายแถวคนนี้มากมายหนาหู ไม่เคยซาออกไปจากโสตประสาทของเขาเลย บ้างก็บอกว่าจางเซวียนไม่มีความรู้ความสามารถ บ้างก็ว่าเขามีวิธีการสอนที่ผิด บ้างก็ว่าเขาด้อยเรื่องชี้แนะทักษะการต่อสู้ นี่คือเรื่องใส่ร้ายทั้งหมดที่พวกเขาเคยได้ยินมา…
หากใครที่จับพลัดจับผลูเป็นลูกศิษย์ของจางเซวียน วิธีที่ดีที่สุดคือหนีให้ห่างเพราะแม้ว่าเริ่มต้นจะเป็นเรื่องเล็ก แต่มันก็เป็นจุดเริ่มต้นแห่งหายนะในชีวิตของศิษย์คนนั้นได้ เมื่อเขาสองคนเดินทางมาแสวงหาอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญที่โรงเรียนหงเทียน พวกเขาก็ได้ยินข่าวลือดังกล่าว ทำให้ต้องระมัดระวังในการคัดเลือกอาจารย์ผู้สอนอย่างรอบคอบ ใครจะไปรู้ว่าสุดท้ายแล้ว อาจารย์ที่พวกเขาเลือกกลับเป็นขยะในตำนาน
“อาจารย์ที่เก่งกาจเช่นคุณ ทำไมถึง…” เจิ้งหยางอดถามไม่ได้ แม้จะเจอกันไม่นาน แต่พวกเขาก็บอกได้ว่าอาจารย์ที่ยืนอยู่ตรงหน้ามีความสามารถอย่างแท้จริง อีกทั้งท่วงท่าการเคลื่อนไหวก็เต็มไปด้วยความสง่างาม แล้วเขาจะเป็นขยะไปได้อย่างไร? มีคนมากมายบนโลกใบนี้อยากมีพรสวรรค์เช่นเขา แล้วเขาจะเป็นบุคคลไร้ค่าไปได้รึ?
จางเซวียนเบนสายตามองไปยังต้นเสียง ดวงตาของเขามีแววโศกเศร้าเสียใจราวกับว่าโลกใบนี้ไม่มีใครเข้าใจเขาแม้แต่คนเดียว แม้ใบหน้าของเขาจะไม่ฉายความรู้สึกออกมา ทว่าหัวใจก็โมโหเกรี้ยวกราด หากไม่ได้ความช่วยเหลือของหอสมุดเทียบฟ้าแล้วล่ะก็ ด้วยความสามารถของเจ้าของร่างคนก่อน ไม่มีทางเลยที่เขาจะได้รับคะแนนที่มากกว่าศูนย์
ศูนย์คะแนนนี่แหละ เหมาะสมกับคนอย่างเขาที่สุดแล้ว!
“ผมยินดีที่จะช่วยลบล้างคำสบประมาทเกี่ยวกับอาจารย์” เห็นท่าทีของอาจารย์ซึมเศร้า หัวใจของเจิ้งหยางก็สั่นไหว เขาอดที่จะพูดออกมาไม่ได้
“ช่างมันเถอะ ชื่อเสียงของผมไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร ตราบใดที่คุณฝึกซ้อมอย่างหนัก ผมก็พึงพอใจแล้ว รับหยกสัญลักษณ์ของคุณแล้วไปหาที่หลับที่นอนและตำราสำหรับเรียนในวันพรุ่งนี้ซะ ขอให้คุณตรงต่อเวลาด้วย” หลังการเปิดใจเสร็จสิ้น จางเซวียนก็แสดงท่าทีเยือกเย็นออกมา ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถซื้อใจและสร้างความประทับใจให้กับศิษย์คนนี้ได้อย่างเต็มเปี่ยม
เจิ้งหยางพยักหน้าตอบรับ “ครับ” เขาดึงโม่วเซียวที่ยืนข้างๆ แล้วเดินออกจากห้องไป
“ศิษย์สี่คนแล้วโว้ย…” เมื่อทั้งสองเดินลับสายตา จางเซวียนกะพริบตาด้วยความตื่นเต้น คนแรกคือสาวน้อยที่ดูมึนงงชื่อหวังหยิ่ง คนที่สองเป็นคนที่เขาได้มาจากการพนันชื่อหลิวหยาง คนที่สามคือนายหญิงน้อยผู้หยิ่งผยองชื่อจ้าวหย่า และสุดท้ายเป็นเจ้าของเพลงหอกอัจฉริยะชื่อเจิ้งหยาง
เดิมทีคิดว่าวันนี้คงไม่ต่างจากปีก่อนๆ ที่หาศิษย์ไม่ได้แม้แต่คนเดียว แต่ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้เขากลับได้มาถึงสี่คน “ถ้ามีลูกศิษย์มาเพิ่ม แต่หยกสัญลักษณ์ดันไม่พอ ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้เราก็อาจจะชวดได้ เราต้องไปขอหยกมาเพิ่มซะแล้ว” หลังจากที่ได้ลูกศิษย์มาถึงสี่คน จางเซวียนเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองไม่มีหยกสัญลักษณ์เหลืออยู่อีก
หยกสัญลักษณ์แต่ละชิ้น อาจารย์แต่ละท่านจะได้มาจากการแบ่งสันปันส่วนของโรงเรียน แต่เพราะชื่อเสียงของจางเซวียนไม่ค่อยดีนัก อาจารย์ที่ดูแลเรื่องจัดสรรทรัพยากรจึงมอบมาให้เขาเพียงแค่สี่ชิ้น ทั้งยังปรามาสด้วยว่าจางเซวียนอาจจะใช้ไม่หมด!
หยกสัญลักษณ์แต่ละชิ้นนี้จะมีข้อมูลของอาจารย์บรรจุอยู่ เมื่อมีการยอมรับเป็นศิษย์อาจารย์ระหว่างกัน บรรดาศิษย์จะหยดเลือดลงบนหยกเหมือนกับการเซ็นสัญญา ในทางกลับกันหากพวกเขาต้องการที่จะถอนตัวออกจากการเป็นศิษย์ อาจารย์ก็เพียงแค่หยดเลือดลงบนหยก บรรดาข้อมูลต่างๆ ก็จะถูกลบไปโดยปริยาย
เขาลุกขึ้น เดินออกจากห้องสอนของตน
วันนี้ดวงอาทิตย์ส่องแสงสว่างสดใสอยู่นอกชายคา คลื่นความร้อนเคลื่อนผ่านร่มเงาของต้นไม้ทำให้เม็ดเหงื่อผุดพราวลงบนใบหน้าของผู้คนที่สัญจรไปมา บรรดาศิษยานุศิษย์ทั้งเก่าและใหม่ต่างก็สัญจรบนทางเท้าของโรงเรียน ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น การเข้ามาในสภาพแวดล้อมใหม่ๆ และได้รับการยอมรับจากอาจารย์ทำให้พวกเขามีความหวัง เมื่อศิษย์เก่าและศิษย์ใหม่ได้มาเจอหน้าจึงมีรอยยิ้มให้กันและกัน
จางเซวียนเดินไปตามทางเท้าจนไปหยุดอยู่หน้าอาคารขนาดใหญ่ที่มีป้ายแขวนว่า ‘อาคารทรัพยากร’ ที่นี่คือสถานที่แจกจ่ายหยกสัญลักษณ์แสดงตัวตนของอาจารย์
“อ้าว… ใครกันล่ะเนี่ย เอ… นี่ไม่ใช่อาจารย์ดาวเด่นของพวกเราหรอกรึ? อาจารย์ที่หาศิษย์ไม่ได้สักคน ฮ่าๆ ถ้าผมเดาไม่ผิด แกคงเอาหยกสัญลักษณ์มาคืนสินะ” พอจางเซวียนก้าวเท้าเข้าไป เขาก็ได้ยินเสียงเสียดสีทันที
จางเซวียนเงยหน้าขึ้น มองเห็นชายร่างยักษ์จ้องตนอยู่ คนที่น้ำหนักอย่างน้อยสามถึงสี่ร้อยกิโลกรัม เมื่อมองจากระยะไกลก็จะมีลักษณะเหมือนลูกบอลขนาดยักษ์แบบนี้แหละ
เฉียนเปียว… ชื่อนี้ได้ลอยออกมาจากห้วงความคิดของเขา
เฉียนเปียวคือหนึ่งในอาจารย์ผู้ดูแลทรัพยากรของโรงเรียนแห่งนี้ เขาเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น มักจะเข้าไปแย่งส่วนแบ่งของทรัพยากรจากอาจารย์คนอื่นๆ เพราะตัวเขาเองเป็นอาจารย์ระดับล่าง และเพราะรู้ว่าจางเซวียนได้รับเงินเดือนน้อย ทรัพยากรที่ได้รับก็น้อย ดังนั้นจางเซวียนจึงเป็นหนึ่งในคนที่เขาสามารถกดหัวได้
ด้วยเหตุนี้เอง ทุกครั้งที่เฉียนเปียวเจอจางเซวียน เขาจึงมักพูดจากระทบกระแทกใส่อยู่เสมอ เขารู้ดีว่าก่อนหน้านี้จางเซวียนได้รับหยกสัญลักษณ์เพียงสี่ชิ้น และไม่คาดว่าอีกฝ่ายจะมีโอกาสได้ใช้สักชิ้น
“ผมใช้หยกสัญลักษณ์ที่ได้มาหมดแล้ว ก็เลยต้องการจะมาขอเพิ่ม” จางเซวียนกล่าวเสียงเรียบ
“ใช้หมดแล้วงั้นรึ?” เฉียนเปียวตะลึงงันอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ฮ่าๆ ทุกคนมาดูนี่ อาจารย์ปลายแถวที่อยู่อันดับล่างสุดมาที่นี่เพื่อคุยโวว่ามันใช้หยกสัญลักษณ์แทนตัวหมดแล้ว ฮ่าๆ นี่เป็นเรื่องตลกที่สุดที่เคยได้ยินมาเลย จำได้ว่ารอบที่แล้วผมให้มันไปสี่ชิ้นเลยนะ… ฮ่าๆ”
“อาจารย์คนนี้แย่ยิ่งกว่าอาจารย์ซุนเอียนเสียอีก ซุนเอียนยังหาได้ตั้งคนหนึ่ง แต่จางเซวียนไม่เคยหาได้ หนำซ้ำยังสร้างตำนาน ‘ศูนย์คะแนนในการสอบวัดระดับของอาจารย์’ อีกด้วย ตอนนี้นึกยังไงมาคุยโววะ… ใครช่วยมาโยนมันออกไปที ไม่โยนวันนี้ยังไงโรงเรียนก็ต้องไล่มันออกอีกไม่ช้าแล้ว”
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของเฉียนเปียว อาจารย์แผนกทรัพยากรสองสามคนก็เดินเข้ามาสมทบในห้อง พวกเขาจ้องมองไปที่จางเซวียนด้วยสายตารังเกียจ
อาจารย์ยอดแย่ปลายแถวคนนี้พยายามจะโอ้อวดอะไรกัน?
ทันทีที่ได้ยินชื่อของจางเซวียน บรรดาอาจารย์ก็วิ่งเข้ามาสมทบด้วย อยากรู้ว่าเขาจะเล่นตลกอะไรที่นี่
“โอ้โฮ… คุณกล่าวหาว่าผมคุยโวงั้นรึ ดี… งั้นเรามาพนันกันไหมล่ะ?” จางเซวียนไม่ได้โกรธ ตรงกันข้าม เขายิ้มตอบ
“เดิมพันงั้นรึ? ดี… ถ้าแกต้องการจะแพ้อย่างน่าสมเพช ฉันจะตอบสนองความต้องการให้เอง ว่าแต่… คนที่ยากจน มีเงินเดือนน้อยนิดอย่างแก ฉันล่ะสงสัยจริงๆ ว่าจะมีปัญญาเอาอะไรมาเดิมพัน?” เฉียนเปียวไม่คาดคิดว่าคนที่เคยก้มหัวให้เขามาตลอด วันนี้กลับมาท้าทายอำนาจเขาด้วยการพนัน
“เรื่องความยากจนของผมไม่ใช่ปัญหาของคุณนี่ เมื่อผมเสนอที่จะเดิมพัน แน่นอนว่าผมก็ต้องมีของแลกเปลี่ยน” จางเซวียนเบิกตากว้าง
“โอ๊ย… คนอย่างแกจะเอาอะไรมาเดิมพันฉัน เศษเหล็กเก่าๆ หรือว่าของเหลือเดนเรอะ? อะไรที่ทำให้แกคิดว่าฉันจะอยากได้จนเอาชื่อเสียงของฉันไปเกลือกกลั้วกับแกด้วยน่ะ” เฉียนเปียวกล่าวดูถูก
จางเซวียนเป็นอาจารย์ ‘ระดับล่างของล่าง’ ที่สุดในโรงเรียน เป็นอาจารย์ที่หาลูกศิษย์ไม่ได้แม้แต่คนเดียวแน่นอนว่าเขาไม่เคยได้รับเงินช่วยเหลือ หรือสินน้ำใจใดๆ จากทางโรงเรียน แล้วอย่างนี้จะไม่เรียกว่ายากจนที่สุดได้หรือ?
เขาใช้ชีวิตอย่างอัตคัดและมัธยัสถ์ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเงินทองหรืออุปกรณ์การเรียนการสอน
“ฮ่าๆ” จางเซวียนไม่ได้ใส่ใจคำถากถางเหล่านั้น เขาหัวเราะเบาๆ และกล่าวต่อ “สิ่งที่ผมอยากจะเดิมพันไม่ได้เป็นเงินทอง แต่มันคือ…
ใบหน้าอ้วนๆ ของคุณต่างหาก ถ้าคุณแพ้ คุณจะถูกผมตบหน้าสามครั้งต่อหน้าทุกคน แต่ถ้าผมแพ้ ผมจะให้คุณตบหน้าผมสามครั้งเหมือนกัน คุณกล้าเดิมพันหรือเปล่าล่ะ?”
“ตบหน้าอย่างนั้นรึ?” เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเดิมพันเรื่องนี้ เฉียนเปียวอดที่จะลังเลไม่ได้
เดิมพันกับอาจารย์ที่ไร้ค่าที่สุดของโรงเรียน ถ้าเขาแพ้เขาก็คงไม่มีหน้าจะอยู่ต่อ เพราะเขาคงอายมากจนนึกอยากจะลาตาย
“ว่าไง คุณกล้ารึเปล่า?” จางเซวียนยิ้มให้
“เฉียนเปียว คุณจะกลัวอะไร? คุณก็รู้ไม่ใช่หรือว่ามันห่วยแตกแค่ไหน?”
“อาจารย์ห่วยแตกไม่มีลูกศิษย์สักคนอย่างมันยังไงก็แพ้ มันก็วาดฝันไปเรื่อยนั่นแหละ”
“มันแค่ขู่ให้คุณกลัว ถ้ามีความสามารถจริงป่านนี้มันมีลูกศิษย์หลายร้อยคนแล้ว ปีนี้ลูกศิษย์ที่มันตกเบ็ดได้อาจจะเป็นคนตาบอดหูหนวก หรือไม่ก็ห่วยแตกเหมือนกันนั่นแหละ” อาจารย์คนอื่นๆ ในอาคารทรัพยากรต่างหัวเราะผสมโรง ไม่มีใครเชื่อเลยสักคนว่าจางเซวียนจะสามารถรับลูกศิษย์ได้
ให้หมูปีนต้นไม้ยังจะง่ายซะกว่า
“ได้ ฉันตกลง” หลังจากฟังคำของอาจารย์คนอื่นๆ เฉียนเปียวจึงพยักหน้าตกลง
“ถ้าพวกคุณมั่นใจกันซะขนาดนี้ ทำไมทุกคนถึงไม่ร่วมเดิมพันกับผมพร้อมกันเลยล่ะ เอาเงื่อนไขเดียวกันเลย” พอเห็นเฉียนเปียวตกลง จางเซวียนก็กวาดสายตามองไปยังอาจารย์อีกสามคนในแผนกทรัพยากร อาจารย์ทั้งสามคนพยักหน้าอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
“แกคิดว่าไอ้กระจอกแบบแกจะได้ตบหน้าพวกเราหรือ ได้… ฉันเอาด้วย”
“ฉันเอาด้วย”
“ใครเขากลัวแกกัน คุยโวต่อหน้าพวกเราทั้งที่ได้ศูนย์คะแนนแท้ๆ แกนี่มันรนหาที่ตายชัดๆ”
ในความคิดของพวกเขา จางเซวียนต้องแพ้พนันครั้งนี้อย่างแน่นอน วันนี้มันต้องถูกพวกเขาตบเป็นแน่!