Skip to content

Outside Of Time 1100


บทที่ 1100 ระบบดาวที่ 5

แสงเรืองรองแห่งขั้วโลกสีแดงดุจแม่น้ำสายยาว หลั่งไหลอยู่บนม่านฟ้า กว้างใหญ่ไพศาล

เนื่องจากแสงมีการไหลเคลื่อนที่ ดังนั้นจึงกระจายลงมาไม่สม่ำเสมอ ครั้นเมื่อสะท้อนทาบไปบนพื้นดินโคลนก็สว่างไสวสลับมืดมิดอยู่เนืองๆ

ไม่ใช่แค่ในเหมืองวิญญาณเท่านั้น ต่อให้เป็นแต่นอกหลุมลึกเหมืองวิญญาณ พื้นดินก็เป็นดินโคลนเป็นหลักเช่นกัน

เรื่องนี้ สวี่ชิงรู้มาจากความทรงจำของผู้ติดตามผู้บำเพ็ญระดับเจ้าเหนือหัวคนนั้น

ที่นี่คือทางใต้ของระบบดาวที่ 5 และอยู่ในพื้นที่รอบนอกที่ห่างไกลกันดาร

เมื่อนานมาแล้ว ที่นี่เคยมีมหาสมุทร

หรือก็คือห้วงสมุทรบรรพกาลของระบบดาวที่ 5

ทว่าภายหลัง ภายใต้พลังของราชาเซียน ห้วงท้องฟ้าดาราของระบบดาวที่ 5 ถูกถมจนราบเรียบ ห้วงสมุทรบรรพกาลที่มีเทพเจ้าจำนวนนับไม่ถ้วนพำนักอาศัยอยู่ก็เป็นเช่นเดียวกัน

ดังนั้น ที่นี่จึงกลายเป็นที่ที่ผู้บำเพ็ญพักอาศัยได้

เพียงแต่ค่อนข้างจะแห้งแล้งกันดารไปเสียหน่อยก็เท่านั้น

แต่ไอพลังประหลาดนั้นไม่มี

ทั่วทั้งระบบดาวที่ 5 เทพเจ้าล้วนถูกสะกดกำราบ ในระดับหนึ่งกล่าวได้ว่าเทพเจ้าถูกห้ามผ่าน

ดังนั้น ไอพลังประหลาดที่เป็นอันตรายต่อผู้บำเพ็ญอันเกิดจากกลิ่นอายของเทพเจ้า ย่อมไม่มีไปตามธรรมชาติ ทว่าภายใต้การหลอมเทพ โดยใช้เทพเจ้าเป็นสารอาหารสกัดพลังชีวิตออกมา เปลี่ยนเป็นพลังวิญญาณที่ผู้บำเพ็ญสามารถดูดซับได้

ในตอนนี้เมื่อเดินอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน สวี่ชิงรู้สึกถึงสิ่งนี้อย่างแรงกล้า

ขนทั่วทั้งตัวของเขาแผ่ออก ร่างกายดูดซับพลังวิญญาณจากฟ้าดินโดยสัญชาตญาณ ราวกับผืนดินที่แห้งแล้งที่รอคอยสายฝนในฤดูใบไม้ผลิ

และพลังวิญญาณแผ่ซ่านไม่สิ้นสุด แม้ระดับจะสู้เหมืองวิญญาณไม่ได้ แต่ก็ยังคงเข้มข้นมาก

“สภาพแวดล้อมแบบนี้ บนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์นั้นไม่มี” สวี่ชิงพึมพำ

ภายใต้การดูดซับพลังวิญญาณไปโดยสัญชาตญาณ จิตเทพของเขาก็แผ่ออกไป ในขณะเดียวกับที่สัมผัสรับรู้ฟ้าดิน ก็สัมผัสรับรู้กฎเกณฑ์และกฎระเบียบของที่นี่ด้วย

นี่คือความสามารถอันเป็นเฉพาะของผู้บำเพ็ญระดับเตรียมสู่เทวะ

ผ่านจากกฎเกณฑ์และกฎระเบียบของที่นี่ไปสัมผัสรับรู้โลกใบนี้ในทางอ้อม

ในจิตเทพของเขา โลกมีเส้นไหมกึ่งโปร่งใสปรากฏขึ้น เส้นไหมเหล่านี้เชื่อมต่อสรรพสิ่งทั้งหมด ทุกเส้นคือกฎเกณฑ์และกฎระเบียบวิถีหนึ่ง

เมื่อพลังบำเพ็ญถึงระดับหนึ่งแล้ว ก็จะสามารถทำให้มันสั่นสะเทือน ควบคุมมันได้

และภายใต้จิตเทพของสวี่ชิง สิ่งที่เขาสำรวจเป็นพิเศษคือต้นกำเนิดของเส้นไหมกฎเกณฑ์และกฎระเบียบเหล่านี้…

และในไม่ช้า สีหน้าของสวี่ชิงก็ฉายแววครุ่นคิด ขณะเดียวกันความระมัดระวังในใจก็ยิ่งเพิ่มขึ้น

เพราะในกระบวนการสัมผัสรับรู้โลก เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าในฟ้าดินอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ ณ ต้นกำเนิดของกฎเกณฑ์และกฎระเบียบเหล่านั้น มีเจตจำนงอันยิ่งใหญ่ทรงพลังมากมาย

“ต้นกำเนิดของกฎเกณฑ์และกฎระเบียบจำนวนมากถูกยึดครองไปแล้ว”

สวี่ชิงเก็บจิตเทพคืนมา เงยหน้ามองฟ้า

สำหรับเจตจำนงอันแข็งแกร่งเหล่านั้น เขาไม่ได้สืบสำรวจในทันที แต่ใช้กฎเกณฑ์และกฎระเบียบสัมผัสรับรู้ทางอ้อม

การทำเช่นนี้ ไม่เป็นการล่วงเกิน

“นอกจากนี้ กฎเกณฑ์และกฎระเบียบของโลกนี้ดูเหมือนจะมีระเบียบ แต่ภายใต้ระเบียบนั้น กลับฉายความปั่นป่วนอลหม่านที่ไม่อาจอธิบายได้กลุ่มหนึ่งออกมา…”

สวี่ชิงครุ่นคิด มองไปรอบทิศ

ผ่านการตอบสนองของกฎเกณฑ์และกฎระเบียบแห่งโลก เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวเลือดและการสังหารฆ่าฟัน

“ดูเหมือนว่าที่นี่ไม่เพียงแต่จะเป็นสถานที่ที่ปลาใหญ่กินปลาเล็กเหมือนกันเท่านั้น แต่ระดับความรุนแรงอาจจะยิ่งกว่าอีก” สวี่ชิงพึมพำ

และความรู้สึกเช่นนี้ของเขา ใน 1 วันให้หลังได้รับการยืนยัน

ฝ่ายหนึ่งคือกองคาราวานขนาดใหญ่ที่อยู่บนท้องฟ้า

จำนวนคนมีมากมายหลายพันคน พวกเขาใช้อสูรยักษ์คล้ายแรดจำนวนมากมายเป็นพาหนะ บรรทุกสินค้าบางอย่างที่สวี่ชิงไม่รู้จัก แต่เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถเก็บเข้าถุงเก็บของได้ ขนส่งอยู่บนม่านฟ้า

จากกลิ่นอายรอบๆ สามารถวิเคราะห์ได้ว่ามีผู้แข็งแกร่งคอยคุ้มครองและล้อมรอบอยู่ทั้งภายในและภายนอก

กองคาราวานเช่นนี้ พลังย่อมไม่ธรรมดา ในความคิดของสวี่ชิงน่าจะมีน้อยคนที่จะกล้าหาเรื่อง

ทว่าการสังหารก็ยังคงเกิดขึ้น

ฝ่ายที่ทำการสังหาร ได้พุ่งออกมาเป็นพันเป็นหมื่นคนจากการที่ฟ้าดินจู่ๆ ก็คำรามเลื่อนลั่น ราวกับกองโจรพุ่งเข้าสังหารกองคาราวานนี้

โหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง ล้มตายเป็นจำนวนมาก เสียงกรีดร้องของผู้บำเพ็ญ และเสียงคำรามของอสูรยักษ์ ดังก้องไม่หยุด

กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว

และในการสังหารครั้งนี้ กระทั่งว่ามีสิ่งมีชีวิตประเภทเทพมากมายที่ถูกควบคุมเป็นทาสปรากฏตัวขึ้นด้วย

สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ สุดท้ายในกองคาราวานก็ได้ส่งเทพเจ้าออกมา

นั่นเป็นดวงตาขนาดมหึมาที่ถูกพันธนาการราวกับทาส

ดวงตานี้เดิมมีรยางค์จำนวนมาก แต่ในตอนนี้รยางค์เหล่านั้นส่วนใหญ่ถูกตัดขาด ในดวงตามีผนึกมากมาย

นี่คือเทพเจ้าระดับเพลิงเทวะองค์หนึ่ง

องค์ท่านดูเหมือนว่าจะกลายเป็นไพ่ตาย ในการสังหารครั้งนี้ราวกับเครื่องมือชิ้นหนึ่ง

ส่วนผลลัพธ์สุดท้ายของการต่อสู้ครั้งนี้ สวี่ชิงไม่รู้

เขายืนอยู่สุดขอบฟ้า ทอดสายตามองดูทุกอย่างนี้ ในยามที่สัมผัสได้ว่าทั้ง 2 ฝ่ายต่างมีจิตเทพทางหนึ่งแผ่ออกมาทางตนเอง สวี่ชิงก็เลือกที่จะจากไป

การสังหารครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขา เขาย่อมไม่คิดที่จะเข้าไปเกี่ยวพันด้วย

และการจากไปของเขาในตอนแรกนั้นไม่ราบรื่น จิตเทพทั้ง 2 ทางนั้นประชิดเข้าใกล้มาอย่างแข็งแกร่ง ต่างมาพร้อมด้วย จิตปฏิปักษ์ แต่ในชั่วพริบตาที่เข้าใกล้สวี่ชิง ในดวงตาของสวี่ชิงประกายแสงเย็นเยียบฉายวูบ แผ่จิตเทพของตนเองออกไปอย่างรุนแรงโดยไม่เกรงใจ

บางครั้ง หากต้องการหลีกเลี่ยงปัญหา เช่นนั้นก็อย่าได้เลือกที่จะถ่อมตัวเกินไป

ทำให้ผู้อื่นรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนที่จะหาเรื่องกันง่ายๆ ถึงจะเป็นวิธีการหลีกเลี่ยงปัญหาที่ดีที่สุด

ไม่ว่าจะเป็นที่นี่ หรือแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ต่างเป็นเช่นเดียวกัน

เสี้ยวพริบตาต่อมา จิตเทพต่างปะทะกันอย่างไร้รูปร่าง

บนท้องฟ้า สายฟ้าแลบแปลบปลาบทันที สีสันหลากหลาย กฎเกณฑ์และกฎระเบียบปรากฏขึ้น ท่ามกลางเสียงกึกก้องกระทั่งว่าสภาพอากาศก็เปลี่ยนไปอย่างรุนแรง

พายุหิมะ ฝนห่าใหญ่ต่างตกลงมาพร้อมกัน

จากนั้น…จิตเทพทั้ง 2 ทางก็หดกลับ เห็นได้ชัดว่ามีความเกรงกลัว ไม่ขัดขวางอีกต่อไป

ส่วนสวี่ชิงก็สีหน้าเรียบเฉย ก้าวเดินจากไป

เรื่องทำนองนี้ ในหลายวันต่อมา สวี่ชิงพบเจออีก 3 ครั้ง

การสังหารครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้สวี่ชิงสัมผัสได้ถึงความรุนแรงและการสังหารของโลกนี้ได้มากขึ้น

“เหมือนกับการเลี้ยงกู่อย่างนั้นหรือ”

“ใช้ทั้งระบบดาวที่ 5 เป็นสนาม เพื่อเพาะเลี้ยงผู้แข็งแกร่งที่เดินออกมาจากภูเขาศพทะเลเลือด” สวี่ชิงพึมพำ ก้มหน้ามองลงไปเบื้องล่าง

สถานที่ที่เขาอยู่ในตอนนี้ พื้นดินมีหุบเขาแห่งหนึ่ง

และภายในหุบเขา เห็นได้ชัดว่าเพิ่งสิ้นสุดการสังหารครั้งหนึ่งลงไป

ศพเกลื่อนกลาด กลิ่นอายความตายแผ่ซ่านชำระล้างพลังวิญญาณ อยู่ที่นี่เข้มข้นเป็นอย่างยิ่ง

และภายในซากศพเหล่านี้ มีภูเขาลูกเล็กที่ก่อตัวขึ้นจากเนื้อและเลือดลูกหนึ่ง บนนั้นมีชายหนุ่มชุดคลุมยาวสีดำนั่งขัดสมาธิอยู่

สีหน้าของเขาเย็นชา กำลังดูดซับกลิ่นอายความตายที่นี่

เสี้ยวพริบตาต่อมา เขาก็ลืมตาขึ้น เงยหน้ามองไปยังท้องฟ้าที่สวี่ชิงอยู่ แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ “นี่คือสนามพลังวิญญาณของข้า”

หลังจากประกาศความเป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้ ดวงตาของชายหนุ่มชุดคลุมยาวสีดำก็พลันฉายประกายวูบหนึ่ง ในชั่วพริบตาถัดมา นอกหุบเขา เงาร่างหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ที่นั่นเช่นกัน รอบๆ ตัวมิติแผ่ระลอกคลื่น ถูกบีบบังคับให้ออกมา

นี่คือเด็กสาวคนหนึ่ง ใบหน้างดงาม นางกำลังจะเอ่ยปาก แต่ก็ไม่ทันแล้ว

กระบี่บินเล่มหนึ่งพุ่งออกจากเหนือศีรษะของชายหนุ่มชุดคลุมยาวสีดำ มาพร้อมด้วยประกายแสงวาววาม มาพร้อมด้วยความเฉียบคม พุ่งตรงไปยังเด็กสาวคนนั้น

รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง เพียงพริบตาเดียวก็ทะลุหน้าผาก

ร่างของเด็กสาวคนนั้นล้มลงกับพื้น กระบี่บินกลับมา ส่องประกายแสงเลือดเบื้องหน้าชายหนุ่มชุดคลุมยาวสีดำ ขณะเดียวกันปลายกระบี่ก็ชี้ไปยังท้องฟ้า จับเป้าหมายไปยังสวี่ชิง

สวี่ชิงหรี่ตา สำหรับการซ่อนตัวของเด็กสาวคนนั้น ก่อนหน้านี้เขาย่อมมองเห็นแล้ว ในตอนนี้เมื่อสัมผัสได้ถึงความเป็นปรปักษ์ของชายหนุ่มชุดคลุมยาวสีดำ สวี่ชิงก็ไม่ได้พูดอะไร ถอยหลังแล้วจากไป

เมื่อเห็นสวี่ชิงจากไปแล้ว สายตาของชายหนุ่มชุดคลุมยาวสีดำก็ยังคงจับจ้องไปที่ท้องฟ้า ไม่กล้าผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย

จวบจนกระทั่งนานหลังจากนั้น หลังจากที่แน่ใจว่าผู้แข็งแกร่งลึกลับคนนั้นจากไปแล้ว ชายหนุ่มถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอกในใจ

“คนคนนี้…ทำให้ข้ารู้สึกถึงอันตรายอย่างยิ่งยวดนัก”

……

ขณะเดียวกัน บนม่านฟ้า สวี่ชิงก็กำลังหวนนึกถึงกระบี่ของชายหนุ่มชุดคลุมยาวสีดำเมื่อครู่

“แม้จะยังไม่ถึงผู้บำเพ็ญระดับเจ้าเหนือหัว ก็เป็นระดับเตรียมสู่เทวะ แต่เขามีอำนาจ อีกทั้งเกี่ยวข้องกับความตายอีกด้วย”

“อีกอย่าง ร่างกายของเขาไม่เหมือนคนเป็น”

ต่างไม่มีความแค้นต่อกัน ดังนั้นหลังจากสวี่ชิงครุ่นคิดเล็กน้อย สิ่งที่เขารู้สึกมากขึ้นคือการให้ความสำคัญต่อผู้บำเพ็ญในระบบดาวที่ 5 แห่งนี้

“โลกนี้ มีผู้ที่อ่อนแอน้อยนัก”

สวี่ชิงพึมพำ

“สิ่งที่เห็นมาตลอดทางนี้ เป็นไปตามความทรงจำของผู้ติดตามผู้บำเพ็ญระดับเจ้าเหนือหัวบรรยายไว้จริงๆ ภายในระบบดาวที่ 5 ดูเหมือนจะมีกฎเกณฑ์ แต่ในความเป็นจริง กฎเกณฑ์นั้นชื่อว่าเมืองเซียน ซึ่งอยู่สูงส่งนัก”

“และตราบใดที่ไม่ไปแตะต้อง เช่นนั้น ภายใต้กฎเกณฑ์ ความเป็นจริงแล้วเต็มไปด้วย อันตรายและปั่นป่วนโกลาหล”

“นอกจากนี้ ผู้ติดตามผู้บำเพ็ญระดับเจ้าเหนือหัวคนนั้นด้วยข้อจำกัดด้านพลังบำเพ็ญ ดังนั้นเรื่องที่รู้ก็แค่คร่าวๆ เท่านั้น สำหรับเรื่องรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบดาวที่ 5  เช่น แผนที่ทั่วทั้งอาณาเขตและขั้วอำนาจอื่นๆ ไม่สามารถเชื่อความทรงจำของเขาได้ง่ายๆ”

สวี่ชิงมีนิสัยระมัดระวังรอบคอบ สำหรับการค้นวิญญาณ ย่อมรู้ดีว่าไม่สามารถเชื่อถือได้ทั้งหมด

หากเชื่อสิ่งที่ได้จากการค้นวิญญาณมากเกินไป เช่นนั้นแล้วหากอีกฝ่ายมีข้อผิดพลาดในการรับรู้ หากตนเองไม่ตรวจสอบ ก็จะต้องจ่ายค่าตอบแทนที่ความผิดพลาดนั้นนำมาให้

สวี่ชิงครุ่นคิด อ้างอิงจากความทรงจำของผู้ติดตามผู้บำเพ็ญระดับเจ้าเหนือหัว ทะยานออกไป

ในขณะเดียวกัน บริเวณทางใต้ที่สวี่ชิงอยู่ บริเวณพื้นที่ใจกลาง

สถานที่แห่งนี้ผู้บำเพ็ญทางใต้ของระบบดาวที่ 5 เรียกขานว่าภูเขามหาเซียน

เรียกกันว่าภูเขา แต่ในความเป็นจริงแล้วที่นั่นคือเทือกเขาสุดลูกหูลูกตา ในนั้นมีภูเขาสลับซับซ้อนทอดตัวเชื่อมกัน ยอดเขาสูงชัน จำนวนมากมายน่ากลัวว่าไม่น้อยกว่าหลายแสนลูก

รอบๆ มีหมอกขาวปกคลุมอยู่ตลอดทั้งปี มองเห็นเงาร่างของเซียนอย่างเลือนราง และบางครั้งเมื่อลมพัดแรงจนหมอกเบา ก็จะเห็นวังงดงามวิจิตรราวกับแกะสลักจากหยกและตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตา ประเดี๋ยวเลือนราง ประเดี๋ยวปรากฏให้เห็น

ให้ความรู้สึกราวกับแดนเซียน

ส่วนกลิ่นอายวิญญาณเซียนยิ่งเหนือกว่าพื้นที่อื่นๆ ทางใต้ ถือได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งของทางใต้ในระบบดาวที่ 5

ในตอนนี้ ในเทือกเขามหาเซียนแห่งนี้ ท่ามกลางยอดเขานับไม่ถ้วนที่โอบล้อม ที่ตรงกลาง…

ที่นั่นมีตำหนักใหญ่สีเงินตั้งอยู่

ตำหนักรอบด้านล้วนมีบันได รวมแล้วนับหมื่นขั้น ดังนั้นรูปลักษณ์โดยภาพรวมคือ ตำหนักยกสูง ศักดิ์สิทธิ์ราวกับแท่นบูชา

และตำหนักกว้างใหญ่ไพศาล สร้างขึ้นจากไม้หนานมู่เซียนคราม 16,000 ต้นเป็นโครงสร้างหลัก หลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีทอง 2 ข้างขนาบด้วยต้นกุ้ยทองคำพันมังกรทองสูงตระหง่าน รั้วหยกเซียนและฐานบันไดแกะสลักอย่างละเอียดอ่อนงดงาม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลายสลักเสา ลวดลายบนขื่อนับไม่ถ้วนเลย

ยังมีลานกว้างเบื้องล่างก็ปูด้วยหินหยกเซียน และมีรูปสลัก 160 รูปที่ทั้งร่างเปล่งประกายเรืองรอง ตั้งเรียงเป็น 2 แถวทั้งซ้ายขวา สง่างามและทรงอำนาจ

และในยามนี้ ภายในวังที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความรุ่งโรจน์นับหมื่นปี บนบัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์ มีชายชราสวมชุดคลุมยาวสีเงินเปล่งประกายคนหนึ่งนั่งอยู่

เขานั่งอยู่ที่นั่น ทั้งๆ ที่ดูเหมือนคนธรรมดา แต่บางครั้งหว่างคิ้วก็เผยให้เห็นแสงคมกริบ แฝงไว้ด้วยอารมณ์เหนือกว่าทั่วหล้า

เบื้องล่าง เสียงเพลงและการร่ายระบำรำฟ้อนกำลังดำเนินไปอย่างสงบสุข

แขนเสื้อพลิ้วไหว เสียงระฆังดังแว่วพร้อมเสียงฆ้องหิน เสียงดนตรีลอยล่องชวนเคลิบเคลิ้ม

กำยานไม้จันทร์ที่จุดไว้บนแท่นฐาน กลุ่มควันลอยอ้อยอิ่ง ปกคลุมทั่วตำหนัก ในขณะที่แต้มบรรยากาศให้พร่าเลือนและลึกลับ ก็มีใครบางคนเดินมาจากนอกตำหนัก

ผู้ที่มาถึงเป็นชายวัยกลางคน สวมชุดคลุมยาวลายเมฆ ขณะเดินไปก็ราวกับกลุ่มเมฆปั่นป่วนเดือดพล่าน แสดงถึงกลิ่นอายที่ไม่ธรรมดา เดินผ่านผู้ร้องรำทำเพลง ผ่านหมอก มาถึงยังข้างล่างที่นั่งหลัก

ชายวัยกลางคนผู้นั้นก้มศีรษะคำนับอย่างเคารพนอบน้อม “คารวะเซียน”

“ลานล่าเหยื่อเมืองเซียนเปิดแล้ว ไม่ทราบว่าครั้งนี้เขามหาเซียนเรา จะส่งศิษย์ลงไปฝึกฝนเท่าใดขอรับ”

เสียงของเขาก้องกังวานในตำหนัก ครู่หนึ่ง ชายชราที่อยู่บนบัลลังก์ซึ่งถูกหมอกบดบังจนมองเห็นเลือนราง ก็พยักหน้าเล็กน้อย “สัก 3 ส่วนก็พอ หวังว่าจะได้ต้นกล้าดีๆ”

“นอกจากนี้ พวกเจ้าต้องจำไว้ให้ขึ้นใจ อย่าทำผิดพลาดเหมือนครั้งที่แล้ว ทำลายกฎที่ว่ามหาจักรพรรดิไม่อาจลงมือแทรกแซงโดยตรง”

“เมืองเซียนต้องการอัจฉริยะฟ้าประทานที่ฝ่าฟันสังหารขึ้นมาอย่างยุติธรรม ไม่ใช่ดอกไม้”

เสียงสงบนิ่ง แต่คำพูดแฝงไว้ด้วยการตักเตือน

ชายวัยกลางคนคนนั้นนามว่า หลันอวิ๋น ตอบรับอย่างเคารพนอบน้อม

บนบัลลังก์เบื้องบน ชายชราสายตามองกวาดชายวัยกลางคนที่อยู่เบื้องล่าง เอ่ยอย่างราบเรียบ “หลันอวิ๋น ระหว่างเจ้ากับข้า ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองเช่นนี้”

หลันอวิ๋นเงียบไป จากนั้นก็ส่ายหน้า “สถานะเซียนสูงส่ง พิธีรีตองมิอาจละทิ้ง”

พูดจบ เขาก็ขอตัวจากไป

ชายชรา ก็ไม่พูดอะไรอีก

ส่วนการร้องรำทำเพลงก็ดำเนินต่อไป

จากควันอ้อยอิ่งที่ลอยฟุ้งจากฐานบันได ก็ตลบอวลไปในตำหนัก ทำให้ภาพวาดลวดลายสีสันสดใสสมจริงที่ฝังอยู่บนผนังตำหนักคลุมเครือ

รวมกับแสงที่แผ่ออกมาจากโคมวังหลวงแปดเหลี่ยมที่แขวนอยู่กลางตำหนัก…

ตำหนักทั้งตำหนักถูกปกคลุมอยู่ภายในอย่างสมบูรณ์ ยิ่งเพิ่มความลึกลับเข้าไปอีก

(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version