ตอนที่ 5 : พิธีกรรม
ฟรี? ของฟรีนี่แหละที่มีค่าที่สุด!
โจวหมิงรุ่ยพึมพำกับตัวเอง มันตัดสินใจแล้ว ต่อไปไม่ว่าจะเป็นบริการเสริมอะไร ก็จะต้องปฏิเสธอย่างหนักแน่น!
ถ้าแน่จริง ก็ทำนายให้ได้สิฟะว่าฉันเป็นผู้เดินทางข้ามโลก!
พอคิดถึงตรงนี้ โจวหมิงรุ่ยก็เดินก้มตัวตามสตรีปริศนามุดเข้าไปในเต็นท์
ภายในเต็นท์มืดสนิท มีแสงสว่างเล็ดลอดเข้ามาเพียงเล็กน้อย บนโต๊ะที่เต็มไปด้วยไพ่ถูกตกแต่งด้วยลวดลายหลากสี ชวนให้วิงเวียนศีรษะ
แต่ลวดลายกลับไม่ส่งผลต่อสตรีสวมหมวกปลายแหลม กระโปรงยาวสีดำลากผ่านโต๊ะราวกับลอยบนน้ำ เธอนั่งลงฝั่งตรงข้ามและจุดเทียนไขเพื่อมอบแสงสว่าง
ภายในเต็นท์มีจุดกำเนิดแสงแหล่งใหม่ เป็นทั้งความสว่างและมืดมิดในเวลาเดียวกัน บรรยากาศเริ่มลี้ลับมากขึ้นทุกขณะ
โจวหมิงรุ่ยนั่งลงอย่างเงียบงัน สายตาเหลือบมองหน้าไพ่บนโต๊ะ ทั้งภาพและชื่อของไพ่เป็นแบบที่มันคุ้นเคยทุกประการ มีทั้งเดอะเมจิกเชี่ยน ดิเอ็มเพอเรอร์ เดอะแฮงแมน เท็มเพอแรนซ์ และอีกหลายใบ
หรือโรซายล์จะเป็น ‘รุ่นพี่’ ของเราจริงๆ…
จะเป็นคนชาติเดียวกันไหม…
มุมปากโจวหมิงรุ่ยขยับเล็กน้อย มันใจลอยไปครู่หนึ่ง
แต่ยังไม่ทันได้มองหน้าไพ่ครบ หญิงสาวฝั่งตรงข้ามก็ทำการเหยียดแขนรวบไพ่กลับไปกองด้านหน้าตัวเอง จากนั้นก็บรรจงคว่ำไพ่และวางกองกันเป็นสำรับ ก่อนจะดันกลับมาหาโจวหมิงรุ่ย
“สับไพ่ก่อน จากนั้นค่อยตัด”
นักทำนายปริศนาแห่งคณะละครสัตว์กล่าวเสียงค่อย
“ผม? สับเองหรือ?”
โจวหมิงรุ่ยถามกลับทันที
นักทำนายสาวชะงักครู่หนึ่ง ก่อนจะเผยรอยยิ้มบางๆ
“แน่นอน ดวงของแต่ละคนมีเพียงตัวเองเท่านั้นที่ทำนายได้ ส่วนฉันเป็นเพียงผู้แปลความหมาย”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว มันเอ่ยปากถามด้วยสีหน้าหวาดระแวง
“การแปลความหมายจะไม่ถูกคิดเงินเพิ่มใช่ไหม?”
ในฐานะนักมานุษยวิทยาคีย์บอร์ด มันเคยเห็นลูกไม้ต้มตุ๋นแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว!
หล่อนอึ้งไปสักพัก ก่อนจะตอบกลับด้วยเสียงกระซิบกระซาบ
“…ไม่คิดเงิน”
โจวหมิงรุ่ยเผยสีหน้าโล่งใจ มันใช้มือซ้ายยัดปืนเข้าไปให้ลึกกว่าเดิม จากนั้นก็ใช้มือทั้งสองข้างสับและตัดไพ่
“เสร็จแล้ว”
กองสำรับไพ่ที่ตัดเสร็จถูกวางกลางโต๊ะ
นักทำนายใช้ฝ่ามือสองข้างดึงสำรับไพ่กลับไปหาตัว เธอจ้องไพ่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากถามด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
“ขอโทษที ฉันลืมถาม แต่คุณอยากให้ฉันทำนายในเรื่องใด”
ขณะกำลังจีบสาวซึ่งเป็นรักแรก โจวหมิงรุ่ยเคยศึกษาเกี่ยวกับไพ่ทาโรต์มาบ้างในระดับพื้นฐาน จึงตอบกลับไปโดยไม่ลังเล
“อดีต ปัจจุบัน และอนาคต”
นี่คือหลักการสามัญสำหรับทำนายดวงชะตาด้วยไพ่ทาโรต์ ไพ่สามใบจะถูกเลือกและเปิดเรียงต่อกัน ใบแรกหมายถึงอดีต ถัดมาคือปัจจุบัน และสุดท้ายเป็นอนาคต
หล่อนพยักหน้าเล็กน้อยพลางอมยิ้มมุมปาก
“ช่วยสับไพ่ใหม่ด้วย การทำนายจะแม่นยำหลังจากทราบจุดประสงค์ของผู้ถูกทำนาย”
คิดจะใช้ลูกไม้ตื้น ๆ อีกแล้วหรือ… หน้าตาของเราดูหลอกง่ายขนาดนั้นเชียว ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ยอมจ่ายเงินเพิ่มเด็ดขาด!
มุมปากโจวหมิงรุ่ยเริ่มกระตุก มันสูดลมหายใจยาวเข้าเต็มปอด ก่อนจะดึงสำรับไพ่กลับมาสับและตัดใหม่อีกครั้ง
“ต้องทำอะไรอีกไหม”
มันวางไพ่ลงบนโต๊ะและส่งให้เธอ
“ไม่แล้ว”
นักทำนายใช้ปลายนิ้วหยิบไพ่ใบบนสุดออกมาวางฝั่งซ้ายมือชายหนุ่ม เธอกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงบางเบาจนแทบไม่ได้ยิน
“ใบนี้แทนอดีต ส่วนใบนี้แทนปัจจุบัน”
ไพ่ใบที่สองถูกวางตรงหน้า ก่อนที่เธอจะวางไพ่ใบสุดท้ายลงบนฝั่งขวามือของโจวหมิงรุ่ย
“และใบนี้แทนอนาคต”
“เอาล่ะ คุณอยากทราบเรื่องไหนก่อน”
หล่อนเงยหน้าขึ้นมองหลังจากวางไพ่ใบสุดท้ายเสร็จ นัยน์ตาสีฟ้าหม่นกำลังจ้องมองโจวหมิงรุ่ยอย่างไม่กะพริบ
“เอาเป็น… ปัจจุบัน”
มันตอบหลังจากครุ่นคิดหนึ่งอึดใจ
เธอผงกศีรษะรับอย่างเชื่องช้า ก่อนจะใช้ปลายนิ้วพลิกไพ่ใบกลาง
บุคคลในไพ่สวมชุดหลากสีสัน เหนือศีรษะสวมหมวกหรูหรา มือข้างหนึ่งจับไม้เท้าหาบเร่วางพาดบ่า ปลายสุดไม้หาบมีถุงผ้ามัดไว้สำหรับใส่สิ่งของ บนพื้นมีลูกสุนัขสีขาวเดินตามไม่ห่าง
ไพ่หมายเลข ‘0’
“เดอะฟูล”
นักทำนายอ่านชื่อไพ่ขณะสายตายังคงจ้องมองโจวหมิงรุ่ย
เดอะฟูล?
หมายเลข ‘0’ แห่งสำรับไพ่ทาโรต์น่ะหรือ?
หมายความว่ายังไง… การเริ่มต้น? หรือการเริ่มใหม่ที่มีความเป็นไปได้นับไม่ถ้วน?
ความรู้ทางด้านไพ่ทาโรต์ของหมิงรุ่ยมีเพียงหางอึ่ง ยังไม่ถึงขั้นมือสมัครเล่นด้วยซ้ำ จึงทำได้เพียงคาดเดาความหมายไพ่จากองค์ประกอบและความรู้สึกส่วนตัว
แต่ขณะนักทำนายสาวเตรียมแปลคำอธิบาย ผ้าม่านทางเข้าเต็นท์ถูกยกขึ้นจนแสงแดดส่องผ่านมายังด้านใน โจวหมิงรุ่ยรีบหันศีรษะมองตามความเคยชิน แต่ก็ต้องหรี่ตาลงเมื่อปะทะแสงแดดเจิดจ้า
“ทำไมเธอถึงปลอมตัวเป็นฉันอีกแล้ว! การทำนายดวงชะตาเป็นงานของฉันต่างหาก!”
สตรีภายนอกแผดเสียงโมโห
“รีบกลับไปประจำตำแหน่งเดี๋ยวนี้! งานของเธอเป็นแค่นักฝึกสัตว์!”
น…นักฝึกสัตว์?
เมื่อดวงตาชายหนุ่มเริ่มคุ้นชินกับแสงสว่าง มันเริ่มเผยความสับสน เพราะหญิงสาวด้านนอกเต็นท์แต่งกายคล้ายคลึงกับนักทำนายที่นั่งฝั่งตรงข้ามมาก หมวกยาวแหลม เดรสสีดำสนิท ใบหน้าทาด้วยแถบสีแดงสลับเหลือง สิ่งเดียวที่ต่างกันคือ บุคคลด้านนอกมีส่วนสูงมากกว่า และร่างกายที่ผอมบางกว่า
หญิงสาวฝั่งตรงข้ามโจวหมิงรุ่ยลุกขึ้นยืนพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเสียเต็มประดา
“ต้องขอโทษด้วย แต่ฉันชอบทำนายดวงมาก และมั่นใจว่าตัวเองแม่นยำพอสมควรในบางครั้ง นี่ฉันพูดเรื่องจริงนะ…”
เมื่อกล่าวจบ เธอยกชายกระโปรงขึ้นพร้อมกับเดินผ่านชายหนุ่ม จากนั้นก็วิ่งเหยาะออกไปนอกเต็นท์
“มิสเตอร์… คุณต้องการให้ฉันแปลความหมายของไพ่ไหม?”
นักทำนายตัวจริงเอ่ยปากถามพลางอมยิ้ม
มุมปากชายหนุ่มกระตุกอีกครั้ง มันถามกลับด้วยสีหน้าขึงขัง
“ฟรีไหม?”
“…ไม่”
นั่นคือคำตอบ
“ลืมไปซะ”
โจวหมิงรุ่ยชักแขนออกจากโต๊ะทำนาย มือข้างซ้ายถูกนำไปซุกกระเป๋าข้างที่มีปืนอีกครั้ง ตามด้วยการก้มศีรษะมุดออกจากเต็นท์ไป
บ้าจริง! ดันได้นักฝึกสัตว์มาดูดวงไพ่ให้!
นักฝึกสัตว์ที่ไม่อยากเป็นนักทำนายจะเป็นตัวตลกที่ดีไม่ได้หรือยังไง[1]!?
โจวหมิงรุ่ยรีบเดินออกจากจัตุรัสและตรงไปยังย่านที่ขายเนื้อกับถั่ว สายตากวาดมองหาร้านขาย ‘เนื้อแกะเกรดพอประมาณ’
ชายหนุ่มตัดสินใจซื้อเนื้อแกะหนักหนึ่งปอนด์ จากนั้นก็ซื้อถั่วปากอ้า กะหล่ำ หอมใหญ่ มันฝรั่ง และผักชนิดอื่น
ราคารวมของขนมปัง เนื้อ ถั่ว และผักคือ ยี่สิบห้าเพนนี หรือเทียบเท่าสองซูลกับหนึ่งเพนนี
“ซื้อของมาแค่นี้ แต่เงินกลับยังไม่พอ… เบ็นสันผู้น่าสงสาร…”
โจวหมิงรุ่ยพกธนบัตรหนึ่งซูลมาสองใบ ทำให้มันต้องออกเงินตัวเองอีกหนึ่งเพนนีในกระเป๋า
ชายหนุ่มไม่เถลไถลที่ไหนอีก เป้าหมายเดียวคือการเดินตรงกลับหอพัก ด้วยอาหารจานหลักที่ซื้อเตรียมไว้ มันพร้อมแล้วสำหรับการเริ่มพิธีเปลี่ยนดวงชะตา
…
หลังจากกลับมาถึงห้องในช่วงสาย ชาวหอพักชั้นสองเริ่มทยอยออกไปทำงานหรือเรียนหนังสือกันหมด มันจึงไม่รีบร้อนทำพิธี เพียงนั่งแปลบทสวด “เซียนราชันฟ้าดินประทานโชค” ให้เป็นภาษาฟุซัคโบราณรวมถึงภาษาโลเอ็น เผื่อว่าบทสวดภาษาจีนดั้งเดิมไม่ได้ผล มันจะได้ทดลองใหม่ด้วยภาษาท้องถิ่นโลกนี้
เหมือนกับสำนวนที่ว่า เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม!
แน่นอน มันไม่ลืมแปลให้เป็นภาษาเฮอร์มิสที่นิยมใช้ในพิธีกรรมโบราณหลายชนิด สมองถูกเค้นอย่างหนักเพื่อแปลเทียบทีละคำอย่างตั้งใจ
หลังจากจัดการบทสวดเรียบร้อย มันนำขนมปังไรย์สี่ชิ้นออกมาเตรียมทำพิธี แต่ละชิ้นถูกวางไว้ยังมุมห้องสี่ทิศ ชิ้นแรกวางไว้บนเตาถ่าน ชิ้นที่สองวางไว้ด้านข้างกระจกเงาสำหรับแต่งตัว ชิ้นที่สามวางไว้บนตู้กับข้าว และชิ้นสุดท้ายวางไว้ซ้ายมือโต๊ะไม้อ่านหนังสือ
ลมหายใจถูกสูดเข้าเต็มปอด โจวหมิงรุ่ยเดินกลับมายังกึ่งกลางห้องและใช้เวลาสงบจิตใจนานหลายนาที จนกระทั่งเท้าขวาขยับไปด้านหน้าหนึ่งก้าว ก่อนจะเริ่มเดินทวนเข็มนาฬิกาเป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส
เมื่อจบก้าวแรก มันเปล่งเสียง
“เซียนราชันฟ้าดินประทานโชค”
ก้าวที่สอง
“เทพสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค”
ก้าวที่สาม มันสูดลมหายใจก่อนเปล่งเสียง
“จักรพรรดิสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค”
เมื่อจบก้าวสุดท้าย มันท่องคาถาพร้อมกับหลับตาทำสมาธิสงบจิตใจ
“ราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค”
หลังจากกลับมายืนในจุดกึ่งกลางอีกครั้ง โจวหมิงรุ่ยเฝ้ารอผลลัพธ์ด้วยใจจดจ่อ อารมณ์ความรู้สึกหลากหลายกำลังถาโถม ทั้งคาดหวัง กระสับกระส่าย รวมถึงหวาดกลัว
ตนจะกลับไปโลกเดิมได้หรือไม่
จะมีผลข้างเคียงอะไรไหม
หรือจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
ความไม่รู้คือบ่อเกิดของสองความรู้สึก หนึ่งคืออยากรู้อยากเห็น และสองคือหวาดกลัว โดยแม้จะหลับตาสนิท แต่เปลือกตากลับยังมองเห็นแสงสีแดงทะมึน
ทันใดนั้น ห้วงความคิดในหัวโจวหมิงรุ่ยเริ่มปั่นป่วนและหมุนเคว้ง ไม่ว่าจะพยายามเพียงใดก็มิอาจยับยั้งอาการดังกล่าว
ผ่านไปครู่หนึ่ง ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่า บรรยากาศรอบตัวเริ่มหยุดนิ่ง แต่ยังเปี่ยมด้วยมวลพลังปริศนาปริมาณเข้มข้น
ถัดมาไม่นาน เกิดเสียงเพรียกอันโหยหวนดังแว่วข้างหูอย่างต่อเนื่อง บ้างดังชัดเจนเสมือนมีใครยืนกระซิบ บ้างดังหวีดแหลมเสียดแทงโสตประสาท บ้างดังลอยฟุ้งประหนึ่งสุ้มเสียงในจินตนาการ บ้างดังเย้ายวนน่าหลงใหล
บ้างดังกระเส่าอย่างคลั่งไคล้
และบ้างดังกรรโชกอย่างบ้าคลั่ง
ถึงจะไม่เข้าใจว่าเสียงแว่วที่ดังต่อเนื่องกำลังพูดในสิ่งใด แต่ด้วยความใคร่รู้ มันจึงพยายามเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจเพื่อแปลความหมาย
ทันใดนั้น ศีรษะพลันเจ็บแปลบประหนึ่งมีใครนำสว่านทะลวงเข้าที่ขมับ เป็นความทรมานราวกับหัวจะระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ภาพในสมองของโจวหมิงรุ่ยเริ่มผุดสีสันประหลาดคล้ายกับอาการหลอนยาเสพติด
เมื่อสถานการณ์เริ่มไม่สู้ดีนัก มันตัดสินใจลืมตาขึ้นเพื่อยุติพิธีกรรม ทว่า กระทั่งอิริยาบถที่ง่ายที่สุดก็มิอาจกระทำสำเร็จ ร่างกายถูกบีบรัดแน่นขึ้นทุกขณะราวกับจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ
ทันใดนั้น มันตัดพ้ออย่างสมเพชตัวเอง
“ไม่น่ารนหาที่ตาย…”
ชายหนุ่มทนไม่ไหวอีกต่อไป แต่ขณะหัวสมองจวนเจียนระเบิด บรรยากาศรอบข้างพลันสงบลงอย่างน่าประหลาด เสียงแว่วข้างหูมลายหายไปโดยสมบูรณ์ อารมณ์ของโจวหมิงรุ่ยเริ่มแปรปรวนจนไม่มั่นคง
ไม่เพียงอารมณ์ แม้แต่ร่างกายก็เริ่มโงนเงนไม่มั่นคงเช่นกัน มันกลั้นหายใจและฝืนลืมตาขึ้นด้วยสมาธิทั้งหมด แต่คราวนี้กลับขยับตัวได้ง่ายดายกว่าที่คิด
ทัศนียภาพตรงหน้า รอบตัวชายหนุ่มเต็มไปด้วยกระแสหมอกควันสีเทา ทั้งคละคลุ้ง ฟุ้งกระจาย และไร้สิ้นสุด
“เกิดอะไรขึ้น…”
โจวหมิงรุ่ยรีบกวาดตามองรอบข้างอย่างลนลาน เมื่อก้มลงมองด้านล่าง มันพบว่าตัวเองกำลังลอยเคว้งท่ามกลางกลุ่มหมอกสีเทาที่ไร้ก้นบึ้ง
มิติแห่งนี้ไม่มีพื้น!
สายหมอกรอบตัวมิได้หยุดนิ่ง พวกมันไหลวนไปตามกระแสประหนึ่งสายวารี ท่ามกลางสายหมอกสีเทามีจุดแสงคล้าย ‘ดวงดาว’ สีแดงเข้มลอยเรียงราย ขนาดของแต่ละดวงไม่เท่ากัน บ้างใหญ่มาก บ้างก็เล็กมาก บ้างจมลึกลงไปราวกับกำลังหลบซ่อน บ้างก็ลอยเหนือกระแสหมอกอย่างไม่เกรงกลัว
ขณะกวาดตามองฉากสุดอลังการตรงหน้าที่คล้ายคลึงภาพโฮโลแกรม โจวหมิงรุ่ยเหยียดมือขวาออกไปสัมผัสกับ ‘ดาว’ ดวงหนึ่งซึ่งกำลังลอยเหนือสายหมอกสีเทา
เนื่องจากกำลังกึ่งสงสัย กึ่งหวาดกลัว จึงไม่ได้คิดเรื่องใดเป็นพิเศษ เพียงต้องการออกไปจากสถานที่แห่งนี้โดยเร็ว
ในวินาทีที่ฝ่ามือสัมผัสดาวแดงเข้มดวงดังกล่าว คลื่นน้ำพลันกระเพื่อมออกจากร่างกายชายหนุ่มอย่างฉับพลัน ดาวแดงถูกคลื่นซัดปะทะและเผาไหม้ตัวเองจนระเหิดหายไป
โจวหมิงรุ่ยพลันตะลึง มือขวาถูกชักกลับอย่างลนลานตามสัญชาตญาณ แต่ดันสัมผัสไปโดนดาวอีกดวงโดยไม่ได้ตั้งใจ
ผลก็คือ ดาวแดงโชคร้ายเกิดการลุกไหม้และระเหิดไปต่อหน้าต่อตาเหมือนเช่นเคย
ทันใดนั้น หัวสมองโจวหมิงรุ่ยพลันขาวโพลน คล้ายกับวิญญาณใกล้หลุดลอยออกจากร่าง
…
ณ กรุงเบ็คลันด์แห่งอาณาจักรโลเอ็น
ภายในคฤหาสน์สุดหรูใจกลางเมืองหลวง
‘ออเดรย์·ฮอลล์’ กำลังนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งเก่าแก่ กึ่งกลางมีบานกระจกทองเหลืองสำหรับแต่งตัว บนผิวกระจกมีรอยร้าวเล็กน้อย
“กระจกเอ๋ย จนตื่นขึ้นเถิด… ในนามแห่งตะกูลฮอลล์ ข้าของสั่งให้เจ้าลืมตาตื่น ณ บัดนี้!”
…
หล่อนพยายามเปลี่ยนบทสวดอีกหลายอย่าง แต่ทุกครั้งก็ยังไร้ผลลัพธ์เหมือนเช่นเคย
ออเดรย์ยอมแพ้หลังจากผ่านไปสิบนาที เธอนั่งทำแก้มป่องหน้ากระจกด้วยสีหน้าหงุดหงิดพลางพึมพำบ่นอย่างหัวเสีย
“ท่านพ่อต้องโกหกเราแน่ ไหนบอกว่ากระจกบานนี้เป็นสมบัติหายากของจักรพรรดิมืดแห่งจักรวรรดิโซโลมอน แถมยังเป็นของวิเศษ…”
ทันใดนั้น สุ้มเสียงของเธอมีอันต้องขาดห้วง แสงสว่างสีแดงเข้มพลันเจิดจ้าจากบานกระจกทองเหลือง โอบล้อมร่างกายออเดรย์·ฮอลล์ไว้โดยสมบูรณ์
…
ท่ามกลางทะเลโซเนีย เรือใบเก่าแก่ประหนึ่งซากวัตถุโบราณขนาดสามเสากระโดงกำลังแล่นฝ่าใจกลางพายุ
อัลเจอร์·วิลสันยืนบนดาดฟ้าเรือที่มีสภาพโคลงเคลงหนักจากคลื่นทะเลอันเกรี้ยวกราด แต่ถึงอย่างนั้น มันกลับรักษาสมดุลร่างกายได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
ชุดคลุมที่อัลเจอร์สวม กึ่งกลางหน้าอกมีลวดลายสายฟ้าขนาดใหญ่สลัก ในมือถือขวดแก้วทรงประหลาด ของเหลวภายในขวดฉวัดเฉวียนอยู่ไม่เป็นสุข ประเดี๋ยวผุดฟองเดือดพล่าน ประเดี๋ยวจับตัวเป็นน้ำแข็ง ประเดี๋ยวหมุนวนประหนึ่งเกลียวพายุ
“ยังขาดโลหิตฉลามวิญญาณสินะ…”
อัลเจอร์พึมพำ
ทันใดนั้น แสงสว่างสีแดงฉานพลันเจิดจ้ากึ่งกลางระหว่างฝ่ามือและขวดแก้ว อัลเจอร์ถูกแสงเลือดกลืนกินร่างกายฉับพลัน
…
ท่ามกลางสายหมอกสีเทา เมื่อออเดรย์ได้รับการมองเห็นกลับคืน เธอรีบกวาดสายตามองโดยรอบด้วยสีหน้าตื่นตระหนกหวาดกลัว
หล่อนก็ได้พบเงาลางของบุคคลปริศนาที่ยืนไม่ห่างนัก คนผู้นั้นกำลังแสดงพฤติกรรมคล้ายคลึงกับเธอ
เพียงไม่นาน ทั้งออเดรย์และอัลเจอร์ได้พบกับอีกหนึ่งตัวตนปริศนาที่ยืนห่างออกไปเล็กน้อย รอบกายบุคคลดังกล่าวมีกระแสหมอกสีเทาห่อหุ้มหนาแน่นจนมองไม่เห็นใบหน้า
‘ตัวตนปริศนา’ ดังกล่าวไม่ใช่ใครอื่นนอกจากโจวหมิงรุ่ย มันเองก็ฉงนไม่ต่างจากทั้งสองคน
“มิสเตอร์… เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
แม้นกำลังตกตะลึง แต่ทั้งออเดรย์และอัลเจอร์ไม่กล้าแหกปากโวยวาย พวกมันตัดสินใจเอ่ยปากถามพร้อมกันโดยมิได้นัดแนะ
“คุณคิดจะทำอะไรกับพวกเรา?”
……………………
[1] ประโยคนี้มาจากวลีดังของนโปเลียนที่ว่า Those Soldiers who are not willing to be a general are not good soldiers.(不想当将军的士兵不是好士兵) ทหารที่ไม่อยากเป็นนายพลไม่ใช่ทหารที่ดี ในที่นี้ โจวหมิงรุ่ยพยายามจะเล่นมุกเพื่อประชดให้แทนนักฝึกสัตว์