ตอนที่ 263 : แรงบันดาลใจและการทดลอง
ภายใต้แสงจันทร์แดงสลัว ไคลน์เลิกผ้าห่มขึ้นและพยุงตัวนั่ง
สำหรับนักทำนาย คุณสมบัติพื้นฐานคือการไม่ละเลยความฝัน โดยเฉพาะฝันเมื่อครู่ มันไม่มีทางเป็นฝันร้ายปรกติแน่นอน
ไคลน์ในชุดเบาสบายสำหรับนอน เดินไปหยุดยืนหน้ากระจกเงาเต็มบานและซักถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ผมฝันถึงประตูอาบเลือดภายในห้องวิญญาณมาร…”
ใบหน้าของมิสบอดี้การ์ดปรากฏบนผิวกระจก เธอตอบกลับด้วยเสียงเรียบไร้อารมณ์
“เป็นอิทธิพลจากออร่าวิญญาณมาร”
“อาการจะดีขึ้นถ้าออร่าดังกล่าวถูกขจัดออกไปอย่างสมบูรณ์”
แบบนี้นี่เอง…ไคลน์พยักหน้ารับและเดินไปยืนข้างเตียง มันโน้มตัวหยิบนาฬิกาพกสีทองออกมาเปิดฝา
เมื่อเห็นว่ายังเช้า ชายหนุ่มทิ้งตัวนอนบนเตียงเพื่อหลับยาว และคราวนี้ ความฝันแบบเดิมก็ไม่ปรากฏขึ้นมาอีกเลย
…
เช้าวันถัดมา วันอาทิตย์ ไคลน์รู้สึกกระปรี้กระเปร่าเป็นพิเศษ มันลงมือทำไข่ลวกกินกับขนมปังทาเนยเป็นอาหารเช้า
ภายในอาณาจักรโลเอ็น รวมถึงอาณาจักรใหญ่แห่งอื่นบนทวีปตะวันออก สุภาพบุรุษต้องอ่านหนังสือพิมพ์ขณะรับประทานอาหารมื้อเช้า ไคลน์ก็ไม่มีข้อยกเว้น มันเริ่มกางหนังสือพิมพ์ในรายการสมัครสมาชิกของตน ประกอบด้วยทัสซอค เบ็คลันด์โพส และเบ็คลันด์เดลี
“ร่างกฎหมายสอบข้าราชการพลเรือนได้ผ่านสภาขุนนางแล้ว การสอบรอบแรกจะถูกจัดขึ้นในช่วงต้นเดือนสิบสอง การสอบรอบสองจะถูกจัดในช่วงปลายเดือนหนึ่ง หลังจากนั้นสองสัปดาห์จะเป็นการสอบสัมภาษณ์รอบสุดท้าย…ภายในสัปดาห์หน้า รัฐบาลจะประกาศตำแหน่งงานและความสามารถขั้นต่ำ จากนั้นก็จะทยอยเปิดรับสมัคร…ผู้รายงานข่าวเชื่อว่า ตำแหน่งงานส่วนใหญ่จะสังกัดภายในกรุงเบ็คลันด์…” ไคลน์จินตนาการภาพคนเก่งจากทุกสาขาอาชีพเริ่มหลั่งไหลมารวมตัวในเบ็คลันด์ มันยกแก้วชาดำซิบป์ขึ้นมาจิบด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
ไคลน์อดคิดถึงเบ็นสันไม่ได้ สมองกำลังส่งเสียงคุยกับตัวเอง
“ร่างกฎหมายถูกผลักดันเสร็จในช่วงปลายเดือนเก้า ประกาศตำแหน่งงานต้นเดือนสิบ รับสมัครเสร็จสิ้นช่วงต้นเดือนสิบเอ็ด และเริ่มสอบรอบแรกช่วงต้นเดือนสิบสอง…ระยะเวลากระชั้นชิดมาก แต่ก็สมเหตุสมผลเช่นกัน แสดงให้เห็นว่ากษัตริย์และนายกรัฐมนตรีเร่งผลักดันกฎหมายมากเพียงใด”
“แบบนี้ก็เข้าทางเบ็นสันเขามีเวลาเตรียมตัวก่อนคนอื่นราวสองเดือน ถึงจะไม่ฉลาดหลักแหลมเท่าหัวกะทิจากมหาวิทยาลัย แต่ก็คงเอาชนะผู้เข้าแข่งในตำแหน่งงานตัวเองได้ไม่ยาก เพราะระดับหัวกะทิคงไม่เล็งตำแหน่งเดียวกับเบ็นสันอยู่แล้ว”
“เขาต้องไม่เป็นไรแน่…”
ไคลน์เตรียมทำมือสี่จุดบนอก สัญลักษณ์ของจันทร์แดง พร้อมกับพูดว่า ‘ท่านเทพธิดาได้โปรดอวยพรเขาด้วย’ แต่เมื่อตระหนักว่าคนคุ้มกันสาวสวยอยู่ใกล้ตัว มันจำเป็นต้องระงับอารมณ์โดยเร็ว เพราะเคยบอกกับทุกคนไว้ว่าตนนับถือศาสนาเทพจักรกลไอน้ำ
หลังจากกัดขนมปังคำสุดท้าย มันก้มหน้าอ่านหนังสือพิมพ์ต่อ
“ทั้งสภาขุนนางและสภาสามัญยอมผ่านร่างกฎหมายคณะกรรมมลพิษในอากาศแห่งชาติแล้ว รัฐบาลจึงมีอำนาจก่อตั้งหน่วยงานดังกล่าวทันที…หนึ่งเดือนถัดไปจะเป็นช่วงเวลาแสนสำคัญ สมาชิกพรรคการเมืองจะวิ่งเต้นสุดความสามารถ เพื่อส่งคนเข้าไปเป็นคณะกรรมการให้มากกว่าอีกฝ่าย…”
“… สภาพขุนนางอนุมัติให้จัดตั้งหน่วยตรวจสอบอิสระของโรงงานแอลคาไลน์แล้ว เป้าหมายคือการลดระดับมลพิษในโรงงานแอลคาไลน์ทั่วอาณาจักรให้น้อยลง”
“… โฆษณาหน้าห้าไม่มีประกาศรับซื้อสินค้าจากบริษัทเอินส์ หมายความว่าพรุ่งนี้ตอนเย็นไม่มีการชุมนุมของเนตรแห่งปัญญา”
…
เมืองทิงเก็น บ้านเลขที่ 2 ถนนดารารัตน์
เบ็นสันอ่านเนื้อข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ซ้ำไปซ้ำมา หลงลืมการมีอยู่ของขนมปังบนจานตัวเองโดยสิ้นเชิง
“ร่างกฎหมายการสอบข้าราชการพลเรือนผ่านแล้วหรือไง?” เมลิสซ่าในชุดเดรสดำยาว หันมองพี่ชายด้านข้างผู้กำลังทำตัวแปลกประหลาดไปจากทุกที
ตลอดหลายวันผ่านมา หนังสือพิมพ์เล่นข่าวเกี่ยวกับร่างกฎหมายบ่อยครั้งจนผิดวิสัย โดยเฉพาะการสอบข้าราชการพลเรือน ดังนั้น หากร่างกฎหมายจะผ่านภายในวันสองวันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก
เบ็นสันตัดสินใจวางหนังสือพิมพ์ลง จัดแต่งเส้นผมสีดำขลับอย่างประณีต ก่อนจะถอนหายใจยาวด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
“ใช่”
ในวินาทีนี้ สองพี่น้องต่างไม่กล่าวสิ่งใดออกมาเป็นเวลานาน บรรยากาศภายในบ้านพลันเงียบสงัด เสียงมีดส้อมจากภาชนะรับประทานอาหารแทบไม่ดังให้ได้ยิน
แต่สถานการณ์กระอักกระอ่วนถูกทำลายลงโดยสาวใช้เบลล่าผู้เดินออกจากห้องครัว เบ็นสันฉีกยิ้มกว้างพลางกล่าวกับน้องสาว
“ใครบางคนได้ทำนายเรื่องนี้เอาไว้อย่างแม่นยำ กะแล้วเชียว สำหรับโลกยุคปัจจุบัน ข้อมูลข่าวสารสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด”
“อื้อ” เมลิสซ่าตอบกลับด้วยสีหน้าแววตาเย็นชาเหมือนทุกครั้ง
เบ็นสันกัดขนมปัง มันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ในข่าวบอกว่า โรงเรียนโพลีเทคนิคเบ็คลันด์จะปฏิรูปใหม่ให้กลายเป็นมหาวิทยาลัย”
“เริ่มรับนักศึกษาอย่างเป็นทางการภายในปีหน้า ไม่มีการสอบทางวิชาการ ไวยากรณ์ และวรรณกรรมโบราณ มีเพียงการสอบวัดความรู้ทางวิศวกรรมอย่างเข้มข้น เหมาะสำหรับให้นักเรียนจากกลุ่มโรงเรียนเทคนิคทั่วอาณาจักรเข้าศึกษาต่อ”
“เมลิสซ่า เธอควรลองสอบดู”
“แต่ว่า…” เมลิสซ่ารีบปฏิเสธตามนิสัย
เบ็นสันขัดจังหวะ ก่อนจะพูดแทรกพร้อมกับรอยยิ้ม
“ค่าเรียนถูกกว่ากันครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยทิงเก็น เพิร์ธ โฮอี้ เบ็คลันด์ หรือมหาวิทยาลัยรัฐแห่งอื่น มีศักดิ์ศรีเทียบเท่ามหาวิทยาลัยอุตสาหกรรมคอนสแตนแห่งแคว้นเลียบทะเล แถมยังมีโอกาสทางการต่อยอดได้มากกว่า เมลิสซ่า เธอชอบสาขาวิศวกรรมไม่ใช่หรือ? เครื่องกล ไอน้ำ หรืออะไรทำนองนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับการพัฒนาความรู้เพิ่มจากของเดิม”
“ลองดูสักครั้งไหม? ไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน จริงอยู่ พวกเราสามารถอาศัยเงิน ‘ก้อนนั้น’ ไปจนตายได้โดยไม่ต้องทำงาน แต่ในเมื่อยังอายุไม่มาก เราสามารถไขว่คว้าอนาคตด้วยมือตัวเองได้ กำหนดชะตาชีวิตตัวเองได้ เธอก็เห็นไม่ใช่หรือ เทียบกับหลายเดือนก่อน ทักษะด้านวิชาการของฉันพัฒนาขึ้นจากเดิมมาก”
“แล้วก็…ถ้าได้ลงเปลี่ยนสภาพแวดล้อมรอบตัว บางทีอะไรๆ อาจจะดีขึ้น”
“ฉันรู้ว่าเธอไม่อยากทิ้งทิงเก็น ไม่อยากทิ้งบ้านหลังนี้ เอ่อ พวกเราจะกลับมาอีกครั้งแน่นอน แต่ไม่ใช่ตอนยังไม่แก่”
เมลิสซ่ากวาดสายตามองสิ่งของบนโต๊ะรับประทานอาหาร ปากพะงาบหุบอ้าหลายครั้งก่อนตัดสินใจเปล่งเสียง
“แต่เบลล่า…”
หลังจากไคลน์เสียชีวิต เธอไม่ต้องการสาวใช้ประจำครอบครัวอีก แต่เมื่อคิดว่าเบลล่าอาจต้องตกงาน ชีวิตของเด็กคนนั้นอาจย่ำแย่และไม่มีใครให้พึ่งพา เมลิสซ่าจึงละทิ้งความคิดดังกล่าว เธอไม่นึกเสียดายเงินค่าจ้างของเบลล่าสัปดาห์ละ ห้าซูล เนื่องจากตระกูลโมเร็ตติมีรายรับประจำปีไม่ต่ำกว่า สามร้อยปอนด์
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เบ็นสันส่ายศีรษะพลางยิ้ม
“ยังเหลือเวลาอีกหลายเดือน นานพอให้เบลล่ามองหางานใหม่ ก่อนจะถึงเวลานั้น พวกเรายังคงมอบค่าจ้างและห้องนอนให้เธอเหมือนเดิม เหนือสิ่งอื่นใด ทักษะทำอาหารของเบลล่าพัฒนาขึ้นมากแล้ว มีโอกาสสมัครเป็นแม่ครัวในบ้านใครสักคน แต่น่าเสียดาย…ช่างมันเถอะ อย่าลืมสิ เรื่องย้ายบ้านจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ เธอสอบติดมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งเบ็คลันด์”
เบ็นสันต้องการจะพูดว่า ‘แต่น่าเสียดาย คงจะดีไม่น้อยถ้าเบลล่ามีเวลาฝึกฝีมือทำครัวนานกว่านี้’ อย่างไรก็ตาม เมื่อได้เห็นสีหน้าเจ็บปวดของน้องสาว มันรีบเปลี่ยนเรื่องอย่างไม่มีทางเลือก
โดยไม่รอให้เมลิสซ่ากล่าวสิ่งใด เบ็นสันใช้ฝ่ามือลูบไล้เส้นผมพลางอมยิ้ม
“พรุ่งนี้ฉันจะลาออกจากงานประจำ อุทิศเวลาทั้งหมดให้กับการสอบ หนังสือพิมพ์ระบุว่าตำแหน่งงานส่วนใหญ่สังกัดเบ็คลันด์ นั่นคือเป้าหมายของฉัน พวกเราจะย้ายไปอยู่ด้วยกันในเมืองหลวง”
เมลิสซ่าเงียบงันสามวินาที ตามด้วยการพยักหน้ารับเชิงเห็นด้วย
ถัดมา เธอวางมีดส้อมลง หยิบผ้าเช็ดปากขึ้นมาซับคราบและกล่าวกับเบ็นสัน
“ขอตัวไปอาบน้ำ”
“อื้อ” เบ็นสันนั่งมองแผ่นหลังน้องสาวเดินออกจากห้องรับประทานอาหาร ทันใดนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าพี่ชายคนโตพลันเลือนหาย
มันหยิบนาฬิกาพกสีเงินลายใบองุ่นออกมาจ้องมองเป็นเวลานาน ตามด้วยการถอนหายใจยาวด้วยดวงตาอันพร่ามัว
…
ตลอดวันอาทิตย์ทั้งวัน ไคลน์ตระเวนไปยังหอสมุดสาธารณะในเขตเชอร์วู้ดทั้งหมด เพื่อค้นคว้าเกี่ยวกับชีวประวัติของตระกูลไวเคาต์พาวน์ ทว่า ตระกูลพาวน์กลับไม่มีหนังสือชีวประวัติส่วนตัวแม้แต่เล่มเดียว รวมถึงไม่มีนักประวัติศาสตร์คนใดสนใจรวบรวมข้อมูลให้เป็นกิจจะลักษณะ
ข้อมูลทั้งหมดกระจัดกระจายตามเอกสารประวัติศาสตร์เล่มโน้นทีเล่มนี้ที และเมื่อโลกยุคปัจจุบันไม่มีระบบ ‘ค้นหา’ แบบดิจิทัลคอยอำนวยความสะดวกไคลน์ แค่คิดว่าต้องเผชิญหน้ากับหนังสือกองยักษ์ สมองของมันพลันเจ็บแปลบกะทันหัน
ผ่านไปหกชั่วโมง อ่านหนังสือไปหลายเล่ม แต่กลับไม่พบข้อมูลสำคัญใดเลย
“หากไม่หาผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ขุนนางโดยตรงมาช่วยเรื่องนี้ ก็ต้องติดสินบนพนักงานตำรวจในกรม ให้พวกมันช่วยหาบ้านหลังปัจจุบันของบาโรเน็ตพาวน์แทน อีกฝ่ายมียศเป็นขุนนาง กรมตำรวจคงมีบันทึกบ้านพักเก็บไว้บ้าง จำนวนขุนนางไม่ได้มีมากขนาดนั้นสักหน่อย” หลังจากไคลน์กลับถึงบ้าน 15 ถนนมินส์ มันเดินไปหยุดยืนหน้ากระจกเงาเต็มบาน จากนั้นก็ส่งเสียงพูดกับอากาศ”
ผิวกระจกเผยภาพมิสบอดี้การ์ดในเดรสโกธิกสีดำและหมวกใบเล็กเข้าชุดบนหัว
เธอพยักหน้ารับเล็กน้อย เชิงเห็นด้วยกับแนวคิดไคลน์
ตามด้วยเสียงอันล่องลอย
“หมดเวลาคุ้มกันแล้ว”
ผมรู้น่า ผ่านมาสามวันเต็มแล้ว…ไคลน์ก้มหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนซักถาม
“ถ้าผมหาเบาะแสของตระกูลพาวน์ได้ คุณต้องการทราบด้วยไหม?”
มิสบอดี้การ์ดไม่ตอบ เพียงผงกศีรษะ
“เอ่อ…ให้แจ้งผ่านมาริค?” ไคลน์ถามต่อ
คำตอบเป็นการพยักหน้าอีกครั้ง ทันใดนั้น คนคุ้มกันสาวสวยโน้มตัวมาด้านหน้าเล็กน้อย สองมือยกชายกระโปรงขึ้น ปิดท้ายด้วยการคำนับอย่างงดงาม
ภาพของเธอเลือนหายไป ผิวกระจกสะท้อนภาพไคลน์ราวกับไม่มีสิ่งใดพิเศษ
ไคลน์กวาดสายตามอง ยังคงไม่ผ่อนคลายตัวเองแม้จะเห็นภาพดังกล่าว มันเดินไปเตรียมอาหารเย็นตามปรกติ เติมเต็มท้องให้อิ่มหนำสำราญ
รอจนกระทั่งตกดึกสงัด มันเดินกลับขึ้นห้องนอน รูดม่านปิดมิดชิด นำกล่องบุหรี่โลหะออกมาปิดฝา และวางมือลงบนตะกอนพลังของโรซาโก้ ดวงตาดำล้วน
เสียงเพรียกมายาพลันบุกรุกจิตใจไคลน์ทุกทิศทาง ราวกับหวังทำลายดวงวิญญาณให้แหลกละเอียด ราวกับหวังบิดเบือนสติให้ไม่สามารถใช้การได้ตลอดไป
ไคลน์ฝืนต่อสู้กับความรู้สึกราวกับสมองใกล้ระเบิดอย่างเต็มกลืน จนกระทั่งเริ่มมองเห็นด้ายมายาสีดำพุ่งออกจากร่างกาย
พวกมันมีจำนวนมหาศาล กระจุกตัวหนาแน่น ลักษณะเลือนรางล่องลอย ยืดยาวออกไปสู่ห้วงมิติไร้ก้นบึ้ง
ไคลน์กวาดสายตามองรอบตัว เมื่อไม่พบด้ายดำเส้นอื่นนอกจากของตัวเอง จึงสบายใจได้ว่ามิสบอดี้การ์ดไม่อยู่แล้ว
ชายหนุ่มรีบปล่อยมือจากดวงตาดำล้วน ไม่สามารถอดทนต่อแรงบีบเค้นได้นานกว่านี้ จนกระทั่งผ่านไปราวหนึ่งอึดใจ เหตุการณ์รอบตัวจึงเริ่มกลับเป็นปรกติ
“ฟู่ว! เข้ามิติสายหมอกได้สักที ถึงเวลายืนยันสมมติฐานก่อนหน้าแล้ว…” ไคลน์พูดกับตัวเอง ตามด้วยการรีบตั้งแท่นบูชายันอย่างหยาบ ส่งคำขออัญเชิญตัวเอง และเข้าไปตอบรับคำขอด้วยตัวเอง
ถัดมา ด้วยกายจิตถือนกหวีดทองแดงของมิสเตอร์อะซิก มันหยิบกล่องบุหรี่โลหะและส่งตัวกลับสู่ห้วงมิติสายหมอก
ไคลน์นั่งลงบนตำแหน่งประธานใหญ่ของโต๊ะทองแดงโบราณ นำปลายนิ้วเสียดสีกันจนเกิดเปลวเพลิง และเริ่มเผาร่างสัญญาเปื้อนเลือดกับสิ่งของไม่จำเป็นทิ้งจนหมด
เมื่อจัดการเสร็จสรรพ มันเปิดกล่องบุหรี่โลหะตรวจสอบ และได้พบเรื่องน่าประหลาดเกี่ยวกับดวงตาดำล้วน วัตถุดังกล่าวมิได้แผ่อาการบ้าคลั่งให้เห็นเหมือนกับเมื่อครั้งอยู่บนโลกจริง ทว่า การปนเปื้อนยังคงแอบแฝงอยู่ภายในอย่างเงียบงัน ไคลน์สัมผัสได้เลือนราง ราวกับมันกำลังจำศีลในฤดูหนาว
“ยังแยกภาวะปนเปื้อนออกไม่ได้สินะ…” ชายหนุ่มพึมพำด้วยสีหน้าผิดหวัง ขณะเดียวกัน ร่างของบุคคลผู้หนึ่งปรากฏบนเก้าอี้ฝั่งสมาชิกชุมนุมทาโรต์ แต่งกายด้วยเสื้อคลุมสีดำยาว
ผลลัพธ์ออกมาเป็นเช่นเดียวกันการทดลองหลายครั้งก่อนหน้า ร่างโคลนของไคลน์มีลักษณะแข็งทื่อไร้วิญญาณ มองอย่างไรก็ไม่สมจริงสักนิด ไม่มีทางตบตาสมาชิกชุมนุมทาโรต์ได้แน่นอน
แต่คราวนี้ไคลน์มีแรงบันดาลใจใหม่
มือข้างหนึ่งถือดวงตาดำล้วน ด้วยอำนาจของมิติสายหมอก โสตประสาทไคลน์มีเพียงความเงียบสงัด ปราศจากเสียงเพรียกหรือภาวะบ้าคลั่งโดยสิ้นเชิง
แต่ผลของตะกอนพลังยังอยู่ มันมองเห็นด้ายมายาสีดำจำนวนมากยื่นออกจากร่างโคลนบนเก้าอี้สมาชิกชุมนุม
ไคลน์ถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปในดวงตาดำล้วนอย่างระมัดระวัง ตามด้วยการทดสอบควบคุมด้ายมายาสีดำบนร่างโคลน
ทันใดนั้น มันรู้สึกคล้ายกับกำลังคว้าบางสิ่งไว้ในมือ
นี่มัน…เมื่อไคลน์เริ่มจินตนาการ ร่างโคลนพลันยกมือขึ้นหนึ่งข้าง
สำเร็จ! เราสามารถสร้างสมาชิกปลอมได้จากพลังนักเชิดหุ่น! แต่สิ้นเปลืองสมาธิมากเกินไป ไม่มีทางสร้างได้มากกว่าหนึ่งร่างแน่…แล้วก็ สัญลักษณ์ด้านหลังเก้าอี้ก็ไม่เปลี่ยน แต่จัสติสและคนอื่นคงไม่สังเกตเห็นอยู่ดี…ไคลน์เริ่มฝึกควบคุมหุ่นกระบอกอย่างตื่นเต้น หัดบังคับช่วงปากและลำคอจนชำนาญ จนคล้ายกับร่างโคลนสามารถสื่อสารได้จริง
เมื่อตระหนักว่าพลังวิญญาณของตนใกล้เหือดแห้ง ชายหนุ่มแสยะยิ้มพร้อมกับหันหน้าไปทางร่างโคลนไร้ชีวิต
“ยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่ เจ้าต้องการแทนตัวเองด้วยไพ่ใบไหนหรือ?”
เมื่อกล่าวจบ เดอะฟูลปิดปากตัวเองสนิท ร่างโคลนบนเก้าอี้สมาชิกเริ่มเคลื่อนไหว มันเลื่อนมือขึ้นมาลูบคางพลางครุ่นคิด ตามด้วยการเปล่งเสียงแหบพร่าพร้อมรอยยิ้ม
“เวิร์ล!”
“ผมขอเลือกไพ่ ‘เดอะเวิร์ล’”
………………….