บทที่ 1007 เขาเรียกตนเองว่าเหยียนเสวียนจื่อ
แดนศักดิ์สิทธิ์ สำหรับชนเผ่าต่างๆ ในดินแดนต้องประสงค์มีความหมายมากมาย
ทั้งความหวัง ความชิงชัง สุดท้ายผสานรวมเป็นความซับซ้อน
หากกาลเวลาผันผ่านไปเช่นนี้ หรือบางทีเมื่อเวลาผ่านไปนานพอสมควร ความรู้สึกของแต่ละเผ่าพันธุ์ที่มีต่อแดนศักดิ์สิทธิ์อาจจะค่อยๆ จางหายไป และถูกลืมเลือนไปในที่สุด
ทว่าผู้ใดเล่าจะคาดคิด แดนศักดิ์สิทธิ์…จะกลับมาอย่างกะทันหันอีกครั้งในช่วงปีที่ผ่านมา พร้อมกับนำสงครามมาด้วย
เพลิงสงครามแผ่พิษร้าย กลืนกินดินแดนต้องประสงค์
ความสับสน ความโกรธขึ้ง ความไม่ยินยอม จิตสังหาร และความแค้นเคืองที่สั่งสมมานับหมื่นปี…อารมณ์ความรู้สึกนานัปการเหล่านี้ กำลังปะทุในจิตใจชนเผ่าต่างๆ ในดินแดนต้องประสงค์
ยามนั้นพวกเจ้าจากไป นำเอาผู้กล้าและความหวังจากไป ไปจนสิ้น
บัดนี้ พวกเจ้าหวนกลับมา ยืนหยัดอยู่เหนือสรรพสิ่ง นำเพลิงสงครามกลับมา
ดังนั้นการตอบโต้จากชนเผ่าต่างๆ ในดินแดนต้องประสงค์ก็เริ่มต้นขึ้นจากการเรียกร้องของชนเผ่ามหาอำนาจในทิศบูรพา ทักษิณ ประจิม และอุดร
แนวทางของแต่ละฝ่าย ล้วนแตกต่างกัน
เขตแดนบางแห่งก่อสงครามเต็มรูปแบบ พลังวิเศษแผ่ซ่าน วิชาเวทสะท้านฟ้าดินในชั่วขณะหนึ่ง
เขตแดนบางแห่งตั้งรับป้องกัน ควบคุมขอบเขตของสงคราม
ส่วนทิศบูรพา กลับยึดมั่นในการกุมอำนาจผู้นำและจังหวะเป็นสำคัญ แทบจะทันทีที่เพลิงสวรรค์ของ 4 แดนศักดิ์สิทธิ์ระดับดำดับลง ลำแสง 99 ลำพลันพุ่งทะยานขึ้นฟ้าจากทุกหนแห่งในทิศบูรพา
ก่อเกิดเป็นค่ายกลสะท้านพิภพ ผนึกกำลังชนเผ่าจำนวนมาก ผสานรวมไอพลังประหลาด ห่อหุ้มดินแดนต้องประสงค์ทิศบูรพา ทั้งยังครอบคลุมทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณและทะเลในระหว่างดินแดน
สกัดกั้นหนทางหวนคืนของแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับเหลืองที่ถูกขับไล่ ทั้งยังแบ่งแยกระหว่างโลกเบื้องล่าง
ทำให้ 4 แดนศักดิ์สิทธิ์ระดับดำ ทำได้เพียงลอยคว้างอยู่นอกแนวป้องกัน
ในเวลาเดียวกัน ไอพลังประหลาดยังแปรเปลี่ยนเป็นกลยุทธ์สำคัญของดินแดนต้องประสงค์ แผ่ซ่านเหนือม่านฟ้า รุกรานแดนศักดิ์สิทธิ์
จากนั้น 3 เทพเจ้าแห่งนภาคิมหันต์ และจักรพรรดินีก็พลันปรากฏกาย ผนึกกำลังสมบัติขุนพลนภาทมิฬอมตะ ตลอดจนดวงตะวันแสงอรุณที่เผ่ามนุษย์เตรียมพร้อมรับสงคราม ประลองยุทธ์ขั้นสูงสุดกับจักรพรรดิแห่ง 4 แดนศักดิ์สิทธิ์
การประลองยุทธ์ครานี้ ยาวนานถึง 7 วัน
ใน 7 วันนี้ ท้องนภาพร่าเลือนเป็นสีเทา ภาพเสมือนฉากนั้นหวนคืนมาอีกครา ปกคลุมม่านฟ้า
ปุถุชนยากจะหยั่งรู้ชัยผลแพ้ชนะ รู้เพียงว่า 7 วันหลังจากนั้น เทพเจ้าทั้ง 3 หวนคืนมา ต่างปิดด่านฝึกตน ส่วนจักรพรรดินีทำราวกับทุกสิ่งยังคงเป็นปกติ
ส่วนจักรพรรดิแห่ง 4 แดนศักดิ์สิทธิ์ ไม่อาจคาดเดาได้ ทว่าในสงครามที่ตามมา จักรพรรดิทั้ง 4 มิได้ปรากฏกายอีกครา เช่นเดียวกับเทพเจ้าทั้ง 3
และแล้ว 1 เดือนก็ผันผ่านไปเช่นนี้
ภายใต้การนำของนภาคิมหันต์และเผ่ามนุษย์ สงครามขนาดย่อมยังคงปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แม้บางคราวจะยังมีผู้บำเพ็ญแดนศักดิ์สิทธิ์ลอบบุกเข้าสู่ค่ายกลทิศบูรพาโดยใช้วิธีการพิเศษ หวังทำลายศูนย์กลางค่ายกล ทว่าพวกเขาก็ถูกติดตามร่องรอยและสังหารทีละคน โดยกองกำลังพิเศษที่ชนเผ่าต่างๆ ในทิศบูรพาร่วมกันก่อตั้งขึ้น
ในระหว่างนี้ เฟิงหลินเทาสร้างความดีความชอบไว้มากมาย
เมื่อครึ่งเดือนก่อน ในที่สุดเขาก็มาถึงเขตแดนเผ่ามนุษย์ เปิดเผยฐานะ หวังจะขอเข้าเฝ้าจักรพรรดินี
ทว่าจักรพรรดินีกลับมิได้เรียกพบในทันที หากแต่จัดแจงให้เขาเข้าร่วมกองกำลังพิเศษทิศบูรพา เข้าร่วมสงครามตามล่าผู้บุกรุก
จำเป็นต้องเท้าความว่า เพื่อที่จะได้รับความคุ้มครอง เฟิงหลินเทาตัดสินใจทุ่มเทสุดกำลัง เฉพาะผู้บุกรุกที่เขาเป็นผู้พบเจอ ก็มีจำนวนหลาย 10 คน
ยามลงมือไร้ปรานี เข่นฆ่าชนเผ่าเดียวกัน โหดเหี้ยมถึงขีดสุด
อีกทั้งทุกคราที่เข่นฆ่า เขาจะต้องตัดศีรษะของอีกฝ่าย ผูกร้อยไว้ที่เอว จนกระทั่งในท้ายที่สุด ศีรษะเหล่านั้นก็เรียงรายกันหนาแน่นจนเหมือนกระโปรงยาว ทำให้ผู้พบเห็นต้องหวาดผวาทุกคราที่ปรากฏกาย
ในที่สุด ด้วยความมานะของเขา ครึ่งเดือนให้หลังเขาก็ถูกจักรพรรดินีเรียกเข้าเฝ้า
เวลานี้ ที่นอกตำหนักใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์ เขายืนตระหง่านด้วยความสงบเสงี่ยม ในดวงตาเผยความบ้าคลั่งและปิติยินดี ทว่าในจิตใจกลับเย็นเยียบ
“ช่วงเวลาที่ผ่านมา ข้าได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับจักรพรรดินีเผ่ามนุษย์ผู้นี้มาหนาหู…”
“เปรี่ยนวิถีบำเพ็ญเพื่อสำเร็จเทพ ใช้ร่างสตรีต่อกรกับพลังของเหล่าจักรพรรดิมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย และสร้างแท่นเทวะของตนเอง…”
“จักรพรรดินีผู้นี้ มิใช่คนธรรมดา…แต่ยิ่งไม่ธรรมดาเท่าไร ก็ยิ่งมั่นใจในตนเองมากเท่านั้น และคนเช่นนี้…เหมาะสมกับเส้นทางหลบหนีที่ข้าเตรียมไว้ให้ตนเองยิ่งนัก”
เฟิงหลินเทาพึมพำในใจ จากนั้นก้มศีรษะลงทอดสายตากระโปรงศีรษะมนุษย์ของตน
สิ่งเหล่านี้ คือจดหมายแนะนำตัวเบื้องต้นของเขา
การสวามิภักดิ์ต่อเผ่ามนุษย์ คือทางเลือกที่เขาใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน ทั้งยังเป็นหนทางเดียวที่เขาจำหลีกหนีจากเคราะห์กรรมนี้ จากการวิเคราะห์ของเขา
“ทว่าต่อจากนี้ ข้าจำต้องพิสูจน์คุณค่าของตน ว่าข้าสวามิภักดิ์ด้วยใจจริง”
เฟิงหลินเทาหรี่นัยน์ตาลง เขารู้ว่าสิ่งที่เขาคิดอยู่นั้น สำหรับเทพเจ้าแล้วไซร้ หากต้องการสืบเสาะย่อมง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ…ซึ่งความจริงก็เป็นสิ่งที่เขาจงใจทำ
ขณะที่ครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงสงบราบเรียบเสียงหนึ่งพลันแว่วมาจากตำหนักใหญ่วังหลวงเผ่ามนุษย์
“เรียกเฟิงหลินเทาเข้าเฝ้า ถวายบังคม”
เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของเฟิงหลินเทาพลันเคร่งขรึม คารวะตำหนักใหญ่อย่างนอบน้อม จากนั้นจึงก้าวเท้าเข้าไป
ทันทีที่ย่างกรายเข้าสู่ภายในวัง เขาก็ได้เห็นผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์หลายร้อยคนยืนตระหง่านในตำหนักใหญ่ คนเหล่านั้นแยกออกเป็น 4 แถว ล้วนจับจ้องมายังตน
ที่เบื้องหน้าสุด คือบันไดขั้นมหึมาเป็นชั้นๆ เหนือขั้นบันไดปรากฏที่นั่งมากมาย นั่นคือตำแหน่งของโหวนภา ส่วนที่สูงยิ่งขึ้น คือที่สำหรับอ๋องสวรรค์
ที่ชั้นบนสุด คือบัลลังก์จักรพรรดิอันสูงตระหง่าน จักรพรรดินีนั่งประทับด้วยสีหน้าราบเรียบ
ข้างกายของนาง ปรากฏเงาร่างผู้หนึ่งยืนในท่าทีสงบเสงี่ยม สวมใส่ฉลองพระองค์รัชทายาท นั่นคือหนิงเหยียน
หลังได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาท ในทุกการประชุมราชสำนัก เขาจะยืนอยู่ข้างกายจักรพรรดิ จุดประสงค์มิใช่เพื่อศึกษาการบริหารบ้านเมือง หากแต่เป็นการสังเกตการณ์ นี่คือข้อเรียกร้องจากพระมารดาของเขา
ในเวลานี้ เขากำลังสังเกตการณ์ผู้บำเพ็ญแดนศักดิ์สิทธิ์ที่สวามิภักดิ์ต่อเผ่ามนุษย์เป็นรายแรก
“เฟิงหลินเทาคารวะจักรพรรดิมนุษย์หลี่เซี่ย!” เฟิงหลินเทาถอนสายตา คารวะจักรพรรดินี โดยมิลังเลแม้แต่น้อย เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครา เขาก็ยกมือขวาขึ้นกระชากลำตัว
ศีรษะมนุษย์นับ 10 ถูกเขาดึงทึ้งลงมา วางไว้ข้างกาย
“ฝ่าบาท สิ่งเหล่านี้คือจดหมายแนะนำตัวที่กระหม่อมส่งมอบให้แก่พระองค์ บางส่วนนั้นเป็นลูกหลานตระกูลชั้นสูงในแดนศักดิ์สิทธิ์ สถานะหาได้ต่ำต้อยไม่”
“ทว่ากระหม่อมทราบดี เพียงเท่านี้ ยังไม่อาจพิสูจน์ความจริงใจของกระหม่อมได้”
“ดังนั้น กระหม่อมยังเตรียมพร้อมเรื่องราวลับสุดยอดอีก 2 เรื่องมาทูลแก่พระองค์!”
“ประการแรก เมื่อพันปีก่อน แดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมารมิได้อยู่ในระดับดำ หากแต่เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับพสุธา ดังนั้นจักรพรรดิที่เคยประทับอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่ได้มีเพียง 1 พระองค์ หากแต่เป็น 2 พระองค์!”
“จวบจนกระทั่งพันปีก่อน บรรพจารย์ปีกมารผู้ทรงพลังระดับจักรพรรดิขั้นสูงสุด พยายามที่จะทะลวงระดับกึ่งเซียน หวังจะก้าวสู่ระดับเซียนคิมหันต์ ทว่ากลับล้มเหลว ร่างกายดับสูญดวงวิญญาณสลาย ทิ้งไว้เพียงตำราสืบทอด จากนั้นจึงนั่งมรณะ”
“ดังนั้น แดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมารจึงเสื่อมถอย กลายเป็นระดับดำ”
“ทว่ามีตำนานเล่าขาน ว่าบรรพจารย์ปีกมารผู้นี้ยังมีโอกาสคืนชีพ ขอฝ่าบาททรงระวังพระองค์”
เสียงเฟิงหลินเทาก้องกังวานไปทั่วตำหนักใหญ่ เหล่าขุนนางชั้นสูงโดยรอบต่างสีหน้าแปรเปลี่ยน ดังนั้น เฟิงหลินเทาจึงเว้นวรรค รอคอยอยู่ครู่ใหญ่ จึงเอ่ยขึ้นอีกครา
“ประการที่ 2 คือเหตุผลที่แดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดหวนกลับมา…”
คำพูดของเขา ดึงดูดทุกสายตาในฉับพลัน
ท่ามกลางสายตาจำนวนมากที่จับจ้อง เฟิงหลินเทารวบรวมสมาธิและเปล่งเสียงทุ้มต่ำ
“จุดประสงค์มี 3 ประการ!”
“ประการแรก พวกเขาต้องการจะจากไปอย่างถาวร ดังนั้นจึงเตรียมตัวกลับมาก่อนจะจากลา รวบรวมสรรพสิ่งที่สามารถนำติดตัวไปได้ทั้งหมด”
“ประการที่ 2 พวกเขาจำต้องประกอบพิธีสังเวยโลหิต ทั้งนี้เพื่อที่ช่วงชิงทรัพยากรให้ได้มากขึ้น สงครามจึงจะอุบัติขึ้น”
“ประการที่ 3 พวกเขาถูกบัญชาให้ลงมาจุติ!”
“ส่วนผู้ที่บัญชาพวกเขา มิใช่จักรพรรดิโบราณเสวียนโยว”
“ในความเป็นจริง จักรพรรดิโบราณหายสาบสูญไปอย่างน่าประหลาดเมื่อ 2 หมื่นปีก่อน ต่อมาแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ตกอยู่ในภาวะโกลาหลไร้ผู้นำ จนกระทั่งเมื่อ 2,000 ปีก่อน เซียนคิมหันต์โบราณผู้ที่เคยจากดินแดนต้องประสงค์ไป…หวนกลับมา!”
เสียงก้องกังวาน ทำให้ผู้คนในตำหนักใหญ่หลวงเผ่ามนุษย์ต่างจิตใจสั่นไหว คำรามก้อง
ข่าวนี้ใหญ่เกินไป
ยิ่งไปกว่านั้นยังข้องเกี่ยวกับเซียนคิมหันต์บรรพกาล ทำให้ปฏิกิริยาแรกของผู้คน ล้วนเปี่ยมด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึงและมิเชื่อ
“ด้วยสถานะอันต่ำต้อยของกระหม่อม จึงมิมีคุณสมบัติล่วงรู้พระนามเซียนคิมหันต์พระองค์นี้ได้ ทว่ากระหม่อมเคยได้ยินตำนานเล่าขานจากแหล่งข่าวลับสุดยอดบางแห่ง…เล่าขานกันว่าเซียนคิมหันต์ที่หวนกลับมาผู้นี้ พลังบำเพ็ญขององค์ท่านกำลังบรรลุระดับเซียนคิมหันต์ขั้นสูงสุด หรือเหนือกว่านั้น ไปสู่ระดับที่มิอาจคาดเดาได้”
“บ้างก็ว่าระดับนั้น คือระดับของจักรพรรดิเทพนภาเจิดจรัสในอดีต เทียบเคียงได้กับเทพแท้จริงเหนือเทพแท้จริงในหมู่เทพเจ้า ในระบบผู้บำเพ็ญ ถูกขนานนามว่าเจ้าแห่งเซียน!”
“แต่ดูเหมือนว่าระดับขององค์ท่านมิมั่นคง ดังนั้นสงครามแดนศักดิ์สิทธิ์หวนคืนในครานี้จึงได้อุบัติขึ้น องค์ท่านเรียกร้องให้ทุกแดนศักดิ์สิทธิ์ในดินแดนต้องประสงค์ ค้นหาสรรพสิ่งสามารถทำให้ระดับของเขามั่นคงได้ ส่วนพิธีสังเวยโลหิต ก็เพื่อที่จะอัญเชิญสรรพสิ่งนี้ออกมา!”
“พิธีสังเวยโลหิตยิ่งจัดบ่อยครั้ง การอัญเชิญก็ยิ่งแม่นยำ สิ่งของเจาะจงคือสิ่งใด กระหม่อมมิอาจล่วงรู้”
“ทว่ากระหม่อมมั่นใจในข้อหนึ่ง นั่นก็คือเจ้าแห่งเซียนครึ่งก้าวผู้นี้ ค้นพบวิถีทางที่ทำให้ผู้คนหลีกเลี่ยงการปิดกั้นของเสี้ยวหน้า ออกจากแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ”
“นี่คือเหตุผลหนึ่งที่แดนศักดิ์สิทธิ์กล้าจุติลงมา”
สุรเสียงเฟิงหลินเทาก้องกังวาน ตำหนักใหญ่เผ่ามนุษย์เต็มไปด้วยเสียงสูดลมหายใจ ถึงจะเป็นผู้ที่มีจิตใจมั่นคงเพียงใด ก็ต้องสั่นคลอนกับข้อมูลของเฟิงหลินเทา
แม้แต่หนิงเหยียนก็ยังหายใจกระชั้นถี่ เหลือบมองไปยังพระมารดาข้างกายหลายครา
สรรพสิ่งโดยรอบฉายชัดในสายตา เฟิงหลินเทาเมื่อเห็นสภาพเช่นนี้ ก็พึงพอใจ
เขามิได้กล่าวความเท็จ สิ่งที่กล่าวล้วนเป็นความจริง
เขามั่นใจว่าสิ่งที่ตนกล่าวมาเหล่านี้ เพียงพอที่จะพิสูจน์ความภักดีของตน และต่อจากนั้น เขาก็รู้ดีว่าการกระทำของตนจำเป็นต้องมีเหตุผลมารองรับ
นั่นคือ เหตุใดตนต้องสวามิภักดิ์ต่อเผ่ามนุษย์
เมื่อคิดได้ดังนั้น เฟิงหลินเทาจึงประสานมือคารวะจักรพรรดินีที่สีหน้ามิแปรเปลี่ยนมากนักนับแต่ต้นอีกครา
“ฝ่าบาท เหตุผลที่กระหม่อมเปิดเผย ชี้แจงแถลงไขทุกสิ่งอย่างโดยกระจ่าง ก็เพราะแดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมารไร้ซึ่งคุณธรรม ในเผ่านั้นมีคู่อริคู่อาฆาตของกระหม่อมถึง 2 คน ผู้หนึ่งมีนามเยวี่ยตง สตรีผู้นี้อำมหิต เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวไร้ผู้ใดเทียบเทียม กระหม่อมมิอาจอยู่ร่วมโลกกับนางได้”
“อีกผู้หนึ่งมีนามหลานเหยา นางผู้นี้เหี้ยมโหดอำมหิตพอกัน นางเกิดใน 1 ใน 5 ตระกูลใหญ่แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมาร ส่วนสามีของนาง เป็นศิษย์ปิดสำนักของบรรพจารย์ปีกมารที่นั่งมรณะผู้นั้น”
“และแดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมารมิได้ให้ความสำคัญแก่กระหม่อมมากนัก ด้วยสายโลหิตของกระหม่อมมิบริสุทธิ์ นอกจากนี้ กระหม่อมยังทำให้พวกนางขุ่นเคือง ซึ่งเท่ากับล่วงเกินคนส่วนใหญ่ของแดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมาร พวกเขาจึงตามล่ากระหม่อมอยู่”
“ดังนั้น กระหม่อมขอสวามิภักดิ์ต่อเผ่ามนุษย์!”
“ฝ่าบาท สิ่งที่กระหม่อมกล่าวมาทั้งหมดนี้ มิใช่เพียงลมปาก ปมเงื่อนความขัดแย้งระหว่างกระหม่อมกับเยวี่ยตงและหลานเหยา ผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์ 2 คนเคยประจักษ์แจ้งแก่ใจแล้ว ในความรู้สึกของกระหม่อม ผู้บำเพ็ญทั้ง 2 นั้นมิใช่มนุษย์ธรรมดา จะต้องมีชื่อเสียงมิใช่น้อยในเผ่ามนุษย์!”
เฟิงหลินเทากล่าวจบ ทอดสายตามองจักรพรรดินี
ผู้คนในตำหนักใหญ่ต่างเคร่งขรึม ทั้งหมดทอดสายตามองไปยังจักรพรรดินีเช่นกัน
จักรพรรดินียังคงสงบนิ่ง เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์ที่เจ้าอ้างว่ารู้เคราะห์กรรมนี้ดี มีนามกรว่าอะไร?”
เฟิงหลินเทาได้ยินดังนั้น ก็รีบเอ่ยปาก “หนึ่งในนั้น เรียกตนเองว่าเหยียนเสวียนจื่อ อีกผู้หนึ่งคือศิษย์พี่ของเขา ทว่ากระหม่อมคาดการณ์ว่าเป็นนามสมมติ ส่วนตัวตนแท้จริง…ข้าน้อยเพิ่งได้เรียนรู้เกี่ยวกับพวกเขามาบ้างในช่วงเวลานี้”
กล่าวจบ เขาก็โบกมือ เงาร่างมายา 2 ร่างพลันก่อตัว
ร่างหนึ่งสวมใส่เสื้อคลุมยาวสีน้ำเงิน ท่วงท่าองอาจ นัยน์ตาสุกใสดุจดารา พรั่งพร้อมด้วยรูปโฉม ไร้ผู้ใดเทียบเทียม
อีกร่างหนึ่งสวมใส่เสื้อคลุมยาวสีน้ำเงินเช่นกัน ทว่ารูปร่างหน้าตากลับธรรมดา อีกทั้งท่าทางยังดูต่ำทราม
เห็นได้ชัดว่าเฟิงหลินเทาเกลียดชังคนหลังจากก้นบึ้งหัวใจ เพราะเขาแกล้งตายขณะที่เฟิงหลินเทาแบกร่างเขาไปตลอดทาง และยังแย่งชิงเถาวัลย์เทพศักดิ์สิทธิ์ไปจากเขาในเวลาสำคัญ
ขณะนี้ เมื่อคนทั้งหมดในตำหนักใหญ่ได้เห็นภาพมายาทั้ง 2 ร่าง พวกเขาก็มีสีหน้าแปลกประหลาด ดวงตาหนิงเหยียนเบิกกว้างกว่าใครเพื่อน
“ดังนั้นเพียงฝ่าบาททรงสอบถามผู้บำเพ็ญทั้ง 2 พระองค์จะทรงทราบความจริงในคำพูดของกระหม่อมได้พ่ะย่ะค่ะ” เฟิงหลินเทาสูดลมหายใจลึก เอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
……
เหนือห้วงสมุทรบรรพกาล เอ้อร์หนิวจามออกมา “จะต้องเป็นพวกชาวบ้านปากเสีย กำลังกล่าวถึงข้าแน่!”
ดวงตาของเอ้อร์หนิวหายดีแล้ว เวลานี้กำลังเอนกายนอนบนเรือสำเภาเวท เอ่ยด้วยความฉงน
สวี่ชิงมิได้ใส่ใจ นั่งสมาธิเงียบงัน ฝึกตนอยู่ข้างกาย พลางตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงของตน
พลังต้นกำเนิดเทพในร่างของเขา เข้มข้นกว่าคราออกทะเลนอกก่อนหน้าเล็กน้อย ส่วนอำนาจเทพเจ้าก็เช่นกัน ระดับความเจิดจ้าเพิ่มพูนขึ้นเล็กน้อย
ทุกสิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นผลกระทบระยะยาวจากเนื้อเสียบไม้
เนื้อปลาอสูรกลืนเอกภพไม่ใช่สิ่งของธรรมดาอย่างแน่นอน
และสิ่งที่เเลื่อนขั้นได้อย่างน่าตกตะลึงที่สุด คือวิญญาณของเขา
ระดับความแข็งแกร่งของวิญญาณ ทะยานขึ้นหลายเท่า และการบำรุงเลี้ยงนี้ยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง
ปัญญาแห่งเทพของเขาจึงเติบโตขึ้นอย่างมาก สัมผัสแห่งเทพเจ้ายิ่งเข้มข้นกว่าเดิม
นอกจากนี้ ขณะที่วิญญาณเลื่อนขั้นขึ้น ก็ยิ่งปรับตัวกลมกลืนกับกายเนื้อได้แนบเนียนขึ้น
“ด้านพลังต่อสู้ ก็เป็นเช่นกัน”
ครู่ใหญ่ให้หลัง สวี่ชิงซึ่งฝึกบำเพ็ญประจำวันเสร็จสิ้น ก็ลืมตาขึ้น เงยหน้าทอดสายตาไปยังทิศทางทะเลในไกลๆ
“ใกล้ถึงแล้ว” สวี่ชิงรำพึง
1 เดือนมานี้ คนทั้งคู่เร่งความเร็วอย่างเต็มกำลัง บังคับเรือสำเภาเวทกลับถิ่น ระหว่างทางแม้จะได้เผชิญภยันตรายบ้าง ทว่ามิรู้ว่าเป็นเพราะดวงชะตาผันแปรไปในทางที่ดี หรือพรที่อวี้หลิวเฉินประทานให้ก่อนจากลา หรือเหตุผลอื่นใด
แต่สรุปแล้ว เส้นทางขากลับของพวกเขาราบรื่นใช้ได้
เวลานี้พวกเขาอยู่ห่างจากทะเลในออกไปไม่ถึงครึ่งวัน
เอ้อร์หนิวที่อยู่ข้างๆ เมื่อรู้ว่าใกล้จะกลับสู่ทะเลในแล้ว ก็เริ่มจัดแจงตนเอง เขายังคงยึดมั่นในภาพลักษณ์ของตน แม้ว่าขนทั่วร่างจะตัดออกมิได้ ทว่าวงจรความคิดของเอ้อร์หนิวกลับแตกต่างจากปุถุชนคนทั่วไป ความสามารถก็เช่นกัน
เขากลับถักทอขนดำเหล่านั้นทีละเส้น แปรเปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมที่เหมือนกับเกราะขน…
สวี่ชิงมองการกระทำของเอ้อร์หนิว ในจิตใจก็บังเกิดความนับถือ
ด้วยเหตุนั้น หลายชั่วยามให้หลัง ณ จุดบรรจบระหว่างทะเลในและทะเลนอก ขณะที่หมอกทมิฬปั่นป่วน เรือสำเภาที่พวกเขาโดยสารก็แล่นผ่านไป
ทันทีที่เข้าสู่ทะเลใน ค่ายกลพลันแผ่ขยาย กระจายไปทั่วร่างของพวกเขา จากนั้นจึงมลายหายไป ทำให้สวี่ชิงและเอ้อร์หนิวเข้าสู่ทะเลในโดยราบรื่น
แสงตะวันสาดส่องเจิดจ้า
ลมทะเลพัดโชยอ่อนโยน
เหนือท้องนภา กลุ่มเมฆปั่นป่วน มีเงาร่างกว้างใหญ่ดุจนกอินทรีดุจนกหงส์ร้องคำรามมาแต่ไกล ทันใดนั้นมันกลายร่างก็หวงเหยียน ยืนตระหง่านอยู่เหนือผิวน้ำทันใด และทอดสายตามองสวี่ชิงด้วยสีหน้าตัดพ้อ “ในที่สุดก็กลับมาจนได้ ข้ารับปากกับศิษย์พี่ ว่าจะพาเจ้ากลับมา ทว่าเจ้ากลับหายสาบสูญหลายครั้งหลายคราเหลือเกิน สวี่ชิงเจ้าทำให้ข้าเสียหน้าต่อศิษย์พี่”
สวี่ชิงคลี่ยิ้มเมื่อได้ยินดังนั้น
หวงเหยียนก้าวเท้าขึ้นเรือสำเภา มองร่างเอ้อร์หนิวด้วยสีหน้างงงวย “เหตุใดออกทะเลคราเดียว กลับมีอาภรณ์ขนสัตว์เพิ่มมาอีกตัว? วัวที่มีขนงอกยาวตามตัวเขาเรียกว่าอะไรหนอ? วัวขนยาว?”
เอ้อร์หนิวยิ้มเยาะ “เจ้านกจะไปรู้อะไร ทะเลนอกเจ้าเคยไปเยือนหรือไม่ ข้าจะบอกให้รู้ นี่คืออาภรณ์ที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในชนเผ่าต่างๆ แห่งทะเลนอก!”
หวงเหยียนเบิกตากว้าง ยกมือขึ้นโบกสะบัด ทันใดนั้นพายุคำรามกึกก้องเบื้องหน้าเอ้อร์หนิว ก็พัดพาร่างของเขาลอยคว้าง ส่งไปยังเบื้องไกลนับหมื่นหลี้
“เงียบแล้ว” หวงเหยียนยิ้มกว้าง
“ไปเถิดสวี่ชิง พวกเรากลับบ้านกัน!”
“ยิ่งกว่านั้น ศิษย์พี่ฝากข้ามาบอกเจ้า…ว่ามีผู้คนมิน้อยกำลังรอพบเจ้าอยู่”
กล่าวถึงตรงนี้หวงเหยียนกระแอมไอ “เป็นผู้หญิงด้วย…”
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)
