Skip to content

Lord of the Mysteries 1334



HH

ตอนที่ 1,334 : คืนจันทร์

อาคารสำนักงานของ MI9 ตั้งอยู่บนถนนเบลลอตโต้ในเขตตะวันตก เป็นอาคารสามชั้นซึ่งไม่เด่นสะดุดตามากนัก

ประตูทางเข้ามิได้บ่งบอกตัวตน เพียงแขวนเลขที่บ้านไว้ว่า

“9”

ส่วนสำคัญของอาคารสำนักงานจะอยู่ใต้ดิน ชั้นบนเป็นที่การของฝ่ายพลเรือน แต่แน่นอน ผู้วิเศษ MI9 ส่วนใหญ่จะไม่ลงใต้ดินหากไม่มีเรื่องสำคัญจริงๆ ส่วนหนึ่งสภาพแวดล้อมที่นั่นไม่ดีสักเท่าไร บรรยากาศค่อนข้างอึมครึม ราวกับสมบัติปิดผนึกจะหลุดออกมาได้ตลอดเวลาอันเนื่องมาจากการเก็บรักษาไม่เหมาะสม

ปัจจุบัน ซิลดำรงตำแหน่งรองหัวหน้า ‘หน่วยรักษาความปลอดภัยและต่อต้านข่าวกรองแห่งชาติ’ ซึ่งมีทีมผู้วิเศษในความดูแลพอสมควร รับผิดชอบเกี่ยวกับการต่อต้านข่าวกรองจากอินทิสในขอบเขตกรุงเบ็คลันด์

“มีภารกิจใหม่” พลโทแพนเทค รองผู้อำนวยการ MI9 และหัวหน้า ‘หน่วยรักษาความปลอดภัยและต่อต้านข่าวกรองแห่งชาติ’ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของซิล หยิบเอกสารแผ่นหนึ่งยื่นให้หญิงสาว

“เรื่องด่วนหรือคะ” ซิลเหยียดแขนไปรับพลางถามอย่างรอบคอบ

พลโทแพนเทคเป็นชายสูงวัยชาวโลเอ็นทั่วไป ไรผมเถิกมาก มันหยิบถ้วยกาแฟกระเบื้องเคลือบขึ้นมาจิบ

“ไม่เร่งด่วน ระดับความอันตรายต่ำ… อันที่จริง งานนี้จะถูกแจกจ่ายให้สมาชิกทุกคนโดยหวังว่าจะมีใครสักคนดวงดีทำสำเร็จ”

ข้อมูลดังกล่าวค่อนข้างเหนือความคาดหมายของซิล แต่แทนที่จะเปิดเอกสารอ่านทันที หญิงสาวทำเพียงขานรับ:

“ดิฉันจะแจ้งให้สมาชิกในทีมทราบ”

หลังออกจากห้องของพลโทแพนเทค ซิลกลับมาห้องของตัวเอง

เมื่อทิ้งตัวนั่ง ร่างของซิลกลมกลืนไปกับเก้าอี้พนักสูงจนยากจะสังเกตเห็น

หลังจากกวาดสายตาอ่านเอกสาร ซิลเริ่มเข้าใจคำพูดของรองผู้อำนวยการอย่างคร่าว

ยูโทเปียซึ่งเป็นเป้าหมายการสืบสวน ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ตั้งอยู่บนทวีปเหนือใต้ หรือบนเกาะทางการใดบนห้าห้วงทะเล

ในช่วงสองสามสัปดาห์หลัง มีผู้คนจำนวนมากได้เข้าสู่สถานที่ซึ่งถูกเรียกว่ายูโทเปีย แต่เป็นการเข้าไปในลักษณะที่แตกต่าง ตำแหน่งก็ไม่เหมือนกัน บางคนเข้าไปหลังจากเผชิญพายุบนน่านน้ำระหว่างทะเลคลั่งกับทะเลโซเนีย บางคนเข้าไปหลังจากเผชิญพายุขณะโดยสารรถไฟจากอ่าวเดซีย์มายังกรุงเบ็คลันด์ และบางคนก็เข้าไปขณะหลงทางอยู่ในแคว้นซิลวารัส…

จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือมีอาการทางจิตหลังจากเข้าไปในยูโทเปีย… ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมรองผู้อำนวยการแพนเทคถึงระบุว่ามีความเสี่ยงต่ำ… ปัจจุบันยังสรุปกฎการเข้าออกเมืองไม่ได้ จึงไม่มีวิธีส่งผู้วิเศษเข้าไปสืบสวน… เราทำได้แค่แจ้งข่าวให้ทุกคนทราบ โดยว่าจะมีใครบังเอิญเข้าไปในยูโทเปียและรวบรวมข้อมูลออกมา… ซิลวางเอกสาร ยืนขึ้นด้วยสีหน้าผิดหวัง เตรียมแจ้งภารกิจให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทราบ

เธอเสียใจที่โอกาสทำภารกิจสำเร็จมีต่ำ แทบไม่มีหวังแม้แต่น้อย จึงหมดโอกาสสะสมคะแนนผลงานไปโดยปริยาย

ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา เพื่อเตรียมรับมือวันสิ้นโลกตามคำพยากรณ์ ซิลงานตรากตรำทำงานหนักในทุกวัน คอยปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ MI9 พร้อมกับทำภารกิจให้มิสเตอร์ฟูล เพื่อสะสมคะแนนผลงานจากทั้งสองฝ่าย หวังแลกเปลี่ยนเป็นเงินทอง สูตรโอสถและตะกอนพลังของ ‘จอมเวทกฎหมาย’ เพื่อเติมเต็มความปรารถนาในการเป็นครึ่งเทพ

จวบจนปัจจุบัน ซิลยังสะสมคะแนนผลงานไปไม่ถึงไหนทั้งสองฝั่ง โดยเฉพาะฝั่ง MI9 เธอแทบไม่มีบทบาทมากนัก แทบไม่เห็นความหวัง

หากไม่ใช่เพราะเงินเดือนของ MI9 ค่อนข้างสูง แถมยังมีอภิสิทธิ์มากมาย สามารถใช้ตำแหน่งเพื่อรวบรวมข้อมูลจำนวนมากสำหรับทำภารกิจให้มิสเตอร์ฟูลได้สะดวก ซิลคงคิดลาออกและกลับไปเป็นนักล่าเงินรางวัลตามเดิม แบบนั้นจะมีอิสระมากกว่า

ไว้ค่อยนำเรื่องนี้ไปถามในชุมนุมทาโรต์ครั้งหน้า บางทีมิสเตอร์เวิร์ลหรือคนอื่นๆ อาจมีเบาะแส… ขณะครุ่นคิด ซิลผลักประตูห้องของสมาชิกในหน่วยเข้าไป

อธิบายภารกิจเกี่ยวกับยูโทเปียเสร็จ หญิงสาวเน้นย้ำ

“หากสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล แม้จะได้บังเอิญเข้าสู่ยูโทเปียไปแล้ว พวกคุณสามารถถอนตัวได้ทุกเมื่อ การที่เมืองลึกลับยังไม่เคยแสดงปัญหาออกมา ไม่ได้แปลว่ามันไม่มี แต่อาจเป็นเพราะปัญหายังไม่เคยถูกกระตุ้น”

หลังจากยุ่งวุ่นวายอีกสักพัก ในที่สุดซิลก็เสร็จการทำงานอันเหน็ดเหนื่อยและกลับถึงบ้านก่อนทุ่มครึ่ง รับประทานอาหารเย็นกับแม่ น้องชาย และฟอร์ส จากนั้นก็เพลิดเพลินไปกับช่วงเวลาพักผ่อน

เลยเที่ยงคืนเล็กน้อย หลังจากอาบน้ำเสร็จ หญิงสาวเดินไปยังริมหน้าต่างห้องนอน จับผ้าม่าน เตรียมขึงปิดให้มิดชิด

ระหว่างนั้น ซิลมองออกไปตามความเคยชิน และพบว่าพระจันทร์สีแดงเข้มบนท้องฟ้ากำลังกลมดิก ขนาดใหญ่กว่าปรกติเล็กน้อย สีเข้มกว่าปรกติอย่างชัดเจน คล้ายกับมีเลือดสดไหลเวียน

จันทราโลหิต… ซิลหันหน้าไปมองห้องข้างเคียงด้วยความเป็นห่วง อดไม่ได้ที่จะกังวลเกี่ยวกับเพื่อนสนิท

อย่างไรก็ดี เพียงไม่นานเธอก็นึกขึ้นได้ว่า ฟอร์สกลายเป็นครึ่งเทพลำดับ 4 เรียบร้อยแล้ว ไม่จำเป็นต้องกลัวอิทธิพาลจาก ‘เสียงเพรียกในคืนจันทร์เต็มดวง’ อีกต่อไป

ภายในห้องติดกัน ฟอร์สนอนอยู่บนเตียง จ้องมองไปยังจันทราโลหิตด้านนอก พลางอดทนความเจ็บปวดจากเสียงเพรียกของมิสเตอร์ประตู:

“แม้ลำดับ 3 ไป 2 จะหมายถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพจากร่างสัตว์ในตำนานไม่สมบูรณ์ กลายเป็นร่างสัตว์ในตำนานที่สมบูรณ์ แต่ข้าคิดว่าลำดับ 4 ไป 3 เองก็มีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพเช่นกัน หรือกล่าวได้ว่า ลำดับ 3 คือลำดับที่ยอดเยี่ยมที่สุดบนเส้นทางผู้วิเศษ…”

“ในลำดับดังกล่าว ผู้วิเศษไม่ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากภายนอกเพื่อต่อกรกับแนวโน้มความบ้าคลั่ง ไม่ต้องทุกข์ทรมานในทุกวินาที แต่ยังได้ครอบครองพลังที่เหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาหลายขุม เป็นตัวตนที่ใกล้เคียงเทพมากกว่ามนุษย์ และยังสามารถใช้หลักยึดเหนี่ยวเล็กๆ เพื่อทำให้จิตใจมีเสถียรภาพ…”

“หากไม่ใช่เพราะอายุขัยของลำดับ 3 ส่วนมากมักไม่เกินห้าร้อยปี คงไม่มีนักบุญคนใดต้องการเลื่อนเป็นเทวทูต…”

“จ้า จ้า” ฟอร์สพยักหน้าถี่ๆ เป็นนัยว่ารับทราบ

ขณะเดียวกัน หน้าผากหญิงสาวกระตุกแผ่วเบาพร้อมกับแอบหาว

เธอเคยชินกับความเจ็บปวดขณะสนทนากับมิสเตอร์ประตูโดยตรงแล้ว

มิสเตอร์ประตูกล่าวต่อไป

“ลำดับ 3 ของเส้นทางผู้ฝึกหัดมีชื่อว่า ‘นักพเนจร’ ซึ่งนั่นหมายความว่า เจ้าจะไม่ถูกพันธนาการอยู่แค่ในโลกวิญญาณอีกต่อไป สามารถท่องไปตามอวกาศ โลกดารา ดาวเคราะห์ดวงอื่น ได้สัมผัสกับความเงียบที่แท้จริง ความว่างเปล่าโดยสมบูรณ์ ความกว้างใหญ่ไพศาล และอารยธรรมที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง…”

“หากได้เผชิญสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเอง เจ้าจะตระหนักได้ทันทีว่าโลกที่กำลังอาศัยนั้นกระจ้อยร่อยเพียงใด…”

มิสเตอร์ประตูเล่าประสบการณ์ส่วนตัวอย่างคร่าว แสดงให้หญิงสาวเห็นถึงความยิ่งใหญ่อลังการของอวกาศ และมนต์เสน่ห์ของอารยธรรมต่างๆ

เนื้อหาดังกล่าวทำให้ฟอร์สตกอยู่ในภวังค์สักพัก หากไม่ใช่เพราะยังมีความเจ็บปวดคอยย้ำเตือน เธอคงลืมไปแล้วว่าผู้บรรยายคือราชาเทวทูตแสนอันตราย

“ตราบใดที่เจ้าช่วยข้าออกไป ข้าจะมอบสูตรโอสถและตะกอนพลังของนักพเนจรให้ แถมยังจะช่วยประกอบพิธีกรรม แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้สามารถจ่ายเป็นค่าตอบแทนล่วงหน้าได้” ในช่วงท้ายของเสียงเพรียก มิสเตอร์ประตูให้คำมั่นสัญญา

“น่าสนใจมาก” ฟอร์สกล่าวชื่นชม

เมื่อเสียงของมิสเตอร์ประตูค่อยๆ จางลงและเลือนหาย ฟอร์สดึงหมอนออกจากตักและทิ้งตัวนอน

ไม่ถึงสามนาที เธอผล็อยหลับไปอย่างเงียบงัน

สำหรับหญิงสาว อวกาศอาจเต็มไปด้วยความน่าหลงใหล แต่ก็เต็มไปด้วยอันตรายจากการกัดกร่อนแม้เพียงทำความเข้าใจ จึงไม่มีความคิดที่จะออกไปสำรวจแม้แต่น้อย

“ไว้เที่ยวทวีปเหนือใต้และห้าห้วงสมุทรให้ครบก่อนนะ…” ขณะหลับ หญิงสาวพึมพำกับตัวเองเสียงแผ่ว

ปัจจุบัน ดวงจันทร์สีแดงเข้มด้านนอกหน้าต่างเลือนหายไปแล้ว กลายเป็นสีแดงอ่อนตามปรกติ

พระจันทร์สีเลือดเต็มดวงขนาดมหึมากำลังลอยอยู่เหนือริมผา สาดแสงฉาบลงบนบึงเบื้องล่าง

ผิวบึงมีสีแดงเข้ม ผุดฟองคล้ายน้ำเดือดตลอดเวลา ประหนึ่งด้านล่างเต็มไปด้วยแมกมาที่พร้อมจะต้มทุกสิ่งให้สุก

มองผิวเผิน บึงแห่งนี้กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตราวกับมหาสมุทร

จ๋อม!

หินก้อนหนึ่งตกจากริมผาลงไปในบึง

วินาทีถัดมา ฟองอากาศผุดขึ้นและแตกออก ให้กำเนิดทารกชุ่มเลือด

ทารกตัวสั่นเล็กน้อย ก่อนจะว่ายมายังริมผาและพยายามปีนป่าย

เปรี้ยะ!

หินใต้ฝ่าเท้าเอ็มลิน·ไวท์แตกละเอียด ร่างทั้งร่างตกจากหน้าผาลงมาในบึง

เอิร์ลผีดูดเลือดรายนี้สะดุ้งตื่นจากความฝัน ก่อนจะมองไปรอบตัวด้วยสีหน้าสับสนงุนงง

หลังจากยืนยันได้ว่าที่นี่คือห้องนอนของตน ซึ่งรายล้อมไปด้วยตุ๊กตาน้อยใหญ่จำนวนมาก เอ็มลินหายใจเข้าออกเชื่องช้า กล่าวกับตัวเองด้วยกิริยาท่าทางสง่างาม

“ความฝันเมื่อครู่ไม่ธรรมดา”

ในฐานะราชาหมอผี มันย่อมแปลความฝันได้ในระดับหนึ่ง

หรือนี่คือสิ่งที่เรียกว่า ‘วิวรณ์จากเทพ’? แต่เราไม่เห็นจะได้ข้อมูลอะไรเลย… เอ็มลินครุ่นคิดนานหลายสิบวินาที แต่พยายามเท่าไรก็ไม่พบคำตอบ จึงตัดสินใจมองข้ามไปก่อน ค่อยไปถามหลวงพ่อยูทรอฟสกี้วันหลัง

เมื่อพระจันทร์แดงซีดจางลง พระจันทร์ซึ่งไม่เต็มดวงอีกต่อไป สาดแสงอ่อนโยนลงบนลานหญ้าของวิหารคลื่นสมุทร

อัลเจอร์ยื่นมือออกไปรับกระดาษที่ ‘ส่ง’ โดยสายลมและกวาดตาอ่าน:

“เวอร์ดูกำลังมองหาเรือโจรสลัดหรือเรือลักลอบขนสินค้าเพื่อเดินทางไปยังแบนชี”

ท่าเรือแบนชียังสร้างใหม่ไม่เสร็จ ยังไม่มีเรือโดยสารแล่นไปยังที่นั่น เวอร์ดูซึ่งหวงแหนการใช้งาน ‘เทเลพอร์ต’ จึงต้องเดินทางไปยังท่าเรือดังกล่าวด้วยวิธีการไม่ปรกติเท่านั้น

แบนชี? อัลเจอร์ขมวดคิ้วทันที

มันทราบดีว่าแบนชีหมายถึงสิ่งใด แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมเวอร์ดูถึงอยากไป

ปัจจุบัน ที่นั่นไม่ควรหลงเหลือเบาะแสใดแล้ว!

ไม่สิ แม้ว่าศาสนจักรจะลงมือถล่มแบนชีไปแล้ว แต่ที่นั่นอาจยังหลงเหลือความผิดปรกติบางอย่าง นอกจากนั้น ในท้ายที่สุด ศาสนจักรก็ไม่ทราบอยู่ดีว่าความผิดปรกติที่ซ่อนอยู่ในแบนชีคืออะไร… ในฐานะพระคาร์ดินัล อัลเจอร์มีสิทธิ์เข้าถึงเอกสารลับ รวมถึงรายงานปฏิบัติการถล่มแบนชีของโบสถ์วายุสลาตัน

นอกจากนั้น มันยังได้ทราบข้อมูลเพิ่มเติมจากมิสเตอร์ฟูลและเกอร์มัน·สแปร์โรว์

ไตร่ตรองสักพัก อัลเจอร์คิดเร็วทำเร็ว เตรียมบอกให้ ‘องครักษ์เงา’ ของตนจัดหาเรือโจรสลัดให้เวอร์ดู

สำหรับแง่นี้ อัลเจอร์มีเส้นสายมากมาย ไม่จำเป็นต้องออกหน้าในนามตัวเอง

ต้องไม่ลืมว่า ภายในน่านน้ำหมู่เกาะรอสต์ เรือลักลอบขนส่งทั้งหมดคือเรือโจรสลัด

……………………………………………

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version