Skip to content
Home » Blog » Lord of the Mysteries 285

Lord of the Mysteries 285

ตอนที่ 285 : หอระฆังเที่ยงคืน

ออเดรย์รีบติดต่อกับซิลและฟอร์สด้วยวิธีพิเศษซึ่งนัดแนะไว้ล่วงหน้า เธอถ่ายทอดข้อความของเดอะฟูลให้กับสองสาวผ่านสุนัขขนทองฟูฟ่อง ซูซี่ โดยอ้างว่าเป็นข้อมูลด่วนจากแหล่งข่าวเชื่อถือได้

ณ มุมหนึ่งของวิหารเก่า ขณะซิลครุ่นคิดหาวิธียืนยันตัวตนลาเนวุส หรือไม่ก็วิธีสร้างความปั่นป่วนเพื่อแก้แค้นให้วิลเลียมส์ เธอคลี่แผ่นกระดาษจดมายจากสุนัขโกลเดนรีทรีฟเวอร์ออกมาอ่าน

…ชายคนนั้นคือลาเนวุส? ดวงตาซิลพลันสั่นเทา เธอรีบก้มอ่านย่อหน้าอื่นบนจดหมายอย่างรีบร้อน มีบรรทัดหนึ่งเขียนไว้ชัดเจนว่า

“อนุญาตให้รายงานโบสถ์รัตติกาลเท่านั้น จงแจ้งกับพวกเขาว่า ลาเนวุสมีเศษเสี้ยวออร่าเทพของพระผู้สร้างแท้จริงอยู่กับตัว ออร่าเทพ? ออร่าเทพของพระผู้สร้างแท้จริง…?” ซิลโพล่งขึ้นกะทันหัน ดวงตาจ้องมองสุนัขขนทองตรงหน้าอย่างไม่กะพริบ และพบว่าอีกฝ่ายก็กำลังฉงนไม่ต่างกัน

“อะไรนะ?” ฟอร์สผู้กำลังนั่งฟัง พบว่ามีบางสิ่งไม่ถูกไม่ควร จึงรีบชะโงกหน้ามาอ่านเนื้อความในกระดาษจดหมาย กวาดสายตาขึ้นลงเพื่อจับใจความ

ทันใดนั้น มุมปากหญิงสาวพลันสั่นเทา เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงสุดเคลือบแคลง

ภารกิจในตอนแรก เป็นแค่การตามล่านักต้มตุ๋นกระจอก ค่าหัวสองร้อยปอนด์ไม่ใช่หรือ!?

หลังจากสิ้นเสียงฟอร์ส ซูซี่สวมใบหน้าไร้เดียงสา ประหนึ่งต้องการบอกกับหญิงสาวทั้งสองว่า ตัวเธอเป็นแค่สุนัข ไม่มีทางทราบว่าเกิดอะไรขึ้น และไม่สามารถตอบคำถามของพวกคุณได้

แน่นอน ฟอร์สไม่หวังให้สุนัขช่วยไขข้อข้องใจ เธอรับหันไปถามซิล

“นี่มัน…ล้อกันเล่นใช่ไหม? พวกเราเข้ามาพัวพันกับบุคคลผู้มีออร่าของเทพนอกรีตได้ยังไง…? มิสออเดรย์อาจไม่ได้ไร้เดียงสาเหมือนตาเห็นก็ได้…เธอซ่อนความลับไว้มากมาย บางที เรื่องนี้คงเป็นความขัดแย้งระหว่างตระกูลขุนนางใหญ่ โบสถ์รัตติกาล และลัทธินอกรีตชั่วร้าย…แต่ว่า เมื่อประเมินจากท่าที ดูเหมือนคุณหนูออเดรย์ก็ไม่ทราบมาก่อน ว่าเป้าหมายเกี่ยวข้องกับออร่าเทพ ราวกับถูกใครบางคนบงการเบื้องหลังมาอีกทอดหนึ่ง อา…บางทีคงเป็นบิดาของเธอ ท่านเคาต์ฮอลล์ แต่เธอโชคดีมาก! ซิล เธอไม่ได้รับอันตรายใดระหว่างการสืบหาเบาะแส และไม่ต้องมีส่วนพัวพันลึกซึ้งไปกว่านี้แล้ว! หลังจากให้ใครสักคนแจ้งข่าวกับโบสถ์รัตติกาล เธอก็แค่รอรับเงินค่าหัวอย่างสบายใจ!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ร่างกายซิลพลันสั่นเทา

“จริงด้วย…ขอให้เหยี่ยวราตรีแก้แค้นวิลเลียมส์สำเร็จ พวกเขาแข็งแกร่งมาก ต้องทำได้แน่…”

ยังไม่ทันจบประโยค หญิงสาวร่างเล็กเบือนหน้าไปทางอื่นพลางรำพันกับตัวเอง

“ฉันยังอ่อนแอ…เกินไป…”

ซิลเลื่อนสองมือขึ้นมาปิดใบหน้าและจมูก

เรายังอ่อนแอเกินไป…ไม่อย่างนั้นแล้ว คงเลือกแก้แค้นด้วยฝีมือตัวเอง แต่ปัจจุบันกลับทำได้เพียงถอยออกมาหนึ่งก้าว…ต่อให้ไม่นับ ‘ยักษ์’ ซึ่งเป็นคนคุ้มกันลับของลาเนวุส ลำพังออร่าเทพของลาเนวุส ก็มากพอจะทำให้เราสั่นกลัวและไม่สามารถเอาชนะมันได้…ส่วนเวลาในการลงมือของเหยี่ยวราตรี พวกเขาคงจัดการทันทีในค่ำคืนที่ได้รับเบาะแส..โบสถ์รัตติกาลมุขมณฑลเบ็คลันด์เป็นรองเพียงสำนักงานใหญ่อย่างวิหารศักดิ์สิทธิ์เพียงแห่งเดียว จึงถือครองสมบัติปิดผนึกหลายชิ้นในมือ และมีหน่วยผู้วิเศษแข็งแกร่งเป็นของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องรอกำลังเสริมจากเมืองอื่น…เมื่อแจ้งข่าวกับจัสติสเสร็จ ไคลน์ส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง ติดหนวดเคราใหม่ เปลี่ยนทรงผม และเดินไปจ้องมองรูปโฉมหน้ากระจกเงาเต็มบานนานหลายนาที

ภายในใจกำลังคาดหวัง ตื่นเต้น แต่ขณะเดียวกันก็ห่อเหี่ยว และรู้สึกว่าตนช่างไร้พลัง

ก่อนจะถึงยามเย็น มันเดินทางออกจากสโมสรครักซ์เพื่อกลับถนนมินส์ ระหว่างทางได้แวะตลาดขายของจิปาถะซึ่งมีผู้คนเนืองแน่น ไคลน์ซื้อของติดไม้ติดมือกลับไปพอสมควร หนึ่งในนั้นคือหน้ากากตัวตลก

มันตัดสินใจจะเดินทางไปรับชมปฏิบัติการ ‘เด็ดหัว’ ลาเนวุสในค่ำคืนนี้อย่างใกล้ชิด!

ไคลน์อยากเห็นกับตาตัวเองว่า ไอ้ระยำนั่นได้ชดใช้ความบ้าคลั่งของมันด้วยชีวิต!

แน่นอน ด้วยพลังปัจจุบัน ชายหนุ่มทำได้เพียงเฝ้ามองจากระยะไกล โดยไม่มีสิทธิ์เฉียดใกล้สนามรบจุดเกิดเหตุ

ห้าทุ่มตรง ขณะผู้คนจำนวนมากกำลังนอนหลับฝันหวาน ไคลน์เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดคนงานสีฟ้าอมเทาตัวเก่ง รวมถึงปลอมตัวแบบเดียวกับเมื่อคืนวานทุกประการ จากนั้นก็สวมหมวกแก๊ป เดินผ่านถนนหลายสาย ก่อนจะขึ้นรถม้าเช่าตรงไปยังเขตสะพานเบ็คลันด์

เมื่อถึงจุดหมายแรก มันสลับไปเป็นการเดินเท้า เพื่อมุ่งหน้าไปยังย่านอู่ต่อเรือไบลัมตะวันออก

จากบทสัมภาษณ์เมื่อวาน มันตั้งคำถามทำนองว่า ‘พวกคุณพักแถวไหน’ และ ‘สภาพแวดล้อมรอบห้องพักเป็นอย่างไร’ ดังนั้น ชายหนุ่มจึงพอจะทราบว่า คืนนี้ลาเนวุสจะพักอยู่ภายในหอพักของสหภาพคนงาน

อย่างไรก็ตาม ไคลน์ไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้ ทำได้แค่เฝ้ามองอยู่วงนอกและรักษาระยะห่าง จึงเลือกจุดซุ่มเป็นหอนาฬิกาแห่งหนึ่งในย่านอู่ต่อเรือไบลัมตะวันออก

ภายในกรุงเบ็คลันด์ นอกจากวิหารของโบสถ์หลักซึ่งประดับประดาไปด้วยหอนาฬิกาหรูหราอลังการ อาคารราชการหลังอื่นต่างก็มีหอนาฬิกาประดับเช่นกัน แต่ไม่ได้สูงเด่นตระหง่านเหมือนกับของโบสถ์ เป็นประเภทใช้งานจริงมากกว่าใช้ในเชิงสัญลักษณ์ และจุดซุ่มของไคลน์ก็อยู่ในหมวดหมู่ดังกล่าว

แต่เมื่อเทียบกับอาคารโดยรอบซึ่งมีความสูงไม่เกินสามชั้น หอนาฬิกาจึงเปรียบดังขุนเขาเด่นตระหง่านท่ามกลางผืนนภายามราตรี ราวกับมีไว้เพื่อจับตามองทุกซอกมุมของย่านนี้จนถ้วนทั่ว

ด้วงพลังโอสถนักทำนายและตัวตลกผสมผสาน ไคลน์ลอบแทรกซึมเข้ามาในหอนาฬิกาไม่ยากเย็น ขั้นตอนถัดมาคือการก้าวขึ้นบันไดเวียนหลายชั้น มันเร่งฝีเท้าส่งตัวเองขึ้นไปยังชั้นบนสุดด้วยความเร็วสูง

จนกระทั่งถึงเป้าหมาย บริเวณดังกล่าวคือส่วนบนของหน้าปัดนาฬิกาขนาดมหึมา ไคลน์กำลังถูกรายล้อมด้วยกำแพงสีเหลืองสี่ทิศ เหนือศีรษะเป็นคือยอดหอคอย เพียงเหยียดมือขึ้นไปก็เอื้อมถึง

เดินเพียงสองสามก้าวก็เข้าไปแอบในจุดหลบมุมเงามืด ไคลน์กวาดสายตาสำรวจทิศทางสักพัก จนกระทั่งพบพิกัดของหอพักสหภาพคนงานย่านอู่ต่อเรือไบลัมตะวันออก

เป้าหมายเป็นอาคารสองชั้น ผนังสร้างจากอิฐมอญแดง ถนนด้านล่างมีผู้คนเดินผ่านไปมาขวักไขว่เป็นจุดเล็กสีดำ

ชายหนุ่มเพ่งมองราวสองวินาที ก่อนจะถอยหลังกลับ หลบซ่อนในเงามืดตามเดิม

พร้อมกันนั้น ไคลน์หยิบหน้ากากใหม่เอี่ยมออกมาสวม

เป็นหน้ากากตัวตลก มุมปากสองข้างยกสูงจนผิดธรรมชาติ กึ่งกลางเป็นจุดวงกลมสีแดงในตำแหน่งจมูก

ตัวตลกเปื้อนยิ้ม

ภายใต้หน้ากากตัวตลก ไคลน์ยืนซุ่มอย่างใจเย็นท่ามกลางความมืดมิดเข้มข้น รอคอยให้ปฏิบัติการสุดระทึกขวัญ อุบัติขึ้นตรงหน้า

จนกระทั่งสองชั่วโมงถัดมา

เมื่อเข็มสั้นของหอนาฬิกายักษ์บอกเวลาตีหนึ่งตรง ชายหนุ่มได้พบบางสิ่งกำลังบินมาจากจุดห่างไกล

เรือบินขนาดใหญ่ สีดำสนิท!

หากไม่เพราะมีแสงจันทร์แดงเลือนราง เรือบินลำดังกล่าวคงกลมกลืนไปกับความมืดมิดอย่างแนบเนียน ตรงข้ามกับคำอธิบายในหนังสือพิมพ์และนิตยสาร ซึ่งกล่าวว่าเรือบินจะมีเครื่องยนต์เสียงดังแสบแก้วหู แต่ในความเป็นจริง เรือบินสีดำสนิทกลับแทบไร้สุ้มเสียง แม้ใบพัดจะหมุนด้วยความเร็วสูงตลอดเวลาก็ตาม ลักษณะคล้ายกับนักล่าเจ้าเวหากำลังรอโฉบเหยื่อ เพียงแต่ยังไม่สบโอกาสเหมาะสม

ถุงลมใหญ่รอบลำเรือมีโครงอัลลอยคอยตีกรอบแน่นหนา ส่งผลให้น้ำหนักเบาแต่แข็งแรงมาก ด้านล่างเป็นส่วนติดปืนกล อาวุธโจมตีพิสัยไกล และปืนใหญ่ แค่มองผิวเผินก็มอบความรู้สึกหวาดหวั่นน่าเกรงขาม

เงียบเกินไป…เป็นผลจากพลังพิเศษหรือ? ไคลน์ผู้สวมหน้ากากตัวตลก แหงนหน้ามองเรือบินบนท้องฟ้า ซึ่งกำลังร่อนลงด้วยความเร็วเชื่องช้า พลางครุ่นคิดหาสาเหตุ

ทันใดนั้น ไคลน์พลันตกตะลึงเมื่อเริ่มตระหนักว่า เรือบินบรรทุกหน่วยลับของโบสถ์ เตรียมทำสงครามในย่านประชากรหนาแน่นของเมืองเบ็คลันด์!

ไม่กลัวว่าปฏิบัติการจะเกิดผลกระทบกับชาวเมืองโดยรอบบ้างหรือ? ไม่กังวลว่าจะสร้างความแตกตื่นเลยหรือไง?

จากนั้นไม่นาน เรือบินได้ร่อนค้างเหนือพื้นถนนราวสิบเมตร ไคลน์จึงเริ่มมั่นใจว่า ตนจะไม่ถูกพบตัวแน่นอน เพราะจุดซุ่มของหอนาฬิกาอยู่สูงกว่ามาก

เมื่อประเมินสถานการณ์เบื้องต้น ชายหนุ่มเริ่มเบาใจลง เพราะมันตระหนักได้ว่า เรือบินลำนี้มิได้รับบทบาทยิงถล่มเปิดศึก แต่เป็นพาหนะขนส่งผู้วิเศษ ลำเลียงอาวุธ และยังรับบทบาทหอสังเกตการณ์ในลำเดียวกัน คอยสนับสนุนหน่วยปฏิบัติการให้มองเห็นภาพรวมของสนามรบ ในกรณีหากเป้าหมายเกิดการหลบหนี

ทันใดนั้น สามบุคคลในเครื่องแต่งกายสีดำสนิท กำลังเคลื่อนตัวไปทางอาคารสองชั้นซึ่งสร้างจากอิฐมอญแดง ด้วยความเร็วสูง

บุคคลนำหน้าสุดมิได้สวมหมวก เผยให้เห็นเส้นผมสีทองอมน้ำตาลเกือบสั้นเกรียน ดวงตาสีเขียวมรกตเงางามราวกับทะเลสาบไร้คลื่น

ปกเสื้อเชิ้ตและเสื้อกันลมถูกดึงขึ้น ฝ่ามือสองข้างสวมถุงมือสีแดงฉานราวกับเลือดมนุษย์

กล่องโลหะสีเงินล้วน กำลังลอยอยู่ข้างแขนซ้ายโดยมีโซ่เงินเชื่อมอยู่กับข้อมือ

มันคือหนึ่งในเก้าอาวุโสใหญ่แห่งโบสถ์รัตติกาล เครสไทน์·ซีสม่า และยังเป็นหนึ่งในสามบุคคลระดับสูงของหน่วย ‘ถุงมือแดง’ ประจำมหานครเบ็คลันด์

หลังจากมองตรงไปข้างหน้าสักพัก เครสไทน์หันไปทางซ้าย กล่าวกับหนึ่งในผู้ช่วย

“ใช้สมบัติปิดผนึก 1-63”

“ขอรับ เจ้าคุณท่าน” เหยี่ยวราตรีคนดังกล่าวรีบคุกเข่าลงหนึ่งข้าง จุดประสงค์คือการช่วยเครสไทน์ปลดโซ่เงินออกจากกล่องโลหะ

ระหว่างเหตุการณ์ดังกล่าว กล้ามเนื้อทั่วร่างเครสไทน์เกิดการบีบเกร็งตลอดเวลา คล้ายกับพยายามต่อสู้กับบางสิ่งมองไม่เห็น

เหยี่ยวราตรีคนซ้ายมือสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเพ่งสมาธิแง้มเปิดกล่องโลหะ เผยให้เห็นคลื่นมายาลักษณะคล้ายผิวน้ำ กระเพื่อมแผ่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง

แสงสว่างโดยรอบหายไปกะทันหัน ราวกับถูกดูดกลืนเข้าไปในกล่องโลหะอย่างสมบูรณ์ ถัดมา ดาบกระดูกยาวไม่ถึงหนึ่งเมตรเริ่มลอยตัวขึ้นจากฝากล่องอย่างเชื่องช้า มันกำลังส่องประกายเจิดจ้าระยิบระยับจนแยงสายตา

บริเวณคมดาบกระดูก มีกระจกเงาสีเงินบานหนึ่งวางทับอยู่

ผิวกระจกเงินสะท้อนภาพทบไปทบมาหลายชั้นราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด

เหยี่ยวราตรีคนซ้ายนำกระจกเงินไปถือ ก่อนจะส่องไปทางอาคารอิฐมอญแดง

ภาพของตึกถูกสะท้อนบนผิวกระจก เป็นปรากฏการณ์ปรกติ ไม่มีสิ่งใดผิดแผกพิสดาร

ทว่า เครสไทน์กลับพ่นลมหายใจออกด้วยสีหน้าตึงเครียดสุดขีด พลางเหยียดแขนซ้ายคว้าดาบกระดูกอย่างใจเย็น

เพียงพริบตา คล้ายกับแสงสว่างในบริเวณดังกล่าวถูกฟื้นฟูกลับมาบางส่วน

“เข้าไปกันเถอะ” เครสไทน์เดินนำหน้าทุกคนตรงไปยังทางเข้าอาคารอิฐ

สามเหยี่ยวราตรีเปิดประตูหอพักและเดินเข้าไปในอาคารมืดมิด โดยให้ความสำคัญกับบันไดขึ้นชั้นสองเป็นพิเศษ

ในวินาทีดังกล่าว บุคคลรูปร่างสูงใหญ่ ร่างกายผอมเพรียว ปรากฏตัวจากเงามืดมุมห้องกะทันหัน มันสวมชุดคลุมนักบวชสีดำ เส้นผมสั้นสีทองอ่อน หยักโศกเล็กน้อย ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ดุร้ายเกรี้ยวกราด

“แกคือดาบแห่งเทพธิดา?” ชายผู้มีส่วนสูงราวสองเมตร ‘ยักษ์’ กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ

ขณะเดียวกันก็กำหมัดขวาจนเส้นเลือดปูด

บึ้ม! บึ้ม! บึ้ม!

หอพักคนงานสหภาพสีอิฐแดง ขนาดไม่ใหญ่มาก เกิดระเบิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ร่างของคนงานไร้เดียงสาผู้กำลังหลับฝันดี ถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย โดยไม่มีโอกาสได้ส่งเสียงร้องสักเอะ

เศษชิ้นเนื้อกระจัดกระจาย บางส่วนกลายเป็นของเหลวเหนียวข้น ราวครึ่งหนึ่งของซากศพเหล่านั้น พุ่งมารวมตัวรอบ ‘ยักษ์’ พร้อมกับถักทอเป็นอาภรณ์เนื้อหนังคุ้มกาย ช่วยลดความเสียหายจากการโจมตีประเภทเวทมนตร์ทุกชนิด ส่วนอีกครึ่งถักทอเป็นพรมผืนใหญ่ พุ่งห้อมล้อมสามเหยี่ยวราตรีในเครื่องแต่งกายสีดำ

เครสไทน์·ซีสม่าเพียงยืนจ้องมองโดยไม่ขยับตัว ไม่แม้แต่จะลงมือโจมตี

ทันใดนั้น เนื้อหนังมนุษย์ซึ่งเคยกลายเป็นอาภรณ์และอาวุธให้ ‘ยักษ์’ พลันสลายตัวและร่วงหล่นลงพื้นประหนึ่งสายฝน ทว่า พื้นอาคารในจุดดังกล่าวกลับไม่ปรากฏร่องรอยคราบเลือด

ในเวลาเดียวกัน ภายในแต่ละห้องพัก ร่างกายมนุษย์กลับมารวมตัวอีกครั้ง ทุกคนนอนหลับฝันหวานราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

“นี่คือโลกภายในกระจก กระจกห้วงมิติจะเล่นงานเฉพาะผู้วิเศษเป้าหมายเท่านั้น ส่งผลให้ระเบิดเนื้อหนังซึ่งแกแอบฝังไว้ในร่างของคนงานมาตลอด กลายเป็นเพียงภาพมายาจอมปลอมของโลกใบนี้” เครสไทน์ใช้มือขวายกสมบัติศักดิ์สิทธิ์ ‘ดาบกระดูก’ ขึ้นมาเล็งไปทาง ‘ยักษ์’ ส่งผลให้บริเวณดังกล่าวถูกความมืดมิดปกคลุมอีกระลอก

“ฮึ่ม!” ยักษ์วางมือขวาไว้บนไหล่ซ้าย ก่อนจะออกแรงกระชากแขนของตัวเองให้ขาดจากลำตัว ปิดท้ายด้วยการขว้างท่อนแขนชุ่มเลือดมาด้านหน้า

บึ้ม!

ท่อนแขนของมันสร้างแรงระเบิดได้ไม่ต่างจากระเบิดจริง เกิดเป็นสายฝนโลหิตสาดเทใส่ศีรษะสามเหยี่ยวราตรีจากด้านบน

ขณะเดียวกัน เนื้อหนังบริเวณไหล่ซ้ายของยักษ์เริ่มยุบพองรุนแรง ก่อนแขนข้างใหม่จะพุ่งพรวดออกมาโดยปราศจากผิวหนัง

ซ่า! ซ่า! ซ่า!

ซู่ว!

สายฝนโลหิตจากด้านบน ร่วงหล่นลงพื้นโดยหลบเลี่ยงร่างกายเหยี่ยวราตรีทั้งสามอย่างน่าฉงน มันทำได้เพียงกัดกร่อนพื้นอาคารจนกลายเป็นรอยไหม้สีดำ

ไม่ว่าสายฝนเลือดจะมีปริมาณมากเพียงใด แต่ก็ไม่มีหยดใดสัมผัสร่างกายเครสไทน์รวมถึงอีกสองเหยี่ยวราตรี ประหนึ่งโชคชะตากำหนดไว้ให้พลาดเป้า

“ศัตรูของฉันมักโชคร้ายเสมอ” เครสไทน์ยกมุมปากอย่างมีเลศนัย ตามด้วยการขยับปลายเท้าแผ่วเบา และปรากฏตัวอีกครั้งตรงหน้า ‘ยักษ์’ พอดิบพอดี

ดวงตายักษ์พลันหรี่ลง ร่างกายของมันเริ่มละลายคล้ายเทียนไข กลายเป็นกลุ่มก้อนเลือดเนื้อไหลซึมไปตามร่องพื้น

เครสไทน์รีบคุกลงเข่าพร้อมกับปักสมบัติศักดิ์สิทธิ์แห่งโบสถ์ลงบนพื้น

“อ๊ากกกกกก!!”

ท่ามกลางความมืดมิด เสียงคำรามอย่างเจ็บปวดดังโหยหวนแหบพร่า แต่เพียงไม่นานก็ถูกบรรยากาศสุขสงบกลืนกินหายไป ราวกับไม่เคยมีใครกรีดร้อง

เครสไทน์ลุกยืนพร้อมกับดึงดาบกระดูกขึ้น หยดเลือดสีแดงเข้มไหลรินจากปลายดาบเป็นระยะ บนพื้นอาคารมีก้อนเลือดเนื้อผุดกลับขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับใบหน้าแสนสิ้นหวังของ ‘ยักษ์’ ผู้มีมุมปากห่อเหี่ยว

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

ทันใดนั้น เงาดำสามจุดพลันพุ่งใส่ซีสม่าอย่างพร้อมเพรียง แต่ทั้งหมดกลับร่วงหล่นกระแทกพื้นก่อนได้สัมผัสตัวอาวุโสใหญ่แห่งโบสถ์รัตติกาล ราวกับถูกโจมตีด้วยบุคคลล่องหนจำนวนมาก

ปัง! ปัง! ปัง!

เหยี่ยวราตรีคนอื่นรัวยิงซ้ำ กระสุนเงินจากปากกระบอก คล้ายกับมีตราศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดาสลักอยู่

เงาดำสามร่างซึ่งพยายามซุ่มโจมตีเมื่อครู่ เริ่มเผยให้เห็นตัวจริงขณะนอนชักกระตุกอยู่บนพื้นอาคารอย่างน่าสมเพช ลมหายใจรวยรินใกล้หมดลงเต็มที

“นักบวชกุหลาบ บาทหลวง…คนของชุมนุมแสงเหนือ…?” เครสไทน์ขมวดคิ้วพลางพึมพำเสียงค่อย มันกล่าวต่อโดยไม่หันไปมองพวกพ้องด้านข้าง “มีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล พวกคุณทุกคนระวังตัวด้วย”

ยังไม่ทันจบประโยค มันได้ยินเสียงฝีเท้า ‘กึก กึก กึก’ ของใครบางคน ดังกังวานท่ามกลางบรรยากาศสุขสงบเงียบงัน

ทันใดนั้น เครสไทน์มองเห็นใบหน้าอันคมเข้มของลาเนวุส แต่งกายด้วยชุดลินินเก่า กำลังย่างกรายลงมาจากขั้นบันไดมืดด้วยสีหน้าแววตาสุขุมเยือกเย็น ไม่ปรากฏอาการสั่นกลัวแม้แต่น้อย

“ฉันไม่เข้าใจ สำหรับชุมนุมแสงเหนือ นายเป็นเหมือนผู้ลบหลู่ดูหมิ่นศาสดา แล้วทำไมพวกมันถึงส่งคนมาคุ้มกัน?” เครสไทน์ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ จึงซักถามอย่างซื่อตรง

ลาเนวุสเผยรอยยิ้มยียวนเย้นหยัน สิ่งนี้กลายเป็นเครื่องหมายการค้าของมันไปแล้ว

“ไม่เห็นซับซ้อน เพราะข้าไม่ใช่ลาเนวุสอีกแล้ว”

มันเว้นวรรค และเสริมด้วยสายตาเย็นชา

“ตัวข้าในปัจจุบัน เริ่มเข้าใกล้พระผู้สร้างแท้จริงเข้าไปทุกขณะ!”

เมื่อกล่าวจบ มันกระชากเสื้อลินินจนขาดออกจากกัน เผยให้เห็นก้อนเนื้อสีแดงสดบริเวณหน้าอกและช่องท้อง ปราศจากผิวหนังห่อหุ้มโดยสิ้นเชิง

ก้อนเนื้อบนหน้าอกของมัน ก่อตัวกันเป็นรูปทรงคนห้อยหัว!

เพียงพริบตา ห้วงมิติรอบตัวทุกคนพลันแตกละเอียดประหนึ่งเศษกระจก ฉากจอมปลอมรอบตัวพังพินาศหมดสิ้น

นี่คือออร่าแห่งเทพ

………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version