Skip to content
Home » Blog » Lord of the Mysteries 275

Lord of the Mysteries 275

ตอนที่ 275 : ตระกูลพาวน์

“ท่านมิสเตอร์ฟูล รบกวนช่วยแจ้งกับมิสเตอร์เวิร์ลด้วยว่า ผมจะรีบหารากแก้วและยางไม้ของต้นไม้มนุษย์หมอกทึบโดยเร็ว”

หลังจากได้รับคำตอบจากเดอะซัน ไคลน์ผงกศีรษะเล็กน้อยพลางพึมพำกับตัวเอง

“ประเมินจากสีหน้าและแววตา เขาค่อนข้างพึงพอใจกับอาวุธ”

“แม้จะต่อสู้ภายใต้สภาพแวดล้อมไม่ตรงตามเงื่อนไข แต่ขวานเฮอริเคนก็นับว่าทรงพลังอย่างมากอยู่ดี”

ไคลน์ส่งต่อรายละเอียดและข้อมูลของขวานเล่มดังกล่าวในนามของเดอะเวิร์ล รวมถึงข้อจำกัดอาวุธ มันไม่อยากใช้เสียงเดอะฟูลพูดโดยตรง เพราะเกรงว่าจะไม่เข้ากับภาพพจน์ของตัวตนยิ่งใหญ่

หลังจากจัดการเรียบร้อย ไคลน์ไม่คิดอยู่ในมิติหมอกเทานานนัก มันห่อหุ้มร่างกายตัวเองด้วยพลังวิญญาณและดำดิ่งกลับโลกจริงทันที ปิดท้ายด้วยการเปลี่ยนชุด และเดินออกจากถนนปาล์มดำของเขตตะวันตก

เขตตะวันออก ถนนดาราวี

ณ ผับสภาพเก่าโทรมแต่คลาคล่ำผู้คน

ซิล·เดียร์ชาปิดปากและจมูกขณะจามเสียงค่อย สำหรับเธอแล้ว สิ่งบัดซบภายในผับแห่งนี้ไม่ใช่เฉพาะแค่กลิ่นเหม็นชวนอาเจียนของเหล้าและเหงื่อไคล แต่ยังรวมถึงการต้องเดินเบียดท่ามกลางผู้คนตัวสูงกว่า หมายความว่าจมูกของเธอจะอยู่ในระนาบเดียวกับรักแร้ของมนุษย์กลิ่นเหม็นเปรี้ยวเหล่านั้น

หลังจากอาศัยความพยายามส่วนตัวและพลัง ‘ผู้ตัดสิน’ ช่วยแหวกทาง ซิลนำพาตัวเองมาถึงบาร์เหล้าสำเร็จ และได้พบกับบุคคลอันเป็นเป้าหมาย

อีกฝ่ายคือชายหนุ่มอายุราวยี่สิบ ใบหน้าเรียวยาวคล้ายม้า ขนคิ้วยุ่งเหยิงและดุดัน แต่รูปโฉมกลับค่อนข้างอ่อนโยน

ชายคนดังกล่าวกำลังกระดกแก้วเหล้าพลางหัวเราะเสียงดังร่วมกับกลุ่มลูกค้ารอบตัว

“วิลเลียมส์ ฉันมีงานมาให้” ซิลใช้กำปั้นทุบบาร์ทำจากไม้จนเกิดเสียงดัง

พฤติกรรมก้าวร้าวเช่นนี้ดึงดูดสายตาคนรอบตัวในทันที ทว่า พวกมันกลับรีบเบือนหน้าหนีเมื่อถูกแววตาขึงขังของผู้ตัดสินสะกด

“โฮ่? ซิลเองหรือ ฉันไม่ได้พบเธอหลายวันแล้วสินะ ไม่สิ คงสักสัปดาห์หนึ่ง…เอ หรือสามสัปดาห์? ดื่มสักหน่อยไหม? ครึ่งครึ่งสักแก้ว?” วิลเลียมส์ซักถาม สีหน้าของมันกำลังเมามายเจือความประหลาดใจ

‘ครึ่งครึ่ง’ คือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทหนึ่ง ได้รับความนิยมอย่างมากในเขตตะวันออก เกิดจากการนำเบียร์มอลต์ผสมกับไวน์องุ่นเข้มข้น ได้ชื่อว่าครึ่งครึ่งเพราะอัตราการผสมเป็นหนึ่งต่อหนึ่ง จะเรียกว่าครึ่งเบียร์ครึ่งไวน์ก็ไม่ผิด

“นายอยากให้ฉันดื่มจริงหรือ?” ซิลขมวดคิ้วชนกัน

“ไม่! ไม่ต้อง!” เจ้าของร้าน ผู้กำลังใช้ผ้าเช็ดแก้ว รีบตอบแทนวิลเลียมส์อย่างลนลาน

มันไม่มีวันลืมว่า หญิงสาวร่างเล็กผู้นี้กลายเป็นสัตว์ป่าดุร้ายเพียงใดในยามเมามาย การสื่อสารทุกชนิดจะใช้กำปั้นนำหน้าเสมอ โดยเฉพาะการเดินไปบอกให้แขกหยุดดื่ม หากใครไม่ยอมทำตาม ซิลจะโยนออกจากร้านทันที

มุมปากวิลเลียมส์กระตุกเล็กน้อย มันผายมือสองข้างเป็นเชิญเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายพูด

“ว่ามา มีอะไร?”

มันเองก็เป็นหนึ่งในเหยี่ยวข่าวของเขตตะวันออก มีเส้นสายจากหลายกลุ่มอันธพาล

ซิลยังคงขมวดคิ้ว

“วิลเลียมส์ นายเลิกดื่มไม่ได้หรือ? เก็บเงินเก็บทองไว้บ้าง แต่งงานกับหญิงสาวนิสัยดี และกลับบ้านไปนอนอาบน้ำร้อน ลิ้มรสอาหารอุ่น รวมถึงรอยยิ้มอ่อนโยน นายจะได้เล่าประสบการณ์ของแต่ละวันให้เธอฟัง ส่วนเธอก็จะเล่าถึงเหตุการณ์ยิบย่อยภายในบ้าน จากนั้นก็มีลูกตัวน้อยวิ่งมากอดและหอมแก้ม ชีวิตแบบนั้นไม่อบอุ่นกว่าหรอกหรือ?”

สาเหตุหลักทำให้ซิลเติบโตอย่างรวดเร็วในวงการอันธพาลเขตตะวันออก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความช่วยเหลือจากวิลเลียมส์ ดังนั้น เธอจึงต้องการให้มันมีอนาคตสดใส

“อบอุ่น?” วิลเลียมส์พ่นลมหายใจ “ความอบอุ่นจะเกิดก็ต่อเมื่อฉันมีเงินกลับเข้าบ้าน แน่นอน ถ้าฉันสามารถหาเงินได้ไม่ต่ำกว่าสัปดาห์ละยี่สิบซูล ครอบครัวของฉันก็จะมีแต่ความอบอุ่นตามคำบรรยายของเธอเมื่อครู่ แต่หากสัปดาห์ไหนฉันทำไม่สำเร็จ…โอ้พระเจ้า! สาบานได้เลย บ้านของฉันจะมีแต่เสียงยัยแก่หวีดร้อง เสียงเด็กแหกปากโวยวายเพราะหิวโหย นั่นมันยิ่งกว่านรกบนดิน!

“ไม่มีตัวอย่างไหนเห็นภาพชัดไปกว่าแม่ของฉันอีกแล้ว เมื่อไอ้แก่ระยำนั่นเมากลับมา มันจะใช้กำลังทุบตีแม่และฉันอย่างทารุณเสมอ แถมยังส่งเสียงเอะอะโวยวาย ถ้าต้องมีชีวิตแบบนั้น ฉันขอนำเงินมาลงกับเหล้าเบียร์ดีกว่า ไม่มีใครในผับสนใจว่าฉันทำเงินได้มากเท่าไร ทุกคนเอาแต่ดื่มและพูดคุยอย่างมีความสนุกสนาน ทุกคนล้วนอารมณ์ดี! หากต้องการหญิงสาว ด้านนอกก็มีโสเภณีริมถนนหน้าตาดีคอยบริการ หล่อนไม่บ่นเรื่องเงินเลยสักครั้ง!”

ซิลยิ้มเยาะเย้ย

“สมกับเป็นสาวกโบสถ์วายุสลาตัน สภาพของนายเกินเยียวยาแล้ว แล้วสักวัน นายจะต้องตายเพราะพิษสุรา หรือไม่ก็โรคประหลาดจากหญิงขายบริการ!”

“แต่อย่างน้อย ชีวิตของฉันก็มีความสุข” วิลเลียมส์ตอบกลับโดยไม่แยแสว่าอีกฝ่ายจะเหยียดหยันอย่างไร “บอกไว้ก่อนนะ ฉันไม่มีงานเข้ามาสามวันแล้ว ไม่ลดราคาให้เธอแน่”

ซิลเลิกโน้มน้าว เธอใช้มือสางเส้นผมสีทองรุงรังไม่เป็นระเบียบ ก่อนจะยื่นภาพวาดของลาเนวุสจากออเดรย์ให้อีกฝ่าย

“คอยมองหาชายคนนี้ไว้ ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดี ส่วนนี่เป็นรูปในมุมอื่นๆ”

วิลเลียมส์คลี่ภาพวาดทั้งหมดวางบนบาร์ จากนั้นก็ก้มหน้าพิจารณาด้วยสายตามึนเมาเล็กน้อย

“หน้าตาธรรมดามาก คนแบบนี้พบเห็นได้ทั่วไปในเขตตะวันออก เขตอันแสนโหดร้ายของเบ็คลันด์ ผู้คนล้มตายในแต่ละวันนับไม่ถ้วน บ้างเดินทางออก บ้างเดินทางเข้า และบ้างกลายเป็นคนจรจัด การตามหาคนหน้าตาธรรมดาให้พบไม่ใช่เรื่องง่าย”

“แค่จับตาดูไว้ก็พอ และรีบแจ้งฉันทันทีถ้านายมีเบาะแสใหม่” ซิลควักธนบัตร ห้าซูลยื่นให้อีกฝ่าย “เอ้า! นี่ค่าเบียร์ และถ้านายหาบุคคลในภาพพบ ฉันจะ…เอ่อ…ฉันจะให้เพิ่มอีกสิบปอนด์”

“สิบปอนด์?” วิลเลียมส์ผิวปาก “ซิล เธอเป็นคนใจกว้างแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร? หรือความจริงแล้ว ไอ้หมอนี่มีค่าหัวสูงลิบ?”

“ถูกต้อง ค่าหัวสูงมาก สิบปอนด์เป็นแค่รางวัลนำจับเท่านั้น” ซิลแสร้งทำเป็นมองไปรอบผับ “อย่าลืมงานของฉันเด็ดขาด แล้วจะแวะมาใหม่ในอีกสามวัน”

ก่อนหน้านี้ เธอตระเวนไปตามย่านต่างๆ เกินกว่าครึ่งของเขตตะวันออก เพื่อมอบหมายภารกิจแบบเดียวกันให้นักเลงท้องถิ่น รวมถึงบรรดาหัวหน้ากลุ่มอันธพาล โดยขั้นตอนทั้งหมดต้องใช้เงินหลายปอนด์

ถ้าภารกิจนี้สำเร็จ…เงินทั้งหมดจะหลั่งไหลกลับมาเป็นสิบเท่า! ซิลให้กำลังใจตัวเอง ก่อนจะเดินออกจากผับโดยปิดปากและจมูกไว้

ทันใดนั้น สถานการณ์ภายในผับเริ่มวุ่นวาย เนื่องจากขี้เมากลุ่มหนึ่งกำลังมีปากเสียงกันและพยายามลงไม้ลงมือ

ซิลชำเลืองมองอย่างฉุนเฉียว ตามด้วยการเปล่งเสียงกังวาน

“หยุด!”

บรรยากาศคุกคามพลันแผ่ไปทั่วผับ ขี้เมาทั้งหมดพลันนั่งลงอย่างลนลาน ประหนึ่งถูกความหวาดกลัวครอบงำกะทันหัน บางคนถึงกับใช้มือกุมหัวและลงไปนั่งยองบนพื้น

เฮ่อ…เมื่อไรจะได้เป็นเจ้าพนักงานสักที…ซิลถอนหายใจเหนื่อยหน่าย อารมณ์คาดหวังและพึงพอใจกำลังผสมปนเป

วันพฤหัสช่วงเช้า ไคลน์เดินทางไกลไปยังเขตวิหารนักบุญจอร์จ เขตซึ่งมีบรรยากาศราวกับอยู่คนละเมือง เจตนาของมันคือการแวะไปเยี่ยมเยียนสิ่งประดิษฐ์ชิ้นแรก

ด้วยคำแนะนำจากไคลน์ รวมถึงเอกสารพิมพ์เขียวจากจักรพรรดิโรซายล์ เลพเพิร์ดจึงพัฒนาจักรยานรุ่นต้นแบบด้วยความเร็วน่าทึ่ง ถึงขั้นสามารถสร้างเป็นโครงหยาบได้แล้ว

สอดคล้องกับภาพจักรยานในหัวไคลน์มาก

หลังจากทดลองขับขี่ ไคลน์มอบคำแนะนำเพิ่มเติมเพื่อให้เลพเพิร์ดกลับไปพัฒนาต่อยอด จากนั้นก็เล่าถึงการจ่ายเงินลงทุนงวดสองภายในสัปดาห์หน้า และอธิบายว่า ตนกำลังมองหานักลงทุนรายใหญ่เพิ่ม โครงการนี้จะได้เข้าสู่สายผลิตของโรงงานโดยเร็ว

ปัญหาเดียวก็คือ เลพเพิร์ดเชื่อว่าตนคือผู้ให้กำเนิดสิ่งประดิษฐ์ชนิดนี้ และต้องการให้ชื่อตัวเองถูกจารึกไว้ในผลิตภัณฑ์

อีกทั้ง เลพเพิร์ดไม่ชอบชื่อ ‘จักรยาน’ จึงต้องการเปลี่ยนให้เป็น ‘สองล้อ’

ไคลน์มิได้แยแส

ในช่วงบ่าย มันเดินทางกลับบ้าน 15 ถนนมินส์ แต่ยังไม่ทันได้ถอดหมวก เสียงเพรียกมายาพลันกังวานในสมอง

มิสจัสติส? รวบรวมข้อมูลของตระกูลขุนนางตกอับเสร็จแล้ว? หลังจากครุ่นคิดสักพัก ไคลน์รีบเดินผ่านห้องนั่งเล่นและเตรียมขึ้นไปยังห้องนอนชั้นสอง

ทันใดนั้น เสียงกริ่งบ้านพลันดังสนั่น เมื่อเดินกลับออกไปเปิด ไคลน์ได้พบยูเลียนน่า สาวใช้โฉมงามของตระกูลซาเมอร์ข้างบ้าน

“มิสเตอร์โมเรียตี้ คุณนายซาเมอร์ต้องการชักชวนท่านไปร่วมงานเลี้ยงอาหารเที่ยงในวันอาทิตย์ค่ะ จะมีแขกพิเศษเดินทางมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก” สาวใช้คนสวยร่ายยาวประหนึ่งสวดคาถา

ย้อนกลับไปเมื่อคืน หลังจากไคลน์กลับถึงบ้าน มันนำกล้องถ่ายรูปของแมรีไปฝากให้คุณนายซาเมอร์คืน รวมถึงแลกเปลี่ยนสารทุกข์สุกดิบกันอีกเล็กน้อย แต่ไคลน์มั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดถึงงานเลี้ยงอาหารกลางวัน

จริงสิ…เราเคยอ่านบทความในนิตยสาร กล่าวกันว่า ชนชั้นกลางมันไม่ค่อยชักชวนแขกร่วมงานเลี้ยงด้วยตัวเอง แต่จะเลือกส่งสาวใช้ไปแจ้งแทน การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการให้เกียรติอีกฝ่าย…สมกับเป็นคุณนายซาเมอร์ชะมัด…ไคลน์ประหลาดใจเล็กน้อยในตอนต้น แต่ก็หาเหตุผลรองรับได้ทันที จึงไม่ปฏิเสธคำชวนเข้าร่วมงานเลี้ยงในวันอาทิตย์

ใครบ้างไม่ชอบของฟรี? แถมสามีภรรยาซาเมอร์ก็ยังมีนิสัยน่าคบหา ถ้าหากอดทนต่อนิสัยช่างอวดโอ่ได้ละนะ… ไคลน์เสริมในใจ

เมื่อเห็นยูเลียนน่าเดินกลับ ชายหนุ่มปิดประตูอย่างนุ่มนวลและรีบตรงไปยังบันได ทันใดนั้น สายตาเหลือบมองห้องนั่งเล่นสภาพค่อนข้างรก รวมถึงห้องอาหารและครัว ซึ่งความสะอาดไม่แตกต่างกันมาก

เราไม่ได้ทำความสะอาดหลายวันแล้ว…แต่ในฐานะชายโสด การปล่อยให้บ้านรกบ้างก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายสักหน่อย…เรามีความลับมากเกินไป และอาจถูกลอบโจมตีได้ทุกเมื่อ การจ้างสาวใช้มาทำงานถาวรคงไม่ใช่สิ่งดี…จริงสิ..เราสามารถปรึกษาขอยืมสาวใช้จากคุณนายซาเมอร์ได้ ให้พวกหล่อนแวะมาทำความสะอาดแค่สัปดาห์ละสองหนก็พอ…แน่นอนว่าต้องจ่ายค่าแรงให้…ด้วยความสัมพันธ์แบบเจ้าของบ้านและผู้เช่าอาศัย การเจรจาต่อรองคงไม่ยากนัก…ไคลน์ครุ่นคิดพลางเดินขึ้นไปยังชั้นสอง มันเปิดประตูห้องนอนและจัดการรูดม่านปิดมิดชิด

หลังจากเข้ามิติสายหมอก มันพบว่าผู้สวดภาวนาเป็นมิสจัสติสตามคาด

เด็กสาวผู้คาบช้อนทองมาเกิดกำลังนั่งหน้าเปียโนหลังใหญ่ สิบนิ้ววางบนคีย์ แต่มิได้บรรเลงเล่นเป็นเพลง ตรงกันข้าม เด็กสาวขยับปากพึมพำพระนามอันยิ่งใหญ่ของเดอะฟูลผู้มาจากต่างยุคสมัย

“… ดิฉันรวบรวมข้อมูลของตระกูลขุนนางตกอับเสร็จแล้ว จึงขออนุญาตประกอบพิธีกรรมสังเวย และรบกวนให้ท่านส่งต่อข้อมูลไปยังมิสเตอร์เวิร์ล”

เร็วมาก…สมกับเป็น ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ …ไคลน์ตอบกลับอีกฝ่ายเพื่อแจ้งว่าตนพร้อมแล้ว

ออเดรย์เพิ่งกลับจากวังหลวงได้ไม่นาน เธอลงทุนเดินทางไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับตระกูลขุนนางโดยตรง เมื่อได้รับการยืนยันจากเดอะฟูล เด็กสาวรีบประกอบพิธีกรรมสังเวย ส่งเอกสารปึกหนาผ่านประตูมายา สีหน้าเป็นไปอย่างตะขิดตะขวง ราวกับยังทำความเคยชินไม่ได้

“เราจะส่งต่อให้เดอะเวิร์ล” ไคลน์ตอบเสียงเรียบพร้อมกับตัดการเชื่อมต่อ

ในคราวนี้ มันไม่รีบร้อนกลับสู่โลกจริง เลือกเปิดอ่านเอกสารและเจาะจงไปยังเนื้อหาเกี่ยวกับตระกูลพาวน์

เป็นไปตามคำบอกเล่าของมิลเลอร์ ตระกูลพาวน์ได้รับบรรดาศักดิ์ไวเคาต์ในศึกตระบัดสัตย์ โดยหลังจากนั้น พวกมันจงรักภักดีต่อเชื้อพระวงศ์ออกัสตัสด้วยดีมาตลอด และได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจพอสมควร มีทั้งกองทัพและดินแดนในครอบครองมากมาย

จนกระทั่งสามสิบสองปีก่อน ทายาทคนสำคัญของตระกูลล้มตายจากโรคร้ายทีเดียวสองคนอย่างกะทันหัน ในเวลานั้น ไวเคาต์คนปัจจุบันไม่มีทางเลือกนอกจากต้องนำบุตรของญาติห่างๆ มาสืบทอดตำแหน่งไวเคาต์แทน

หลังจากนั้นไม่นาน ไวเคาต์ชราเสียชีวิตลง และทายาทวัยเยาวย์สืบทอดตำแหน่ง แต่ด้วยความยังเด็ก จึงถูกเหล่าบริวารชักจูงและเป่าหูได้ง่าย เด็กคนนั้นไล่พ่อบ้านเก่าแก่ออก ก่อนจะเริ่มทำตัวเสเพลในเวลาถัดมา

ผ่านไปเพียงแปดปี มันสูญสิ้นแทบทุกสิ่งพร้อมกับถูกถอดยศให้เหลือเพียงบารอน แม้แต่คฤหาสน์ในเบ็คลันด์ก็ยังถูกขายทิ้ง

และอีกหลายปีถัดมา มันถูกลดบรรดาศักดิ์ลงอีกครั้ง คราวนี้เหลือเพียงบาโรเน็ต ผู้ไม่มีตำแหน่งในสภาพขุนนางอีกต่อไป

ตายด้วยโรคร้ายกะทันหัน? แต่ไม่มีใครทราบว่าศพถูกฝังไว้ตรงไหน…ไม่ผิดแน่ ต้องเป็นศพหน้าบานประตูอาบเลือดในอาคารใต้ดิน…ไวเคาต์ชราคงจงใจปกปิดสาเหตุการตายของบุตรชาย เพื่อไม่ให้ถูกสืบสวนจากราชวงศ์ กองทัพ และหน่วยลับของโบสถ์…จากการประเมินอย่างคร่าว ตระกูลพาวน์คงพบ ‘อาคารใต้ดิน’ เป็นครั้งแรกเมื่อ สามสิบสองปีก่อน บางที ประตูลับด้านหน้าอาจเป็นฝีมือของพวกมันด้วย…แต่ศพในห้องประตูอาบเลือดมีมากกว่าสองราย…แปลว่ายังมีคนอื่นพยายามสำรวจเพิ่มหลังจากนั้น?

เราต้องหาทางไปพบบาโรเน็ตพาวน์โดยไม่เปิดเผยตัวตนแท้จริง…

ไคลน์เลิกฟุ้งซ่าน มันก้มหน้าอ่านย่อหน้าสุดท้ายของข้อมูลตระกูลพาวน์ และได้พบข้อมูลตามความปรารถนา

“บาโรเน็ตพาวน์ ปัจจุบันอาศัยอยู่ในบ้าน 29 ถนนซิลวารัส เขตราชินี”

………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version