Skip to content

Outside Of Time 1120


บทที่ 1120 : 4 เซียน

แสงเหนือแดงชาดบนเวิ้งฟ้าวงแหวนที่ 5 โดดเด่นเป็นพิเศษ แฝงความลึกลับ ไม่ธรรมดาถึงขีดสุด

ถึงอย่างไรรัศมีมันก็ปกคลุมทั่ววงแหวนที่ 5 !

นอกจากแสงเหนืออัศจรรย์เกินบรรยายแล้ว ในแสงเหนือมีทูตลาดตระเวน 12 คนจากนครเซียนที่อยู่มานานปีด้วย

ทั้ง 12 คนเป็นเซียนชั้นล่าง

แต่พวกเขาไม่ปรากฏตัวง่ายๆ มีแค่ยามเจอมหันตภัยส่งผลกระทบต่อวงแหวนที่ 5 ถึงมาเยือน

ตอนนี้แสงเหนือหายไป การลาดตระเวนรางเลือน

แค่เพราะ…รอบ 2 ของการทดสอบนครเซียนถึงช่วงสำคัญ สิ่งที่สำคัญช่วงนี้คือ…

ผู้ดูแล 4 ทิศปรากฏตัว!

ตอนนี้ 4 ดาราบนม่านฟ้าดำสนิทลอยเด่นครบ 4 ทิศเหนือวงแหวนที่ 5

ทางใต้คือเขามหาเซียน!

ในตำหนักใหญ่สีเงินกลางเขาเซียน มีชายชราสวมชุดคลุมยาวสีเงินเดินออกมา ชายชราคนนี้ท่าทางสง่างามมีราศี หมอกปริศนาอบอวลติดตามข้างกาย ก้าวเดินมาเหนือชั้นเมฆ

พลังบำเพ็ญสั่นคลอนฟ้าดิน สะเทือนคลื่นกาลเวลา เพียงแผ่ออกมาจากตัวเขาเล็กน้อยก็ทำให้ม่านนภาม้วนตลบ สำแดงอานุภาพเบิกฟ้าผ่าดิน

ชายชราคนนี้คือบรรพจารย์แห่งเขามหาเซียน จอมเซียนชางเฟิง!

ทั้งเป็นทูตพิทักษ์แดนทักษิณแห่งนครเซียน… พลังบำเพ็ญระดับเซียนชั้นล่าง!

ตอนนี้เมื่อก้าวออกมา เงาร่างเขาสูงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งตัวเปล่งแสงสีเงิน นานเข้ายิ่งสว่างไสว

กระทั่งสุดท้ายค่อยส่องประกายทั่วแดนทักษิณ เจิดจรัสชวนตะลึง

ในรัตติกาลมืดมิดปราศจากแสงเหนือ เขากลายเป็นแหล่งกำเนิดแสงเดียวของแดนทักษิณ สิ่งมีชีวิตบนแดนทักษิณเงยหน้าย่อมมองเห็น ไม่มีใครไม่ตกตะลึงในใจ

ขณะเดียวกันสำนักเซียนกระบี่ตรงแดนดาราทางเหนือ หอคอยวงแหวนตรงแดนดาราทางตะวันออก มีฉากสะเทือนสรรพชีวิตเช่นกัน ผู้บำเพ็ญที่ก้าวออกมา ส่งผลต่อแดนดาราที่ตนอยู่

ทางเหนือปราณกระบี่ดั่งเฉือนฟ้าทลายเทพสายหนึ่งพุ่งออกมา ปราณกระบี่นี้ดุจรุ้งยาว ห้อตะบึงแหวกผ่าน 9 ชั้นฟ้า ทุกแห่งที่เคลื่อนผ่านเหมือนทรงพลังเกินต้านทาน ทั้งมีอานุภาพย้ายเขาคว่ำสมุทร คล้ายทำลายสรรพสิ่ง ระเบิดพลังฉับพลันได้

ใต้ปราณกระบี่นี้ กึ่งเซียนยังก้มหน้า เจ้าเหนือหัวสั่นสะท้าน เตรียมสู่เทวะเหม่อลอย

สุดท้ายแสงกระบี่ไร้สิ้นสุดค่อยกลายเป็นเซียนคนหนึ่ง

กระบี่เขานามว่าหลันฝู (นกเป็ดน้ำสีฟ้า) คนเก่าแก่เรียกเขาว่าเซียนกระบี่หลันฝู

สวมชุดสีน้ำเงิน เรือนผมเทา ข้างกายมีกระบี่โบราณเล่มหนึ่ง ก้าวเดินเหนือน่านฟ้า

ทางตะวันออกก็เช่นกัน ทว่าสิ่งที่ปรากฏไม่ใช่กระบี่ แต่เป็นหญิงสาวคิ้วราวภูเขาห่างไกล นัยน์ตาเหมือนคลื่นน้ำช่วงฤดูใบไม้ร่วง

หญิงสาวคนนี้สวมชุดชาววังปักด้วยไหมทองด้ายเงิน ลวดลายประณีตบนนั้นคือภาพหงส์มังกรเหมือนมีชีวิต

ช่วงเอวคาดเข็มขัดหยก ยิ่งขับเน้นร่างอรชรของนาง ผมยาวดำขลับทอดยาวราวน้ำตก พลิ้วไหวแผ่วเบาตามแรงลม โชยกลิ่นหอมกรุ่นเลือนราง

ทุกท่าทางเหมือนเกี่ยวรั้งส่วนลึกในใจคนได้

ตอนนี้เมื่อก้าวเดิน กระโปรงพลิ้วแผ่วเบา สรรพชีวิตทางตะวันออกพากันก้มหน้า ปากพึมพำถึงชื่อนาง แต่กลับไม่กล้ามองเงาร่างนางตรงๆ

จอมเซียนซิงหลวน

สุดท้ายคือแดนตะวันตก

เมื่อบนเวิ้งฟ้าเผยเงาร่างสะเทือนใต้หล้าจาก 3 ทิศทาง ต่างคนต่างก้าวออกมา ในสำนักเซียนมรรคาทางตะวันตก ชายชราหน้าตาอัปลักษณ์คนหนึ่งก้าวออกมา

เขาสวมเสื้อป่านเนื้อหยาบ ตัวเปื้อนดินโคลนบ้าง ท่าทางเหมือนชาวนาเฒ่า คล้ายยังทำนาไม่เสร็จแล้วถูกขัดจังหวะ

ท่าทางเหมือนจำต้องออกมา ในมือถือไม้เท้าหยาบท่อนหนึ่งด้วย

นั่นคือพวกพ้องที่ลำบากมากับเขาหลายปี

ไม้เท้าเปี่ยมรอยแยก คล้ายเป็นพยานการทำงานยามพระอาทิตย์ขึ้น พักผ่อนยามพระอาทิตย์ตกของเขา

ตอนนี้เขาส่ายศีรษะพลางก้าวขึ้นฟ้า

เดินกะเผลกเหมือนเหยียบรอยแยกแห่งกาลเวลาทุกย่างก้าว

ไม่มีแสงเพริศแพร้ว ไม่มีคลื่นงามตระการ ตลอดทางก้าวเดินอย่างธรรมดาหาใดเปรียบ

แสงสายัณห์แผ่ซ่านจาก 3 ทิศทาง สาดส่องใบหน้าเขา สะท้อนให้เห็นริ้วรอยมากมาย

กระทั่งเดินถึงขอบฟ้า ยามทอดมองอีก 3 ทิศ ทางใต้มีเสียงจอมเซียนชางเฟิงดังมา “ราชาพิษ เจ้ามาช้า!”

“ทุกครั้งต้องเป็นเจ้ามาช้าตลอด ทำไม มัวเพาะเลี้ยงพวกดอกไม้ใบหญ้าของเจ้าหรือ” ซิงหลวนแห่งทิศตะวันออกอมยิ้มเช่นกัน

ส่วนเซียนกระบี่หลันฝูแห่งทิศเหนือกลับไม่เอ่ยวาจา

ได้ยินเสียงลอยมา เห็นทั้ง 3 คนห่างจากตนอีกไกล ชายชราหมดความอดทนอยู่บ้าง

โดยเฉพาะยามเห็นทั้ง 3 มีแสงส่องประกายรอบตัวเหมือนดวงดาว ชายชราแค่นเสียงเย็นชาคราหนึ่ง เปล่งแสงสีดำออกมาทันที แผ่คลุมม่านนภา

ถือเป็นดาวชั้นสูงเหมือนอีก 3 คน แสงที่แผ่ออกมาทอดยาวบังแผ่นฟ้า

ทว่าต่างจากอีก 3 คนที่บ้างอ่อนโยน ดุดัน เยียบเย็น แสงของเขาผสานกับม่านรัตติกาล แผ่ปราณชั่วร้ายเข้มข้น

ตรงข้ามกับบุคลิกก่อนหน้านี้ของเขา น้ำเสียงเจือแววเย็นชา

“ข้าไม่มีเวลาทักทายพวกเจ้า ทั้งไม่ชอบคำเรียกของพวกเจ้า หากพวกตามืดบอดคนไหนเรียกข้าด้วยคำที่ไม่ชอบอีก ข้าไม่รังเกียจที่จะเตรียมทัณฑ์พิษให้” ชายชรากล่าวเคร่งขรึม

ชื่อเขามีมากมาย

เต้าเต๋อจื่อ จอมเซียนเฮ่าฮั่น เฒ่าอุทกภัย รวมถึงราชาพิษด้วย

3 อันดับแรกเขาเป็นคนตั้ง ชื่อสุดท้ายคือสิ่งที่คนนอกเรียกขาน

ตอนนี้เมื่อฟังคำของชายชรา จอมเซียนชางเฟิงได้ยินแล้วยิ้มเล็กน้อย ซิงหลวนแห่งทิศตะวันออกเหมือนคิดอะไรได้ แต่เซียนกระบี่หลันฝูแห่งทิศเหนือกลับเงยหน้าช้าๆ จ้องมองแดนตะวันตกก่อนเอ่ยปาก “เจ้าถึงขีดจำกัดแล้วหรือ”

เมื่อกล่าวคำนี้สีหน้าชางเฟิงพลันเคร่งขรึม นัยน์ตาซิงหลวนฉายแววอัศจรรย์เช่นกัน

สำหรับเซียนกระบี่หลันฝู เห็นชัดว่าราชาพิษซึ่งเหมือนชาวนาเฒ่าแห่งสำนักเซียนมรรคาคนนี้มีความอดทนมากขึ้น ตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดอีกฝ่าย เขาพยักหน้าช้าๆ “จับสัมผัสได้แล้ว แต่ยังขาดผลกรรมช่วงหนึ่ง”

คล้ายไม่อยากพูดมากความ หลังจากกล่าวประโยคนี้ ราชาพิษทำหน้ารำคาญอีกครั้ง “รีบหน่อยเถอะ อย่าเสียเวลาเลย”

เซียนกระบี่หลันฝูหรี่ตา ไม่ถามมากความอีก

เมื่อเห็นว่าเป็นเช่นนี้ ในฐานะผู้เปิดผนึกครั้งนี้ จอมเซียนชางเฟิงแห่งแดนทักษิณค่อยเอ่ยปากช้าๆ “ในเมื่อมาครบแล้ว ตามกฎเกณฑ์นครเซียน ถือว่าถึงช่วงเปิดผนึกมรดกรอบ 2 ของการทดสอบ ทำให้การล่าสัตว์ครั้งนี้ดุเดือดขึ้นบ้าง”

“สุดท้ายหากเลือกกล้าพันธุ์ดีได้ สำหรับพวกเราย่อมเป็นผลงานใหญ่ ย่นเวลาพิทักษ์ หวนกลับนครเซียนได้ในเร็ววัน”

จอมเซียนชางเฟิงกล่าวจบแล้วเงื้อมือขึ้น ยอดเขามหึมาที่สร้างจากระเบียบและกฎเกณฑ์เปลี่ยนเป็นมีตัวตนทันที แปรสภาพจากเล็กเป็นใหญ่ กระทั่งปรากฏข้างกายเขา

กลายเป็นเด่นตระหง่านชั่วพริบตา ลอยบนฟ้าเหนือแดนทักษิณ

เหล่าผู้ครองป้ายทั่วแดนทักษิณต่างมองเห็น ทั้งสัมผัสได้!

เซียนกระบี่หลันฝูแห่งทิศเหนือเงื้อมือขึ้นเช่นกัน ปราณกระบี่ทะลวงนภา กลายเป็นเจตกระบี่นับไม่ถ้วน ควบรวมเป็นฝนกระบี่เหนือม่านฟ้าของแดนดาราทางเหนือ อบอวลทั่วสารทิศ

ทิศตะวันออกก็เช่นกัน มรดกจากซิงหลวนคือห่วงสีเขียว

กลิ่นอายเก่าแก่ลึกลับ ห่วงนี้เหมือนธรรมดา แต่สำหรับผู้ครองป้ายแห่งทิศตะวันออก หลังจากเห็นห่วงนี้แล้วสมองเหมือนเกิดเสียงดังก้อง สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของห่วงนี้

ราชาพิษแห่งสำนักเซียนมรรคากวาดสายตามอง 3 ทิศแล้วเงื้อมือขึ้น ไม่ได้สำแดงพลังวิเศษ แต่หยิบตำราไม้ไผ่สีดำม้วนหนึ่งออกมาบดขยี้

พริบตานั้นตำราไม้ไผ่แผ่แสงสีดำออกมา

เดิมหลังจากม่านฟ้าเสียแสงเหนือไปก็เป็นสีดำ ทั้งแสงที่เขาแผ่ออกมาก่อนหน้านี้ก็เป็นสีดำ หลังจากผสานกันแล้วจึงเป็นสีดำสนิททั้งแถบ

แต่ตอนนี้แสงดำจากการทำลายตำราไม้ไผ่เหนือกว่าทุกสิ่ง คล้ายว่ามันคือสีดำถึงขีดสุด ทั้งเป็นต้นกำเนิดของสีดำ เทียบกันแล้วม่านรัตติกาลก่อนหน้าเหมือนสว่างกว่า

ตอนนี้เมื่อแผ่ขยาย ทั่วแดนตะวันตกมืดมิดอย่างสมบูรณ์

ทุกแสงบนโลกแทบมอดดับ ระหว่างนี้ไม่อาจดำรงอยู่

แม้แต่พลังวิเศษวิชาเวทสร้างแสงก็เช่นกัน

ภาพนี้ต่างจาก 3 แดนดาราอื่นโดยสิ้นเชิง มรดก 3 ทิศอื่น สรรพสิ่งเงยหน้าแล้วมองเห็น

แต่ทิศตะวันตกเงยหน้าแล้วเห็นเพียงความมืดมิด

ภาพนี้ดึงดูดความสนใจพวกชางเฟิง ต่างคนต่างเผยสีหน้าประหลาด

พวกเขารู้อยู่แก่ใจ ช่วงสืบทอดมรดกในรอบ 2 ของการทดสอบล่าสัตว์นครเซียน ความจริงแล้วมีสิ่งที่เข้าใจกันดี

ด้วยมรดกที่นำออกมามีเพียงหนึ่งเดียว กล่าวคือหลังจากนำออกมาแล้ว หากมีคนหยั่งรู้สำเร็จ ถือว่าพวกเขาไม่อาจครอบครองต่อ

บอกว่าเป็นมรดก แต่ความจริงแล้วเหมือนรอยวิถีอำนาจ ทั้งแฝงบัญญัติเสี้ยวหนึ่ง!

ดังนั้นความล้ำค่า ไม่ต้องพูดก็เข้าใจ

ส่วนใหญ่มรดกพวกนี้จึงเป็นสิ่งที่พวกเขาเตรียมไว้ให้ศิษย์ตัวเอง มีแค่คนที่พวกเขายอมรับถึงบรรลุแก่นแท้ได้โดยง่าย

แต่ภายนอกผู้ครองป้ายนครกึ่งเซียนแต่ละแดนล้วนหยั่งรู้ได้ ทว่าไม่ถูกยอมรับ แน่นอนว่าความยากถึงขั้นน่าอัศจรรย์ ความเป็นไปได้ที่จะสำเร็จน้อยนัก อย่างมากคงแค่ผิวเผิน

ไม่อาจแยกแก่นสำคัญได้

จุดนี้หลายปีที่ผ่านแต่ละฝ่ายล้วนทราบแน่ชัด

สิ่งที่ต้องปกปิดยังต้องดำเนินต่อ

แต่ตอนนี้… ราชาพิษกลับไม่ปิดบังสักนิด

มรดกจากแสงสีดำที่แผ่ออกมาจากตำราไม้ไผ่ ต่อให้เป็นผู้ครองป้ายก็ต้องมีคุณสมบัติเฉพาะถึงมองออกได้

นอกจากผู้ถูกกำหนดแล้ว ถือว่าไม่ให้โอกาสคนอื่น

“ช่างเถอะ เจ้าเฒ่าพิษชอบเข้าข้างพวกเดียวกันเสมอ ทิศตะวันตกของพวกเขาขาดอัจฉริยะ วิธีเช่นนี้…”

ชางเฟิงส่ายหน้า ไม่ใส่ใจอีก ร่างไหววูบหายไปโดยไร้ร่องรอย

อีก 2 ฝ่ายก็เช่นกัน

ส่วนราชาพิษแห่งสำนักเซียนมรรคาจากไปนานแล้ว

ตอนนี้ท้องฟ้าเหนือวงแหวนที่ 5 ส่งเสียงกัมปนาท มรดกส่องประกายตรงแดนเหนือ ใต้ตะวันออก

มีเพียงแดนตะวันตกที่มืดสนิท

ในความมืดมิดจากกลางแดนตะวันตกไปทางตะวันออก บนพื้นดินกว้างใหญ่มีพื้นที่ต้องห้ามของตระกูลหลี่อยู่

ที่นี่มีหอคอย 9,000 แห่งตั้งตระหง่าน

ก่อตัวเป็นค่ายกลโบราณชวนตะลึง

หอคอยตรงกลางสูงแสนจั้ง เสียดลึกเข้าฉากรัตติกาลและม่านนภา

บนนั้นมีคนนั่งสมาธิอยู่

ดาวเพียงหนึ่งเดียวแห่งทิศตะวันตก ในกลุ่ม 8 มหาดาราของวงแหวนที่ 5

หลี่เมิ่งถู่

ตอนนี้เขาเงยหน้ามองรัตติกาลมืดมิด

เขารู้ว่านี่คือวาสนาที่อาจารย์มอบให้

วาสนาที่มีเพียงตนหยั่งรู้ได้

‘ถ้าสำเร็จอำนาจข้าจะกลายเป็น 5 อย่าง ทั้งสิ่งที่เพิ่มขึ้นมายังแฝงบัญญัติเสี้ยวหนึ่ง ทำให้ความเป็นไปได้ในการบรรลุเซียนของข้ามากขึ้น!’

เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาสูดหายใจลึก นัยน์ตาเด็ดเดี่ยว

เขารู้ดีว่าด้วยพลังต่อสู้ตน การเข้านครเซียนไม่ใช่ปัญหา ถ้าอนาคตบรรลุเซียน ตระกูลย่อมเด่นผงาดอย่างสมบูรณ์!

ตระกูลเขาเคยมีเซียนคิมหันต์ นั่นคือบรรพจารย์

ลือกันว่าบรรพจารย์เขาไม่ใช่ผู้บำเพ็ญท้องถิ่นแห่งวงแหวนที่ 5 แต่เป็นผู้มาจากวงแหวนอื่น

สุดท้ายค่อยเสียชีวิตอย่างเศร้าสร้อยที่นี่

มีทายาทสืบต่อถึงปัจจุบัน

หลี่เมิ่งถู่ทราบดีว่าข่าวลือนี้… เป็นจริง

ทางตระกูลตกต่ำ แต่ตนช่วงชิงวาสนา อาศัยพรสวรรค์ชวนตะลึง สังหาร แย่งชิง พยายามตลอดทาง สุดท้ายค่อยกราบเป็นศิษย์สำนักเซียนชั้นล่างทางตะวันตก

‘ข้าต้องเดินหน้าต่อ!’

เมื่อนึกถึงตรงนี้ หลี่เมิ่งถู่มองม่านนภา เริ่มการหยั่งรู้

ขณะเดียวกันบนผาจอมมรรค สวี่ชิงกำลังเงยหน้าเช่นกัน

จ้องมองรัตติกาลมืดมิดซึ่งมาเยือนกะทันหัน

ในความรางเลือนเขาเหมือนเห็นบุปผามหึมาดอกหนึ่ง

ทุกกลีบดอกมีหน้าหญิงสาวงดงามอยู่

“นี่มัน…”

(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version