บทที่ 1009 สร้างเรือศึกบรรพกาลที่แข็งแกร่งที่สุด
ปลายปีศักราชหลีเซี่ย มีหิมะตกในเมืองหลวงเผ่ามนุษย์
ส่วนในสำนัก 7 เนตรโลหิตทางนี้ เหมือนว่าหิมะมักจะช้าตลอด 4 ฤดูใน 1 ปี ฝนมีมากที่สุด
แม้จะเป็นปลายปีก็เป็นเช่นนั้น
ฝนที่ตกลงมาปกคลุมตรอกซอกซอย กวาดสายตามองไป ม่านฝนคลุมเครือ ผู้คนสัญจรที่รีบร้อน เรือที่มาจากที่ไกลๆ ทุกอย่างวาดเค้าร่างของภาพที่ชื่อว่างดงามออกมา
เสียงที่ตกกระทบมาบนร่มกระดาษน้ำมัน ท่ามกลางเสียงเปาะแปะๆ ละเอียดอ่อนทั้งยังอ่อนโยน ประดุจเสียงสวรรค์ ลูบไล้สายใยในใจผู้คนอย่างแผ่วพลิ้ว
เหมือนท้องฟ้าบอกความในใจอันลึกซึ้งต่อแผ่นดิน ทั้งยังเหมือนหมู่เมฆห่วงหาอาทรอย่างสุดซึ้งต่อสรรพชีวิตทั้งหลาย
ในท่วงทำนองและจังหวะเช่นนี้ สวี่ชิงเดินอยู่ท่ามกลางสายฝน มาถึงยังตรอก 176 ที่เป็นของเขา ที่เขตคลังสินค้าขนาดมหึมาแห่งหนึ่ง ก็มองเห็นจางซานที่นั่งยองๆ อยู่ใต้หลังคากำลังสูบกล้องยาสูบเหมือนเกษตรกรแก่ๆ
ข้างกายเขายังมีคนที่คุ้นเคยอีกคนหนึ่ง
สังเกตเห็นสวี่ชิงมาถึง เอ้อร์หนิวยกมือทักทาย จางซานที่อยู่ข้างๆ ก็ตาเป็นประกาย ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เก็บกล้องสูบยาลงไป ทั้งยังถูมือไปตามสัญชาตญาณ ฉีกยิ้มฉายรอยยิ้มซื่อๆ ออกมา
รอยยิ้มเช่นนี้เป็นสัญชาตญาณของจางซาน มีเพียงอยู่เผชิญหน้ากับศัตรูหรือบุคคลยิ่งใหญ่เท่านั้นถึงจะยิ้มเช่นนี้
เห็นได้ชัดว่า สวี่ชิงในปัจจุบันนี้ สำหรับจางซานแล้ว ทั้งคุ้นเคย ทั้งแปลกหน้า
ที่คุ้นเคยคือความทรงจำเมื่อนานมาแล้ว ที่แปลกหน้าคือพลังบำเพ็ญและฐานะที่ยิ่งสูงก็ยิ่งน่าตื่นตะลึง
“สวี่…” จางซานลังเล ไม่ค่อยแน่ใจว่าจะเรียกอย่างไรดี
“ศิษย์พี่จางซาน”
ไม่รอให้จางซานคิดวิเคราะห์ว่าจะเรียกอย่างไรถึงจะยิ่งเหมาะสม สวี่ชิงก็ยิ้มเอ่ยขึ้นแล้ว
ระหว่างพูด ก็เดินมาถึงใต้หลังคา นั่งยองๆ ลงเช่นกัน
เหมือนกับที่เอ้อร์หนิวพาสวี่ชิงมาพบจางซานเป็นครั้งแรกในตอนนั้น
จางซานยิ้ม เอ้อร์หนิวทางนั้นกลับมองไปที่ไกล มองหาอยู่ครู่หนึ่ง ส่งเสียงไม่พอใจออกมา
“หวงเหยียนเจ้านกแก่นั่นเล่า ไม่ได้มากับเจ้าหรอกหรือ ข้าจะบอกเจ้าให้นะอาชิงน้อย เจ้านกแก่นั่นไม่ใช่นกดีอะไรจริงๆ !” เอ้อร์หนิวแค่นเสียงขึ้นจมูก
สวี่ชิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้นเสียงเบา “ศิษย์พี่ใหญ่ ด้วยพลังบำเพ็ญของหวงเหยียนในตอนนี้ ต่อให้ไม่อยู่ที่นี่ก็น่าจะได้ยินคำพูดของท่าน”
เอ้อร์หนิวได้ยินดวงตาก็เบิกกว้าง เอ่ยเสียงดังลั่น “ที่นี่คือสำนัก 7 เนตรโลหิต มีศิษย์น้องหญิงของข้า มีอาจารย์ของข้า ข้าเป็นถึงองค์ชายใหญ่ของยอดเขา 7, สำนัก 7 เนตรโลหิต จะกลัวนกเพียงแค่ตัวเดียวอย่างนั้นหรือ”
ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือไม่ ทันทีที่เอ้อร์หนิวพูดคำพูดนี้ออกมา ท้องฟ้าก็ฟาดผ่าเลื่อนลั่น สายฟ้าแลบแปลบปลาบ ส่งเสียงกึกก้องกัมปนาท
เอ้อร์หนิวสีหน้าตกอกตกใจ
จางซานทางนั้นปวดหัวเล็กน้อย นายกองมาวันนี้ตอนเช้า หลังจากที่มาถึงก็นั่งยองๆ อยู่ตรงนั้น บ่นอยู่นานแล้ว…
ส่วนจางซาน สำหรับทั้ง 2 ฝ่ายแล้วล้วนไม่อยากล่วงเกิน ตอนนี้เห็นสวี่ชิงมาถึง เขารีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที
“สวี่ชิง ข้าได้ยินนายกองบอกว่าก่อนหน้านี้พวกเจ้าไปมหาสมุทรนอกหรือ”
สวี่ชิงพยักหน้า ยกมือสะบัด เอาเรือศึกบรรพกาลที่เสียหายแหลกราญไปกว่าครึ่งออกมา เสียงดังตึ้มดังออกมา ก็ร่วงลงมาในลานที่ว่างของคลังสินค้า
กินพื้นที่ของลานไป 9 ส่วนกว่า
แม้เรือศึกบรรพกาลจะเสียหาย แต่กลิ่นอายเลือดเนื้อของสิ่งมีชีวิตคุณสมบัติเทพบนนั้น ตลอดจนไปพลังประหลาดมหาสมุทรนอกที่แปดเปื้อน เมื่อผสมเข้าด้วยกันก็แผ่หมอกดำเข้มข้นออกมา ราวภูตผีปีศาจร้ายอยู่ในนั้น พุ่งออกมาอย่างเหี้ยมเกรียมดุดัน
ดูแล้วโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง น้ำฝนหยดลงมาก็ล้วนถูกหมอกดำนี้กัดกิน อีกทั้งยังโจมตีรอบๆ อย่างรวดเร็วอีกด้วย
ทุกที่ที่ผ่าน ดำมืดไปทั้งแถบ
จางซานในใจตื่นตะลึง
สวี่ชิงยกมือ กดลงไปเบาๆ ทันใดนั้นหมอกดำที่แผ่ซ่านออกมาจากเรือศึกบรรพกาลก็ถูกบีบอัดทันที สุดท้ายก็ไม่ขยายออกไปอีก ถูกลบเลือนไปช้าๆ
“ศิษย์พี่จางซาน เรือศึกบรรพกาลเสียหายแล้ว ท่านทางนี้มีแผนซ่อมแซมหรือไม่” สวี่ชิงมองไปทางจางซาน
สำหรับความเชี่ยวชาญของจางซาน สวี่ชิงนั้นเลื่อมใส อีกทั้งเรือเวทของเขาล้วนแต่เป็นจางซานรับผิดชอบเสมอมา แม้ด้วยพลังบำเพ็ญของจางซานจะไม่อาจทำได้ถึงขั้นจัดการด้วยตัวเองแล้ว แต่ความเข้าใจต่อเรือเวทของเขา สามารถให้แผนการในขั้นต้นได้
จางซานมองเรือศึกบรรพกาล มองร่องรอยของความเสียหาย ก็สูดลมหายใจลึก “นี่ดูแล้ว เหมือนจะถูกปากมหึมาปากหนึ่งกัดจนแหลกละเอียด…”
สวี่ชิงพยักหน้า เอ้อร์หนิวกระแอม “ซานซาน การวิเคราะห์ของเจ้าถูกเผงเลย มีอสูรมหึมาตัวหนึ่งกลืนข้ากับอาชิงลงไปพร้อมกับเรือศึกบรรพกาลลำนี้จริงๆ นั่นแหละ อืม เป็นอสูรที่ข้าเรียกออกมาเอง”
เอ้อร์หนิวภาคภูมิใจ
มองท่าทางได้ใจของศิษย์พี่ใหญ่ สวี่ชิงไร้คำจะพูด แต่ว่าคำพูดของอีกฝ่ายก็เหมือนว่าจะมีความจริงอยู่บ้างจริงๆ
จางซานได้ยินก็เบิกตากว้าง หลังจากนั้นก็ส่ายหน้า สำหรับประสบการณ์ของสวี่ชิงและนายกอง เขารู้สึกว่าตัวเองอย่าไปเข้าใจให้มากเกินไปจะเป็นการดี
ในเมื่อเรื่องราวมากมาย แค่การรับรู้ก็มีอันตรายแล้ว
“ตัวเล็กๆ แบบข้าไม่เหมาะจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว”
จางซานพอใจชีวิตที่เบื้องหลังยิ่งใหญ่สะท้านฟ้าในสำนัก 7 เนตรโลหิตวันนี้อยู่แล้ว มีตรอกของตัวเอง มีหินวิญญาณที่ใช้ไม่หมดสิ้น ยิ่งกว่านั้นในสำนักยิ่งพัฒนามีคู่ฝึกเต๋ามากมาย
อีกทั้งน้อยคนนักที่จะกล้าล่วงเกินตน
ชีวิตแบบนี้ เขาพอใจแล้ว
ไม่อยากคิดจะไปรนหาที่ตาย
ดังนั้นจึงไม่ไปรับคำพูดของนายกอง แต่ก้าวเท้าออกไป เพียงก้าวเดียวก็มาถึงบนเรือศึกบรรพกาล เริ่มทำการตรวจสอบภายใน
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง จางซานอาศัยความเชี่ยวชาญของตัวเอง หลังจากตรวจสอบคร่าวๆ ก็มายังใต้หลังคา เอากล้องยาสูบออกมาแล้วสูบเข้าไปหนึ่งที ถอนหายใจกับสวี่ชิง
“โดยพื้นฐานใช้ไม่ได้หมดเลย ต่อให้แยกชิ้นส่วน วัสดุก็ถูกกัดกร่อนอย่างรุนแรง”
“สวี่ชิง ข้าจนปัญญา”
สวี่ชิงสายตาจับจ้องไปบนเรือศึกบรรพกาลที่ผุพังเสียกาย ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ศิษย์พี่จางซาน หากสร้างขึ้นใหม่เล่า”
จางซานส่ายหน้า
“เรือศึกบรรพกาลทั่วไป ด้วยพลังบำเพ็ญของเจ้าไม่มีความหมายสักเท่าไรแล้ว”
“ส่วนเรือศึกบรรพกาลที่ไม่ธรรมดา วัสดุที่ต้องใช้จะต้องเป็นมีคุณสมบัติที่สูงมากถึงจะได้ แต่วัสดุที่คุณสมบัติสูงมาก ข้าก็ไม่สามารถจัดการได้อีก…นอกเสียจากจะให้คนมาช่วย อีกทั้งเจ้าก็ต้องร่วมด้วย”
“ดังนั้นนี่ยังเป็นเรื่องรอง”
“สรุปสุดท้ายแล้วก็ยังเป็นเรื่องของวัสดุ สิ่งมีชีวิตคุณสมบัติเทพเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอแล้ว ต้องเป็นเลือดเนื้อที่ระดับสูงขึ้นไปอีกกระทั่งว่าของเทพเจ้าถึงจะได้ พวกเจ้าบางทีอาจจะมี แต่ที่สำคัญที่สุดคือ จะต้องมีภาชนะที่แข็งแกร่งเพื่อเอามาเป็นพื้นฐาน”
“แต่ข้านึกไม่ออกว่าจะมีอะไรที่แบกรับเลือดเนื้อของเทพเจ้าได้”
จางซานจนปัญญา
สวี่ชิงครุ่นคิด
เอ้อร์หนิวที่อยู่ข้างๆ ตาวาวเป็นประกายขึ้นมา
“ภูเขาแดนศักดิ์สิทธิ์ลูกนั้นได้นี่ อาชิงน้อย ข้าก็ยังคงจะเสนอว่าพวกเราเขียนหนังสือขึ้นมาในนามของอาจารย์ ขอเอามาจากจักรพรรดินี!”
จางซานได้ยินก็พยักหน้า แม้เขาจะไม่เคยเห็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่จากความเข้าใจของเขา เขาคิดว่าวัสดุที่สามารถก่อเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ ก็จะต้องสมบูรณ์แบบและตรงกับเงื่อนไขได้จริงๆ นั่นแหละ
สวี่ชิงขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ยกมือเก็บเรือศึกบรรพกาลชำรุดทรุดโทรมลงไป จากนั้นแขนเสื้อเพียงสะบัด ก็เอาเนื้อชุ่มเลือดก้อนหนึ่งออกมา
นี่เป็นเนื้อที่ฝูเสียเหลือทิ้งเอาไว้
จ้องมองเนื้อชุ่มเลือดก้อนนี้อยู่ครู่หนึ่ง สวี่ชิงฝ่ามือออกแรงบีบ เนื้อชุ่มเลือดแหลกทันที แสงสีเทาทางหนึ่งพุ่งออกมาจากในนั้น แปรเปลี่ยนเป็นเจดีย์ผุพังองค์หนึ่ง ลอยต่ำลงมายังลานว่าง
เป็นเจดีย์ผุพังลึกลับที่สวี่ชิงค้นพบที่ใต้ทะเลและใช้ซ่อนตัวเมื่อก่อนหน้านี้นั่นเอง
ตอนนั้นฝูเสียเก็บเจดีย์องค์นี้ไว้ในเลือดเนื้อ สวี่ชิงหลุดพ้นจากอวี้หลิวเฉินทางนั้น จากนั้นก็เก็บไว้ในเนื้อชุ่มเลือดของฝูเสีย เจดีย์องค์นี้สวี่ชิงก็ไม่ได้เอาออกมาอีก
อย่างไรเสีย เจดีย์องค์นี้ด้วยความสามารถของสวี่ชิงในตอนนี้ไม่อาจดูดซับได้ มิสู้เก็บไว้ในเนื้อชุ่มเลือดของฝูเสียจะเหมาะสมกว่า
ตอนนี้เมื่อเอาออกมา สวี่ชิงมองไปทางจางซาน
“ของชิ้นนี้เป็นอย่างไร”
ไม่รอให้จางซานเอ่ยปาก เอ้อร์หนิวทางนั้นดวงตาทั้ง 2 จ้องมองทันที หวั่นไหวเล็กน้อย เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายน่าครั่นคร้ามของเจดีย์พังๆ องค์นี้ แล้วมองเห็นกลิ่นอายของเถาวัลย์เทพศักดิ์สิทธิ์บนนั้น ก็ร้องลั่นออกมาทันที
“นี่มันของดีนี่นา!”
ระหว่างพูด เถาวัลย์เทพศักดิ์สิทธิ์ในตัวเขาก็ปรากฏขึ้น พุ่งตรงไปยังเจดีย์ผุพังทรุดโทรม พันล้อมไปรอบๆ แผ่ระลอกคลื่นอารมณ์ออกมา
เถาวัลย์เทพของสวี่ชิงก็พุ่งออกไปในตอนนี้เช่นกัน พันรัดไปเช่นกัน
ส่งเสียงขานตอบไปกับเถาวัลย์ของเอ้อร์หนิว เพียงพริบตา แสงดาวก็สาดกะพริบแสงจากเถาวัลย์ทั้ง 2 เส้น แม้แต่เจดีย์ผุพังเองก็ได้รับอิทธิพลไปด้วยเช่นกัน กะพริบสาดแสงดาวออกมา
จางซานสีหน้าเคร่งขรึมไปเช่นกัน หลังจากก้าวขึ้นไปสำรวจอย่างละเอียด ยิ่งมองในใจก็ยิ่งตื่นตะลึง สุดท้าย ภายใต้การอนุญาตของสวี่ชิงและการช่วยเหลือจากเถาวัลย์เทพ เขาก็เดินเข้าไปข้างในฟองอากาศ
หลังจากนั้นก็กลับออกมา ในใจของเขามีสายฟ้าฟาดคำรามเช่นกัน ดวงตทั้ง 2 ฉายประกายวาววาม พึมพำพูดเสียงต่ำ
“วัสดุที่ไม่รู้จัก อีกทั้งไม่เหมือนของที่หลอมขึ้นภายหลัง เป็นไปได้มากว่าเป็นวัตถุธรรมชาติ!”
“กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากบนนั้น ประดุจห้วงบรรพกาล เก่าแก่เป็นอย่างยิ่ง คล้ายว่าจะมีต้นกำเนิดเดียวกับเถาวัลย์ทั้ง 2 เส้นนั้นของพวกเจ้า…”
“ของดี วัตถุเลิศล้ำที่หายากยิ่ง ส่วนรายละเอียด จะต้องศึกษาดีๆ ถึงจะได้”
พูดจบจางซานก็สูดลมหายใจลึก มองไปทางสวี่ชิง
“สวี่ชิง ลางสังหรณ์ของข้าบอกข้าว่า หากมีวิธีหลอมสิ่งนี้ เช่นนั้นเรือที่สร้างออกมา…จะต้องน่าตื่นตะลึงอย่างแน่นอน”
“ต่อให้ไม่สามารถหลอมได้ คุณค่าจากการอ้างอิงของมันก็มหาศาลนัก ทั้งยังมีเถาวัลย์ของเจ้า…เรื่องนี้ข้าต้องคิดวิเคราะห์ให้ดี นอกจากนี้ยังต้องขอความช่วยเหลือจากใต้เท้าหวงเหยียนด้วย”
สวี่ชิงได้ยินก็เอาแผ่นหยกถ่ายทอดเสียงออกมา ถ่ายทอดเสียงหาหวงเหยียน
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ท่ามกลางเสียงแค่นขึ้นจมูกในใจของเอ้อร์หนิว หวงเหยียนมาแล้ว
ทั้ง 2 ทันทีที่พบหน้าต่างถลึงตาใส่กัน
สวี่ชิงรีบก้าวขึ้นมา เดินมาอยู่ระหว่างกลางทั้ง 2
จางซานก็รีบพูดขึ้น บอกเรื่องที่จะสร้างเรือศึกบรรพกาลให้สวี่ชิงออกมา
หวงเหยียนเมื่อได้ยิน ดวงตาก็จับจ้องไปยังเจดีย์ผุพัง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พยักหน้าหงึกๆ
“ต้องการไฟของข้าหรือ ไม่มีปัญหา”
จางซานเพิ่งจะตกลง เอ้อร์หนิวที่อยู่ข้างๆ ก็กระแอมออกมาทีหนึ่ง มองไปทางจางซาน
“ซานซาน สร้างเรือศึกบรรพกาลให้อาชิงน้อยต้องการพลังเย็นยะเยือกของข้าสักเล็กน้อยบ้างเหมือนกันใช่หรือไม่”
ภายใต้สายตาของเอ้อร์หนิว จางซานลังเล สุดท้ายก็ทำได้เพียงยอมรับ
ดังนั้น เอ้อร์หนิวและหวงเหยียนก็ต่างถลึงตาใส่กันอีกครั้งหนึ่ง สุดท้ายภายใต้การไกล่เกลี่ยของจางซานและสวี่ชิง ก็เริ่มเตรียมการหลอมเจดีย์ผุพัง
ส่วนสวี่ชิงสร้างเรือศึกบรรพกาล เรื่องนี้ในสำนัก 7 เนตรโลหิตก็เป็นเรื่องใหญ่สุดยอดเช่นกัน อีกทั้งด้วยพลังของจางซานเพียงลำพังเห็นได้ชัดว่าไม่เพียงพอ ดังนั้นภายใต้คำบัญชาจากศิษย์พี่รอง ปรมาจารย์หลอมอาวุธของสำนัก 7 เนตรโลหิตทั้งสำนักก็ต่างเดินทางมา
สถานที่หลอมที่กำหนดในท้ายที่สุดก็เลือกบริเวณกว้างโล่งของแดนต้องห้าม
ที่ตรงนั้น ผู้บำเพ็ญหลอมอาวุธหลายแสนคน ก็เริ่มสร้างเรือศึกบรรพกาลของสวี่ชิง
ระหว่างนั้น เวลาที่ต้องการสวี่ชิงไม่มาก เขาแค่ทิ้งเถาวัลย์เทพศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ก็พอแล้ว
ดังนั้น เพียงพริบตา สวี่ชิงก็กลับกลายเป็นคนที่ว่างงานที่สุด
เขาตัดสินใจใช้เวลาครู่หนึ่ง ชี้แนะพลังบำเพ็ญให้กับเจ้าใบ้น้อยทางนั้น ขณะเดียวกัน ในสำนัก 7 เนตรโลหิตก็เสวนาเต๋าโดยเปิดเป็นสาธารณะอยู่หลายครั้ง
แบ่งปันการศึกษาบรรลุพลังบำเพ็ญของเขาให้แก่ลูกศิษย์สำนัก 7 เนตรโลหิต ขณะเดียวกันก็ชี้แนะและไขข้อสงสัยคำถามและข้อสงสัยที่ลูกศิษย์ทั้งหลายฝึกบำเพ็ญประสบพบเจอ
เช่นนี้เอง 1 เดือนก็ผ่านไป
ในเช้าตรู่ของวันนี้ สวี่ชิงที่นั่งขัดสมาธิทำสมาธิอยู่ในถ้ำก็ได้รับเสียงถ่ายทอดจากจางซาน
“สวี่ชิง เรือศึกบรรพกาลของเจ้าเสร็จคร่าวๆ แล้ว ขั้นตอนราบรื่นแต่ก็ไม่ราบรื่น เจ้า…มาดูก็จะรู้”
สวี่ชิงยืนขึ้นทันที เดินออกจากถ้ำ กำลังจะเดินทางไป ในใจก็สัมผัสได้ เงยหน้าทอดสายตามองไปยังม่านฟ้า ใบหน้าฉายรอยยิ้ม
ม่านฟ้าที่ไกลๆ มีสายรุ้งพาดผ่านท้องฟ้า พุ่งตรงมายังยอดเขาที่ 7
ในสายรุ้งยาวมีเงาร่าง 2 ร่าง
ร่างหนึ่งเป็นชายกลางคน ร่างหนึ่งเป็นเด็กสาว
ชายกลางคนก็คือท่านปู่เก้า เด็กสาวก็คือ…หลิงเอ๋อร์
“พี่สวี่ชิง” เสียงร่าเริงออดอ้อนของหลิงเอ๋อร์ประดุจระฆังเงิน ดังแว่วมาแต่ไกลๆ
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)
