บทที่ 1166 หมากเม็ดหนึ่งวางลง รอดทั้งกระดาน
ค่ำคืนนี้ ลิขิตสวรรค์ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมก็ยิ่งแรง มาพร้อมด้วยเสียงสายฟ้าเป็นระยะๆ ประเดี๋ยว…ประเดี๋ยว ก็มีสายฟ้าฟาดผ่านราตรีมืด
เสียงกัมปนาทสนั่นหวั่นไหว ดังก้องไปทั่วฟ้าดิน ฟาดลงสู่ตำหนักเซียน ดังในหูของผู้บำเพ็ญทั้งหลาย และยังตกกระทบมายังจิตใจของกงซุนชิงมู่แห่งวังทัณฑ์อัสนี
ภายในตำหนักที่เขาอยู่ ท่ามกลางแสงสายฟ้าวูบวาบ ร่างของอริยะเซียนที่ 4 ก้าวออกมาจากความว่างเปล่า
ในทันทีที่ที่ปรากฏกายขึ้น ความรุนแรงของจิตสังหารก็แผ่ไอเย็นยะเยือกไปทั่วทั้ง 4 ทิศ ทำให้ทั้งภายในและภายนอกตำหนักพลันตกอยู่ในฤดูเหมันต์ในช่วงกลางฤดูทันที
มีหิมะโปรยปราย มีเกล็ดน้ำแข็งระยิบระยับก่อตัวขึ้นภายในร่างของกงซุนชิงมู่ ราวกับจะแทงทะลุเนื้อหนังทั้งหมด ทำลายประสาทสัมผัสรับรู้
“จะไป หรือจะอยู่”
“จะกลายเป็นศัตรูกับข้าอย่างสิ้นเชิง หรือจะยุติความขัดแย้งเสียในเสี้ยวขณะนี้”
“เจ้าที่บรรลุเป้าหมายแล้ว จะเลือกอย่างไร!”
อริยะเซียนที่ 4 กล่าวอย่างสงบ
ทุกคำพูดที่เอ่ยออกมา ล้วนแปรเปลี่ยนเป็นดาบน้ำแข็งเล่มหนึ่ง มาพร้อมด้วยอำนาจแห่งกฎระเบียบ ปรากฏขึ้นรอบกายของกงซุนชิงมู่
ยิ่งมีโซ่เหล็กเย็นเยือกมากมาย ท่ามกลางส่งเสียงเคร้งครั้ง ก็หมุนวนล้อมในตำหนักแห่งนี้ ก่อเป็นค่ายกลอันน่าอัศจรรย์ แผ่อำนาจอันเกรียงไกร!
กงซุนชิงมู่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น จ้องมองร่างที่อยู่เบื้องหน้า แล้วค่อยๆ แสยะยิ้ม เผยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายแปลกประหลาดออกมา
“คงจะเป็นโจวเจิ้งลี่คู่ปรับเก่าของข้าพูดอะไรกับใต้เท้ากระมัง”
“ยังเป็นเขาที่เข้าใจข้าดีที่สุด ที่จริงแล้ว หลังจากออกจากตำหนักหนึ่งน้อยไร้ขอบเขต ข้าก็รอใต้เท้ามาตลอด”
“ส่วนเรื่องการเลือก…”
กงซุนชิงมู่ยกมือขวาขึ้น ทันใดนั้นเอง ก็มีแผ่นหยกแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของเขา
นั่นเป็นแผ่นหยกฐานะของสาวงามจิ้งจอก!
ในเสี้ยวพริบตาที่หยิบออกมา ดวงตาของกงซุนชิงมู่ก็เปล่งแสงเย็นวาบ มือขวาพลันออกแรงบีบ
เสียงกร๊อบดังขึ้น แผ่นหยกนั้นก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทันที
“จากการตรวจสอบ ชิวหลิงซานแฝงเร้นเจตนาร้าย ฝากตัวเป็นศิษย์เข้ามาในวังเซียนเพื่อวางแผนร้าย ข้าประมาทเลินเล่อ ยินดีรับโทษเพื่อไถ่บาป ส่วนฐานะของนาง ข้าจะเอาคืน นับจากนี้เป็นต้นไป ความเป็นตายของนาง ขึ้นอยู่กับอริยะเซียนจะตัดสิน”
ชิวหลิงซาน คือชื่อจริงของสาวงามจิ้งจอกในกาลอวกาศแห่งนี้
และจากการแตกสลายของแผ่นหยก ฐานะของนางก็ถูกถอดถอนไปด้วย
นี่ก็คือวิถีเต๋าของกงซุนชิงมู่
คำว่า ‘กบฏ’ ไม่เพียงแต่กบฏต่อวังเท่านั้น แต่ยังสามารถกบฏต่อพันธมิตรได้ด้วย
สำหรับเขาแล้ว กบฏต่อใครก็เหมือนกัน
ในกระดานเดินหมากแห่งกาลอวกาศครั้งนี้ ทุกฝ่ายต่างวางแผนกันทั้งนั้น สาวงามจิ้งจอกวางแผนเขา เขาก็วางแผนสาวงามจิ้งจอกเช่นกัน
ในเสี้ยวพริบตาที่มอบฐานะให้ ทันทีที่ผูกพันธมิตร ก็มีรากฐานแห่งการกบฏเกิดขึ้น และก็เป็นจริงตามที่เขาพูด เขากำลังรอการมาถึงของอริยะเซียนที่ 4
เสี้ยวพริบตาต่อมา ความหนาวเย็นในตำหนักก็หายไป กระบี่น้ำแข็งสลายไป โซ่เหล็กกลับคืนสู่ที่เดิม
อริยะเซียนที่ 4 หันหลัง เดินออกไปข้างนอก
เป้าหมายของเขา บรรลุแล้ว
แต่ในเสี้ยวขณะที่เขากำลังก้าวเท้าออกจากตำหนัก กงซุนชิงมู่ที่อยู่ด้านหลังก็พลันกล่าวขึ้น “ใต้เท้า โจวเจิ้งลี่กับข้าต่อสู้กันมานานเกินไป เขาเข้าใจในตัวข้า ข้าก็เข้าใจในตัวเขา”
“ดังนั้น ข้าจึงอยากเตือนใต้เท้าว่า…คนผู้นี้ ดีมากเหมือนร้าย ร้ายมากเหมือนดี ไม่ธรรมดาเลยเชียว”
ข้างประตูตำหนัก อริยะเซียนที่ 4 สีหน้าเป็นปกติ เอ่ยเรียบๆ ว่า “ดวงดาวที่โดดเด่นออกมาจากผู้คนนับหมื่นนับแสน ไม่ว่าคนไหนหากอยู่ที่โลกภายนอก ได้เติบโตต่อไปก็ล้วนจะกลายเป็นจอมคนผู้ยิ่งใหญ่ทั้งนั้น”
“ดังนั้นข้ามองคน มองที่ผลลัพธ์ ไม่มองที่เจตนา”
“ตราบใดที่ข้ายังแข็งแกร่งที่สุด เช่นนั้นไม่ว่าเจตนาจะเป็นอย่างไร ขอแค่เชื่อฟังก็พอ หากไม่เชื่อฟัง สังหารทิ้งเสียก็ได้แล้ว”
กล่าวจบ ฝีเท้าของอริยะเซียนที่ 4 ก็เหยียบย่างลงไป เงาร่างจากการพาดผ่านของสายฟ้า ก็หายลับไป
ในตำหนัก กงซุนชิงมู่หัวเราะขึ้นมา
“ดูเหมือนว่าการเดินทางสู่โลกชั้นที่ 4 ครั้งนี้ ทำให้ซิงหวนจื่อที่อยู่ที่ทิศตะวันออกสัมผัสกับโลกภายนอกได้น้อย ได้สัมผัสถึงธาตุแท้และความจัดการยากของดวงดาวอื่นๆ อย่างลึกซึ้ง”
“ดังนั้น ผู้หยิ่งผยองอย่างเขา ถึงกับเติมคำนำหน้าว่าแข็งแกร่งที่สุดเสมอลงในคำพูดอยู่ตลอด”
“น่าสนใจ น่าสนใจมากจริงๆ”
กงซุนชิงมู่ยิ้ม รอยยิ้มนั้นยิ่งชั่วร้าย และยังแฝงด้วยความบ้าคลั่งเล็กน้อย
แต่ที่แปลกประหลาดคือ เสียงหัวเราะไม่ได้มาจากปากของเขา แต่แผ่ออกมาจากกระบี่หักที่ซ่อนอยู่ในจิตสำนึกของเขา
……
“ทั้ง 2 ล้วนเป็นคนวิกลจริตอันตราย คิดไปเองว่ามองเห็นอะไร และคิดว่าสามารถใช้ประโยชน์จากข้าได้ แต่กลับไม่รู้ตัว เหตุใดแดนดาราทิศตะวันออกจึงมีชื่อดวงดาวของพวกเขากัน”
“ล้วนเป็นผลเต๋าแห่งกฎระเบียบที่จะหล่อเลี้ยงข้าในอนาคตทั้งนั้น!”
อริยะเซียนที่ 4 สีหน้าสงบนิ่ง มาปรากฏกายขึ้นที่นอกวังทัณฑ์อัสนี หน้าลานกว้างแห่งหนึ่ง
ลานแห่งนี้ วังทัณฑ์อัสนีจัดเตรียมไว้ให้ศิษย์ในสังกัด
สาวงามจิ้งจอกเมื่อคลื่นวนตอนกลางวัน ในยามที่บุตรีของผู้นำเซียนจิ่วอั้นเข้าครอบครองตำหนักหนึ่งน้อยไร้ขอบเขต ทันทีที่ถูกขับไล่ออกมา ก็มาอาศัยอยู่ที่นี่
ตอนนี้ ในเสี้ยวขณะที่อริยะเซียนที่ 4 ปรากฏตัวขึ้น ประตูห้องในลานกว้างก็เปิดออก สาวงามจิ้งจอกพิงอยู่กับกรอบประตู ยังคงมีท่าทีเกียจคร้านเช่นเคย มองไปยังอริยะเซียน
“อาจารย์ปลอมๆ ของข้า เชื่อถือไม่ได้เลยจริงๆ ฐานะที่ให้มานึกจะทำลายก็ทำลาย ขายข้าจนหมดสิ้นเลยจริงๆ”
“เช่นนั้น อริยะเซียนมาในตอนนี้ ต้องการจะขับไล่สังหารข้าหรือเจ้าคะ”
สาวงามจิ้งจอกหัวเราะเบาๆ
“อริยะเซียนช่างมีฝีมือดีจริงๆ ว่าไปแล้ว ข้าที่ไม่มีฐานะ อยู่ในวังเซียนแห่งนี้ก็ถือเป็นส่วนเกิน แม้จะถูกสังหาร ก็ไม่ก่อให้เกิดระลอกคลื่นอะไร เพราะ…ในประวัติศาสตร์ช่วงนี้ เดิมทีข้าในตอนนี้ก็ไม่ได้อยู่วังเซียนอยู่แล้ว”
“เช่นนั้น อริยะเซียนลงมือเถอะเจ้าค่ะ เดิมทีข้าก็บรรลุเป้าหมายแล้ว ให้จากไปก็จากไปก็ได้”
สาวงามจิ้งจอกยิ้มแย้มราวกับไม่มีความประหลาดใจแม้แต่น้อยต่อการมาถึงของอริยะเซียนในยามนี้
แต่อริยะเซียนที่ 4 ไม่ได้ลงมือ สีหน้าของเขาสงบนิ่ง ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เอ่ยราบเรียบว่า “เจ้าพูดถูก แต่ในเมื่อเจ้าบรรลุเป้าหมายแล้ว เหตุใดก่อนหน้านี้จึงไม่จากไปเล่า”
“ข้าคิดว่า เจ้ายังมีจุดประสงค์อื่นอีกกระมัง”
อริยะเซียนที่ 4 ก้าวไปอีก 1 ก้าว
“อีกอย่าง เจ้าคงจะพบว่าตัวเองไม่สามารถจากไปได้กระมัง”
เดินไปก็กล่าวไป ในเสี้ยวขณะที่คำพูดเหล่านี้จบลง อริยะเซียนที่ 4 ก็ได้ก้าวเข้าไปในลานแล้ว และหยุดลงที่ระยะ 2 จั้งเบื้องหน้าสาวงามจิ้งจอก
สาวงามจิ้งจอกยิ้มเล็กน้อย สีหน้าเป็นปกติ แต่ในใจกลับเกิดวิกฤตอันตรายขึ้นมา เพราะองค์ท่านสัมผัสได้จริงๆ ว่านับแต่ในเสี้ยวขณะที่อีกฝ่ายเปิดเผยทุกอย่างในวันนี้ จิตสำนึกของนางกับร่างกายนี้ กลับไม่สามารถแยกออกจากกันและจากไปได้เอง
ราวกับมีพลังไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งปกคลุม ทำให้องค์ท่านไม่อาจเลือกที่จะให้จิตสำนึกออกจากโลกใบนี้ได้เองเหมือนอย่างเคย
แต่ด้วยเล่ห์เหลี่ยมขององค์ท่านจะแสดงอาการออกมาเพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำของอีกฝ่ายได้อย่างไร ตอนนี้กำลังจะเอ่ยปากขึ้น
แต่ยังไม่ทันที่องค์ท่านจะได้พูดออกมา อริยะเซียนที่ 4 ก็กล่าวเสียงเบาว่า “ข้าพูดถูกหรือไม่ เทพเจ้าลึกลับ!”
ประโยคสุดท้ายนี้ ราวกับฟ้าร้อง กัมปนาทลงมา
จิตใจของสาวงามจิ้งจอกสั่นสะท้านขึ้นมาทันที
องค์ท่านก่อนหน้านี้ลงมือกับอีกฝ่าย สิ่งที่ซ่อนนี้ไว้ก็คือเรื่องนี้ และคิดเองว่าทำได้ดีมาก ในเมื่อองค์ท่านจะอย่างไรก็เป็นระดับครึ่งก้าวสู่บันไดเทวะแล้ว ย่อมมีเคล็ดวิชาลับของตนเอง
อีกทั้งจากการตรวจสอบผ่านจากเรื่องราวหลังจากนั้น อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะไม่ได้สังเกตเห็นจริงๆ
แต่ในเสี้ยวขณะนี้…
“หากเป็นคนอื่น ย่อมไม่สามารถสังเกตเห็นได้ แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่า หอคอยวงแหวนดาราแห่งทิศตะวันออก เหตุใดจึงได้ชื่อว่าวงแหวนดารา…เจ้าคงไม่คิดจริงๆ ใช่ไหมว่า หลังจากที่ข้าได้ปะทะกับเจ้าแล้ว ข้าจะยังตรวจจับกลิ่นอายของเทพเจ้าที่เจ้าพยายามอย่างยิ่งที่ซ่อนไว้ไม่ได้หรอกใช่ไหม” อริยะเซียนที่ 4 เอ่ยราบเรียบ
“ที่ไม่ได้พูดออกไปก่อนหน้านี้ เพราะ…ข้าอยากจะดูว่าเบื้องหลังของเจ้า ยังมีใครอีกหรือไม่!”
ขณะกล่าว เขาก็ยกมือสะบัด ป้ายสีเงินอันหนึ่งก็ปรากฏขึ้นทันที
บนป้ายนั้น มีชื่อของชิวหลิงซานเขียนไว้อย่างชัดเจน
“นี่คือตราประทับเทพ เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาเพื่อผนึกเทพเจ้าโดยเฉพาะนับแต่โบราณกาลมาในระบบดาวที่ 5 ภายในวังเซียน ย่อมมีอยู่แล้ว”
“และภายใต้การผนึกของตราประทับเทพนี้ จิตสำนึกของเจ้าคิดจะจากไป ข้าไม่อนุญาต!”
อริยะเซียนที่ 4 ดีดป้ายเบาๆ
ทันใดนั้น พลังผนึกที่ส่งผลต่อเทพเจ้าโดยเฉพาะ ก็พลันปะทุมาทันที ซัดลงมา ณ ที่แห่งนี้ ทำให้ร่างกายของสาวงามจิ้งจอกสั่นสะท้าน ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้น
“เจ้าก็อยู่ที่นี่ไปก่อนชั่วคราวก็แล้วกัน”
“ดูซิว่าคืนนี้ เบื้องหลังเจ้ามีใครหรือไม่ จะมีคนมาช่วยเจ้าหรือไม่ หากฟ้าสว่างแล้วยังไม่มีใครปรากฏตัว…”
“เจ้าลองดูซิว่า ข้าจะสามารถใช้ตราประทับเทพนี้ ส่งผลต่อร่างจริงของเจ้าได้หรือไม่”
“ดังนั้น ตอนนี้ เจ้าถ่ายทอดเสียงออกไปขอความช่วยเหลือได้แล้ว”
อริยะเซียนที่ 4 หัวเราะเล็กน้อย นั่งขัดสมาธิลง รอคอยรุ่งเช้า
ข้างๆ สาวงามจิ้งจอก ร่างกายสั่นสะท้านแรงขึ้นเรื่อยๆ พลังจากตราประทับเทพทำให้ดวงตาของนางค่อยๆ แดงก่ำ พยายามต่อต้านอย่างสุดกำลัง
……
ลมในค่ำคืนนี้ แรงขึ้นเรื่อยๆ
พัดเข้ามาในวังเซียน หอบม้วนไปในตำหนักหนึ่งน้อยไร้ขอบเขต
พัดผมยาวของสวี่ชิงปลิวพริ้ว
ท่ามกลางลมแรง สวี่ชิงเดินไปข้างหน้า
วันนี้ เกิดเรื่องขึ้นมากมายนัก
อันดับแรกคืออริยะเซียนที่ 4 เปิดเผยทุกสิ่ง
จากนั้น สาวงามจิ้งจอกถูกขับไล่ออกจากตำหนักหนึ่งน้อยไร้ขอบเขต ก่อนจากไปได้บอกเขาเรื่องจิตสำนึกของนางจู่ๆ ไม่อาจจากไปได้
ต่อมาคือการหลีกเลี่ยงคำครหาของจงฉือ
สุดท้ายคือการที่บุตรีของผู้นำเซียนจิ่วอั้นเข้ามาในวัง
หากนี่คือกระดานหมาก เช่นนั้นอีกฝ่ายก็ได้วางหมากหลายตัวแล้ว และได้ล้อมมังกรใหญ่ของเขาไว้ ทำให้ไม่สามารถหลุดพ้นได้ ทำได้เพียงถูกกัดกินไปเรื่อยๆ
“และการเคลื่อนไหวเช่นนี้ ในที่สุดก็…ทำให้ข้าเห็นทุกสิ่งชัดเจนแล้ว!”
สวี่ชิงเงยหน้าขึ้น สายตาจับจ้องไปยังบริเวณที่ตั้งของเตาหลอมกระบี่ จากนั้นก็ดึงกลับมา แล้วหันไปทางที่สาวงามจิ้งจอกอยู่
“ส่วนการเดินหมากครั้งนี้…”
“ในนั้นมีหมากตัวหนึ่ง หากวางลง ก็จะสามารถพลิกกระดานทั้งผืนได้”
สวี่ชิงฝีเท้าก้าวหนึ่งเหยียบย่างลงไป ร่างก็หายไปในทันที เมื่อปรากฏตัวอีกครั้ง…ก็ไม่ได้ไปจากตำหนักหนึ่งน้อยไร้ขอบเขต แต่ไปปรากฏที่ด้านนอกตำหนักข้าง
ที่นั่นคือตำหนักที่บุตรีของผู้นำเซียนจิ่วอั้นเข้าพำนัก หลังจากที่นางเข้ามาครอบครองตำหนักนี้!
ในเสี้ยวขณะที่ที่ก้าวเข้าไป ทหารองครักษ์ชุดเกราะดำเหล่านั้นของเซียนหลิงหวงที่อยู่รอบๆ ในตำหนัก กลิ่นอายของพวกเขาก็พลันรวมตัวกันทันที
“ถอยไป!” สวี่ชิงเอ่ยราบเรียบ
อำนาจของนายน้อย จากคำพูดนี้ที่ดังออกมา กดดันควบคุมทุกสิ่ง
ทำให้กลิ่นอายเหล่านั้นจำต้องถอยไป
ทำได้เพียงปล่อยให้สวี่ชิงก้าวเดินไปพร้อมกับสายลมและสายฝน เดินเข้ามาในตำหนัก สบตากับเซียนหลิงหวงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในนั้น
ทันที่ที่สายตาทั้ง 2 คู่สบกัน จิตใจของหลิงหวงก็สั่นสะท้านโดยไม่มีเหตุผล แต่สีหน้าของนางกลับไม่แสดงออกแม้แต่น้อย กลับกล่าวขึ้นก่อนในฐานะเจ้าบ้าน “อะไรกัน ขับไล่สาวงามจิ้งจอกของเจ้าไปแล้ว จะมาซักไซ้ไล่เรียงข้าหรืออย่างไร!”
สวี่ชิงทำเป็นไม่ได้ยิน เดินไปที่หน้าต่างของตำหนัก มองดูสีท้องฟ้าภายนอก ครู่หนึ่งก็กล่าวออกมา “จงฉือก่อนจากไป ได้พูดอะไรบางอย่าง เขาบอกว่าตัวเองฝัน ในฝันพวกเราสุดท้ายแล้วทำพิธีสมรสกันไม่สำเร็จ มหาเคราะห์ลงมาเยือน กลายเป็นสีเลือด”
“คำพูดที่ปลุกปั่นคนชั่วร้าย คนผู้นี้สมควรตาย!” หลิงหวงแค่นเสียงเย็นชา
“พูดถึงคำพูดชั่วร้าย ข้าก็นึกถึงข่าวลือก่อนหน้านี้ ที่ว่ามีคนมากมายเป็นผู้มาจากภายนอก เช่นนั้น…เจ้าใช่ผู้มาเยือนจากภายนอกหรือไม่” สวี่ชิงไม่ได้หันมา หันหลังให้หลิงหวงเอ่ยอย่างสงบนิ่ง
“คำพูดของเจ้าวันนี้ช่างแปลกนัก” จิตใจของหลิงหวงปั่นป่วน คิ้วงามขมวด
สวี่ชิงยิ้มเล็กน้อย ยังคงไม่หันมา แต่คำพูดที่กล่าวออกมาหลังจากนั้น กลับราวกับสายฟ้า ฟาดลงบนจิตใจของหลิงหวง
“ข้าไม่สนว่าเจ้าจะเป็นหย่วนซานซู่หรือไม่ จุดประสงค์ของเจ้าก็คือการผูกผลกรรมเวรกับร่างที่เจ้าสิงอยู่ เพื่อที่จะกลายเป็นนายแห่งวังเซียนครึ่งหนึ่งในความเป็นจริง”
“เช่นนั้น เจ้าหวังให้พิธีคำนับสำเร็จ หรือพิธีคำนับล้มเหลว”
สวี่ชิงกล่าวพลางหันกลับมา ในดวงตามีประกายเจิดจ้า พร้อมกับความดุดัน จ้องมองดวงตาของหลิงหวง
ราวกับมีฟ้าผ่าแฝงอยู่ ทะลุทะลวงจิตใจของหลิงหวง มองทะลุทุกสิ่งของนาง
คำพูดยิ่งดังกว่าสายอัสนีนับล้านฟาดผ่ากัมปนาทกึกก้อง
หลิงหวงสะท้านไปทั้งร่าง พลันผุดลุกขึ้นมา ถอยหลังไป 2-3 ก้าวโดยสัญชาตญาณ ในใจสายฟ้าฟาดดังกึกก้องไปหมด
ลมหายใจของนางถี่กระชั้นขึ้นในทันที จิตสำนึกเกิดคลื่นยักษ์ท่วมฟ้า ทั้งคนทั้งร่างแข็งทื่ออึ้งตะลึงงัน จ้องมองสวี่ชิงราวเห็นผี
ภายในร่างกายปั่นป่วนถึงขีดสุด
หนังศีรษะชาหนึบ!
“เจ้า…เจ้าเป็นใคร!” หลิงหวงตกใจกลัว
มันเป็นเรื่องที่นางไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจจะจินตนาการได้ นายน้อยข้างหน้าคนนี้จะพูดทุกอย่างออกมาได้หมด ทั้งยังเรียกชื่อจริงของนางออกมาได้!
ทั้งหมดนี้ ชัดเจนเกินกว่าที่คิด
เขา คือผู้มาเยือนจากภายนอก!
นายน้อยแห่งวังเซียนแสงเรืองรอง เป็นผู้มาเยือนจากภายนอก!
ท่ามกลางความสับสน ความรู้สึกไม่จริง ก็เข้าท่วมท้นไปทั่วร่างราวกับกระแสน้ำ
สิ่งนี้พลิกผันความรู้ความเข้าใจของนาง เหนือความคาดหมายของนาง กระทั่งว่าเหนือกว่าขอบเขตของความตื่นตะลึง แต่ความจริงกลับอยู่ตรงหน้า
“เจ้า…”
สีหน้าของหลิงหวงซีดเผือดในทันที ความคิดของนางก็ตกอยู่ในความสับสนอย่างยิ่งในเสี้ยวขณะนี้ อ้าปากคิดอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร
เมื่อเห็นหลิงหวงมีสีหน้าเช่นนั้น สวี่ชิงก็ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย
“ข้าคิดว่า เจ้าคงจะหวังให้พิธีคำนับสำเร็จมากกว่า เช่นนี้ก็จะทำให้จุดประสงค์ของเจ้า สำเร็จลุล่วงได้ดียิ่งขึ้นไปอีก”
“ดังนั้น จงร่วมมือกับข้า ข้าจะทำให้เจ้าเข้าพิธีได้สำเร็จ”
“หากไม่ร่วมมือกับข้า งานแต่งงานครั้งนี้ ข้าจะปฏิเสธต่อหน้าสาธารณชน นี่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ และสามารถก่อให้เกิดระลอกคลื่นได้เช่นกัน!”
“ก่อนที่ข้าจะเดินออกจากตำหนักนี้ จงบอกคำตอบของเจ้าแก่ข้า”
สวี่ชิงกล่าวจบ ก็หันหลังเดินไปทางประตูตำหนัก
แต่ละก้าวๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ส่วนด้านหลังของเขา ลมหายใจของหลิงหวงหลังจากถี่กระชั้นแล้ว ก็ไม่สงบลงอีกเลย นางมองเงาแผ่นหลังของสวี่ชิง ความตื่นตะลึงในใจยังคงรุนแรง
จนกระทั่งสวี่ชิงกำลังจะเดินออกจากตำหนัก หลิงหวงก็ถอนหายใจออกมายาวๆ สีหน้าซับซ้อน
“ร่วมมือ!”
นางไม่สามารถและไม่กล้าที่จะปฏิเสธได้
เพราะท้ายที่สุดแล้ว จุดประสงค์ทั้งหมดของนาง โดยพื้นฐานแล้ว ล้วนฝากไว้กับนายน้อย
นายน้อย คือต้นกำเนิด
ดังนั้น นับตั้งแต่ต้นจนจบนางจึงไม่สามารถเป็นพันธมิตรของอริยะเซียนที่ 4 ได้
ขอเพียงนายน้อยกล่าวเพียงคำเดียว นางก็ต้องและทำได้เพียงเชื่อฟังเท่านั้น!
เมื่อได้ยินคำตอบของหลิงหวง สวี่ชิงที่ยืนอยู่ข้างประตูตำหนัก ในใจก็ไร้ซึ่งระลอกคลื่นอารมณ์
เขารู้ดีว่า หลังจากที่เขาเปิดเผยตัวตน อีกฝ่ายก็ไม่มีทางเลือกเลย
จุดประสงค์ของนาง กำหนดจุดยืนของนาง
ดังนั้น จึงกล่าวอย่างเรียบๆ ว่า “ดีมาก คืนนี้ข้าไม่สนว่าเจ้าจะทำอย่างไร ไปช่วยสาวงามจิ้งจอกเอาไว้”
กล่าวจบ สวี่ชิงก็ก้าวเดินออกจากตำหนัก ท่ามกลางสายลม เขาทอดสายตามองไปทางทิศที่สาวงามจิ้งจอกอยู่ พึมพำในใจ “ศิษย์พี่สี่ ในเมื่อเจ้าต้องการการต่อสู้ครั้งสุดท้าย เช่นนั้นคืนนี้ ข้าก็จะมอบการต่อสู้ครั้งสุดท้ายให้เจ้า!”
ลมกรรโชก ในเสี้ยวขณะนี้ พัดโหมกระหน่ำกระชาก บดบังฟ้าดิน
กลายเป็นพายุ!
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)
