บทที่ 1144 นภาใต้มีสมบัติ
ได้ยินคนตัวเล็กกลับมาเอ่ยวาจาด้วยเสียงน่ารังเกียจ สวี่ชิงพลันบีบมือขวา
เสียงลั่นดังกร๊อบ
แผ่นหยกแตกละเอียด
จากนั้นเขานั่งขัดสมาธิตรงพื้นที่ถ่ายทอดมรรคปรักหักพังแห่งนี้ เฝ้ารออย่างอดทน
สักพักกลางฝ่ามือค่อยสัมผัสได้ แผ่นหยกที่ถูกบดขยี้มาไม่รู้เท่าไรปรากฏตัวอีกครั้ง
ขั้นตอนการเผยตัวนี้สวี่ชิงคอยสังเกตตลอด
ในฝ่ามือเขาเริ่มด้วยมีจุดหนึ่ง
จากนั้นจุดนี้ค่อยมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อตัวเป็นเส้น
ต่อมาเส้นบิดเบี้ยว ทั้งนานเข้ายิ่งมากขึ้น กระทั่งกลายเป็นพื้นผิว ก่อตัวเป็นแผ่นหยกจากโลกชั้น 2
สุดท้ายราวดูดซับความอัศจรรย์บางอย่างของโลกปัจจุบัน ทำให้มันเหมือนจริงขึ้น
ดังนั้น… จึงก่อตัวเป็นแผ่นหยกอย่างแท้จริง
ขั้นตอนนี้สวี่ชิงสังเกตอย่างจริงจัง ก่อนหน้านี้ก็เช่นกัน
จากการตรวจสอบหลายครั้งทำให้เขาเข้าใจเพียงพอ
‘แผ่นหยกนี้เกิดขึ้นจากความไม่มี เผยตัวบนภพปัจจุบันจากโลกชั้น 2 สิ่งที่พึ่งพาคือบัญญัติกาลอวกาศจริงดังคาด ทว่าทิศทางของบัญญัติกาลอวกาศเช่นนี้ต่างจากข้า’
‘ในนั้นเหมือนมี… พลังจินตนาการเพิ่มขึ้นมา?’
สวี่ชิงครุ่นคิด
สภาวะกาลอวกาศของเขาอาศัยปัญจธาตุเป็นพื้นฐาน หลอมรวมจากเวลากับห้วงมิติ ดังนั้นภายนอกถือว่ายึดเชิงมหภาคของกาลอวกาศเป็นหลัก
ส่วนผู้นำเซียนจี๋กวงสำแดงแก่นแท้ของวัตถุจากโลกชั้นล่างออกมาได้ ถือว่าค่อนข้างละเอียดกว่า
ยามขบคิดแผ่นหยกที่ปรากฏกลางฝ่ามือเขาอีกครั้งมีเสียงกรุ่นโกรธของคนตัวเล็กดังออกมา “เจ้าทำเกินไปแล้ว ให้ข้าพูดจบก่อนได้หรือไม่!”
“ข้าไม่ได้กล่าวว่าจะไม่บอกเจ้า!!”
“เจ้าไว้หน้าข้าหน่อยได้หรือไม่ เจ้าทำเช่นนี้ ไม่ละอายหรือ ถึงอย่างไรข้าก็ช่วยเจ้าออกมาจากชั้น 2 !!”
“เจ้าคนใจร้าย!”
ได้ยินคำกล่าวของคนตัวเล็ก สวี่ชิงค่อยคิดจริงจัง รู้สึกว่าอีกฝ่ายพูดจามีเหตุผลอยู่บ้างจริงๆ ดังนั้นเลยวางแผ่นหยก ถอยหลัง 2-3 ก้าว จัดระเบียบเสื้อผ้า ประสานหมัดนอบน้อม โค้งคำนับอย่างเคารพ
การคารวะนี้ทำให้คนตัวเล็กอึ้งงันอีกครั้ง
หลังจากสวี่ชิงคำนับเสร็จ เขาเดินกลับมาเก็บแผ่นหยก ออกแรงเล็กน้อย เอ่ยปากราบเรียบ “โปรดบอกกล่าว!”
ภาพนี้ทำให้คนตัวเล็กเงียบไป
มันรู้สึกถึงแรงฝ่ามือสวี่ชิง ระดับความแรงเห็นชัดว่าเพิ่มขึ้นเล็กน้อย สามารถบดขยี้แผ่นหยกได้
‘ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าหลังจากเขาคารวะ กลับกลายเป็นว่านิ่งสงบกว่าเดิม…’ คนตัวเล็กปวดหัวนัก การกระทำและความคิดของคนตรงหน้าทำให้เขาหลอกหรือทำแบบขอไปทียากจริงๆ
‘คนผู้นี้หน้าไม่อายนัก ให้วิงวอนก็ขอร้อง ให้ไว้หน้าก็คารวะ…’
‘เห็นชัดว่าในใจเขามีหลักการของตัวเอง… หลังจากคารวะก็คิดต่อยตีสังหารอย่างเยือกเย็น ไม่ขัดความคิดในใจหรือ’
‘คนแบบนี้ทำให้หมดคำพูด ทั้งเห็นชัดว่าเขาคิดเช่นนี้ด้วย อ๊ากๆๆ น่ารำคาญนัก!’
คนตัวเล็กจนปัญญา แต่ห่วงว่าจะถูกบีบแหลกอีกครั้ง ดังนั้นเลยกล่าวอย่างขุ่นเคือง “บัดซบๆๆ”
สวี่ชิงหรี่ตา
“ข้าไม่ได้หมายถึงเจ้า!” คนตัวเล็กจากแผ่นหยกรีบอธิบาย
“ข้าหมายถึงเด็กเวรคนอื่นที่บุกบ้านข้า เจ้าดู หลายปีนี้เด็กเวรพวกนั้นโลภเพียงใด พวกเขารื้อบ้านข้า ชิงของข้าไป…”
“ดอกไม้ใบหญ้ายังไม่เว้น แม้แต่หลังคากระเบื้องยังเอาไปด้วย ถึงขั้นทำลายบ้านเพื่อขนย้ายไป…”
“ดีว่าข้ามีของเล่นวัยเด็กอยู่ ไม่ได้ถูกคนขโมยไป เอาอย่างนี้ เจ้าช่วยข้านำกลับมา ข้าจะบอกเจ้าว่ารับฐานะอย่างไร รวมถึงหาฐานะที่ดีกว่าอย่างไร”
“เป็นอย่างไร”
แผ่นหยกเผยหน้าของคนตัวเล็ก มองสวี่ชิงอย่างคาดหวัง
“สมบัตินั่นอยู่ตรงเขานภาใต้”
“แม้ว่าไม่ได้อยู่บริเวณนี้ แต่ข้ามีวิธีพาเจ้าไป”
“เจ้ารีบตัดสินใจเร็ว ข้ารู้สึกคลุมเครือว่ามีพวกหัวขโมยอยู่ที่นั่น ใกล้เข้ามาแล้ว!”
…
“สหายเต๋าทุกท่าน พวกเราใกล้ถึงแล้ว”
เขานภาใต้ ใกล้ยอดเขา ตอนนี้มี 4 เงาร่าง 3 นำหน้า 1 ตามหลังก้าวเดินอย่างลำบาก
ผู้พูดคือคนด้านหลัง
คนผู้นี้คือชายวัยกลางคนชุดดำ ในมือถือจานเข็มทิศสีเงิน หน้าตาแข็งกร้าว สวมชุดผ้าไหม ศีรษะประดับกวานทอง
ตอนนี้เขาเดินบนหินผา เห็นชัดว่าอยู่ด้านหลัง แต่สายตากลับกวาดมอง 3 คนข้างหน้าอย่างเฉียบคมเหมือนอินทรี
ยามสังเกตพฤติกรรมพวกเขา นิ้วมือยังเคาะจานเข็มทิศอย่างแผ่วเบาเป็นครั้งคราว ส่งเสียงชัดกระจ่าง กระจายทั่วทิศ ทำให้ห้วงอากาศรอบตัวบิดเบี้ยว
คล้ายแสดงอำนาจของเขา
ขณะเดียวกัน 3 คนข้างหน้ายังตัวสั่นด้วย
ทั้ง 3 เป็นชาย 2 หญิง 1
หนึ่งในนั้นรูปร่างสูงปานกลาง ตัวค่อนข้างท้วม ผมบางประปราย สีหน้าซีดเซียว ใบหน้าเปี่ยมประสบการณ์
แม้ว่าหญิงข้างกายเขาคือวัยกลางคน แต่รูปร่างสมส่วน หน้าตาถือว่าเกลี้ยงเกลา แต่ผิวออกเหลือง โดยเฉพาะดวงตายิ่งเหลือบสีส้ม
แม้มวยผมไว้ไม่ให้ยุ่งเหยิงนัก ชุดนักพรตถือว่าเรียบร้อย แต่สีนัยน์ตายังทำให้นางดูแปลกประหลาด
ส่วนคนสุดท้ายคือชายชรา รูปร่างผอมบาง สันหลังค่อนข้างโก่ง ผมขาวทั้งศีรษะ
ท่าทางแช่มชื่นเช่นอดีต ตอนนี้มีความอ่อนเพลียเข้ามาแทน ร่องรอยกาลเวลาทั่วใบหน้า ปัจจุบันยิ่งมากขึ้นหลายส่วน
หากสวี่ชิงอยู่ที่นี่ เขาย่อมจำได้ทันที ชายชราคนนี้… คือบรรพจารย์ตี้หลิง
ตอนนี้สีหน้าทั้ง 3 ไม่น่าดูนัก ในใจแต่ละคนต่างอึมครึม
เห็นชัดว่าการเดินมาที่นี่ ไม่ใช่ความสมัครใจของพวกเขา
ในใจดิ้นรน แต่กลับไร้เรี่ยวแรง
ด้วยมีไหม 3 เส้นเชื่อมจิตพวกเขา ถูกจานเข็มทิศควบคุม ไม่เป็นตัวเอง ได้แค่เป็นเครื่องมือสำรวจทางของอีกฝ่าย
เมื่อหวนนึกถึงสิ่งที่ประสบ บรรพจารย์ตี้หลิงแอบกัดฟัน
หลังจากเขาเข้ามาโลกชั้น 3 ช่วงแรกยังถือว่าราบรื่น ต่อให้หลี่เมิ่งถู่จากไป เขาก็มีแผนและวิธีเตรียมตัวของตน
เดิมทุกอย่างยังดีอยู่ เขาเริ่มเข้าใกล้เป้าหมายของตนโดยไม่ระวัง
นั่นคือข้อมูลที่เขาได้จากตระกูลอวิ๋นเหมิน สมุนไพรต้นหนึ่งซึ่งยังไม่ถูกคนชิงไป ทำให้พลังบำเพ็ญเพิ่มขึ้นหลายส่วน
สมุนไพรนี้อยู่ตรงสถานที่ลึกลับ บรรพจารย์ตระกูลอวิ๋นเหมินเมื่อปีนั้น ขาดการเตรียมตัวสำคัญเพื่อช่วงชิงสมุนไพรไป ดังนั้นจึงทำได้แค่เสียดาย แต่กลับทิ้งข้อมูลนี้ไว้
สุดท้ายข้อมูลนี้ถูกบรรพจารย์ตี้หลิงครอบครอง
แต่เมื่อเขากำลังทำสำเร็จ ผู้บำเพ็ญระดับเจ้าเหนือหัวที่มีสมบัติบัญญัติกลับมาเยือน
คนผู้นี้ไม่เพียงชิงสมุนไพรต้นนั้นไป แต่ยังกำราบเขา ทั้งเชื่อมจิตวิญญาณ
เส้นทางต่อจากนั้น อีกฝ่ายกำราบผู้บำเพ็ญ 7 คนรวมเขาด้วย สุดท้ายจึงใช้วิธีพิเศษบางอย่างออกจากทิศตะวันออก ปรากฏตัวบนเขาแห่งนี้
เริ่มเดินจากเชิงเขาขึ้นมา ตัวเขากับคนอื่นล้วนถูกบีบบังคับให้สำรวจเส้นทาง
สุดท้ายตายไป 4 คน
เหลือเพียงเขากับชายหญิงคู่หนึ่งข้างกาย แต่ละคนบาดเจ็บไม่น้อย
‘แม้ว่าเกือบถึงยอดเขา ที่นั่นคือเป้าหมายของอีกฝ่าย แต่… เมื่อถึงยอดเขาย่อมได้เวลาฆ่าคนปิดปากแน่!’
บรรพจารย์ตี้หลิงร้อนรนในใจ แต่กลับไม่มีวิธีใด
อีก 2 คนข้างกายก็เช่นกัน
สิ่งที่ทำได้มีเพียงถ่วงเวลา แต่การถ่วงเวลา…ที่นี่เหมือนไม่มีความหมาย
ความคิดของ 3 คน ชายวัยกลางคนชุดดำที่ถือจานเข็มทิศด้านหลังย่อมทราบดี แต่เขาไม่สนใจสักนิด
ในความคิดของเขาบรรดาคนที่เข้าวังเซียนนี้ นอกจากพวกดาวรวมถึงผู้บำเพ็ญบางคนที่มีบัญญัติเหมือนกับตนแล้ว ที่เหลือ…ไม่ใช่ระดับเดียวกัน
ดังนั้นต่อให้ 3 คนข้างหน้าดิ้นรนอย่างไรล้วนไม่เป็นผล
“ใกล้ถึงแล้ว!”
ในใจชายวัยกลางคนชุดดำเริ่มยากข่มความตื่นเต้น แผ่ชัดทั่วนัยน์ตา จ้องมองยอดเขาอย่างเร่าร้อน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเข้าวังเซียน
ถ้ากล่าวอย่างถูกต้องคือครั้งที่ 2
ครั้งก่อนเมื่อหลายปีมาแล้ว เขตทักษิณของวังเซียนเปิดออก
ตอนนั้นพลังบำเพ็ญเขาแค่ระดับเจ้าเหนือหัวช่วงต้น ไม่สะดุดตานัก ระวังตัวตลอดทาง แต่กลับพบวาสนาเกินคาดฝัน
เข้ามายังโลกที่เขาแห่งนี้ตั้งอยู่
เมื่อทิ้งตัวลงเขาเหมือนอยู่บนยอดเขา คล้ายเห็นทะเลสาบแห่งหนึ่ง ในทะเลสาบมีเรือกระดาษลำหนึ่ง
แต่ควบคุมตัวเองไม่ได้ สถานที่ทิ้งตัวกลับเป็นเชิงเขา ทั้งทั่วเขายังมีผนึกต้องห้ามมากมาย อันตรายไร้สิ้นสุด เขาจึงขึ้นเขาแห่งนี้ไม่ได้
สุดท้ายทำได้เพียงจากไปอย่างไม่พอใจ
แต่ช่วงเวลาหลังจากนั้น เขาลืมภูเขารวมถึงเรือกระดาษนั่นไม่ได้ ดังนั้นเมื่อเขาตรวจสอบรวมถึงอ่านบันทึกประวัติศาสตร์เกี่ยวกับผู้นำเซียนจี๋กวงอย่างตั้งใจ เขาค่อยรู้จักเรือกระดาษนั้นมากขึ้น
มั่นใจได้เรื่องหนึ่ง
เรือกระดาษคือสมบัติบัญญัติ!
ทั้งมีอานุภาพไม่น้อย!
เขาจึงเริ่มเตรียมตัว กระทั่งกลับมาอีกครั้ง เป้าหมายคือเรือกระดาษ
เขาจ่ายค่าตอบแทนมากมายเพื่อสิ่งนี้ ยืมสมบัติบัญญัติมาจากคนใหญ่คนโต ขณะเดียวกันยังอาศัยสมบัติบัญญัตินี้ควบคุมคนจำนวนมากเพื่อสำรวจเส้นทางให้ตน
ปัจจุบันมาถึงขั้นนี้แล้ว
เมื่อนึกว่าเกือบถึงยอดเขา ชายวัยกลางคนชุดดำสูดหายใจลึก ยิ้มกล่าวกับผู้บำเพ็ญ 3 คนข้างหน้า “ตลอดทางนี้ขอบคุณการช่วยเหลือจากพวกเจ้า ตอนนี้พวกเจ้าพยายามอีกหน่อย ไม่ต้องคิดมาก หลังจากถึงยอดเขา ข้าได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ย่อมคืนความอิสระแก่พวกเจ้า”
พวกบรรพจารย์ตี้หลิงเงียบไป
คำพูดนี้แน่นอนว่าพวกเขาไม่เชื่อ
แต่เมื่อชายวัยกลางคนชุดดำเอ่ยปาก เขากลับหมุนจานเข็มทิศบนมือ ทำให้พวกบรรพจารย์ตี้หลิงกายจิตสั่นสะท้าน ถูกควบคุมจนทำได้เพียงเร่งเดินหน้า ใช้ชีวิตเพื่อนำทาง
เวลาผ่านไปเช่นนี้ทีละน้อย
ตอนนี้ถ้ายกระดับสายตาขึ้นย่อมเห็นเมฆหมอกไหลบ่าตรงหน้า บังทัศนวิสัยช้าๆ
ผู้คนบนเขา รวมถึงภูเขาแห่งนี้ ในสายตานานเข้ายิ่งเล็กลง
กระทั่งโลกที่ภูเขานี้ตั้งอยู่สะท้อนเข้าสู่สายตา
เห็นว่าโลกกว้างใหญ่มีเพียงเขาลูกนี้!
โดยรอบคือหมอกทั้งสิ้น
ทัศนวิสัยเหมือนยกระดับอีกครั้ง เมื่อความสูงถึงขีดจำกัดย่อมทะลวงพันธนาการของโลกนี้
ดังนั้นโลกที่ภูเขานี้ตั้งอยู่ ในทัศนวิสัยจึงเป็นภาพฝาผนังเปี่ยมสีสัน
ถูกสลักบนกำแพงด้านหนึ่ง
ที่นี่คือทิศใต้ของวังเซียน ถือเป็นตำหนักแห่งหนึ่ง
ตำหนักนี้ยังค่อนข้างสมบูรณ์ กำแพงตำหนักมีสัญลักษณ์ภาพมหึมา
สิ่งที่วาดไว้คือภูเขาสูงเสียดฟ้า
ภูเขานาม นภาใต้
สวี่ชิงปรากฏตัวในตำหนัก ยืนนอกภาพฝาผนัง กำลังจ้องมองตรงนั้น
“เห็นเรือกระดาษลำนั้นหรือไม่ นั่นคือของเล่นข้า” คนตัวเล็กรีบเอ่ยปาก
สวี่ชิงพยักหน้าเล็กน้อย ร่างวาบไหว ก้าวเข้าภาพฝาผนัง
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)
