บทที่ 1133 สวี่ชิงเหยียบย่างเหนือกาลอวกาศ
แสงเรืองรองแห่งขั้วโลกบนท้องฟ้าของดินแดนตะวันตกไหลรินประดุจแม่น้ำ มอบความรู้สึกที่เปี่ยมด้วยคลื่นแห่งพลัง
สีแดงฉานราวกับเลือดสดๆ ในขณะที่อาบย้อมผืนฟ้าและผืนดินก็ก่อเกิดเป็นความงดงามอันเจิดจรัสพร่างพราย
“นั่นก็เป็นธรรมนูญแบบหนึ่งเช่นกัน”
สวี่ชิงเงยหน้ามองดูแสงเรืองรองแห่งขั้วโลก
ก่อนหน้านี้ แสงเรืองรองแห่งขั้วโลกในสายตาของเขา ก็เป็นเพียงปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์อย่างหนึ่งในระบบดาวที่ 5 เท่านั้น แต่ในเสี้ยวขณะนี้…กลับแตกต่างออกไปแล้ว
ในแสงเรืองรองแห่งขั้วโลกนั้น ชัดเจนว่าแฝงไว้ด้วยรอยประทับและอักขระนับไม่ถ้วน พวกมันสลับสอดประสานกัน ประเดี๋ยวเลือนราง ประเดี๋ยวปรากฏ ก่อขึ้นเป็นกฎเกณฑ์และกฎระเบียบกฎแล้วกฎเล่า แปรเปลี่ยนเป็นต้นกำเนิดและร่องรอยแห่งต้นกำเนิดวิถีรอยแล้วรอยเล่า
และยังถักทอเป็นอำนาจรอยเต๋าแห่งอำนาจแล้วอำนาจเล่า
หล่อเลี้ยงสรรพชีวิต ชี้นำสู่เส้นทางการบำเพ็ญ
“นั่นคือสิ่งที่มีอยู่คล้ายกับวิถีสวรรค์แต่เหนือกว่าวิถีสวรรค์ในระบบดาวที่ 5”
“คือการแปรเปลี่ยนให้เป็นรูปธรรมของธรรมนูญ”
“ยิ่งเป็นการคุ้มครองระบบการฝึกบำเพ็ญของระบบดาวที่ 5”
“สามารถจินตนาการได้ว่า หากระบบดาวที่ 5 เลือกที่จะขยายอำนาจ เลือกที่จะทำสงครามกับระบบดาวอื่นๆ เช่นนั้น ณ ที่ใดที่สนามรบครอบคลุม ก็จะต้องมีแสงเรืองรองแห่งขั้วโลกนี้ไหลริน”
“เพราะมันได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของระบบดาวที่ 5 ไปแล้ว”
ดวงตาของสวี่ชิงใสกระจ่างแจ้ง แก่นแแท้เหล่านี้ ก่อนหน้านี้เขามองไม่เห็น แต่ตอนนี้ ชัดกระจ่างเป็นอย่างยิ่งนัก
ขณะเดียวกัน ในแสงเรืองรองแห่งขั้วโลกนี้ เขายังมองเห็นดวงดาว 12 ดวง!
นั่นเป็นเงาร่างอันยิ่งใหญ่ 12 ร่าง
พวกเขาไม่อาจอธิบายได้ และมองไม่เห็นรูปร่างที่แท้จริงเช่นกัน
สวี่ชิงรู้สถานะของพวกเขา ยิ่งรู้พลังบำเพ็ญของพวกเขา นี่คือเซียนชั้นล่าง 12 องค์ พวกเขาแปลงเป็นดวงดาว เดินทางไปในแสงเรืองรองแห่งขั้วโลก เฝ้ารักษาทุกทิศทาง ตรวจตราฟ้าดิน
ทั้งระบบดาวที่ 5 นอกเมืองเซียนมีเซียนที่ปรากฏตัวอย่างเปิดเผยทั้งหมด 16 องค์
สายหลักทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก ต่างมี 1 องค์ ส่วนที่เหลืออีก 12 องค์ ล้วนอยู่ในแสงเรืองรองแห่งขั้วโลก
แต่ไม่ได้หมายความว่า เซียนชั้นล่างในระบบดาวที่ 5 มีเพียง 16 องค์นี้เท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นคนพายเรือข้ามฟาก หรือจะเป็นตัวตนที่เฝ้ารักษาพื้นที่อื่นๆ ในระบบดาวที่ 5 ล้วนมีเซียนชั้นล่างอยู่ และสถานที่ที่มีมากที่สุด…ก็เห็นได้ชัดว่าอยู่ในเมืองเซียน
สถานที่ที่ผู้คนในระบบดาวที่ 5 ทุกคนต่างปรารถนา อยากจะเข้าสังกัด
เนิ่นนาน…
สวี่ชิงดึงสายตากลับ ก้มหน้าทอดสายตามองพื้นดิน ฝีเท้าไม่เร็ว จิตใจสงบนิ่ง
เดินผ่านที่ราบ
บนที่ราบ เวลาแผ่ระลอกปั่นป่วน ต้นไม้ใบหญ้าเติบโตอย่างรวดเร็ว แล้วก็เหี่ยวเฉาในทันควัน สรรพสิ่งทั้งหลายเป็นเช่นนี้ นกและสัตว์บนที่ราบในชั่วพริบตานี้ก็มีการรับรู้ที่แตกต่างกัน
บ้างก็จู่ๆ ก็พลันตื่นตระหนกขึ้นมา บ้างครั้งจู่ๆ ก็สับสนงุนงงไปในทันที
และจากการจากไปของสวี่ชิง ทุกสิ่งก็กลับฟื้นคืนเป็นปกติ
เดินผ่านเทือกเขา
เทือกเขาพร่าเลือน ราวถูกลบเลือนไป แล้วก็ปรากฏขึ้นใหม่ รอยร้าวบนหินก็เป็นเช่นเดียวกัน กาลเวลาและมิติ เนื่องจากการผ่านไปของสวี่ชิง เกิดความสับสนวุ่นวาย
สำนัก ตระกูลในนั้น ผู้บำเพ็ญทั้งหมดล้วนแต่รู้สึกใจสั่นในเสี้ยวขณะนี้
สวี่ชิงทั้งๆ ที่เดินไม่ได้เร็ว ทั้งๆ ที่บินผ่านสายตาของพวกเขา
แต่พวกเขากลับมองไม่เห็นสวี่ชิง ไม่ว่าจะเงยหน้ามองเท่าไร ไม่ว่าจะตรวจสอบอย่างไร ก็มองไม่เห็นตัวตนของสวี่ชิง
ราวกับว่าพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในภาพวาด ส่วนสวี่ชิงเดินผ่านนอกภาพวาด ดังนั้นจึงมีเพียงเงาที่ไหววูบผ่านไปบนภาพวาด
อีกทั้งยังเกินกว่าความเข้าใจและการรับรู้ของพวกเขา
“สถานะที่ข้าหลอมรวมเข้ากับกาลอวกาศ ตำแหน่งที่ยกระดับขึ้นมา ทำให้พวกเขาไม่สามารถรับรู้เข้าใจได้…ก็เหมือนกับตอนที่ข้ายังไม่มีสภาวะกาลอวกาศ ยังไม่มีธรรมนูญของตนเอง เมื่อทอดสายตามองไปยังแสงเรืองรองแห่งขั้วโลก ก็มองไม่เห็นแก่นแท้ของแสงเรืองรองแห่งขั้วโลก และมองไม่เห็นดวงดาวที่อยู่ภายในนั้น”
“เพราะในตอนนั้น ข้าก็เหมือนพวกเขา ที่ไม่อาจเข้าใจรับรู้ถึงตำแหน่งที่สูงกว่าได้”
“เป็นสภาวะกาลอวกาศ เป็นธรรมนูญ ที่ทำให้ข้ามีคุณสมบัติที่จะ ‘เห็น’ ”
สวี่ชิงครุ่นคิด เคลื่อนหน้าต่อไป
เดินผ่านพื้นที่แล้วพื้นที่เล่า สร้างความตื่นตระหนกให้กับสถานที่แล้วสถานที่เล่า
แต่สวี่ชิงไม่ได้เข้าไปแทรกแซง และด้วยเหตุนี้เอง หลังจากจากไป สถานที่ที่เขาผ่านไป ล้วนกลับคืนสู่สภาพเดิม
ภาพฉากแล้วฉากเล่าเหล่านี้ทำให้ความคิดของสวี่ชิงแผ่ขยายออกไป ค่อยๆ คุ้นเคยกับสภาวะของตัวเองในตอนนี้
เขาค่อยๆ รู้สึกว่าตัวเขาในตอนนี้ ภายใต้สภาวะกาลอวกาศ วิญญาณกับความคิดของเขามีความรู้สึกเป็นอิสระกว่าครั้งไหนๆ
แม้จะมีการจำกัดจากธรรมนูญที่สูงกว่า แต่เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน ก็ยังเป็นอิสระมากกว่ามากนัก
แต่ขณะเดียวกัน เขาก็สัมผัสได้ว่า สภาวะนี้ ตัวเขาเองไม่สามารถคงอยู่ได้นานเกินไป
ไม่ใช่เพราะพลังของสภาวะกาลอวกาศไม่เพียงพอ แต่เป็นเพราะกายเนื้อ
เขาสัมผัสได้ว่า หากไม่มีกายเนื้อ เช่นนั้นตัวเขาตอนนี้ก็สามารถจะอยู่ในสภาวะกาลอวกาศของวิถีสุดยอดที่ 8 ได้ตลอดไป
แต่เนื่องจากกายเนื้อ เขาจึงไม่สามารถอยู่ในสภาวะกาลอวกาศได้นานเกินไป
กายเนื้อดูเหมือนจะกลายเป็นภาระ
อีกทั้งเมื่อความคิดและวิญญาณเข้าสู่สภาวะกาลอวกาศนานเกินไป กายเนื้อจะค่อยๆ เหี่ยวเฉา พลังชีวิตก็จะสลายไปเช่นกัน ความเชื่อมโยงกับตนเองก็จะน้อยลงเรื่อยๆ
ปรากฏการณ์นี้ดึงดูดความสนใจของสวี่ชิง
ดังนั้นเขาจึงครุ่นคิด ตัดสินใจใช้ความคิดในสภาวะกาลอวกาศของตัวเอง มองดูกายเนื้อของตัวเอง
ครู่หนึ่ง สวี่ชิงก็ดึงความคิดกลับมา
เขามองเห็นอนาคตมากมายของกายเนื้อตัวเอง
ในจำนวนนั้น ส่วนใหญ่ กายเนื้อนี้ ค่อยๆ เปลี่ยนไป ไม่ได้เป็นของเขาอีกต่อไป
เหี่ยวเฉาไปในฟ้าดิน
“แต่ข้าพิจารณาเซียนทั้งหมด ล้วนมีกายเนื้อกันทั้งนั้น ไม่ได้ละทิ้งเหลือเพียงสติสัมปชัญญะ”
“อีกทั้ง…หากอยากจะเลื่อนขั้นเป็นผู้บำเพ็ญระดับเจ้าเหนือหัว ก็ต้องมีกายเนื้อ การเลื่อนขั้นเป็นระดับเตรียมสู่เซียนยิ่งต้องสร้างตัวอ่อนเซียน เช่นนี้จึงจะสามารถสำเร็จเป็นเซียนได้”
“เช่นนั้น…สาเหตุของสภาวะของข้าในตอนนี้คืออะไร ข้าน่าจะได้คำตอบแล้ว”
“เป็นวิถีสุดยอดที่ 8 ของข้า ภายใต้การปะทุพลังที่สั่งสมมาอย่างหนาแน่น ใกล้เคียงกับการหลุดพ้น บรรลุตำแหน่งที่สูงมาก แต่กายเนื้อของข้าไม่สามารถตามทันได้ ดังนั้นจึงได้เป็นเช่นนี้”
สวี่ชิงเดินไปครุ่นคิดไป
“วิธีแก้ปัญหาคือ ต้องรีบยกระดับขอบเขตให้เร็วที่สุด ทันทีที่ก้าวเข้าสู่ระดับเจ้าเหนือหัว ก็น่าจะแก้ไขได้ แม้จะยังไม่ได้ผล แต่อย่างน้อยก็ช่วยบรรเทาได้”
“ขอบเขตเจ้าเหนือหัว ต้องเป็นระดับเตรียมสู่เทวะ 9 โลกถึงจะได้”
“เช่นนั้น วิถีสุดยอดที่ 9 ของข้า…”
สวี่ชิงครุ่นคิด ก้าวไปทีละก้าว…ทีละก้าว มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่หลี่เมิ่งถู่อยู่
อันที่จริง เขาไม่ได้รีบร้อนที่จะปรากฏตัวต่อหน้าหลี่เมิ่งถู่ในทันที
หากรีบ เขาก็สามารถไปถึงได้ในก้าวเดียว
แต่เขาเลือกที่จะทำให้กระบวนการนี้ช้าลง
ในแง่หนึ่งคือตัวเองจำต้องปรับตัวให้เข้ากับวิถีสุดยอดที่ 8 ต้องครุ่นคิดถึงเส้นทางในขณะนี้ตลอดจนเส้นทางในอนาคต
ในอีกแง่หนึ่ง เป็นเพราะในร่องรอยของหลี่เมิ่งถู่ สวี่ชิงมองเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในการล่าสังหารอันดุเดือดอยู่
กล่าวให้ถูกคือ นั่นคือการต่อสู้ระหว่าง 2 ตระกูล
ทั้ง 2 ฝ่ายต่างทุ่มสุดกำลัง บาดเจ็บล้มตายไม่น้อย
และศึกตัดสินแพ้ชนะ ก็อยู่ที่หลี่เมิ่งถู่
ศัตรูของเขาคือชายชราผู้บำเพ็ญระดับเจ้าเหนือหัวช่วงปลาย ความรุนแรงของการต่อสู้ทำให้การล่าสังหารครั้งนี้ดูเหมือนจะพลิกผันได้ทุกเมื่อ ผู้ล่าอาจกลายเป็นเหยื่อได้ในทันที
การต่อสู้ประหัตประหารกันครั้งนี้ สวี่ชิงเลือกที่จะไม่เข้าร่วม
การแย่งชิงวิถีระหว่างหลี่เมิ่งถู่กับเขา เมื่อเทียบกับความสกปรกต่างๆ ที่สวี่ชิงเคยพบเคยเห็น นับได้ว่าเปิดเผยยุติธรรมแล้ว
ดังนั้น สวี่ชิงจึงให้ความยุติธรรมกับอีกฝ่ายเช่นกัน
จวบจนกระทั่งการต่อสู้ครั้งนี้ใกล้จะสิ้นสุด สวี่ชิงจึงค่อยๆ เดินทางมาถึง
ใช้วิธีการที่ผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่ไม่มีทางเข้าใจ เดินเข้าไปในหุบเขาที่เป็นสนามรบของ 2 ตระกูลใหญ่นี้
วิญญาณของเขาหลอมไปในกาลอวกาศ อำพรางซ่อนเร้นกายเนื้อของเขา สิ่งที่ลงมาเยือน ณ ที่นี่คือความคิดของเขา
และความคิดในสภาวะกาลอวกาศที่ปรากฏขึ้นในหุบเขาแห่งนี้ ไม่มีรูปร่างที่ชัดเจน ไม่สามารถมองเห็นได้ ไม่สามารถรับรู้ได้…สิ่งที่สัมผัสได้มีเพียงเงาเท่านั้น
เงากลุ่มนี้ ไม่ได้ปกคลุมอยู่บนพื้นดิน แต่ปกคลุมอยู่ทั่วทุกทิศทาง ไม่ว่าจะเป็นมิติหรือเวลา ไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบัน อนาคตของสรรพชีวิต เงาล้วนอยู่ทั่วทุกที่
ปกคลุมอยู่ในชีวิต
ทันทีที่กวาดผ่าน ผู้บำเพ็ญทั้ง 2 ตระกูลที่กำลังต่อสู้กัน ล้วนแต่ตัวสั่นสะท้าน รู้สึกใจสั่นอย่างบอกไม่ถูก ในใจเกิดความหวาดกลัวผุดขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
ส่วนหลี่เมิ่งถู่ที่อยู่กลางอากาศ สีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันที
ชายชราผู้บำเพ็ญระดับเจ้าเหนือหัวช่วงปลายที่กำลังต่อสู้กับเขา รูม่านตาหดเล็กลงทันที ลมหายใจพลันถี่กระชั้น ขณะเดียวกับที่หวาดหวั่นอกสั่นขวัญหาย ร่างของเขาก็ถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว
รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง ไม่เสียดายค่าตอบแทนใดๆ
แม้เขาจะเหมือนคนทั้งหลาย ไม่มีความสามารถในการรับรู้รายละเอียดของฉากนี้ สัมผัสได้ถึงเงาดำเท่านั้น แต่เขาจะอย่างไรก็ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญธรรมดาๆ แม้จะไม่เข้าใจ แต่เขาก็รู้ถึงธรรมนูญ
ก็เหมือนกับคนตาบอด ที่ไม่สามารถรับรู้และเข้าใจสีได้ แต่เขาก็รู้ว่าสีมีอยู่จริง
ความแตกต่างคือ สีสำหรับคนตาบอดแล้วไม่ได้เป็นภัยอันตรายใดๆ แต่ธรรมนูญ สำหรับชายชราแล้ว สามารถตัดสินความเป็นความตายได้
ดังนั้นในเสี้ยวพริบตาแรก เขาก็เลือกที่จะหลบหนีโดยไม่ลังเล
เขารู้ดีว่า สำหรับผู้วิเศษที่มีธรรมนูญ ความเป็นความตายของตนเองอยู่ในเพียงแค่เสี้ยวความคิดเท่านั้น เผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ สิ่งที่ตนเองทำได้มีเพียงการถอยหนีไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น
ส่วนหลี่เมิ่งถู่ในในเสี้ยวขณะนี้ ที่สีหน้าเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มองดูเงาที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง หายใจเข้าลึกๆ
เขาย่อมรู้ดีว่า ผู้แข็งแกร่งที่มาเยือนในเสี้ยวขณะนี้เป็นตัวตนแบบใด
ในยามที่ยังไม่มีธรรมนูญ สำหรับธรรมนูญ แม้เขาจะไม่สามารถรับรู้และไม่อาจทำความเข้าใจได้ แต่ก็เหมือนกับชายชราคนนั้น เขารู้ว่านี่คืออะไร
นอกจากนี้ มรดกที่หว่างคิ้วแม้จะไม่สมบูรณ์ ทำให้เขาไม่สามารถควบคุมได้ แต่มรดกนี้ก็มอบ ‘การมองเห็น’ ให้กับเขาในระดับหนึ่งเช่นกัน
เหมือนเช่นตอนนี้ สิ่งที่ผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ ในที่นี้สัมผัสได้ในสายตาและจิตใจ คือเงาที่อยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่ในสายตาของเขา ในความพร่าเลือนและบิดเบี้ยว เขาสามารถมองเห็นเค้าร่างคลุมเครือได้อย่างรางๆ
ราวกับว่า อยู่นอกโลก กำลังจ้องมองมาที่ตนเอง
ดังนั้น เขาสะกดความหวาดกลัว โค้งคารวะ
“ข้าน้อยหลี่เมิ่งถู่ ไม่ทราบว่าเป็นผู้อาวุโสท่านใดมาถึงที่นี่ มีธุระอันใดโปรดชี้แนะ”
“สหายหลี่เหมิงถู่ การแย่งชิงวิถีระหว่างเจ้ากับข้า ยังไม่จบลง”
เสียงของสวี่ชิง สั่นสะเทือนไปในกาลอวกาศแห่งนี้ ก่อให้เกิดพายุ ทำให้ภูเขาสั่นสะเทือน ประดุจเสียงสวรรค์
ทันทีที่ดังขึ้นในใจของหลี่เมิ่งถู่ สมองของหลี่เมิ่งถู่ก็พลันมีสายฟ้าฟาดคำราม สีหน้าเผยความเหลือเชื่อทันที จากนั้นก็เป็นความไม่อาจจะเชื่อและความสับสนงุนงง สุดท้ายก็เป็นความซับซ้อน
ส่งเสียงแหบพร่าออกมาอย่างยากลำบาก “สวี่ชิงหรือ”
แทบจะในทันทีที่ที่เขาเอ่ยชื่อสวี่ชิง สวี่ชิงก็สะบัดกาลอวกาศ
พลังกาลอวกาศหมุนวนไปรอบตัวหลี่เมิ่งถู่อย่างเงียบงัน ในชั่วพริบตาเดียว…สภาพของหลี่เมิ่งถู่จากสภาพได้รับบาดเจ็บเนื่องจากการต่อสู้กับชายชรา ก็กลับมาอยู่ในสภาวะก่อนสู้ศึก
บาดแผลหายไปทั้งหมด
“เจ้าเคยกล่าวว่า การแย่งชิงวิถีของเรา เป็นตายไม่เสียดายไม่เสียใจ และเมื่อธรรมนูญของข้าสำเร็จ เจ้าก็อยู่ในผลกรรมเวรนั้นด้วย”
“เช่นนั้น ตอนนี้จะยังดำเนินต่อไปหรือไม่”
เสียงของสวี่ชิง ราวกับมาจากนอกพิภพ
หลี่เมิ่งถู่ขมขื่น หลับตาทั้ง 2 ข้าง หลังจากนั้นหลายอึดใจ ดวงตาทั้ง 2 ของเขาก็ลืมตื่นขึ้น ดวงตาเผยความเด็ดเดี่ยว ยิ่งมีความมุ่งมั่น
“ธรรมนูญ…ข้ารู้ว่ามันสูงสุด แต่ไม่เคยสัมผัสด้วยตนเอง มรดกมีข้อบกพร่อง ทำให้ข้าไม่เคยสัมผัสได้อย่างแท้จริง”
“แต่ชีวิตนี้ของข้า ไม่กลัวความตาย กลัวเพียงรับรู้วิถีไม่ได้!”
“การแย่งชิงวิถีครั้งนี้…แม้จะตาย ข้าก็ยังจะสู้!”
เสียงของหลี่เมิ่งถู่ดังก้องกังวาน แฝงไว้ซึ่งความมุ่งมั่นอย่างสูงสุด ร่างของเขายิ่งพุ่งทะยานไปอย่างรวดเร็ว ตรงไปยังเค้าร่างพร่าเลือนในความว่างเปล่าที่เขา ‘มองเห็น’ ประดุจแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ พุ่งดิ่งเข้าไป!
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)
