Skip to content

Library Of Heaven’s Path 89

ตอนที่ 89 เหวินเซวี่ย

เหวินเซวี่ยเป็นพนักงานต้อนรับประจำโต๊ะรับแขก ความหวังสูงสุดของเธอคือการได้เป็นนักปรุงยา แต่น่าเสียดายที่เธอไม่มีพรสวรรค์ทางด้านนี้ สอบกี่ครั้งก็สอบไม่ผ่าน ขนาดจะสอบเป็นศิษย์ของนักปรุงยายังสอบไม่ติด เธอทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้ สิ่งที่เธอทำได้ในตอนนี้ก็คือทำงานเป็นพนักงานต้อนรับ แล้วใช้เวลาว่างมาศึกษาเล่าเรียนต่อ

งานพนักงานประจำโต๊ะรับแขกมองดูแล้วเหมือนจะเป็นงานที่ไม่ค่อยมีอะไร แต่จริงๆ แล้วรายได้มากพอตัว มีการแบ่งเปอร์เซ็นต์ในการขายยาในทุกๆ ครั้ง แม้เปอร์เซ็นต์ตามยอดขายในแต่ละครั้งจะไม่มาก แต่ถ้ายิ่งขายได้มากครั้ง คอมมิชชั่นส่วนนี้ก็จะเพิ่มมากขึ้น

ในช่วงเวลาหนึ่งปี รายได้ของเธอจะมากกว่ารายได้ของพนักงานทั่วไปห้าถึงหกเท่าเลยทีเดียว

แม้ว่ารายได้ของเธอจะดีขนาดไหน แต่เธอก็ไม่อยากจะทำงานที่นี่อีกแล้ว ไม่ใช่เพราะว่างานหนัก

แต่เป็นเพราะว่า… ใบหน้าอันงดงามของเธอ

เธออายุราวยี่สิบปี อยู่ในช่วงที่หญิงสาวจะงดงามเปล่งประกายมากที่สุด ที่สำคัญคือพ่อแม่ของเธออุตส่าห์มอบใบหน้าที่แสนสวยแบบนี้ให้ ความงามของเธอยากที่จะหาหญิงสาวคนอื่นมาเทียบรัศมีได้

จริงๆ แล้วการเป็นสาวสวยมันก็เป็นเรื่องดี เธอควรจะมีแต่สิ่งดีๆ เข้ามาหา แต่ด้วยหน้าที่การงาน ทุกวันมักจะมีชายหนุ่มมากมายจงใจมาหาเรื่องคุยกับเธอ แต่ละคนก็มาคุยอะไรแปลกๆ ทั้งนั้น หลายคนเดินมาหาได้ทุกวี่วัน แล้วใช้กลอุบายหลอกล่อสารพัดอย่างเพื่อให้เธอสนใจ ทำให้เธอรู้สึกรำคาญเป็นอย่างมาก

แต่การที่เธอเป็นพนักงานฝ่ายบริการ เธอไม่สามารถไล่ชายหนุ่มพวกนั้นให้ไปได้ ถ้าไล่ไปจริงๆ แล้วพวกเขาบอกว่าจะมาซื้อยา เธอก็ต้องยอมคุยกับพวกเขาด้วยอยู่ดี เพราะนั่นหมายถึงรายได้

“ขอให้วันนี้อย่าได้มีพวกแมลงวันน่ารำคาญมายุ่งกับฉันเลย” เหวินเซวี่ยพูดในใจพร้อมกับจัดชายเสื้อผ้าแล้วยืนยิ้มต้อนรับแขกอยู่ตรงโต๊ะรับแขก ในไม่ช้าก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามา

ชายหนุ่มคนนี้มองแล้วอายุก็ไม่มากนัก ไม่น่าจะถึงยี่สิบเสียด้วยซ้ำ ผิวพรรณก็ดูเปล่งปลั่งยิ่งกว่าตัวเธอเสียอีก

“คุณผู้ชาย ไม่ทราบว่าจะรับอะไรดีคะ” เหวินเซวี่ยมองไปยังชายหนุ่มผู้นั้นพร้อมกับส่งรอยยิ้มแบบมืออาชีพให้กับเขา

“ที่นี่… มีขายตำราบ้างไหมครับ พวกตำราเกี่ยวกับการออกฤทธิ์ของยา หรือไม่ก็ประเภทที่เกี่ยวกับการปลุกพลังแฝงในตัวมนุษย์” ชายหนุ่มถาม

เขาคนนี้ก็คือจางเซวียนนั่นเอง

จางเซวียนคนเก่าไม่เคยมาที่นี่ ในความทรงจำของเขาจึงไม่ได้บันทึกไว้ จางเซวียนไม่รู้ว่าที่นี่มีอะไรบ้าง ดีที่สุดก็คือมาถามเอากับพนักงานที่โต๊ะรับแขก

“จะซื้อหนังสือก็ไปร้านหนังสือสิคะ ที่นี่คือสมาพันธ์นักปรุงยา” เมื่อเหวินเซวี่ยได้ยินคำพูดของจางเซวียน รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็ฝืดเฝื่อน

จะมาจีบสาวงามอย่างฉัน ช่วยทำให้มันเนียนกว่านี้หน่อยสิยะ

จะมาซื้อหนังสือที่สมาพันธ์นักปรุงยา แล้วทำไมนายไม่ไปซื้อรองเท้าที่ร้านอาหารบ้างล่ะ

“อ๋อ… เปล่าครับ ผมจะมาหาตำราเกี่ยวกับสรรพคุณของยาต่างๆ ร้านหนังสือไม่มีตำราพวกนี้ขายหรอก” จางเซวียนมองไม่ออกว่าท่าทางของพนักงานหญิงคนนี้เปลี่ยนไปแล้ว เขากล่าวต่ออย่างร่าเริง

ยังจะไปต่ออีกหรือ? งั้นทำต่อไปเลยนะ ฉันจะยืนมองอยู่อย่างนี้แหละ

เหวินเซวี่ยยืนกอดอก อมยิ้มอย่างรู้ทัน แล้วมองจางเซวียนด้วยสายตาที่เคลือบด้วยน้ำแข็ง

จางเซวียนเห็นว่าอีกฝ่ายไม่พูดอะไร เขานึกว่าเธอคงไม่เข้าใจในคำพูดของตน จึงได้อธิบายต่อ “ผมต้องการจะหายาที่สามารถปลุกพลังแฝงในร่างกายมนุษย์น่ะครับ แต่ก็ไม่รู้ว่ามียาชนิดไหนบ้างที่มีสรรพคุณแบบนี้ ก็เลยจะมาหาตำราที่เกี่ยวข้องอ่านดู ไม่ทราบว่าที่นี่พอจะมีบ้างไหม ถ้ามีจะขายให้ผมได้ไหม หรือไม่ก็… ให้ผมยืมอ่านแป๊บหนึ่งก็ยังดี”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่มี!” ฉันแค่ไม่สนใจนาย นายกล้าถามหายาปลุกพลังเลยรึ? จะซื้อหนังสือ จะขอยืมหนังสือ… วิธีการหลอกสาวแบบนี้เขาเลิกใช้กันมานานแล้วย่ะ

ไอ้พวกเรียกร้องความสนใจด้วยมุกเชยๆ

ถึงตอนนี้ จางเซวียนเองก็เริ่มสังเกตเห็นแล้วว่าท่าทางของพนักงานสาวเปลี่ยนไป เหมือนกับเธอไม่ค่อยจะสบอารมณ์ จางเซวียนไม่รู้ถึงสาเหตุ เขาได้แต่แปลกใจ

ก็เขาไม่ได้ทำอะไรผิดต่อเธอสักหน่อย แล้วทำไมเธอต้องทำท่าทางแบบนี้ด้วย

“หรือว่าอยู่ในช่วงวัยทอง” จางเซวียนส่ายหัว แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เขาเป็นคนมีการศึกษา เป็นคนที่มาจากอีกโลกหนึ่ง แล้วจะไปถือสาหาความกับผู้หญิงที่อยู่ในวัยทองทำไม

ถ้าเหวินเซวี่ยรู้ว่าจางเซวียนกำลังคิดอะไร เธอต้องโมโหแน่

ฉันเป็นหญิงสาวอายุเพิ่งจะยี่สิบ นายต่างหากล่ะที่อยู่ในช่วงวัยทอง…

“เอาอย่างนี้ สมาพันธ์นักปรุงยาจะต้องมีหอสมุดถูกไหม คุณช่วยพาผมไปหน่อยได้ไหมล่ะ” จางเซวียนรู้ว่าถึงจะอธิบายไปก็คงไร้ประโยชน์ เขาจึงคิดจะใช้อีกวิธีหนึ่ง

ไม่ว่าจะเป็นสมาพันธ์คณาจารย์หรือสมาพันธ์นักปรุงยา ทุกสมาพันธ์จะต้องมีหอสมุดเป็นของตัวเอง เพื่อที่จะให้ความรู้แก่นักปรุงยาหรือคนที่มีความสนใจในด้านนี้ ให้พวกเขาได้พัฒนาความรู้ความสามารถต่อไปเรื่อยๆ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมขายหนังสือ ขอแค่ได้อ่าน เขาก็สามารถเก็บเกี่ยวความรู้ได้แล้ว

“หอสมุดหรือ นี่คุณยังคิดจะเข้าหอสมุดอีกรึ” เหวินเซวี่ยเห็นจางเซวียนขอสิ่งที่ผิดปกติมากขึ้นเรื่อยๆ เธอจึงทนไม่ไหว ตวาดออกไปทันที “ถ้าไม่ซื้อยา ก็เชิญออกไปจากที่นี่นะคะคุณ”

“ทำไม หอสมุดของพวกคุณไม่เปิดให้คนนอกเข้าไปอ่านหนังสือหรือ ค่าเข้าเท่าไหร่คุณก็บอกมาสิ ผมก็ไม่ได้จะชักดาบสักหน่อย” จางเซวียนเริ่มรู้สึกไม่พอใจ ผู้หญิงคนนี้มันบ้ารึเปล่าวะ

เขาแค่มาสอบถามข้อมูลเฉยๆ ทำไมต้องทำกันแบบนี้ด้วย

เหวินเซวี่ยได้ยินจางเซวียนพูดถึงเรื่องเงิน ท่าทางเหมือนเป็นคุณชายที่ไม่ใส่ใจเรื่องเงินสักเท่าไร เธอจึงยิ่งรู้สึกรำคาญเข้าไปใหญ่

“มีเงินแล้วไง มีเงินแล้วจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ ฉันจะบอกให้ก็ได้ สมาพันธ์นักปรุงยามีหอสมุดจริง แล้วก็แบ่งเป็นตำราระดับต่ำกับระดับสูง แต่ถึงจะเป็นตำราระดับต่ำ ก็จะอนุญาตให้เพียงศิษย์ของนักปรุงยาได้อ่านเท่านั้น แล้วคุณเป็นนักปรุงยารึเปล่าล่ะ เป็นศิษย์ของนักปรุงยาคนไหนหรือ?”

“ศิษย์ของนักปรุงยาหรือ” จางเซวียนตกใจ

จริงสิ เขาไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับสมาพันธ์นักปรุงยาเลย แต่ถ้าเป็นเรื่องของโรงเรียน เขาก็พอรู้อยู่บ้าง ศิษย์จะมีหอสมุดศิษย์ อาจารย์จะมีหอสมุดอาจารย์ สำหรับหอสมุดอาจารย์ คนที่ไม่ได้เป็นอาจารย์จะไม่มีสิทธิ์เข้าไปเด็ดขาด

มิเช่นนั้น ใครๆ ก็สามารถเข้าไปอ่านหนังสือได้ส่งเดชสิ แล้วแบบนี้โรงเรียนยังจะมีความลับอะไรอยู่อีก

อีกอย่าง แค่ไปอ่านหนังสือก็พอว่า แต่ถ้าเกิดเห็นเคล็ดวิชาอะไรเข้าแล้วเกิดชอบ เอามาฝึกส่งเดชแล้วถูกธาตุไฟเข้าแทรก สุดท้ายใครจะเป็นฝ่ายรับผิดชอบ

สมาพันธ์นักปรุงยาก็น่าจะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน เลยแบ่งเก็บหนังสือเป็นระดับต่ำและสูง เพื่อที่จะจำกัดให้คนที่เหมาะกับหนังสือเล่มนั้นๆ ได้อ่านโดยเฉพาะ และก็เป็นการป้องกันไม่ให้คนโลภที่อยากจะฝึกเคล็ดวิชาครั้งละมากๆ ได้ทำตามอำเภอใจ แถมยังเป็นการเก็บไม่ให้เคล็ดวิชาต่างๆ รั่วไหลออกไป

“ผม…ไม่ใช่ศิษย์ของนักปรุงยา แต่ถ้าอยากจะเป็นศิษย์ของนักปรุงยา ขอแค่ทำข้อสอบให้ผ่านก็เป็นได้แล้วใช่ไหม” จางเซวียนคนเก่าเป็นแค่อาจารย์ทั่วไปคนหนึ่ง ไม่เคยเรียนรู้เรื่องการปรุงยามาก่อน แน่นอนว่าจางเซวียนไม่ได้เป็นศิษย์ของนักปรุงยา แต่ไม่ว่าอะไรก็สามารถทดสอบได้นี่นา เขาอยากจะเป็นปรมาจารย์ในอนาคต ก็ต้องรู้จักเก็บเกี่ยวความรู้ทั่วไปเอาไว้ให้มากๆ

“สอบหรือ คุณอยากจะสอบเป็นศิษย์ของนักปรุงยาหรือ” เหวินเซวี่ยมั่นใจเต็มร้อยว่าจางเซวียนต้องการจะมาจีบเธออย่างแน่นอน เธอรู้สึกโกรธมากแต่ก็พูดออกมาตรงๆ ไม่ได้ ตอนนี้เห็นจางเซวียนเสแสร้งอยากจะสอบเป็นศิษย์ของนักปรุงยาอีก เธอรู้สึกทนไม่ไหวอีกแล้ว “งั้นก็ดี ทางนั้นมีจุดสอบวัดความสามารถอยู่ค่ะ ฉันจะพาคุณไปเอง”

นายอยากอวดดีนัก ฉันจะพาไป! ดูซิว่านายจะเสแสร้งได้ถึงเมื่อไรแม้จะสมัครเป็นเพียงศิษย์ของนักปรุงยา แต่ก็เหมือนกับศิษย์ของอาจารย์ชื่อดัง คนที่ต้องการจะเป็นศิษย์ของนักปรุงยาจะต้องผ่านการทดสอบก่อน ต้องผ่านการวัดความรู้ทั่วไป ตัวฉันเองเคยสอบอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่ผ่านแม้สักครั้ง ส่วนนายเป็นแค่พวกกระจอกที่จะมาหลอกจีบสาว คนอย่างนายจะสอบอะไรที่ไหนได้ หนังสือเกี่ยวกับเรื่องสมุนไพรและการปรุงยา นายเคยอ่านบ้างรึเปล่า แล้วยังจะมีหน้าไปสอบอีก

ล้อกันเล่นอยู่ใช่ไหม

ถ้าไม่ทำให้นายรู้สึกอับอายขายหน้าเสียบ้าง นายคงยังคิดว่าฉันเป็นคนหลอกง่ายอยู่สินะ

เหวินเซวี่ยแอบหัวเราะในใจ “นั่นไงคะ เห็นหรือยัง” เหวินเซวี่ยยิ้มเมื่ออีกฝ่ายชะงักฝีเท้า เธอถามต่อเสียงหวาน “อ้าว ทำไมล่ะคะไม่กล้าไปหรือ”

“ก็อยากไปอยู่หรอกครับ แต่ว่า…” จางเซวียนเห็นท่าทางของอีกฝ่ายเกิดคึกขึ้นมาก็คิดจะเดินหน้าไปต่อทันที แต่ก็ส่ายหัวไปมา เขานึกอะไรบางอย่างได้ “ข้อสอบ…ของการสอบเป็นศิษย์ของนักปรุงยา เขาสอบอะไรกันบ้าง ต้องอ่านหนังสืออะไรบ้างครับ คุณช่วยบอกผมที”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version