ตอนที่ 125 : สมมติฐานที่น่าสนใจ
ถ้าเกิดความรู้สึกเดจาวู สำหรับผู้วิเศษลำดับเก้าเส้นทางอื่น พวกมันต้องพยายามนึกเค้นความทรงจำของตัวเอง
แต่ไม่ใช่กับนักทำนาย…
ไคลน์ยุติพิธีกรรมตรงหน้าและทำลายกำแพงวิญญาณทิ้ง ก่อนก้มเขียนข้อความลงบนเศษกระดาษ
“ต้นตอของความรู้สึกเดจาวู”
ถัดมา มันนั่งลงตรงมุมเตียงภายในห้อง ปากพึมพำข้อความบนกระดาษ
เมื่อครบเจ็ดครั้ง นัยน์ตาเริ่มกลายเป็นสีดำเกือบสนิท ไคลน์สะกดจิตตัวเองให้หลับพร้อมกับค้นหาภายในท้องทะเลความทรงจำ
บนห้วงมิติพร่ามัวและบิดเบี้ยว มันเห็นรถม้าสาธารณะ เห็นเด็กสาวใบหน้าอ่อนหวานในชุดเดรสยาวสีเทา
สตรีคนดังกล่าวมีผมดำขลับเงางาม ใบหน้ากลมกลึงได้รูป บรรยากาศรอบตัวอ่อนโยน กิริยามารยาทเรียบร้อย แต่ร่างกายกลับมีอาการสั่นเทาอย่างผิดธรรมชาติ
ภาพตรงหน้าไคลน์ดับไป ก่อนฉายใหม่ด้วยฉากหลังตลาดมืดค้าของวิเศษ มันได้พบเด็กสาวคนเดิมกำลังนั่งยองสนทนากับเจ้าของร้านขายหนังสือ
ความฝันจบลงเท่านี้ ไคลน์ลืมตากลับสู่โลกความจริงบนขอบเตียง มันลุกยืนด้วยสีหน้าปราศจากความเคลือบแคลง
ถึงว่าคุ้นตานัก…เคยพบมาแล้วนี่เอง
ครั้งแรกบนถนนดารารัตน์ ย่านใกล้กับจุดตัดถนนกางเขนเหล็ก เป็นวันเดียวกับที่ดันน์และกองทัพผู้วิเศษบุกถล่มนักกระตุ้นทริสในตลาดมืดค้าของเก่า
ต้องมีความเชื่อมโยงกันอยู่แน่
ไคลน์ครุ่นคิด ก่อนเริ่มประกอบพิธีอีกครั้ง
มันภาวนาขอหยิบยืมพลังจากเทพธิดารัตติกาล เพื่อวาดภาพเสมือนของคนร้ายภายในความทรงจำ
ดันน์และอีกสองคนยืนรออย่างใจเย็น ไม่มีใครส่งเสียงทำลายสมาธิไคลน์
จนกระทั่งนักทำนายคนเก่งวาดภาพเสร็จ ทุกคนจึงเดินมามุงเพื่อช่วยกันพิจารณาใบหน้าผู้ต้องสงสัย
“คุณเคยพบเธอมาก่อน?”
ดันน์ซักถาม · ไคลน์พยักหน้า
“ครับ ผมเห็นเธอบนรถม้าสาธารณะ ใกล้กลับสถานีดารารัตน์และกางเขนเหล็ก ค่ำคืนเดียวกับที่หัวหน้าและหน่วยผู้วิเศษบุกจู่โจมนักกระตุ้น·ทริสในผับมังกรชั่ว”
“สอดคล้องกับข้อมูลของพวกเรา เธอต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับนักกระตุ้น·ทริสแน่นนอน”
ดันน์พยักหน้า · เลียวนาร์ดพูดแทรก
“พวกคุณไม่คิดว่าบุคคลในภาพคุ้นหน้าบ้างหรือ? เธอเหมือนกับนักกระตุ้นทริสมาก!”
ไคลน์พลันผงะ สายตาหันกลับไปพิจารณาภาพวาดตัวเองอีกครั้ง
“จริงด้วย เหมือนกันมาก หน้ากลม ดวงตาเรียว บรรยากาศอ่อนโยน…”
ยิ่งเพ่งมอง ไคลน์ก็ยิ่งตระหนักว่าคำพูดนักกวีเลียวนาร์ดสมเหตุสมผล
สิ่งเดียวที่ต่างคือ เมื่อเป็นเพศชาย ใบหน้าลักษณะดังกล่าวจัดว่าธรรมดาไม่โดดเด่น แต่สำหรับเพศหญิง กลายเป็นดูดีค่อนไปทางสวย
ชายหนุ่มรีบเงยหน้าและหันไปมองนักกวีเลียวนาร์ดด้วยความทึ่ง อีกฝ่ายกำลังยักคิ้วเชิงส่งสัญญาณให้ไคลน์รับรู้เพียงผู้เดียว
หมอนี่ต้องการอะไรจากตน? ไคลน์สับสน
ดันน์·สมิทลองคาดเดา
“หล่อนอาจเป็นพี่สาวหรือน้องสาวทริส และเหมือนกับพี่ชาย คือเป็นสมาชิกชุมนุมสัมผัสวิญญาณหรือไม่ก็ลัทธิแม่มด”
เลียวนาร์ดถอนหายใจอย่างผิดหวังเมื่อเห็นว่าไคลน์อ่านความคิดตนไม่ออก
“ผมมีสมมติฐานที่น่าสนใจกว่านั้น”
“ว่ามา”
ดันน์เปิดโอกาส · เลียวนาร์ดอธิบายห้วน
“ผมคิดว่าเธอคือนักกระตุ้น·ทริส!”
“อะไรนะ?”
แม้แต่ฟรายผู้สุขุมยังโพล่งขึ้นอย่างประหลาดใจ
ดันน์ขมวดคิ้ว
“คุณหมายความว่า นักกระตุ้นทริสคือสตรีที่ปลอมตัวเป็นบุรุษ หรือไม่ก็บุรุษผู้ปลอมตัวเป็นสตรี…อย่างนั้นหรือ?”
“แต่จากการเข้าฝันของผม เพศสภาพของเธอคือผู้หญิงไม่ผิดแน่”
ในฐานะผู้รอบรู้อย่างละนิดจากโลกเก่า บทนิยายหรือภาพยนตร์ซับซ้อนย่อมเคยผ่านตามาไม่น้อย ไคลน์นำมือลูบคางขณะเพ่งพิจารณาภาพวาดทริสอย่างละเอียด
“หรือนักกระตุ้น·ทริสจะกลายเป็นผู้หญิงในภายหลัง…”
ประโยคดังกล่าวสามารถอธิบายเหตุการณ์ผิดปรกติในอดีตได้หลายอย่าง เช่นเรื่องที่ร่องรอยของทริสหายไปกลางคัน แม้แต่พลังทำนายก็ไม่พบเบาะแสหรือแหล่งกบดาน
นั่นเพราะเป้าหมายเดิมไม่มีตัวตนอีกแล้ว ถูกเปลี่ยนกลายเป็นอีกคนหนึ่งโดยสมบูรณ์
ปัญหาเดียวที่ตอบยากคือ ภายในระยะเวลาแสนสั้น ทริสเปลี่ยนเป็นเพศหญิงด้วยวิธีใดกันแน่
แถมยังเป็นหญิงสาวหน้าค่อนข้างตาดี…ด้วยความสัตย์จริง ไคลน์มองว่าหล่อนมีใบหน้าเข้าขั้นเลอโฉม
ชายหนุ่มเสียสมาธิชั่วครู่
เลียวนาร์ดโล่งใจ มันรีบพยักหน้าเสริม
“ผมเองก็คิดแบบเดียวกัน เพราะสมมติฐานนี้สามารถอธิบายได้ว่า เหตุใดร่องรอยของนักกระตุ้น·ทริสถึงหายไปกลางคัน และสอดคล้องกับข้อมูลลับของเหยี่ยวราตรี เรื่องที่สมาชิกระดับอาวุโสของลัทธิแม่มดล้วนเป็นเพศหญิงทั้งหมด”
ดันน์กับฟรายอึ้งไปพักใหญ่
ถึงเหยี่ยวราตรีจะมีโอกาสเผชิญคดีเหนือธรรมชาติและสัตว์ประหลาดนับไม่ถ้วน แต่พวกมันไม่เคยพบเจอการเปลี่ยนเพศกลางคันของคนร้ายมาก่อน
“หากสมมติฐานของคุณเป็นเรื่องจริง หมายความว่า เหล่าสตรีอาวุโสของลัทธิแม่มดล้วนเคยเป็นบุรุษมาก่อนหรือ?”
โดยไม่รอคำตอบ ดันน์พึมพำต่อ
“เป็นไปได้มากทีเดียว…อาจเกิดจากผลของโอสถในบางลำดับ”
ไคลน์ไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อน ร่างกายมันพลันสั่นเทาเมื่อได้ยินข้อสรุปดังกล่าว
โอสถของลัทธิแม่มดเป็นยาแปลงเพศ!
ได้แต่หวังว่าเส้นทางนักทำนายจะไม่มีโอสถแบบนี้อยู่ ขอพระองค์ทรงเมตตาด้วย…
ไม่สิ ต้องไม่มีอยู่แล้ว เพราะเส้นทางดังกล่าวมีชื่อว่า ‘แม่มด’ ซึ่งบอกเป็นนัยเกี่ยวกับเพศไว้ตั้งแต่ต้น ส่วนนักทำนายของตนไม่ได้ระบุเพศไว้เสียหน่อย…
แต่มันก็ยังไม่ทราบอยู่ดีว่า โอสถตั้งแต่ลำดับแปดถึงหนึ่งของเส้นทางนักทำนายใช้ชื่ออะไรบ้าง หวังว่าคงไม่ใช่ ‘เทพธิดาแห่งXX’ อะไรเทือกนี้
ไคลน์ก้มหน้าสวดอ้อนวอนต่อเทพธิดารัตติกาลด้วยหัวใจบริสุทธิ์
“โอสถมีพลังมากขนาดนั้นเชียว?”
ฟรายถามด้วยสีหน้าเคลือบแคลง
เลียวนาร์ดยิ้ม
“มีโอสถขั้นกลางจำนวนไม่น้อยสามารถเปลี่ยนแปลงร่างมนุษย์จากหน้าเป็นหลังมือ อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เพราะพวกเราทุกคนถือกำเนิดจากพระผู้สร้าง”
ดันน์หันมองไคลน์
“คุณลองทำนายหาแหล่งกบดานของมัน”
“ครับ!”
ไคลน์เดินไปหยิบชุดเดรสของสตรีที่วางกองบนพื้นด้วยความรู้สึกตะขิดตะขวง ก่อนจะนำมาวางแผ่กลางพื้นห้องนอน
มือซ้ายกำหัวไม้ค้ำแน่น มันหลับตาลงนึกภาพใบหน้าคนร้าย รวมถึงรายละเอียดปลีกย่อย จากนั้นก็ท่องประโยคทำนายภายในใจ
“แหล่งกบดานของทริส…ทริสซี่”
“แหล่งกบดานของทริสซี่”
…
เมื่อครบเจ็ดหน นัยน์ตาไคลน์กลายเป็นสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ สายลมเย็นพัดผ่านรอบตัว มันปล่อยมือจากไม้ค้ำเพื่อให้แท่งวิญญาณร่วงหล่นตามแรงโน้มถ่วง
ถึงจะมีอาการสั่นในตอนต้น แต่ท้ายที่สุด ไม้ค้ำก็มิได้ล้มลงในทิศทางใด มันตั้งตระหง่านผิดหลักฟิสิกส์เช่นนั้นเป็นเวลานาน
“ผลทำนายถูกรบกวน…”
ไคลน์อธิบายด้วยเสียงลุ่มลึก
แต่ขณะเดียวกันก็หมายความว่า…สมมติฐานของพวกตนถูกต้อง!
หญิงสาวคนร้ายเป็นคนเดียวกับนักกระตุ้น·ทริส…ทริสซี่!
เมื่อเห็นผลทำนาย ดันน์พยักหน้าเบาๆ
“สมกับชื่อเสียงอันโด่งดังของลัทธิแม่มด”
เมื่อทริสกลายเป็นทริสซี่ ดันน์มองว่าอีกฝ่ายไม่น่าใช่สมาชิกชุมนุมสัมผัสวิญญาณ แต่คงเป็นหนึ่งในสมาชิกลัทธิแม่มด
หลังจากตรวจสอบจุดเกิดเหตุอย่างละเอียดเป็นหนสุดท้าย ดันน์ถอนหายใจเหนื่อยหน่าย
“พวกเรายังสืบสวนต่อขยายได้อีกหลายวิธี เช่นจากร้านขายชุดเดรส สอบถามข้อมูลจากผู้ให้เช่าบ้านหลังนี้ และการส่งเจ้าหน้าที่คอยตรวจตราเขตท่าเรือและรถจักรไอน้ำ”
อาจได้รับเบาะแสสำคัญก็จริง แต่เมื่อถึงเวลานั้น ทริสซี่คงหลบหนีออกจากทิงเก็นเรียบร้อยแล้ว…
ไคลน์เตรียมทำนายหาแหล่งกบดานของหล่อนบนมิติสายหมอกหลังจากกลับถึงบ้าน สำหรับตน ทริสซี่คือตัวอันตรายที่สังหารผู้คนจำนวนมากเพียงเพื่อให้ตัวเองบรรลุผล ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรีบจับกุมโดยเร็ว
“เลียวนาร์ด ไปติดต่อกับสถานีตำรวจและขอกำลังเสริมช่วยเก็บกวาดบ้าน ส่วนไคลน์ คุณคงเหนื่อยแล้ว กลับไปพักผ่อนได้…”
ดันน์ออกคำสั่งขณะบีบนวดขมับตัวเอง
มันสูญเสียพลังมากกว่าใคร ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับการสะกดผู้วิเศษลำดับสูงให้หลับใหลจากระยะไกล แต่ถึงกระนั้นก็ไม่คิดพัก
ดันน์เงียบงันหลายวินาทีก่อนจะส่งเสียงหยุดไคลน์ไว้ มันซักถามหยั่งเชิงอีกฝ่ายโดยแฝงเจตนามอบบทเรียน
“หากเป็นคุณจะจัดการกับภารกิจล้อมจับคนร้ายในวันนี้อย่างไร? สมมติให้มีสมาชิกเพียงผม เลียวนาร์ด และฟราย”
ไคลน์ขมวดคิ้วก้มหน้านานกว่าสิบวินาที
“ก่อนอื่น ผมจะทำนายว่าพิธีกรรมของคนร้ายใกล้เสร็จสิ้นหรือยัง หากคำตอบระบุว่ายังไม่ใกล้ ผมจะเลือกใช้แผนปิดล้อม…ถัดมา จะขอกำลังสนับสนุนจากกรมตำรวจ ให้เจ้าหน้าที่หลายสิบนายปิดล้อมบ้านไว้ทุกทิศ พร้อมกับใช้ปืนใหญ่อย่างต่ำห้ากระบอกถล่มยิงบ้านจนพินาศ ซึ่งผลลัพธ์สามารถเกิดขึ้นได้สองรูปแบบ…หากทริสซี่ไม่ตายไปพร้อมกับซากอาคาร เธอก็ต้องหลบหนีออกมาท่ามกลางกลุ่มกระสุนปืนใหญ่ เมื่อพบตัว ผมจะให้หัวหน้าส่งเธอเข้าสู่นิทรา จากนั้นก็จะเป็นการเข้าชาร์จของเลียวนาร์ดและฟราย…”
ยิ่งเล่า ไคลน์ก็ยิ่งตื่นเต้น แม้แผนการของตนจะป่าเถื่อนและสิ้นเปลืองทรัพยากรมาก แต่นับว่ารัดกุมไร้ช่องโหว่
ดันน์ เลียวนาร์ด และฟราย พลันผงะหลังจากได้ยินคำอธิบาย พวกมันไม่กล่าวสิ่งใดเป็นเวลานาน
“หัวหน้า…แผนของผมไม่ดีหรือ?”
ไคลน์เริ่มใจฝ่อเมื่อเห็นท่าทีของสนองของเหยี่ยวราตรีทั้งสาม
ดันน์ส่ายศีรษะ
“ไม่เชิง มันเป็นแผนที่ค่อนข้างรัดกุม…”
ก่อนอธิบายเสริม
“แต่พวกเราต้องมั่นใจก่อนว่า จะไม่มีหายนะเกิดขึ้นหากแท่นบูชาถูกทำลาย…เฮ่อ…ในฐานะเหยี่ยวราตรีที่ทำงานมาหลายปี พวกเราไม่ต้องการให้คนธรรมดาข้องเกี่ยวกับคดีเหนือธรรมชาติมากนัก โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วไป การปิดคดีจึงมักกระทำด้วยพลังพิเศษของตัวเองและปืนลูกโม่คู่กาย”
นั่นสินะ…ตัวเราคงยึดติดกับแผนการยิงถล่มเกาะด้วยปืนใหญ่เรือรบมากเกินไป
…
ไคลน์และเลียวนาร์ดเดินเท้าราวห้าร้อยเมตรจากจุดเกิดเหตุ ก่อนจะได้พบกันสถานีรถม้าประจำทางท้องถิ่น
หลังจากยืนรอครู่หนึ่ง รถม้าสาธารณะก็แล่นมาถึงตรงเวลา ปลายทางของพวกมันคือถนนกางเขนเหล็ก ทั้งสองแยกย้ายกันที่นี่ นักกวีเลียวนาร์ดเดินต่อไปยังสถานีตำรวจ ส่วนไคลน์เดินกลับบ้านบนถนนดารารัตน์
เมื่อชายหนุ่มมาถึงหน้าประตู มันยืนจัดระเบียบเสื้อผ้าให้เรียบร้อย หลังจากมั่นใจว่าไม่พบสิ่งผิดปรกติ ไคลน์จึงหยิบกุญแจบ้านออกมาไข
เมลิสซ่าและเบ็นสันกำลังนั่งในห้องนั่งเล่น คนหนึ่งอ่านหนังสือไวยากรณ์ภาษา ส่วนอีกคนทำการบ้านของโรงเรียน แสงไฟเดียวมาจากโคมแก๊สบนผนัง
เบ็นสันคงเหนื่อยล้าหลังจากตรากตรำทำงานหนักตลอดทั้งวัน กระนั้นก็ยังคร่ำเคร่งทบทวนอ่านหนังสือ นับเป็นบุรุษที่มุ่งมั่นและเอาจริงเอาจังทีเดียว
เราคงทำแบบนั้นไม่ได้ ความปรารถนาในปัจจุบันคือทิ้งร่างลงบนเตียงนอนอ่อนนุ่ม
ไคลน์หันมองเบ็นสัน มันยิ้มให้และโบกมือทักทายตามมารยาท
เบ็นสันยิ้มตอบ
“ค่าจ้างมหาศาล แลกมากับการตกนรกทั้งเป็นแบบนี้เองสินะ…”
“ไม่มีอะไรในโลกที่ได้มาฟรี ต้องเสียสละบางสิ่งเพื่อจะได้รับอีกสิ่ง”
ไคลน์พูดพร้อมกับพิงไม้ค้ำไว้ข้างประตู
“วลีดังของจักรพรรดิโรซายล์ช่างลึกซึ้งนัก”
เมลิสซ่าหยุดขีดเขียนขณะเงยหน้าพูด
โรงเรียนเทคนิคทิงเก็นจะแตกต่างจากมหาวิทยาลัยหรือโรงเรียนวิชาการทั่วไป เมลิสซ่ามีวันหยุดพักร้อนเพียงสองสัปดาห์เท่านั้น เริ่มจากปลายเดือนกรกฎาคมไปจนถึงต้นเดือนสิงหาคม วันเปิดภาคเรียนแทบจะร้อนอบอ้าวที่สุดของปี
“งั้นหรือ…? ฉันจำไม่ได้”
ไคลน์ยิ้มแห้ง
มันถอดหมวกแขวนไว้กับราวเสื้อผ้าและเดินขึ้นบันได เตรียมทำพิธีกรรมเข้าสู่มิติสายหมอกเพื่อค้นหาแหล่งกบดานของทริสซี่
ทันใดนั้น กระเพาะอาหารไคลน์พลันส่งเสียงคำรามคลุ้มคลั่ง ชนิดหิวโหยสุดขีด
จริงสิ ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องในช่วงเย็น…
มันทิ้งโน้ตบอกพี่น้องไว้ว่า จะอยู่ทำงานดึกและทานอาหารร่วมกับเพื่อนร่วมงาน ดังนั้นไม่ต้องเตรียมเผื่อในส่วนของตนไว้
ให้ตายสิหัวหน้า ทำไมถึงไม่เลี้ยงข้าวผมก่อนกลับ ลืมอีกแล้วใช่ไหม…?
ไคลน์เปลี่ยนสีหน้าไปมาหลายหน ก่อนตัดสินใจแสร้งทำเป็นอิ่มท้อง
ทันใดนั้น เมลิสซ่าเหลียวหลังมองและชี้นิ้วไปทางครัว
“พวกเราเหลือเนื้อน่องแกะกับซุปผักข้นไว้ให้นาย รวมถึงขนมปังด้วย”
เมื่อพูดจบ เธอหันกลับไปก้มหน้าทำการบ้านพลางส่งเสียงพึมพำในลำคอ
“ตามปรกติแล้ว กับข้าวที่ทำงานจะมีรสชาติห่วยแตก ไม่มีใครกินจนอิ่มท้องแน่…”
“ใช่ไหมล่ะ?”
……………………