Skip to content
Home » Blog » Lord of the Mysteries 283

Lord of the Mysteries 283

ตอนที่ 283 : สหภาพคนงานอู่ต่อเรือ

ซิลคลุกคลีในวงการนักล่าค่าหัวมานาน หลายต่อหลายครั้งตัดสินใจทำตามสัญชาตญาณ โดยไม่ถูกกลั่นกรองผ่านสมอง

เมื่อเธอเห็นลูกค้ารายใหม่ตัวสูงกว่าสองเมตรเดินเข้ามาในร้าน ซิลพลันก้มหน้าลงต่ำ นั่งกินไส้กรอกหมูและมันฝรั่งทอดต่อไปราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

แม้อาหารจะเข้าไปในปาก แต่เธอกลับไม่รับรู้รสชาติแม้แต่น้อย การก้มหน้ายัดรวดเดียวทำให้ท้องไส้ทรมานนานหลายสิบวินาที ก่อนตัดสินใจเงยศีรษะขึ้น กวาดสายตามองรอบตัวด้วยท่าทีเป็นธรรมชาติ

ไม่นานก็ได้พบลูกค้าคนดังกล่าว มันเดินไปนั่งตรงบาร์เพื่อสั่งเครื่องดื่ม

เส้นผมสีทองอ่อน หยักศกเล็กน้อย ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ดุดันเยี่ยงสัตว์ป่า มุมปากตกเล็กน้อย แผ่จิตสังหารเกรี้ยวกราดชนิดไม่คิดเก็บซ่อน…ซิลเก็บรายละเอียดของเป้าหมายทีละนิด และนำมาซ้อนทับกับความทรงจำในสมอง

เป็นมันไม่ผิดแน่!

ผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นคนร้าย!

ฆาตกรสังหารวิลเลียมส์!

ซิลก้มศีรษะลงอีกครั้ง หวังจัดการอาหารบนจานให้หมดในคราวเดียว

ผ่านไปหลายนาที เธอนำถาดอาหารและแก้วเครื่องดื่มกลับไปวางตรงบาร์ ก่อนจะเดินออกจากโรงเหล้าสหภาพแรงงานโดยไม่คิดเหลียวหลังกลับ

เป็นเพราะส้นรองเท้าค่อนข้างสูง ซิลจึงปกปิดตัวตนได้อย่างแนบเนียน

ด้านนอกโรงเหล้า เธอลดความเร็วลงหลังจากพบจุดหลบซ่อนสำหรับซุ่มมองว่า มีใครผ่านเข้าออกโรงเหล้าบ้าง

เธอรอคอยอย่างใจเย็นอยู่นาน จนกระทั่งได้พบใบหน้าคนรู้จัก ช่างเทคนิค ‘เบอร์ตัน’ เด็กหนุ่มผู้พักอาศัยในเขตตะวันออก และทำงานในอู่ต่อเรือไบลัมตะวันออก

ไม่ว่าจะช่วงเที่ยงหรือบ่าย เด็กหนุ่มมักซื้อเบียร์ไรย์คุณภาพต่ำเลี้ยงตัวเองหนึ่งแก้วเสมอ เป็นเพราะค่าแรงอันน้อยนิด มันจึงดื่มได้เฉพาะเบียร์คุณภาพห่วยแตก แถมยังไม่สามารถดื่มได้ทุกวันตามใจปรารถนา

ซิลก้าวเท้ากระฉับกระเฉงไปด้านหลัง ใช้ฝ่ามือตบบ่าอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน ปิดท้ายด้วยการกระซิบเสียงค่อย

“ฉันเอง ซิล”

“ซิล?” เบอร์ตันจ้องมองบุรุษร่างเหล็กตั้งแต่หัวจรดเท้า มันแทบจำไม่ได้ว่า อีกฝ่ายคือ ‘ผู้ตัดสิน’ คนดังแห่งเขตตะวันออก ซิล·เดียร์ชา

“ฉันมีบางสิ่งจะถาม” ซิลชี้ไปยังจุดอับ

เบอร์ตันเดินตามด้วยสีหน้าฉงน ก่อนจะเริ่มกระจ่างหลังจากเดินเข้ามาหลบในมุมมืด

“คุณกำลังล่าค่าหัวหรือ?”

มันเคยได้ยินมาว่า นอกจากผู้ตัดสิน ซิลยังรับงานเสริมเป็นนักล่าค่าหัว

“อา” เธอพยักหน้ารับพอเป็นพิธี ก่อนจะหยิบเหรียญห้าเพนนีออกมาโยนเล่น “นายรู้จักผู้ชายร่างยักษ์ในโรงเหล้าไหม”

“คุณหมายถึง ผู้ชายสูงราวสองเมตร เส้นผมสีทองอ่อน และใบหน้าดุร้าย?” เบอร์ตันวาดมือกะเกณฑ์ตามคำอธิบาย

“ถูกต้อง” ซิลล้วงภาพวาดของออเดรย์ออกจากกระเป๋าและยื่นให้อีกฝ่าย “ยืนยันให้แน่ใจว่าไม่ผิดตัว”

“คนเดียวกันแน่นอน เขาเพิ่งแวะเข้ามาโรงเหล้าบ่อยครั้งในช่วงสองสามเดือนหลัง ผมไม่เคยพบเขาก่อนหน้านั้นเลย หมอนั่นมีนิสัยดุร้าย ไร้เหตุผล และต่อสู้เก่ง คงเป็นการฉลาดถ้าไม่ไปยั่วยุให้คนแบบนั้นโมโห” ขณะเล่า สายตาเบอร์ตันยังคงพิจารณาภาพวาดอย่างละเอียดถี่ถ้วน

เราก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน…แค่เห็นแวบเดียว ทำเอารู้สึกเหมือนกับเมื่อครั้งเผชิญหน้าสัตว์ป่าสมัยยังเด็ก สัญชาตญาณร้องบอกถึงอันตรายทันที ร่างกายจึงแสดงปฏิกิริยาหวาดกลัวและต้องการหลีกหนีให้ไกล…ซิลถอนหายใจยาว ตามด้วยการซักถามอย่างตรงไปตรงมา “นายพอจะรู้ไหมว่าชายคนนั้นสนิทกับใครบ้าง?”

“ไม่เลย หมอนั่นไม่ชอบเข้าสังคม แทบไม่เคยพูดเลยสักครั้ง และพวกเรายังไม่ทราบชื่อด้วยซ้ำ เพียงเรียกขานกันว่า ‘ยักษ์’” เบอร์ตันเม้มปากพลางส่ายหัว

ซิลก้มหน้าครุ่นคิด ก่อนจะถามต่อ

“นอกจากโรงเหล้าแล้ว นายเคยพบเขาตรงไหนอีก? จะไปถามเพื่อนด้วยก็ได้ แต่ขอเน้นย้ำว่า ต้องเป็นเพื่อนสนิทกันมากเท่านั้น”

เบอร์ตันทำหน้านึก

“เคยเห็นขณะเดินทางไปทำธุระกับสหภาพคนงานอู่ต่อเรือ…อู่ไบลัมตะวันออก เคยพบเขาอยู่บ้าง แต่ไม่บ่อยมากนัก…ซิล ทำไมคุณถึงไม่ลองเข้าเป็นสมาชิกของสหภาพดูบ้างล่ะ? เงื่อนไขไม่ยุ่งยาก พวกเขาแค่เก็บเงินสัปดาห์ละ 1.5 ซูลเท่านั้น แต่ถ้าสหภาพนัดกันประท้วงหยุดงาน พวกเขาจะจ่ายค่าแรงให้กับทุกคนครึ่งหนึ่งจากปรกติ! พวกเขารู้ว่าเรามีครอบครัวต้องเลี้ยงดู

“เฮ่อ…ลืมคำพูดผมไปดีกว่า พวกเขาเคยมอบความฝันไว้ว่า เพื่อให้เรามีชีวิตดีขึ้น ทุกคนจะต้องร่วมแรงร่วมใจกัน เคยมีครั้งหนึ่ง สหภาพนัดหยุดงานประท้วงอู่ต่อเรือ แต่แกนนำประท้วงได้ทำสัญญากับทีมนักกฎหมายของกลุ่มนายทุนไว้ล่วงหน้า คุณภาพชีวิตของพวกเราจึงไม่ดีขึ้นเลยสักนิด!”

“หยุด…หยุดก่อน!” ซิลยกมือขวา ก่อนจะลดมือลงและซักถาม “นอกจากสหภาพคนงานอู่ต่อเรือ นายเคยเห็น ‘ยักษ์’ ตรงไหนอีก?”

“ไม่แล้ว บางที เพื่อนของผมก็คงไม่เคยเห็นเหมือนกัน พวกเราแอบแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอยู่เสมอ” เบอร์ตันตอบฉะฉาน

ซิลไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่ม เพียงโยนเหรียญห้าเพนนีให้เบอร์ตัน

“เอาไปดื่ม แล้วห้ามบอกใครเด็ดขาด ว่าฉันเคยถามคำถามเมื่อครู่กับนาย ขอเตือนว่าเรื่องนี้อันตรายเป็นอย่างมาก”

ยังไม่ทันจบประโยค ซิลหันหลังกลับและเดินตรงไปทางถนน จุดหมายปลายทางคือสหภาพคนงานอู่ต่อเรือไบลัมตะวันออก

ราวสิบนาทีถัดมา ซิลได้พบกับตึกสองชั้น ภายนอกอาคารถูกฉาบด้วยสีเหลือง

เธอส้วมโค้ทผ้าใบสลับในนอก เผยให้เห็นรอยปะปลอมๆ หลายจุด เปลี่ยนภาพลักษณ์จากคนงานร่างเล็ก กลายเป็นคนจรจัดโดยสมบูรณ์

ซิลหันไปมองคนไร้บ้านซึ่งกำลังนั่งเร่ร่อนตรงมุมตึกฝั่งตรงข้าม เธอตัดสินใจบีบจมูกเดินเข้าไปเข้านั่งรวมกับกลุ่มคนดังกล่าว สายตาชำเลืองมองประตูหลักของตึกสหภาพคนงานอู่ต่อเรือเป็นระยะ คอยสอดส่องว่ามีใครผ่านเข้าออกบ้าง

หลายนาทีถัดมา ซิลนั่งทนความหนาวเย็นและสภาพอากาศสุดเลวร้าย สมาธิยังคงเพ่งมองสถานการณ์รอบอาคารสหภาพอู่ต่อเรือ

สมองยังจนจำคำพูดแสนดื้อดึงของวิลเลียมส์ได้ดี มันขอดื่มเหล้าไปวันๆ ดีกว่าต้องมีครอบครัวทุกข์ระทม ขณะเดียวกัน เธอยังจำความรู้สึกตัวเองได้ดี เมื่อได้อ่านข่าวคดีระเบิดบนนถนนดาราวีจากหนังสือพิมพ์

ความรู้สึกดังกล่าวช่วยให้สมาธิซิลจดจ่อมากกว่าปรกติหลายเท่า

ทันใดนั้น กลุ่มคนราวเจ็ดถึงแปดเดินออกมาจากตึกสหภาพฯ พวกมันตรงเข้าไปในร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามเพื่อสั่งอาหารเที่ยง

ซิลหรี่ตาลง ตรวจสอบรูปลักษณ์ของทุกคนอย่างละเอียด

ไม่มีใครน่าสงสัย…ขณะเธอเตรียมเบือนหน้ากลับไปมองประตูตึกสหภาพฯ เสียงเปิดประตูร้านกาแฟ ทำให้ซิลยังคงค้างสายตาอยู่กับกลุ่มคนเหล่านั้น และพบว่าชายคนหนึ่งในกลุ่ม ได้ถอดแว่นกรอบทองออกมาเช็ดด้วยชายแขนเสื้อ เนื่องจากความชื้นภายในร้านและด้านนอกไม่เท่ากัน ส่งผลให้ฝ้าขึ้นแว่นอย่างมิอาจเลี่ยง

ซิลเหลือบมองโดยไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ตาดำของเธอมีอันต้องหดเกร็งกะทันหัน

ดวงตาคู่นั้น!

ปากนั่น!

รอยยิ้มแสนเหยียดหยัน!

ลาเนวุส? ซิลรีบกระตุกคอกลับ ไม่กล้ามองนานกว่านั้นแม้แต่วินาทีเดียว

ผู้ชายคนเมื่อครู่มีผมสั้น ผิวสีแทน ใบหน้าขรุขระไม่เรียบเนียน รูปโฉมแตกต่างจากภาพวาดฝีมือออเดรย์ และแตกต่างจากใบค่าหัวข้องซิลวารัสยาร์ดค่อนข้างมาก ยกเว้นบริเวณดวงตาและริมฝีปาก สองจุดดังกล่าวมอบความคุ้นเคยอันน่าเหลือเชื่อให้แก่ซิล·เดียร์ชา

ความรู้สึกราวกับกำลังเย้ยหยันทุกคน…เราไม่ได้คิดไปเอง!

ลาเนวุสใช่ไหม? ต้องใช่แน่…ซิลรีบก้มหน้าลง สายตาจ้องมองแผ่นหินปูทางเดินเป็นเวลานาน

ณ บ้านตระกูลซาเมอร์

หลังจากจบมื้ออาหารสุดหรู เจ้าของบ้านได้เรียกให้แขกมารวมตัวภายในห้องนั่งเล่น ก่อนจะเริ่มบทสนทนาไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ บางคนจับกลุ่มเล่นไพ่เท็กซัสโป๊กเกอร์

ข่าวลือน่าสนใจและเรื่องเล่าขำขันดังเล็ดลอดเข้าโสตประสาทชายหนุ่มเป็นระยะ ไคลน์ทำเพียงอมยิ้ม หาจังหวะสอดแทรกคำพูดอย่างเหมาะสม ระหว่างนั้นก็ชำเลืองมองเด็กเล็กของครอบครัวซาเมอร์วิ่งเข้าวิ่งออกอย่างซุกซน

และบุคคลผู้นั่งถัดจากไคลน์คือ ทนายหนุ่มมาดเข้ม เยอร์เก้น·คูเปอร์ บุรุษซึ่งสวมสีหน้าขึงขังทุกลมหายใจ มันคอยมอบคำแนะนำเชิงสาระแก่ทุกคนในวงสนทนาเสมอ

ไคลน์อมยิ้ม เอนตัวเล็กน้อยไปกระซิบถาม

“คุณเบื่อหรือ?”

“ไม่เลย หัวข้อสนทนาของพวกเขาน่าสนใจมาก” เยอร์เก้นผงกศีรษะหนักแน่น

ไคลน์พลันขมวดคิ้ว ตามด้วยการโพล่งคำถาม

“แล้วทำไมคุณถึงไม่ยิ้มเลย?”

เยอร์เก้นขมวดคิ้วบ้าง มันมองไคลน์ด้วยสีหน้าสับสน

“แล้วทำไมถึงต้องยิ้ม?”

“…” มุมปากไคลน์กระตุก ไม่ทราบจริงๆ ว่าต้องตอบโต้เช่นไรในสถานการณ์แบบนี้

ขณะไคลน์กำลังจะเล่นมุกตลกว่า เยอร์เก้นผู้เคร่งขรึมคนนี้ จะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนทันที ถ้าได้เล่นกับเจ้าแมวดำโบรดี้ประจำบ้าน แต่ทันใดนั้น เสียงสวดภาวนาพลันดังกังวาน

ผู้หญิง…จัสติส? พบเบาะแสรวดเร็วขนาดนี้เชียว? ข้อมูลจากเราก็ไม่ได้มากมายอะไร…ไคลน์ลุกยืนพร้อมกับโค้งศีรษะ

“ขอตัวเข้าห้องน้ำ”

ภายในห้องน้ำ ชายหนุ่มลงกลอนมิดชิด เดินทวนเข็มสี่ก้าว ส่งตัวเข้าสู่ห้วงมิติสายหมอกสีเทา

ไม่ผิดจากการคาดเดา ผู้สวดภาวนาในคราวนี้คือจัสติส

ไคลน์ทำสีหน้ากระวนกระวายเล็กน้อย ก่อนจะแผ่พลังวิญญาณเข้าไปในดาวแดงตัวแทนของเธอ เพื่อรับฟังเนื้อหาการภาวนา

หลังจากจบท่อนเอ่ยพระนามอันยิ่งใหญ่ จัสติสเล่าความคืบหน้าอย่างเถรตรง

“จากเบาะแสของท่าน พวกเธอได้พบชายคนดังกล่าวในโรงเหล้าสหภาพแรงงาน เขตท่าเรือ ใกล้กับอู่ต่อเรือไบลัมตะวันออก มันผู้นั้นมีฉายาว่า ‘ยักษ์’ หลังจากสะกดรอยตามยักษ์และดักซุ่มทางเข้าออกเป็นเวลานาน พวกเธอได้พบบุคคลต้องสงสัยว่าจะเป็นลาเนวุส ภายในอาคารของสหภาพคนงานอู่ต่อเรือ แต่หลังจากนั้น พวกเธอไม่กล้าเฉียดเข้าใกล้ลาเนวุส เนื่องจาก ‘ยักษ์’ ทรงพลังและเป็นตัวอันตรายอย่างมาก พวกเธอจะลงมือสืบเรื่องนี้ต่อหากพบโอกาสเหมาะสม พวกเธอถามกลับมาว่า สามารถบอกเรื่องนี้กับตำรวจเพื่อรับเงินค่าหัวข้องลาเนวุสได้หรือไม่?”

ลาเนวุสมีผู้ช่วยทรงพลังและอันตราย…แต่จะมีแค่คนเดียวจริงหรือ? แล้วองค์กรลับใดคอยสนับสนุนมันเบื้องหลัง? มันฆ่าคนมากมายไปเพื่อสิ่งใด? มันกำลังวางแผนอะไรในเขตอู่ต่อเรือไบลัมตะวันออก? ชุดคำถามมากมายผุดขึ้นในสมองไคลน์กะทันหัน มันเริ่มตระหนักว่า เรื่องราวซับซ้อนกว่าความคาดหมายไปมาก และยังมีอีกหลายจุดไม่เข้าใจ

ส่วนคำถามแนบมาด้วย แน่นอน คำตอบของไคลน์ต้องเป็น ‘ไม่มีปัญหา’ อยู่แล้ว ตรงกันข้าม มันหวังให้สองสาวช่วยแจ้งกับโบสถ์รัตติกาลโดยตรง เพราะกังวลว่าทางตำรวจอาจทำข้อมูลรั่วไหล

หากให้เหยี่ยวราตรีแห่งโบสถ์รัตติกาลลงมือสังหารลาเนวุส สิ่งนี้ถือเป็นการแก้แค้นทางอ้อมรูปแบบหนึ่งเช่นกัน! ไคลน์พึมพำ มันอยากรีบยืนยันให้ได้ว่า บุคคลดังกล่าวคือลาเนวุสตัวจริงหรือไม่ เพราะหากปล่อยไว้นานเกินไป อาจมีบางปัจจัยส่งอิทธิพลต่อผลลัพธ์การทำนาย

ชายหนุ่มสูดลมหายใจสุดปอด พยายามระงับอารมณ์ส่วนเกิน พลางปลดโซ่เงินลูกตุ้มวิญญาณออกจากข้อมือซ้าย

“จะมีอันตราย ถ้าเราเดินทางไปยังสหภาพคนงานอู่ต่อเรือเพื่อยืนยันความจริง”

หลังจากหลับตาลงและท่องจนครบเจ็ดหน ชายหนุ่มเปิดเปลือกตา จ้องมองจังหวะการแกว่งของจี้บุษราคัมด้วยสีหน้าคาดหวัง และได้คำตอบว่า ผลลัพธ์ออกมาเป็นความสงบนิ่งโดยสมบูรณ์

ทำนายล้มเหลว? ไคลน์ขมวดคิ้ว

มันตัดสินใจเปลี่ยนประโยคทำนาย และเปลี่ยนเทคนิคทำนายอีกหลายหน แต่ทั้งหมดล้วนประสบความล้มเหลว

ไคลน์ก้มหน้าไตร่ตรองอย่างระมัดระวัง และนึกหาเหตุผลรองรับได้สามข้อ ข้อแรก ข้อมูลไม่มากพอให้ทำนาย ข้อสอง ลาเนวุสไม่ได้อยู่ในตึกสหภาพคนงานอู่ต่อเรือ ส่งผลให้การทำนายล้มเหลว และข้อสุดท้าย ลาเนวุสเหมือนกับอินซ์·แซงวีลล์ คือเป็นผู้ครอบครองสมบัติวิเศษช่วยต่อต้านการทำนายถึงตัว

สมบัติสำหรับต่อต้านผลทำนาย…หรือจะเป็น ‘พร’ จากพระผู้สร้างแท้จริง หลังจากประกอบพิธีกรรมอัญเชิญทายาทสำเร็จ? หรือจะเป็นเศษเสี้ยวของพลังพระผู้สร้างแท้จริง? ไคลน์ก้มหน้านึกหลายวินาที ก่อนจะตัดสินใจหนักแน่น มันไม่สนว่าแล้วจะอันตรายหรือไม่ แต่ต้องไปยืนยันให้เห็นกับตาตัวเองให้ได้

สำหรับลูกผู้ชาย บางสิ่งก็ ‘ต้อง’ ลงมือทำอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง แม้จะทราบล่วงหน้าว่ามีอันตรายรออยู่ก็ตาม

หากหญิงสาวสองคนนั้นแอบจับตามองได้โดยลาเนวุสไม่เอะใจ แปลว่าเราเองก็ทำได้เช่นกัน…มีแต่ต้องเผชิญหน้าโดยตรงสักครั้ง จึงจะทำนายบนมิติสายหมอกได้ผลลัพธ์…

แน่นอน ห้ามรีบร้อนเด็ดขาด ต้องวางแผนและเตรียมตัวให้รัดกุม ตัวอย่างเช่น นำ ‘ดวงตาดำล้วน’ ขึ้นไปเก็บบนมิติสายหมอกตามเดิม การพกติดตัวไปด้วย ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย เพราะลาเนวุสอาจมีความสัมพันธ์กับพระผู้สร้างแท้จริงแนบแน่น…อีกหนึ่งตัวอย่างของการเตรียมความพร้อมคือ ต้องแก้ไขส่วนสูงให้แตกต่างจากปรกติสักเล็กน้อย เนื่องจาก ‘ยักษ์’ เคยพบเรามาแล้วหนหนึ่งในฐานะ ‘คนเดินเข้าห้องน้ำ’ …อีกหนึ่งการเตรียมพร้อมคือ ต้องหาข้ออ้างเดินทางไปเยือนให้เหมาะสม ลาเนวุสจะได้ไม่ไหวตัวทัน เช่นการแสร้งทำเป็นนักข่าว ผู้ต้องการเขียนบทความเกี่ยวกับคนงานอู่ต่อเรือ…สำหรับเรื่องนี้ คงต้องแวะไปหาไมค์·โยเซฟก่อน เพื่อขอยืมบัตรนักข่าวปลอมพกติดตัว…

มุมปากไคลน์บรรจงยกโค้งทีละนิด ก่อนจะห่อหุ้มร่างกายด้วยพลังวิญญาณ ส่งตัวเองกลับสู่โลกแห่งความจริง

………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version