ตอนที่ 173 : กลายเป็นซอมบี้
โดยไม่ปล่อยให้ไคลน์ผุดไอเดียใหม่ ส.ส.เมย์นาร์ดในร่างเงอะงะกำลังงอแขนสองข้างเข้าหาลำตัว จากนั้นก็กระโจนใส่ไคลน์จากฝั่งซ้ายพร้อมกับเสียงลมแหวก
หากเป็นสมัยก่อน มันไม่มีทางตอบโต้เหตุการณ์ฉับไวเช่นนี้ได้ทัน ต่อให้ทราบก่อนว่าอีกฝ่ายจะลงมือโจมตี แต่วิธีต่อสู้เดียวคือการกลิ้งหนีให้ไกล
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน ร่างกายไคลน์ขยับไปเองคล้ายกับสั่งสมประสบการณ์ต่อสู้นานแรมสิบปี ชายหนุ่มกระทืบรองเท้าบูตหนังไร้ปุ่มเพื่อส่งตัวเองกระโดดตีลังกาขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ด้านหลัง
กระนั้น ไคลน์เพิ่งได้เป็นตัวตลกเมื่อวาน ร่างกายยังไม่ทันปรับให้คุ้นชินกับการเปลี่ยนแปลง ภายใต้สถานการณ์ฉุกละหุก แรงส่งจากข้อเท้าจึงมากกว่าปรกติ
ตอนแรกเล็งกระโดดยืนบนเบาะเก้าอี้ แต่ปลายเท้ากลับร่อนลงจอดบนขอบพนักสูงของเก้าอี้แทน
จุดดังกล่าวเป็นสันแคบ หัวใจไคลน์แทบหล่นไปอยู่ตาตุ่ม แต่ก็รีบบังคับร่างกายตัวเองเพื่อรักษาสมดุลไม่ให้เสียหลักล้ม
ขณะกำลังโงนเงน มันตวัดไม้ค้ำในมือซ้ายใส่ชายโครงซอมบี้เมย์นาร์ดซึ่งกำลังกระโจนเข้าใส่ ส่งผลให้อีกฝ่ายเสียหลักล้มไถลไปกับพื้นพรมแดง
ไคลน์ยืนจัดระเบียบร่างกายบนขอบพนักเก้าอี้โดยไม่สั่นคลอน มือขวาชักปืนออกจากซองเอว สายตาเพ่งเล็งหมายส่งกระสุนปราบมารใส่กึ่งกลางศีรษะซอมบี้บัดซบตรงหน้า
แต่ทันใดนั้น ชายหนุ่มชะงักงันเนื่องจากฉุกคิดถึงความฉิบหายซึ่งอาจตามมาภายหลัง
หากตนเป่ากบาลส.ส.เมย์นาร์ดคนดังแห่งเมืองทิงเก็น แล้วจะใช้ข้ออ้างใดอธิบายกับครอบครัวผู้ตายรวมถึงเหล่าสมาชิกสภาซึ่งกำลังกดดันคดีนี้?
…เฮ่อ แค่เตะศพไปสองครั้งเอง เกิดอะไรขึ้นกันแน่
ขณะผุดความลังเล มันล้วงมือหยิบแผ่นโลหะทรงสามเหลี่ยมภายในช่องกระเป๋าลับของชุดตำรวจ
…แผ่นสามเหลี่ยมหมายถึง
ยันต์ปัดเป่าวิญญาณ
ไคลน์คิดไวทำไว มันขว้างยันต์โลหะสีเงินใส่ซอมบี้พร้อมกับท่องภาษาเฮอร์มิสแผ่วเบา
“แดงฉาน!”
เสียงทุ้มลึกของชายหนุ่มดังกังวานทั่วห้องนอนเงียบสงัด ยันต์ปัดเป่าวิญญาณในมือพลันเย็นเฉียบคล้ายจับก้อนน้ำแข็ง
ไคลน์รีบถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปพลางโยนใส่ซอมบี้เมย์นาร์ดซึ่งกำลังตะเกียกตะกายลุกยืนด้วยข้อต่อแข็งทื่อ
ไฟเย็นสีฟ้าอ่อนลุกโชนรอบแผ่นโลหะสามเหลี่ยม ออร่าพลังงานดำมืดเริ่มแผ่บรรยากาศสุขสงบอ่อนโยนฟุ้งกระจายถ้วนทั่ว ชำระล้างความกระสับกระส่ายภายในทุกดวงวิญญาณ
ซอมบี้เมย์นาร์ดพลันนิ่งสงัด ดวงตาเหม่อลอยไร้วิญญาณ ฟองน้ำลายมุมปากไหลย้อยลงพรมแดงอย่างเงียบงัน
ไคลน์ถอนหายใจยาวโล่งอก มันรีบหยิบขวดออกมาเตรียมประกอบพิธีกรรมปัดเป่าวิญญาณ แต่เพียงไม่นาน เมย์นาร์ดกลับส่งเสียงครวญครางในลำคอ ดวงตาซึ่งเคยเหม่อลอยกลับมาแวววาวอีกหน สายตาเพ่งมองกระเป๋าเสื้อฝั่งซ้ายของไคลน์อย่างไม่กะพริบ
…บัดซบ! ชายหนุ่มรีบกระโจนจากขอบเก้าอี้ทีเดียวถึงขอบมุขหน้าต่าง
วินาทีถัดมา เสียงเก้าอี้ไม้ถูกทำลายดังแว่วเข้ามาในหูโดยไม่ได้หันกลับไปมอง
มันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากล้วงหยิบแผ่นโลหะสี่เหลี่ยมสีเงิน
ยันต์หลับใหล!
สิ่ง ‘ไม่มี’ ชีวิตก็สามารถนอนหลับสนิทได้เช่นกัน หลักการของความตายไม่ต่างจากการนอนหลับสักเท่าไร เพียงแต่ซอมบี้คือคนตายซึ่งถูกปลุกให้ตื่นชั่วคราว
หนังสือเร้นลับบางเล่มได้ระบุธรรมชาติของซอมบี้ไว้ว่า : พวกมันจะนอนตอนกลางวันและหลับใหลตอนกลางคืน
“แดงฉาน!”
ไคลน์รีบเปล่งเฮอร์มิสอีกครั้ง มันเตรียมใจสาดประเคนกระสุนปราบมารใส่ซอมบี้ไม่ยั้งหากยันต์ในคราวนี้ไม่ได้ผล
ช่างแม่มปัญหาภายหลังสิ! กังวลไปก็เปล่าประโยชน์หากตัวมันไม่รอดชีวิตกลับไป
เมื่อแผ่นโลหะในมือเริ่มเย็นเฉียบ ไคลน์อัดพลังวิญญาณเข้าไปพร้อมกับโยนใส่เป้าหมาย
เปลวเพลิงมายาสีแดงเข้มลุกโชนพร้อมกับเสียงระเบิดแผ่วเบาหนึ่งอึดใจ
พลังอ่อนโยนแผ่ขยายพร้อมกับแผ่ออร่าความอ่อนล้าให้กับทุกสิ่งมีชีวิตในอาณาเขต แน่นอนว่ารวมถึงซอมบี้เมย์นาร์ด มันยังไม่ทันพยุงร่างขึ้นจากพื้นดี ร่างกายก็เริ่มปรากฏอาการโงนเงนให้เห็น
เพียงไม่นาน ดวงตาของมันปิดสนิท ก่อนจะหงายหลังทิ้งตัวนอนลงไปทั้งอย่างนั้น
จากเหตุการณ์ก่อนหน้า ไคลน์ไม่กล้าผ่อนคลายตัวเองแม้แต่วินาทีเดียว มันรีบล้วงเอาขวดสารสกัดอมานด้าซึ่งกลั่นจากวานิลลาราตรี บุปผาหลับใหล และคาโมไมล์ออกมา
อีกมือหนึ่งล้วงเปลือกไม้มังกรและขวดน้ำมันสกัดจันทราเต็มดวงซึ่งกลั่นจากบุปผาจันทรา
แท่นบูชาถูกประกอบในเวลาอันสั้น
โดยไม่รีรอ ชายหนุ่มกางกำแพงวิญญาณด้วยการโปรยผงรัตติกาลศักดิ์สิทธิ์รอบแท่นบูชาและร่างซอมบี้เมย์นาร์ด
ถัดมาเป็นการท่องคาถาพร้อมกับจุดเทียนสามเล่มแทนสัญลักษณ์ จากนั้นก็หยดน้ำมันสกัดพลางโปรยผงสมุนไพรนานาชนิดลงบนเปลวเทียน
ไคลน์เดินถอยหลังสามก้าว สายตายังคงจ้องมองซอมบี้เมย์นาร์ดไม่กะพริบเผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน ปากขยับพึมพำท่องคาถาภาษาเฮอร์มิสอย่างตั้งใจ
…
“สูงสง่ากว่าดารา ยืนยาวยิ่งกว่านิรันดร์ พระองค์เทพธิดารัตติกาลผู้ยิ่งใหญ่ ข้าขอภาวนาความรักจากพระองค์ ข้าขอภาวนาให้พระองค์ทรงยื่นมือช่วยเหลือสาวกผู้ซื่อสัตย์ ข้าขอภาวนาพลังแห่งแดงชาด ข้าขอภาวนาพลังแห่งสุขสงบ ขอภาวนาให้พระองค์ช่วยปัดเป่ามลทินรอบตัวข้าพเจ้าและสุภาพบุรุษนามว่าจอห์น·เมย์นาร์ด บุปผาจันทราและพฤกษาแห่งจันทร์สีชาดเอ๋ย ช่วยเป็นพลังแก่คาถาของข้าด้วย”
“บุปผาหลับใหลและพฤกษาแห่งจันทร์สีชาดเอ๋ย ช่วยเป็นพลังแก่คาถาของข้าด้วย”
…
คล้ายกับมีสายลมฉุนเฉียวเกรี้ยวกราดโหมกระหน่ำภายในกำแพงวิญญาณ เพียงไม่นาน ไอน้ำสีดำระเหยออกจากร่างซอมบี้เมย์นาร์ดซึ่งกำลังสั่นกระตุก
หลังจากเหตุการณ์สงบลง ไคลน์ใช้เนตรวิญญาณตรวจสอบซ้ำเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งมีชีวิตตรงหน้าจะไม่ ‘คืนชีพ’ ขึ้นมาอีก
เมื่อยืนยันผลลัพธ์ ความกังวลในใจเริ่มผ่อนคลาย ชายหนุ่มสิ้นสุดพิธีกรรมพร้อมกับสลายกำแพงวิญญาณ
…หมอนี่กลับมามีชีวิตได้ยังไง?
ไคลน์ขมวดคิ้วพึมพำขณะยืนจ้องมองร่างเมย์นาร์ดนอนหมอบกับพื้น
สำหรับผู้วิเศษบางเส้นทาง สัมผัสวิญญาณจะช่วยให้ทราบอันตรายล่วงหน้า โดยเฉพาะกับไคลน์ซึ่งเป็นนักทำนายและตัวตลก ดังนั้นการคืนชีพปุบปับของเมย์นาร์ดจึงเป็นกรณีแปลกประหลาดอย่างแท้จริง
…ถูกอิทธิพลภายนอกก่อกวนรึเปล่า?
คล้ายกับชะตากรรมของตัวตลกสวมสูทซึ่งถูกมิติสายหมอกก่อกวนจนไม่เกิด ‘นิมิต’ แจ้งเตือน ชายหนุ่มพยายามทบทวนเหตุการณ์เมื่อครู่พลางพึมพำเสียงค่อยในลำคอ
…จริงสิ ซอมบี้เมย์นาร์ดพยายามโจมตีกระเป๋าเสื้อด้านซ้าย
ในกระเป๋าซ้ายมีอะไร?
ไคลน์ย้ายไม้ค้ำไปถือมือขวาพร้อมกับใช้มือซ้ายล้วงกระเป๋าเสื้อ
…นกหวีดทองแดง
แกะสลักลวดลายวิจิตร จุดประสงค์การใช้งานคืออัญเชิญผู้ส่งสารของมิสเตอร์อะซิก
อย่าบอกนะว่านกหวีดอันนี้ทำให้ศพส.ส.เมย์นาร์ดกลายเป็นซอมบี้?
มีความเป็นไปได้มากทีเดียว มิสเตอร์อะซิกอาจไม่ใช่ทายาทเทพมรณาโดยตรง แต่ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเทพมรณาไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแน่ การจะพกสมบัติวิเศษลึกลับติดตัวคงไม่แปลกประหลาดสักเท่าไร
ไคลน์ผงกศีรษะแผ่วเบาหลังจากหาคำตอบให้ตัวเองพบ
เพื่อเป็นการยืนยัน มันหยิบเหรียญทองแดงหนึ่งเพนนีออกมาช่วยทำนายซ้ำ
หลังจากท่องประโยคเจ็ดหนพร้อมกับดีดเหรียญขึ้นไปในอากาศ มันหงายฝ่ามือรับและพบว่าเหรียญออก ‘หัว’
หมายถึงเป็นจริง
นกหวีดบัดซบเกือบทำให้ตนหัวใจวายตาย
มิสเตอร์อะซิกไม่คิดจะมอบคู่มือการใช้งานนกหวีดให้สักหน่อยหรือ?
…เขาความจำเสื่อมนี่นะ จะหลงลืมไปสักสิ่งสองสิ่งก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก แถมอาจไม่เคยเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้มาก่อนขณะอยู่ในมือของมิสเตอร์อะซิก ออร่าวิญญาณอันล้นเหลือรอบตัวชายคนนั้นคงสะกดพลังนกหวีดไว้
ดังนั้น ตนไม่ควรนำนกหวีดติดตัวเมื่อเดินทางไปยังสุสานหรือปราสาทโบราณ ไม่อย่างนั้นคงเป็นการรนหาความตายมากกว่าปฏิบัติภารกิจ
ไคลน์รีบเตือนสติตัวเองพลางอุ้มร่างส.ส.เมย์นาร์ดขึ้นไปนอนบนเตียงในสภาพเดิม
สายตาเหลือบเห็นรอยช้ำลึกซึ่งเกิดจากการกระแทกไม้ค้ำสุดแรง แต่มันรีบใช้ผ้าขาวปิดไว้และแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
…ขอโทษนะทอเร่ นายรับหน้าไปก็แล้วกัน
ภารกิจวันนี้สิ้นเปลืองยันต์ไปสองแผ่น ต้องไม่ลืมทำเรื่องเบิกเงินคืน …ชายหนุ่มครุ่นคิดหลายสิ่งในหัวขณะเก็บกวาดจุดเกิดเหตุ
เมื่อเสร็จสรรพ ไคลน์หยิบภาพวาดของหญิงสาวในนิมิตพร้อมกับเดินออกไปนอกห้อง
บานประตูไม้ถูกเปิดด้วยเสียงแอ๊ด มันเห็นสารวัตรทอเร่กำลังยืนห้ามมิให้ใครเข้าใกล้ห้อง
“…เมื่อครู่เสียงอะไร?” ทอเร่หันมาถาม
เสียงการต่อสู้ดังเล็ดลอดออกนอกห้องจนมนุษย์ปรกติสัมผัสถึง
ไคลน์ฉีกยิ้ม มันจงใจเล่าเกินความจริงเพื่อให้ฟังดูเหมือนเรื่องขำขัน
“สส.เมย์นาร์ดคืนชีพกลับมาอีกครั้งและพยายามสวมกอดผมอย่างแนบแน่น”
“…อย่าเล่นมุกแบบนี้”
ทอเร่มองเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ไม่ขำสักหน่อยหรือ?”
ไคลน์อมยิ้มพลางโบกไม้โบกมือ
“ความจริงก็คือ ศพส.ส.เมย์นาร์ดคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งโดยไม่ทราบสาเหตุ ผมเข้าใจว่ามันฟังดูเหมือนเรื่องเล่าสยองขวัญ แต่ขอรับประกันว่าเป็นเรื่องจริง โชคดีว่าผมเชี่ยวชาญมากพอและใช้พิธีกรรมเวทมนตร์ทำให้เขาหลับไปตลอดกาล”
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสาเหตุการตายไหม?”
ทอเร่ซักถามสีหน้าเคร่งเครียด
“ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน คุณคงทราบดีว่าเหยี่ยวราตรีมักเผชิญเรื่องราวเหนือจินตนาการอยู่เสมอ นี่คือหนึ่งในนั้น”
เมื่อพูดจบ ไคลน์แกว่งภาพวาดในมือไปมา
“ขณะประกอบพิธีกรรมสื่อวิญญาณ ผมเห็นนิมิตความตายของส.ส.เมย์นาร์ด เขากำลังร่วมกิจกรรมซึ่งควรเกิดขึ้นเฉพาะคู่สามีภรรยากับหญิงสาวในภาพนี้ เมื่อถึงจุดสุดยอด ร่างกายท่านส.ส.เกิดการชักเกร็งพร้อมกับใช้มือบีบหน้าอกก่อนจะล้มฟุบลงไป”
“…คุณหมายความว่า ‘ไอ้นั่น’ คือสาเหตุการตายแท้จริงของท่านส.ส.หรือ?”
ทอเร่จ้องมองไคลน์พลางขยิบตาวิ้งวับ
“ในทางทฤษฎีก็ใช่ …แต่ควรรอผลการชันสูตรศพอย่างละเอียดอีกครั้ง”
หลังจากอธิบายเสร็จ ไคลน์ยื่นภาพวาดหญิงสาวปริศนาให้อีกฝ่าย
เพียงทอเร่ชำเลือง มันโพล่งอย่างตกตะลึง
“มาดามเชอรอน!”
ไคลน์มองกลับอย่างฉงน
“เธอเป็นคนดังหรือ?”
นั่นสินะ หากพิจารณาจากใบหน้าและสัดส่วน ก็สมควรเป็นคนดังอยู่ …ไคลน์รำพัน
ทอเร่รีบกวาดสายตามองรอบตัวพร้อมกับอธิบายอย่างตื่นตระหนก
“มาดามเชอรอนเป็นหญิงหม้ายอันดับหนึ่งแห่งเมืองทิงเก็น กล่าวกันว่าถูกหมายปองจากขุนนางชั้นสูงมากมาย เคยเป็นภรรยาของบารอนโฮอี้ลำดับสอง แต่น่าสงสารเมื่อต้องกลายเป็นหม้ายตั้งแต่ยังสาว มาดามเชอรอนมักถูกบรรดาพ่อค้าและขุนนางชั้นสูงชักชวนไปร่วมงานเลี้ยงบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นตัวแทนจากพรรคอนุรักษนิยมหรือพรรคหัวก้าวหน้า แถมยังมีข่าวลือว่า เธอและบุตรชายบุญธรรม บารอนโฮอี้คนปัจจุบัน มีความสัมพันธ์อันดีกับขุนนางและข้าราชการอาวุโสของกรุงเบ็คลันด์ เรียกได้ว่าเพียบพร้อมทั้งความงามและพลังอำนาจ ไม่น่าเชื่อว่าเธอคนนั้นกับส.ส.เมย์นาร์ดจะ …ฮะฮะ!”
หรือก็คือ เป็นตัวตนอภิมหายิ่งใหญ่
ไคลน์สรุปด้วยตัวเองพลางหันหลังชี้นิ้วกลับเข้าไปในห้องนอน
“งานของผมจบลงแล้ว คุณดำเนินการสืบสวนมาดามเชอรอนเอาเอง …แล้วก็ผมหวดเข้าชายโครงท่านส.ส.เมย์นาร์ดไปหนึ่งครั้ง ฝากแก้ต่างให้ด้วย”
……………………