Skip to content

Outside Of Time 1091


บทที่ 1091 โลกที่ไม่รู้จัก [ภาค 12 เหมันต์ย่างกราย]

ฟ้าดินหมุนคว้าง ไม่อาจแบ่งแยกฟ้าดินได้

มิติคล้ายว่าไร้สิ้นสุด เสี้ยวขณะต่อมากลับเล็กจิ๋วสุดประมาณ

กาลเวลาดุจลากยาวออกไป ชั่วขณะต่อมากลับวูบไหวเสี้ยวพริบตา

พวกมันหลอมรวมเข้าด้วยกัน ก่อเกิดเป็นคลื่นวนขนาดมหึมาและลึกหยั่งไม่ถึง กลืนกินเจดีย์แสงดาวที่สวี่ชิงอยู่เข้าไป

พลังอันน่าหวาดหวั่นปะทุขึ้นข้างใน ก่อเกิดเป็นแรงดึงดูดอันทรงพลัง เหนือกว่าพายุใดๆ บดขยี้ทุกสิ่ง ทำลายล้างทุกอย่าง

ซัดไปบนเจดีย์แสงดาว ยิ่งส่งผลต่อตัวเจดีย์แสงดาวเองตลอดจนเส้นทางที่จะเคลื่อนไปข้างหน้า

เมื่อเทียบกันแล้ว เจดีย์แสงดาวก็เปรียบดุจเรือโดดเดี่ยวในคลื่นคลั่ง ยากจะทานทน

เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น ด้านนอกเจดีย์แสงดาว ชั้นที่จางซานเพิ่มเข้ามาภายหลัง 3-4 ชั้นนั่นก็พังทลายแตกละเอียด ระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับไม่ถ้วน แตกกระจัดกระจายไปทั่ว

เศษชิ้นส่วนเหล่านั้นถูกแรงดึงดูดทำให้แตกละเอียดอีกครั้ง กลายเป็นเถ้าธุลี สุดท้ายก็สลายหายไปในคลื่นวนแห่งกาลเวลาและมิติ

เหลือเพียงซากเจดีย์ที่หลังจากสูญเสียการปรับแต่งเพิ่มเติมขึ้นในภายหลังไปแล้วเผยสภาพดั้งเดิมแท้จริงออกมาเท่านั้น มันไม่ได้ถูกทำลายไปในคลื่นวนลูกนี้ กำลังหมุนวนอย่างรวดเร็วอยู่ภายใต้พลังของคลื่นวนลูกนี้

ซากเจดีย์กำลังหมุน ขณะเดียวกันก็จากการหมุนวนตามแรงดึงดูดของคลื่นวน ก็ก่อเกิดเป็นความรู้สึกปั่นป่วนอลหม่าน

กระทั่งว่าหากพินิจดูอย่างละเอียด จะเห็นได้ว่าความเร็วในการหมุนของซากเจดีย์ เร็วกว่าความเร็วในการหมุนของคลื่นวนมากนัก

นี่เป็นผลจากความแตกต่างระหว่างส่วนประกอบของทั้ง 2

และความเร็วในการหมุนที่แตกต่างกันนี้ ก็ก่อให้เกิดแรงฉุดกระชากอันน่าหวาดกลัว ทำให้สวี่ชิงที่อยู่ภายในเจดีย์แสงดาว สัมผัสได้ถึงแรงกระแทกอันรุนแรงสุดขีด

ตัวเขาที่อยู่ภายในเจดีย์ แม้จะนั่งขัดสมาธิ แต่ร่างกายก็ลอยขึ้นแล้ว และหมุนวนด้วย

ไม่อาจควบคุมได้เลย

อีกทั้งยังไม่สอดคล้องกับความเร็วในการหมุนของเจดีย์ที่ตนอยู่ หมุนเร็วกว่าเล็กน้อย

ดังนั้นในเสี้ยวขณะนี้ พูดให้ถูกต้องคือ คลื่นวน ซากเจดีย์ และสวี่ชิง ล้วนกำลังหมุน อีกทั้งต่างแตกต่างกันไป

แรงฉุดกระชากที่เกิดขึ้นเช่นนี้ ย่อมรุนแรงถึงขีดสุด

ร่างกายของสวี่ชิงสั่นสะท้าน ราวว่าจะฉีกขาด

และสิ่งที่ทำให้เขาเจ็บปวดทุกข์ทนยิ่งกว่า มาจากวิญญาณ

ยากจะพรรณนาการรับรู้ที่ชัดเจนในตอนนี้ เขารู้สึกเพียงว่าทุกสิ่งที่สัมผัสรับรู้ได้นั้น ล้วนชัดเจนในอึดใจก่อน แต่กลับพร่าเลือนในอึดใจถัดไป กระทั่งว่าแม้แต่สีสันภายใต้การสำรวจจากจิตเทพก็เป็นเช่นเดียวกัน

ประเดี๋ยว 2 สี ประเดี๋ยว 9 สี ประเดี๋ยวไร้สี ประเดี๋ยววุ่นวายปั่นป่วน

นี่คือภาพแต่ละภาพๆ ที่ปรากฏขึ้นในสมองของสวี่ชิงตอนนี้

ส่วนดวงตาทั้ง 2 ข้างของเขา ไม่ได้ลืมขึ้น

นั่นคือสิ่งที่เจ้าวังเซียนคิมหันต์เคยเตือนไว้ ในตอนที่สวี่ชิงสอบถามถึงวิธีการเดินทางผ่านห้วงสมุทรบรรพกาลในตอนนั้น

ในระหว่างการเดินทาง เนื่องจากพลังบำเพ็ญของสวี่ชิงยังไม่เพียงพอ จึงได้รับการเตือนว่าห้ามลืมตาโดยเด็ดขาด

ดังนั้นดวงตาของสวี่ชิงจึงปิดสนิทอยู่ตลอดเวลา

และกระบวนการเดินทางนี้ดำเนินไปอย่างยาวนานยิ่งนัก ราวกับว่าเส้นทางที่เคลื่อนไปข้างหน้านี้คือหุบเหวลึกที่ไร้จุดสิ้นสุด

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ความเจ็บปวดที่สวี่ชิงแบกรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กายเนื้อของเขาใกล้จะรับรู้ความเจ็บปวดไม่ได้แล้วเต็มที ราวกับจะไม่ใช่ร่างของตนเองแล้ว

วิญญาณของเขาก็เช่นเดียวกัน ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของการรับรู้นี้ ก็ตกอยู่ในความวุ่นวายปั่นป่วนจนถึงขีดสุด

ความทรมานทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้สวี่ชิงเกิดวิกฤตความเป็นตายอย่างรุนแรง

“เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ คลื่นวน ซากเจดีย์ และข้า ผลลัพธ์สุดท้ายที่เกิดขึ้นจากแรงฉุดกระชากจากความเร็วในการหมุนที่แตกต่างกันนี้ หากไม่ใช่…ซากเจดีย์พังทลาย ก็เป็นกายและจิตของข้าแตกดับ ความเป็นไปได้อย่างหลังมีมากที่สุด”

“และความรู้สึกเช่นนี้ ข้าเคยมีประสบการณ์คล้ายคลึงกันมาก่อน!”

ในเสี้ยวขณะที่ร่างกายฉีกขาด และวิญญาณกำลังจะคลุ้มคลั่ง สวี่ชิงก็กัดลิ้นตนเองอย่างแรง ใช้ความเจ็บปวดที่ปลายลิ้น คิดจะฝืนกระตุ้นตนเอง เพื่อให้จิตใจมั่นคง

ผลลัพธ์กลับไม่ชัดเจนนัก ออกฤทธิ์เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น

แม้จะเป็นเพียงชั่วพริบตาเดียว แต่สวี่ชิงก็ยังอาศัยช่วงเวลาสั้นๆ นี้ หาต้นกำเนิดของประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกันในอดีตเจอ

นั่นคือ… ภาพเหตุการณ์ที่ความเป็นมนุษย์ ความเป็นเทพ และความเป็นเดรัจฉานปะทุที่แดนใหญ่เซ่นจันทรา

ในตอนนั้น เขาก็ตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวายเช่นนี้ ไม่อาจหาจุดสมดุลได้ วิญญาณจะแตกสลาย

วิธีแก้ปัญหาสุดท้ายคือ เขาหาสิ่งยึดเหนี่ยวเจอ!

ใช้มันบรรลุความสมดุล สมาธิจดจ่อ

“สิ่งยึดเหนี่ยว… สมดุล…”

ตอนนั้นในความสับสนปั่นป่วนของความเป็นมนุษย์ ความเป็นเทพ และความเป็นเดรัจฉาน สิ่งยึดเหนี่ยวของสวี่ชิงคือความยึดติดและความเสียใจต่อดอกลิขิตฟ้า

“เช่นนั้นในตอนนี้…”

หลายอึดใจต่อมา สวี่ชิงตัดสินใจเด็ดขาด ล้มเลิกการปฏิบัติตามคำเตือนของเจ้าวังเซียนคิมหันต์ เนื่องจากหากทำเช่นนี้ต่อไปก็จะตกอยู่ในภาวะที่ถูกกระทำมากเกินไป เป็นตายไม่รู้แน่

เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจึงตัดสินใจควบคุมด้วยตนเอง

ดังนั้นดวงตาของสวี่ชิงในชั่วพริบตานั้น ก็พลันลืมขึ้น

เพียงเสี้ยวขณะที่เปลือกตาเปิดออก เขามองเห็นเจดีย์แสงดาว และยังสัมผัสได้ถึงอาการวิงเวียนที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิม

เจดีย์นี้ ในสายตาของเขา กำลังหมุนวนอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้สถานการณ์ที่ตัวเขาเองก็กำลังหมุนอยู่ด้วย ความรู้สึกสับสนปั่นป่วนจึงรุนแรงเป็นที่สุด

ดวงตาทั้ง 2 ของสวี่ชิงมีเส้นเลือดปรากฏ พลังบำเพ็ญภายในร่างปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่อง มือทั้ง 2 ประสานปางมือ สะบัดไปรอบทิศทางไม่หยุด อาศัยพลังบำเพ็ญปรับความเร็วในการหมุนของตนเอง

ในที่สุด ภายใต้การทดลองหลาย 10 ครั้งของเขา ด้วยค่าตอบแทนจากการกระอักเลือดหลายครั้ง ในที่สุดก็ทำให้ความเร็วในการหมุนของตนเองลดลง ค่อยๆ เท่ากับความเร็วในการหมุนของเจดีย์นี้

ในชั่วพริบตาที่ความเร็วในการหมุนเท่ากัน ความรู้สึกฉีกขาดของวิญญาณและความรู้สึกฉีกทึ้งของกายเนื้อ ในที่สุดก็หายกว่าครึ่ง

เขากับเจดีย์บรรลุจุดสมดุล ด้วยทิศทางและความเร็วในการหมุนที่เหมือนกันทุกประการ กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน

ด้วยวิธีนี้ แรงฉุดกระชากก็ย่อมลดลงตามไปด้วย

นี่คือสิ่งที่สวี่ชิงคิดถึง สิ่งยึดเหนี่ยว!

สวี่ชิงถอนหายใจยาว

“ตัวข้าเองและซากเจดีย์ อีกทั้งคลื่นวนด้านนอก ทั้ง 3 มีความเร็วและทิศทางในการหมุนเหมือนกันโดยสมบูรณ์ ต่างสมดุล นี่คือสิ่งยึดเหนี่ยว!”

“เช่นนั้นตอนนี้คือการทำให้ข้ากับซากเจดีย์มีความเร็วและทิศทางในการหมุนเท่ากับคลื่นวนด้านนอก”

สวี่ชิงในขณะนี้ไม่กล้าผ่อนคลายแม้แต่น้อย หลังจากวิเคราะห์ในใจแล้ว เขาก็อาศัยการควบคุมเถาวัลย์เทพนี้ ลองพยายามควบคุมซากเจดีย์ทางอ้อม ค่อยๆ ปรับเปลี่ยน

เวลาผ่านไป ไม่รู้ว่านานเท่าใด ในที่สุด ภายใต้การควบคุมอย่างรอบคอบของสวี่ชิง ตัวเขาและซากเจดีย์ที่เขาอยู่ ก็ลดความเร็วในการหมุนลง

ค่อยๆ บรรลุความสมดุลกับความเร็วในการหมุนของคลื่นวน

ในชั่วพริบตาที่สมดุลกัน แม้ทั้ง 3 ส่วนจะเหมือนกำลังหมุนอยู่ แต่เนื่องจากความเร็วและทิศทางในการหมุนเหมือนกัน ดังนั้นในการรับรู้ของสวี่ชิง…ก็ราวว่าตนเองกับซากเจดีย์และคลื่นวนล้วนหยุดนิ่ง

ความรู้สึกหยุดนิ่งนี้ ทันทีที่ปรากฏขึ้นในใจของเขา สวี่ชิงก็มองเห็นโลกภายนอก

เขามองเห็นคลื่นวนอันกว้างใหญ่ไพศาล เห็นเวลาเหมือนจะไหลเวียนอยู่ภายใน

เห็นมิตินับไม่ถ้วนกำลังสับเปลี่ยนหมุนเวียนอยู่ภายใน

กระทั่งว่าเขายังมองเห็นภาพประวัติศาสตร์อันพร่าเลือนแต่ละภาพๆ ปรากฏขึ้นในคลื่นวน มาพร้อมกับภาพแห่งอนาคต สอดประสานภายใน

ในความเลือนราง เขาเหมือนเห็นตนเอง…

แต่ยังไม่ทันจะเห็นชัดเจน กาลเวลาและมิติ ภายใต้พลังของคลื่นวนก็หลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์

เสียงคำรามเลื่อนลั่นดังมาจากคลื่นวน ดังมาจากซากเจดีย์ ดังมาจากในสมองของสวี่ชิง

ในชั่วพริบตาถัดมา ซากเจดีย์และเขาก็หลอมรวมไปในคลื่นวนอย่างสมบูรณ์

หายลับไป

ส่วนทางด้านสวี่ชิง จากเสียงกึกก้องคำรามเลื่อนลั่นในสมอง ทั้งคนก็ไม่อาจควบคุมได้อีก หมดสติสลบไป

อยู่ในระบบดาวที่ไม่รู้จัก ในโลกที่ไม่รู้จัก

แผ่นดินแห้งแล้งเหลืองซีด ปกคลุมไปด้วยรอยแตกกคล้ายใยแมงมุม เป็นเช่นนี้ไปทั่วทุกแห่งหน

ท้องฟ้ามืดมิดทั้งผืน มีดวงตา 3 ดวงที่แฝงไว้ด้วยความดุร้ายลอยอยู่เบื้องบน จ้องมองผืนแผ่นดิน

โลกใบนี้ไม่มีแสงสว่างมากนัก มีเพียงดวงตา 3 ดวงนั้นบนม่านฟ้า ประดุจดวงจันทร์ แผ่แสงอ่อนๆ ปกคลุมโลกทั้งใบ

ในขณะที่พร่าเลือนคลุมเครือ ก็ยังคงความเงียบงันราวกับความตาย

เวลาผ่านไป 1 วันผ่านไป

ดวงตาบนท้องฟ้าเพิ่มขึ้นอีก 1 ดวง

หลังจากดวงตาที่ 4 ปรากฏขึ้นไม่นาน ในโลกใบนี้ บนพื้นดินที่แตกระแหง ก็เกิดคลื่นวนปรากฏขึ้น

คลื่นวนนี้ดำรงอยู่เพียงอึดใจเดียว ก็สลายไป

ทิ้งไว้ซึ่งซากเจดีย์องค์หนึ่ง

ครู่หนึ่ง ในซากเจดีย์ สวี่ชิงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ในดวงตาเป็นความงุนงงก่อน พริบตาต่อมาก็ชัดเจนในทันที กลายเป็นความระแวดระวัง พลันมองไปรอบทิศ สัมผัสรับรู้ภายนอก

ไม่นานหลังจากนั้น สวี่ชิงก็ขมวดคิ้ว

เขาไม่รู้ว่าที่นี่ใช่ระบบดาวที่ 5 หรือไม่

แม้จะมีโอกาสสูง แต่รูปลักษณ์ภายนอกก็ทำให้เขาลังเลเล็กน้อย

เพราะตามความเข้าใจของเขา ตนเองเดินทางผ่านห้วงสมุทรบรรพกาล ดังนั้นตำแหน่งที่ปรากฏก็น่าจะเป็นห้วงสมุทรบรรพกาลของระบบดาวที่จะไปถึงจะถูก

ดังนั้นเขาจึงมองไปที่ไหล่ของตนเองโดยสัญชาตญาณ

ตุ๊กตาจิ้งจอกไม่รู้เพราะเหตุใด กลายเป็นรูปปั้นโคลนไปแล้วจริงๆ อยู่บนไหล่ของเขานิ่งไม่ไหวติง

สวี่ชิงเงียบนิ่ง สัมผัสรับรู้อาการบาดเจ็บของตนเอง

จากนั้นไม่ได้เลือกที่จะออกไปทันที แต่หลับตานั่งบำเพ็ญ

2 วันต่อมา จากอาการบาดเจ็บฟื้นตัวเกือบทั้งหมด สวี่ชิงก็ลืมตาขึ้น

ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากซากเจดีย์ ในชั่วพริบตาที่ยืนอยู่ด้านนอก เขาก็เงยหน้ามองดวงตาทั้ง 6 บนฟากฟ้า

“1 วันเพิ่มขึ้น 1 ดวงหรือ” สวี่ชิงพึมพำ

รอบกายเงียบงัน ไม่มีลม และไม่มีกลิ่นอายใดๆ เช่นกัน

ราวกับว่าโลกใบนี้อยู่ในความเหี่ยวแห้งจนถึงขีดสุดแล้ว

ความรู้สึกเช่นนี้ สวี่ชิงนั้นคุ้นเคยดี

ก่อนที่เขาจะเข้าร่วมสำนัก 7 เนตรโลหิต ก็อาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณมานานหลายปี

ที่แตกต่างกันคือ ในตอนนั้นเขายังเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา

“อันดับแรก ต้องดูว่าโลกแห่งนี้อยู่ในสภาพใดกันแน่ จากนั้นจึงค้นหาสิ่งมีชีวิต เพื่อสืบสำรวจว่าที่นี่คือระบบดาวที่ 5 หรือไม่”

“หากเป็นระบบดาวที่ 5 ก็ต้องรีบไปเมืองเซียนให้เร็วที่สุด…”

“ถ้าไม่ใช่…”

สวี่ชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เก็บซากเจดีย์ลงไป

เจดีย์นี้หลังจากผ่านคลื่นวนมาแล้ว ตอนนี้ก็เสียหายอย่างหนัก และเนื่องจากในอนาคตยังต้องใช้ในการกลับไปยังระบบดาวที่ 9 ดังนั้นจึงไม่สะดวกที่จะใช้ต่อไปในตอนนี้

“รอจนกว่าจะยืนยันระบบดาวที่อยู่ได้แล้ว ก็ต้องหาสถานที่ซ่อมเจดีย์สักหน่อยด้วย”

เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้น สวี่ชิงไม่ได้ลังเล ไปพร้อมด้วยความระแวดระวัง ร่างเพียงไหววูบไปข้างหน้า ก็หายลับไปจากที่เดิมทันที

เริ่มต้นการสำรวจ

1 วันหลังจากนั้น ดวงตาบนฟากฟ้าก็มีดวงที่ 7 ปรากฏขึ้น

แสงที่แผ่ออกมา ค่อยๆ เผยให้เห็นสีเลือด

ส่วนร่างของสวี่ชิง ไม่ได้อยู่ในแสงเลือด เขามาปรากฏตัวขึ้นที่ใต้พื้นพิภพของโลกแห่งนี้

ที่นั่น เขาเห็นโลงศพขนาดมหึมาโลงหนึ่ง

ถูกฝังอยู่ในส่วนลึกของพื้นดิน

ตราผนึกนับไม่ถ้วน อักขระนับไม่ถ้วน โซ่เหล็กนับไม่ถ้วน ผูกมัดโลงศพนี้ไว้รอบด้าน ในขณะเดียวกัน รอบๆ โลงศพยังมีค่ายกลขนาดใหญ่ค่ายหนึ่งตั้งอยู่ด้วย

ค่ายกลนี้โคจรอยู่ตลอดเวลา ดูดดึงพลังชีวิตของตัวตนภายในโลงศพ ทำให้พลังแผ่กระจายออกไปด้านนอก หล่อเลี้ยงโลกใบนี้

จ้องมองอยู่นาน รูม่านตาของสวี่ชิงก็ค่อยๆ หดเล็กลง

“ภายในโลงศพ คือเทพเจ้าองค์หนึ่ง…”

สวี่ชิงถอยหลังไปช้าๆ

อีก 1 วัน ดวงตาบนฟากฟ้าก็มีดวงที่ 8 ปรากฏขึ้น แสงเลือดที่แผ่ออกมายิ่งเข้มข้นขึ้นหลายส่วน

ภายใต้แสงเลือดนี้ ร่างของสวี่ชิงก็ปรากฏขึ้นบนยอดเขาแห่งหนึ่ง

ที่เชิงเขา มีเมืองเมืองหนึ่ง

ท่ามกลางแสงเลือด เมืองนี้ดูแล้วแปลกประหลาดและอัปมงคล

จ้องมองเมืองนั้น ในดวงตาสวี่ชิงก็ฉายแววครุ่นคิด

เวลา2 วัน เขาได้เดินทางผ่านไปหลายที่

ไม่เพียงแค่ที่ตั้งของโลงศพใต้พื้นพิภพเท่านั้น ขณะเดียวกันที่ภายนอก เขายังได้เห็นสิ่งมีชีวิตที่นี่อีกด้วย

ไม่ใช่เผ่ามนุษย์ หากแต่เป็นเผ่าพันธุ์ที่คล้ายมนุษย์ ผิวหนังมีสีฟ้า รูม่านตาเป็นรูปสามเหลี่ยม

ส่วนมากในจำนวนนั้น ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญ

ทว่าไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ธรรมดาหรือผู้บำเพ็ญ ทุกคนต่างผอมแห้ง พลังชีวิตในร่างไม่เข้มข้น ดวงตาไร้ประกาย ราวกับซากศพเดินได้

นอกจากนี้ ผู้บำเพ็ญที่นี่… ระดับสูงสุดก็เป็นเพียงระดับปราณก่อกำเนิดเท่านั้น

แม้แต่เมืองที่สวี่ชิงกำลังมองอยู่ในตอนนี้ ภายใต้การสัมผัสรับรู้ของเขา ผู้บำเพ็ญ 3 คนที่แข็งแกร่งในนั้น ก็ล้วนเป็นวิญญาณแรกกำเนิดทั้งสิ้น

“หรือว่า นี่คือโลกใบเล็กใบหนึ่ง”

“แต่วิเคราะห์จากสารอาหารที่ดูดซับจากโลงมาหล่อเลี้ยงโลกใบนี้ ที่นี่ไม่ควรเป็นเช่นนี้”

สวี่ชิงครุ่นคิด ก้าวเดินออกไป 1 ก้าว เหยียบย่างเข้าสู่เมือง

เมื่อเดินเข้าไป ผู้บำเพ็ญที่นี่ไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าข้างกายมีคนแปลกหน้าเพิ่มขึ้นมา ความแตกต่างระหว่างกันของพลังบำเพ็ญ ทำให้สวี่ชิงอยู่ที่นี่ หากเขาไม่ต้องการ ก็ไม่มีใครสามารถรับรู้ได้แม้แต่น้อย

เช่นนี้เอง สวี่ชิงเดินเคลื่อนหน้าไปในเมือง เห็นผู้คน เห็นร้านค้า เห็นผู้บำเพ็ญ ไม่มีข้อยกเว้น ล้วนเหี่ยวเฉา ล้วนผอมแห้ง กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างมากที่สุดคือความสิ้นหวัง

สวี่ชิงครุ่นคิด เงยหน้ามองดวงตาทั้ง 8 บนท้องฟ้า จากนั้นในเมืองนี้ เขาก็พบศาลบรรพชนแห่งหนึ่งที่ถูกบูชาไว้

ผู้บำเพ็ญที่นี่มีมากที่สุด อีกทั้งอาคารก็หรูหราวิจิตรงดงาม ดึงดูดความสนใจของสวี่ชิง

เมื่อเดินเข้าไปในศาลบรรพชน สิ่งแรกที่ปรากฏในสายตาของสวี่ชิงคือแท่นบูชา

บนนั้นบูชาดวงตาที่เลือดชุ่มโชก 9 ดวง

ส่วนรอบๆ แกะสลักภาพจิตรกรรมฝาผนัง บอกเล่าถึงตำนานเทพเจ้า

นี่คือข้อมูลที่สวี่ชิงต้องการ

ดังนั้นเขามองไปทันที จากภาพจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้ก็ค่อยๆ เห็นเรื่องราวของโลกใบนี้

นี่เดิมทีเป็นโลกที่สงบสุข เมื่อไม่รู้กี่ปีมาแล้ว จู่ๆ บนฟากฟ้าก็มีดวงอาทิตย์ชั่วช้าดวงหนึ่งปรากฏขึ้น

การปรากฏตัวขององค์ท่าน ทำให้โลกตกอยู่ในความเหี่ยวเฉาและความตาย สรรพชีวิตตกอยู่ในความทุกข์ระทม

ในที่สุด ท่ามกลางความทุกข์ระทมและความสิ้นหวังนี้ ก็มีวีรบุรุษ 9 คนปรากฏขึ้น พวกเขาได้สังหารดวงอาทิตย์ชั่วช้าดวงนั้น แต่ตนเองกลับบาดเจ็บสาหัสใกล้ตาย

ดังนั้น วีรบุรุษทั้ง 9 จึงแปรเปลี่ยนเป็นวิถีสวรรค์ กลายเป็นดวงตาทั้ง 9 คุ้มครองสรรพชีวิต

เพียงแต่เพราะพวกเขาในตอนนั้นบาดเจ็บสาหัสนัก ดังนั้นเพื่อการคุ้มครองอันนิรันดร์ ทุก 9 วันจึงต้องการพลังชีวิตจำนวนหนึ่งเพื่อหล่อเลี้ยง

นับจากนั้น สรรพชีวิตในโลกใบนี้ พวกเขาเต็มใจ ในทุกครั้งที่ดวงตาทั้ง 9 ปรากฏพร้อมกันบนฟากฟ้า ก็จะพลีชีพของตนเองอย่างสมัครใจ

“ดวงตา 9 ดวง วีรบุรุษ 9 คน”

“เทพเจ้าใต้พิภพ น่าจะเป็นดวงอาทิตย์ชั่วช้าในตำนานนี้”

“ถ้าอย่างนั้น วีรบุรุษทั้ง 9 คนนี้เป็นใครกัน…”

สวี่ชิงดึงสายตาจากภาพจิตรกรรมฝาผนัง ตำนานนี้ ในสายตาของเขา ก็เป็นเพียงการแต่งเติมให้สวยงามเพื่อการเก็บเกี่ยวที่ดียิ่งขึ้นเท่านั้น

“แต่ว่า ในที่สุดก็มีเบาะแสแล้ว”

สวี่ชิงก้าวเดินไป 1 ก้าว ร่างกายหายลับไป เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งก็อยู่บนยอดเขานอกเมืองแล้ว

ยืนอยู่ที่นั่น สวี่ชิงสีหน้าสงบนิ่ง นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นเสียเลย ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บจากการเดินทางผ่านคลื่นวน พลางเงยหน้ามองดวงตาสีเลือดทั้ง 8 บนฟ้า รอคอยการปรากฏตัวของดวงตาที่ 9 อย่างเงียบงัน

เขาเชื่อว่า ทันทีที่ดวงตาที่ 9 ปรากฏ เขาก็จะสามารถมองเห็นโลกใบนี้ได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น

(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version