Skip to content

Outside Of Time 1008


บทที่ 1008 ขวบปีผันผ่าน ผู้คนที่พบพาน

ท้องฟ้าเงียบสงบ

ภายใต้แสงอัสดงที่สาดส่องเหนือทะเลใน ดูราวภาพวาดอันงดงามที่สุดระหว่างฟ้าดิน คลี่แผ่เหนือห้วงนภาแดนต้องห้ามและทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ

สีสันอันลุ่มลึกและเสน่ห์อันลึกลับ ราวกับสื่อถึงความรุ่งโรจน์และตะกอนแห่งชีวิต

สุดท้าย หลอมละลายในแสงสุดท้ายแห่งอัสดง สาดส่องผืนสมุทร

ปกคลุมระลอกคลื่นเรืองรองเหนือท้องทะเลทมิฬ

แสงอัสดงส่องลงมายังพื้นดิน อาบไล้ท่าเรือสำนัก 7 เนตรโลหิต ประสานเข้ากับเสียงคลื่นกระทบโขดหินชายฝั่งแผ่วเบา เป็นท่วงทำนองนุ่มลึกและเป็นจังหวะจะโคน เป็นสัญญาณบ่งบอกการเยือนของยามราตรี

ลมทะเลก็เช่นกัน

ในยามเย็นอันเงียบสงบนี้ สายลมพัดโชยแผ่วเบา พัดผ่านเรือนับร้อยนับพันที่จอดเรียงรายในท่าเรือ ทั้งยังโชยผ่านผู้บำเพ็ญจากชนเผ่าและสำนักต่างๆ ที่สัญจรไปมา

ระหว่างทาง สายลมไล้ผ่านปอยผมของติงเสวี่ยขึ้นมาลอยอยู่ตรงหน้าของนาง

ปลุกกระดิ่งบนกล่องไม้ข้างกายเหยียนเหยียน ให้สั่นไหวเสียงดังกรุ๋งกริ๋ง

ทั้งยังทำให้ชายกระโปรงร่างอรชรในร้านขายยาติดทะเลบนท้องถนน กระเพื่อมไหวเล็กน้อย

ติงเสวี่ยยืนอยู่ริมฝั่งท่าเรือ ชุดรัดกุมแนบเนื้อ เผยทรวดทรงองค์เอวสะโอดสะอง ในเวลาเดียวกันก็ยังคงความองอาจผ่าเผยดุจกาลก่อน

ราวกับเวลาในที่แห่งนี้มิเคยแปรเปลี่ยน

เช่นเดียวกับกระบี่ทองสัมฤทธิ์เล่มใหญ่บนหลังของนาง และเจ้าจงเหิงผู้มีสีหน้าเคลิบเคลิ้มไกลออกไป

เหยียนเหยียนย่อกายลง ที่ตรอก 79 ที่สวี่ชิงมาถึงสำนัก 7 เนตรโลหิตในคราแรก นั่งอยู่บนกล่องไม้ ทอดสายตาไปยังแดนต้องห้าม

ข้างกายนาง ยังมีอ่างน้ำส่งกลิ่นคาวโลหิต 5 ใบ

นางหรี่ตา เม้มริมฝีปาก ในดวงตาเผยความคาดหวัง

ผู้ที่ตั้งตารอคอยพอๆ กับพวกนาง ยังมีศิษย์สำนัก 7 เนตรโลหิตอีกมากมาย ตลอดจนผู้บำเพ็ญกรมปราบพิฆาตจากยอดเขาต่างๆ

ม่านราตรีพลันย่างกราย เวลาก็เคลื่อนคล้อยไปเช่นนั้น

แสงไฟในท่าเรือค่อยๆ ส่องสว่าง ประหนึ่งดวงดารานับอนันต์ ฉายแสงเหนือท่าเรือทั้งท่าให้เหมือนห้วงดารา

แสงดาราเหล่านี้ผสานเข้ากับระลอกคลื่นสะท้อนผิวน้ำ ก่อเกิดเป็นภาพวาดอันวิจิตรงดงาม

เรือเวทลำหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาในภาพวาดนั้น

สวี่ชิงยืนอยู่บนเรือเวท ทอดสายตาไปยังสำนัก 7 เนตรโลหิตอันคุ้นเคย ทอดสายตาไปยังเหล่าใบหน้าอันคุ้นเคย เห็นทั้งติงเสวี่ย และเหยียนเหยียน

ขณะที่เสียง “องค์ชายสี่” ของเหล่าศิษย์สำนัก 7 เนตรโลหิตดังแว่วมาตามลม เงาร่างของศิษย์พี่รองพลันก้าวลงจากยอดเขาลำดับ 7 เดินไปยังท่าเรือ เบื้องหน้าเรือเวท

หวงเหยียนมาถึงข้างกายศิษย์พี่รองเป็นรายแรก สีหน้าเปี่ยมด้วยความภาคภูมิใจ ท่าทีประหนึ่งจะบอกว่าท่านดูสิ ข้าพาศิษย์น้องเล็กของท่านกลับมาได้สำเร็จแล้ว

ศิษย์พี่รองระบายยิ้ม จากนั้นจ้องมองสวี่ชิง “ศิษย์น้องเล็ก ยินดีต้อนรับกลับบ้าน”

……

กลิ่นอายอันคุ้นเคย สภาพแวดล้อมอันคุ้นเคย ยอดเขาอันคุ้นเคย

ขณะที่กล่าวทักทายปราศรัยกับสหายเก่า สวี่ชิงมิได้รบกวนการพบปะของหวงเหยียนและศิษย์พี่รอง เหยียบย่ำราตรีกาลเพียงผู้เดียว ย่างก้าวเข้าสู่ถ้ำพำนักของตน

ถ้ำพำนักที่อยู่ในความครอบครองของตนนี้ แม้เวลาที่สวี่ชิงพำนักอาศัยจริงเพียงมินาน ทว่าขณะที่นั่งสมาธิ สัมผัสถึงความเงียบสงบโดยรอบ จิตใจที่ระหกระเหินมาตลอดเส้นทางของสวี่ชิงในที่สุดกลับสงบลงบ้าง

เขาหวนรำลึกถึงประสบการณ์กว่าครึ่งปีที่ผ่านมา นับแต่เผชิญหน้าฝูเสียจนกระทั่งทำลายล้างแดนศักดิ์สิทธิ์ ตามล่าฝูเสีย…จากนั้นติดตามอวี้หลิวเฉินมุ่งหน้าสู่ทะเลนอก ตลอดเส้นทางมีแต่ภยันตราย

จิตใจของเขาต้องตื่นตัวตลอดเวลา จิตเจตจำนงยังคงตึงเครียดอยู่เสมอ

ทว่าเขารู้ดีกว่าการพักผ่อนนี้เป็นเพียงช่วงสั้นๆ เท่านั้น

ในภายภาคหน้าตนจะมิอาจพำนักอยู่ในสำนัก 7 เนตรโลหิตนานๆ ได้อีกแล้ว

สงครามอุบัติขึ้นแล้ว ในฐานะเจ้าแดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์และแดนใหญ่วิญญาณทมิฬ ในฐานะวิญญาณแห่งผู้บำเพ็ญเขตปกครองผนึกสมุทร เขาจำต้องหวนคืนในยามจำเป็น ตอบสนองพระบัญชาของจักรพรรดินี เข้าร่วมสงครามที่ข้องเกี่ยวกับดินแดนต้องประสงค์ทั้งผืน

และเขา ยังจำต้องอาศัยการขัดเกลาจากโลหิตและคมดาบ เพื่อให้กายเนื้อและวิญญาณของตนแนบแน่นยิ่งกว่าเดิม ในเวลาเดียวกันก็จำต้องเพิ่มพูนความเข้าใจในอำนาจเทพ

“เรือศึกบรรพกาลแตกสลาย มิอาจใช้งานต่อไป ต้องเรียกหาจางซานให้ไปซ่อมแซมเสียหน่อย” สวี่ชิงครุ่นคิดแวบหนึ่ง เปลือกตาทั้ง 2 ปิดลง เริ่มต้นฝึกบำเพ็ญ

แสงเซียนตะวันดับไหลเวียนในร่างของเขา ประหนึ่งดวงตะวันผงาดขึ้นในทะเลจิต แผ่ประกายเจิดจ้า บำรุงเลี้ยงทั่วร่าง จากนั้นจึงหวนคืนสู่ดวงตะวัน ก่อเกิดเป็นวัฏจักร

ในกระบวนการนี้ พลังต้นกำเนิดเทพของเขาก็ถูกกระตุ้นให้เข้าร่วมด้วยเช่นกัน ส่องประกายประสานเข้ากับร่องรอยเลือนรางแห่งอำนาจเทพนับพัน

กาลเวลาค่อยๆ ผันผ่านไป

1 ชั่วยามให้หลัง สวี่ชิงลืมตาขึ้น ทอดสายตาไปยังประตูถ้ำพำนัก คิ้วขมวดเล็กน้อย

ครู่ใหญ่ต่อมา เสียงแผ่วเบาก็เล็ดลอดมาจากนอกประตู

“ศิษย์พี่สวี่ชิงสะดวกหรือไม่? ข้าน้อยเคี่ยวมันเทศบดผสมถั่วลิสง นำมาให้ศิษย์พี่ทานเจ้าค่ะ”

น้ำเสียงที่จงใจดัดให้ฟังดูนุ่มนวล แฝงแววขลาดเขลาอย่างชัดเจน

น้ำเสียงอันคุ้นเคย ปฏิบัติการณ์อันคุ้นเคย ต้องเป็นติงเสวี่ยแน่นอน

สวี่ชิงจนปัญญา ในยามนี้เขามิได้โง่เขลาเหมือนแต่ก่อน ความคิดของติงเสวี่ย ทั้งสายตาที่มองตน เขารู้แจ้งแก่ใจ

ทว่าถึงอย่างไรก็เป็นศิษย์ร่วมสำนัก สวี่ชิงจึงยกมือขึ้น ประตูถ้ำพำนักพลันเปิดออกโดยไร้สุ้มเสียง ขณะที่แสงจันทร์สาดส่อง ร่างอรชรก็ก้าวเท้าเข้ามาอย่างช้าๆ

จนกระทั่งย่างก้าวเข้าสู่ภายในถ้ำพำนัก ปรากฏกายเบื้องหน้าสวี่ชิง

“พี่สวี่ชิง มิได้พบท่านนานเหลือเกิน”

ดวงหน้าเล็กๆ ของติงเสวี่ยแดงปลั่ง แพขนตางอนยาว ทุกคราที่นางกะพริบตา คล้ายกับกำลังเล่านิทานที่แสนสะเทือนอารมณ์

เมื่อเข้ามาใกล้ นางก็โน้มกายวางมันเทศบดผสมถั่วลิสงในมือลงเบื้องหน้าสวี่ชิง

อาภรณ์รัดรูปของนาง ทำให้ท่วงท่าของนางดูสมบูรณ์แบบ ขณะที่นางโน้มตัวลง

ดวงตายามจ้องมองใบหน้าสวี่ชิง ยิ่งสุกใสราวกับดวงดาราเจิดจ้าที่สุดบนฟากฟ้ายามราตรี เปล่งประกายลึกลับและชวนหลงใหล

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กาลเวลาผันผ่าน มิได้พรากสิ่งใดไปจากกายนาง หากแต่ทิ้งไว้ซึ่งความงดงาม แม้กระทั่งรูปคิ้วของนางยังงดงามยิ่งกว่าแต่ก่อน แลดูคล้ายใบหลิวเรียวงาม โค้งมนอ่อนโยน สื่อถึงความอ่อนหวานแต่หนักแน่น

ผสานเข้ากับสันจมูกโด่งเป็นสัน ทั้งริมฝีปากเล็กดุจผลอิงเถา ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นเกิดความรู้สึกอยากรู้จักนางยิ่งขึ้น

สวี่ชิงมิได้เอื้อนเอ่ยวาจาใดๆ เพียงแต่ทอดสายตามองความคาดหวังในดวงตาติงเสวี่ย เขานึกถึงเงินทุนที่อีกฝ่ายมอบให้เมื่อครั้งแรกเริ่ม…จึงถอนหายใจออกมา ยกมันเทศบดผสมถั่วลิสงขึ้นซดเข้าไปคำหนึ่ง

“มิเลวเลย” สวี่ชิงเอ่ยปากเนิบนาบ จากนั้นจึงเอ่ยถามถึงถึงการฝึกบำเพ็ญของอีกฝ่ายเล็กน้อย

ติงเสวี่ยจ้องมองใบหน้าสวี่ชิง จังหวะการเต้นของหัวใจพลันเร่งเร็วขึ้น แผนเดิมของนางคือค่ำคืนนี้จะพิชิตสวี่ชิงให้ได้

นางจึงแต่งกายเช่นนี้

เพียงแต่ทันทีที่ได้พบหน้า นางกลับประหม่าขึ้นมา มิรู้ว่าขั้นตอนต่อไปต้องทำอย่างไร ได้แต่บอกเล่าเรื่องการฝึกบำเพ็ญตามที่สวี่ชิงซักถาม

กาลเวลาค่อยๆ ผันผ่านไป

ครึ่งชั่วยามให้หลัง ติงเสวี่ยจากถ้ำพำนักไปด้วยความงุนงง

ทันทีที่ก้าวออกมา นางก็รู้ตัวว่าแผนการพิชิตสวี่ชิงของตนในครานี้ก็ล้มเหลวอีกครา

“ข้าต้องเตรียมพร้อมอีกครา คราวหน้า…คราวหน้าต้องพิชิตศิษย์พี่สวี่ชิงให้จงได้!”

“แต่ข้าต้องยับยั้งใจไว้บ้าง ข้าชอบเขา นี่เป็นเรื่องของข้าแต่ผู้เดียว จะปล่อยให้ศิษย์พี่สวี่ชิงกดดันไม่ได้”

ติงเสวี่ยตบหน้าอกอวบอิ่ม สูดลมหายใจลึก ให้กำลังใจและปลุกใจตนเอง จากนั้นจึงจากไป

นางล่วงรู้ว่าเบื้องหลังมีผู้ติดตาม ทว่านางคุ้นชินแล้ว สำหรับนางผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ล้วนเป็นเช่นอากาศธาตุ

คนผู้นั้น แน่นอนว่าเป็นเจ้าจงเหิง

เขายืนอยู่ในเงาราตรีมิไกล ใบหน้าเปี่ยมด้วยความรักใคร่ พึมพำเสียงเบา

“เสวี่ยเอ๋อร์ หลายปีมานี้ ข้าชอบเจ้า ทว่าข้ารู้ การชอบเจ้า นี่เป็นเรื่องของข้าแต่ผู้เดียว ดังนั้นเจ้ามิต้องรู้สึกกดดัน ข้ามิอยากให้ความรักของข้าสร้างภาระให้แก่เจ้า ข้าหวังเพียงให้เจ้ามีความสุขไปตลอดกาล”

เจ้าจงเหิงกล่าวพลางซาบซึ้งในน้ำใจตนเองอีกครา สูดลมหายใจลึก จากนั้นจึงก้าวเท้ามุ่งมั่นติดตามไป

ภาพนี้ แจ่มชัดในห้วงสัมผัสรับรู้ของสวี่ชิง

เห็นเจ้าจงเหิงยังเป็นเหมือนเดิมทั้งที่ผ่านไปหลายปีเช่นนี้ เขาก็นึกเห็นอกเห็นใจเล็กน้อย จากนั้นจึงสั่นศีรษะ ปิดเปลือกตาลงหมายจะฝึกบำเพ็ญต่อ

ทว่าในฉับพลันต่อมา ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครา ทอดสายตาไปยังนอกถ้ำพำนัก

ครู่ใหญ่ให้หลัง คำพูดแฝงเสียงสั่นเครือแผ่วดังเข้ามาในถ้ำพำนัก

“พี่สวี่ชิง ข้าได้ยินจากย่าของข้า ว่าท่านประสบเคราะห์ภัยเพราะช่วยเหลือข้า…ทว่าข้ากลับจับผู้บำเพ็ญแดนศักดิ์สิทธิ์มิได้ ข้าทำได้เพียงจับนกเขาราตรีมาสองสามตัว เพื่อระบายโทสะให้ท่าน”

เหยียนเหยียนในเสื้อคลุมสีแดงสดยืนตระหง่านอยู่ด้านนอกถ้ำพำนักท่ามกลางแสงจันทร์ นางกัดริมฝีปากจนแตก ทว่าโลหิตกลับมิได้ไหลรินออกมา นางใช้ลิ้นตวัดเลียจนหมดสิ้น

……

ครึ่งชั่วยามให้หลัง เหยียนเหยียนก็ออกไปจากถ้ำพำนัก

ภายในถ้ำพำนัก สวี่ชิงกำลังครุ่นคิดบางสิ่ง

ความพิเศษแห่งร่างกายเหยียนเหยียน รู้มาก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อผนวกเข้ากับความสามารถดึงดูดคีตกวีวิหคทอง ทั้งหมดนี้ทำให้เขาคาดเดาบางอย่างได้

เมื่อครู่ขณะที่เหยียนเหยียนจัดการกับนกเขาราตรีเหล่านั้นสวี่ชิงใช้ปัญญาแห่งเทพ พิสูจน์ข้อสันนิษฐานนี้แล้ว

“นางมิได้ไร้ซึ่งไอพลังประหลาด เพียงแต่ไอพลังประหลาดมิได้อยู่ในกายเนื้อของนาง หากแต่หลอมรวมเข้ากับวิญญาณของนาง…ทำให้วิญญาณของนางพิเศษเหนือผู้อื่น สามารถดูดซับไอพลังประหลาดได้ ทว่านางกลับมิรู้วิธีใช้งาน”

“ดังนั้นการย่างก้าวสู่หนทางการบำเพ็ญเพียรจึงมิราบรื่น อีกทั้งอารมณ์ยังผันผวนรุนแรง เพราะเหยียนเหยียนเกิดมาเพื่อบำเพ็ญเทพเจ้าในระดับหนึ่ง!”

สวี่ชิงพึมพำในใจ

ดังนั้นเมื่อครู่เขาทิ้งพลังต้นกำเนิดเทพของตนไว้ในวิญญาณของเหยียนเหยียน และเปลี่ยนมันเป็นเมล็ดพันธุ์ เพื่อชี้นำหนทางการบำเพ็ญเพียรในภายภาคหน้าให้แก่เหยียนเหยียน

สวี่ชิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง ปิดเปลือกตาลงอีกครา และเริ่มต้นฝึกบำเพ็ญ

ในที่สุดราตรีนี้ก็ไร้ซึ่งผู้มาเยือนรบกวนอีก จนกระทั่งยามราตรีล่วงลึก รุ่งอรุณมาเยือน

ท่าเรือสำนัก 7 เนตรโลหิตอันสงบ ปรากฏเงาร่างชุ่มโชกน้ำม่อล่อกม่อแล่กร่างหนึ่งปีนป่ายขึ้นมาในทะเล

ทันทีที่เหยียบย่างขึ้นฝั่ง เงาร่างขนปุยทั่วร่างก็พลันสบถด่า

“หวงเหยียน เจ้านกเฒ่า เจ้าตบข้ากระเด็นไปเสียไกล มิหนำซ้ำยังเก็บถุงเก็บของและพลังบำเพ็ญส่วนหนึ่งของข้าไป ทำให้ข้าเหินเวหาไปได้มินาน ได้แต่ว่ายน้ำกลับมา! เจ้าคอยดูเถิด!”

คนผู้นี้คือเอ้อร์หนิว

ท้องฟ้าพลันสว่างขึ้น ขณะที่เขากัดฟันกรอด

สายลมยามเช้าตรู่ หอบเอาหยาดฝนโปรยปรายลงมายังท่าเรือ

ท่ามกลางสายฝน สวี่ชิงกางร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่ง ก้าวลงจากยอดเขาลำดับ 7 พรางโฉมหน้าเดินไปตามท้องถนน เช่นแต่ก่อนที่ตนยังคงเป็นศิษย์ระดับต่ำ ไปกินเต้าฮวยชามหนึ่งในร้านอาหารเช้าที่เคยไปเยือนเป็นประจำ

จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปยังตรอกลำดับ 176 ที่จางซานพำนักอยู่

แม้ฝนจักโปรยปราย ทว่าความครึกครื้นของท่าเรือกลับมิได้ลดทอนมากนัก เหล่าชนเผ่าต่างๆ ที่สัญจรไปมา กลับแน่นขนัดไร้สิ้นสุด

จนกระทั่งเมื่อเดินผ่านร้านขายยาที่เขาเคยไปบ่อยๆ สวี่ชิงก็เห็นร่างของคนผู้หนึ่งในชุดคลุมสีแสดกำลังกลั่นยาลูกกลอนในร้าน

นั่นคืออดีตอัจฉริยะฟ้าประทานแห่งยอดเขายาลูกกลอน กู้มู่ชิงผู้ที่สวี่ชิงได้รู้จักเพราะลูกกลอนขาวเม็ดหนึ่ง

เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของอีกฝ่าย สวี่ชิงก็มิได้รบกวน ก้าวเท้าจากไป

ภายในร้านค้า กู้มู่ชิงพลันรู้สึกถึงบางสิ่ง เงยหน้าขึ้น ทอดสายตาออกไปข้างนอก

ท่ามสายฝน ผู้คนสัญจรไปมาขวักไขว่ เลือนรางพร่ามัว

ราวดินแดนอันไกลโพ้นยากจะไปถึง โชตชะตาลิขิตไว้อย่างไร้เหตุผล

(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version