บทที่ 1165 กระพือไฟเติมเชื้อ
เวลาผ่านไป
6 วันผ่านไป ห่างจากวันแต่งงานเหลืออีกเพียง 4 วันเท่านั้น!
และลิขิตสวรรค์ จากวันเวลาค่อย ๆ ใกล้เข้ามาก็ยิ่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน
การหมุนเวียนของกลางวันกลางคืน จากวันรับตำแหน่งใกล้เข้ามายิ่งสับสนวุ่นวายมากขึ้น
ใน 1 วัน กระทั่งว่าอาจมีการสับเปลี่ยนของกลางคืนหลายสิบครั้ง ทำให้โลกทั้งใบเกิดความปั่นป่วน
ยามค่ำคืนก็ค่อยๆ ไม่เห็นดวงจันทร์ ยามกลางวันก็ไม่เห็นดวงอาทิตย์
บางครั้ง ยังสลับปนเปกัน ทำให้กลางวันมีดวงจันทร์ขาว กลางคืนมีดวงอาทิตย์ดำ!
ยากที่จะคาดเดา
เฉกเช่นจิตใจของโจวเจิ้งลี่
ภายในจวนอริยะเซียน ในหอคอยสวรรค์สูงสุด โจวเจิ้งลี่ก้มหน้า กล่าวอย่างนอบน้อมต่ออริยะเซียนที่ 4 ที่มือไพล่หลังทอดสายตามองดูการสับเปลี่ยนของขาวและดำบนท้องฟ้าอยู่เบื้องหน้า
“เสียหลิงจื่อผู้นี้ ก่อนหน้านี้อยู่ที่ทิศตะวันออก เนื่องจากใต้เท้ายืนอยู่สูงเกินไป และไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลก มุ่งมั่นในวิถี ส่วนเขาเป็นประดุจมดปลวก ดังนั้นการกระทำที่สกปรกต่ำช้าบางอย่าง ใต้เท้าจึงไม่ได้ใส่ใจ”
“แต่ข้าอยู่โคลนตม ต่อสู้กับเขามาโดยตลอด ดังนั้นย่อมเข้าใจคนผู้นี้มากกว่าเล็กน้อย”
“ในเมื่อใต้เท้าสอบถามถึงคนผู้นี้ เช่นนั้นข้าก็จะเล่าความเข้าใจของข้าในตัวเขาให้ใต้เท้าฟัง”
“เขาไม่ได้บรรลุธรรมนูญของตนเอง ธรรมนูญของเขามาจากซากกระบี่แปลกประหลาดในร่างกาย”
“กระบี่เล่มนี้มีชื่อว่ากบฏ!”
“ดังนั้นการกระทำทุกอย่างของเขา ล้วนหมุนรอบคำว่ากบฎคำนี้”
“กบฎต่อสำนัก กบฎต่อสายธรรม กบฎต่อทุกสิ่ง…”
โจวเจิ้งลี่ราวกับมีนัยยะแฝง สายตาจับจ้องไปที่อริยะเซียนที่ 4 ที่อยู่เบื้องหน้า เสียงของเขาก็หยุดลง ราวกับให้เวลาอีกฝ่ายได้ครุ่นคิด
“นั่นหมายความว่า การกบฎของเขาก็รวมถึงพันธมิตรด้วย! เพราะวิถีเต๋าของเขาคือการกบฎ ดังนั้นสำหรับเขาแล้ว การกบฎต่อใครก็เหมือนกัน!”
เมื่อได้ยินคำพูดของอริยะเซียนที่ 4 สีหน้าของโจวเจิ้งลี่ก็เต็มไปด้วยความรู้สึกชื่นชม และกล่าวชมเชย “ใต้เท้าสมแล้วที่เป็นดวงดาวอันดับหนึ่ง ข้าแค่พูดเพียงประโยคเดียว ใต้เท้าก็เข้าใจในทันที ส่วนเรื่องนี้ข้าต่อสู้กับเขามาหลายปี ถึงได้ค่อยๆ คิดออกในภายหลัง”
อริยะเซียนที่ 4 ได้ยินดังนั้น ก็มองไปที่ดวงตาของโจวเจิ้งลี่
โจวเจิ้งลี่รักษาสีหน้าที่เคารพนอบน้อม ไม่สบตาอีกฝ่าย ก้มศีรษะคารวะ
หอสวรรค์ เงียบงันไปชั่วขณะ
ครู่หนึ่ง อริยะเซียนที่ 4 กล่าวอย่างเรียบๆ ว่า “โจวเจิ้งลี่ ข้ารู้ถึงความสามารถของเจ้า และรู้ถึงเล่ห์เหลี่ยมของเจ้า เจ้าที่สามารถต่อสู้กับเสียหลิงจื่อมานานหลายปี และเขาถือว่าเจ้าเป็นคู่ปรับตัวฉกาจ จะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร”
“การซ่อนความสามารถของเจ้า อาจเป็นวิถีของเจ้า หรืออาจเป็นการจงใจของเจ้า”
“แต่…หากเจ้ายังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะขับไล่เจ้าออกไปก่อน เพราะมีหรือไม่มีเจ้า จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา ดูเหมือนจะไม่มีความแตกต่างกันมากนัก”
“ดังนั้น แค่ข้อมูลเกี่ยวกับเสียหลิงจื่อนั้นไม่พอ เจ้าจะต้องให้เหตุผลแก่ข้าว่าทำไมข้าถึงไม่ควรขับไล่เจ้าออกไปเดี๋ยวนี้”
อริยะเซียนที่ 4 เงยหน้าขึ้น มองท้องฟ้า เสียงของเขาสงบนิ่ง
ที่กล่าวกันว่าใช้กำลังเพียง 1 ส่วนก็สามารถเอาชนะ 10 ส่วนได้ ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง
ไม่ว่าเจ้าจะมีเล่ห์เหลี่ยมอย่างไร ไม่ว่าเจ้าจะวางแผนอย่างไร หากวันนี้ไม่มีเหตุผล เขาเป็นดั่งที่กล่าวไป ไม่รังเกียจที่จะส่งอีกฝ่ายออกไปจริงๆ
เช่นนี้ แผนการทั้งหมดของเจ้าก็จะล้มเหลว
โจวเจิ้งลี่หัวเราะอย่างขมขื่น ถอนหายใจ “ใต้เท้าเข้าใจข้าผิดแล้ว ที่จริงแล้วไม่ใช่ว่าข้าไม่ลงแรง หากแต่แสงสว่างของท่านเจิดจ้าจนข้าเกรงกลัวจะถูกเผาไหม้.…”
“ในเมื่อใต้เท้าวันนี้สอบถามขึ้นมาแล้ว ข้าแซ่โจวก็จะขอพูดถึงความคิดที่ผิดพลาด หากมีการวิเคราะห์ผิดพลาด ก็ขอใต้เท้าโปรดชี้แนะและแก้ไขด้วย”
“การต่อสู้ระหว่างเรากับอีกฝ่ายครั้งนี้ เดิมทีอีกฝ่ายควรจะเป็นฝ่ายตั้งรับ แต่ในเสี้ยวขณะนี้กลับกลายเป็นเราที่เป็นฝ่ายตั้งรับ จุดสำคัญของเรื่องนี้ ข้าแซ่โจวคิดว่า น่าจะเป็นเพราะการที่เราไม่ได้ยืนอยู่ในจุดสูงสุด”
“และพวกเราเดิมทีก็ยืนอยู่ตรงนั้น แต่ภายใต้การวางแผนของคนชั่วร้าย กลับไปยืนอยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาโดยไม่รู้ตัว”
“จะเห็นได้ว่าคนร้ายนั้นชั่วช้า ยากที่จะป้องกันได้ เพราะเราเดินในทางที่ถูกต้อง ส่วนพวกเขาเดินในทางที่ชั่วร้าย หลักการนี้ ข้าแซ่โจวเพิ่งจะเข้าใจในไม่กี่วันนี้เอง และเมื่อได้สนทนากับใต้เท้าในวันนี้ ก็เข้าใจได้อย่างถ่องแท้”
“และเราดูเหมือนคนน้อย แต่ข้าคิดว่า…พวกเราน่าจะเป็นฝ่ายที่มีคนมากที่สุดต่างหาก”
“ทุกคนในวังเซียนแห่งนี้ นอกจากผู้มาจากภายนอกแล้ว ไม่ใช่…ผู้รักษาความเป็นระเบียบหรอกหรือ”
“พวกเขาคือตัวละครในประวัติศาสตร์ พวกเขาไม่รู้ชะตากรรมในอนาคต พวกเขาก็จะปฏิบัติตามวิถีโคจรของห้วงเวลาแห่งนี้…นี่ไม่ใช่การรักษาความเป็นกฎระเบียบหรอกหรือ”
“ใต้เท้า ข้ารู้ว่าเรื่องเหล่านี้ท่านเข้าใจทั้งหมด แต่ท่านต้องการให้ข้าพูดออกมา…เพื่อให้ข้าผูกผลกรรมเวร คิดว่าข้าไม่เต็มใจติดตาม”
“ใต้เท้าท่านเข้าใจข้าผิดแล้ว การติดตามใต้เท้า เป็นสิ่งที่ข้าใฝ่ฝันหามาตลอด เพียงแต่ความคิดของข้าแซ่โจวมีจำกัด กลัวการวิเคราะห์ของตนเองผิดพลาด ซึ่งจะส่งผลต่อความคิดของใต้เท้า”
โจวเจิ้งลี่พูดถึงตรงนี้ ก็ก้มหน้าลง ไม่กล่าวอะไรอีก
อริยะเซียนที่ 4 หลับตา หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เมื่อเขาลืมตาขึ้น ในดวงตาก็มีประกายแวววาว มองโจวเจิ้งลี่อย่างลึกซึ้ง
“เรื่องนี้จบแล้ว เมื่อกลับไปทางทิศตะวันออก เจ้ามาหาข้าได้ที่หอคอยวงแหวน”
กล่าวจบ ก็ก้าวเดินจากไป
“ขอบคุณใต้เท้า!” โจวเจิ้งลี่คำนับอย่างลึกซึ้ง มองไปยังความว่างเปล่าที่อริยะเซียนที่ 4 จากไป เขาหรี่ตาลง พึมพำในใจ ‘ข้อดีของซิงหวนจื่อคือความแข็งแกร่งของตัวเขาเอง ส่วนจุดอ่อนคือความดื้อรั้นมั่นใจในตัวเองเกินไปบ้าง และภายใต้การกระพือไฟเติมเชื้อของข้า การต่อสู้ครั้งสุดท้ายที่ควรจะค่อยๆ ร้อนแรงขึ้น ในที่สุดก็เกิดขึ้นก่อนกำหนด อย่าทำให้ข้าผิดหวังล่ะ’
……
สายฟ้าบนท้องฟ้า ดังกัมปนาทก้องกังวาน
เสี้ยวขณะก่อนหน้าท้องฟ้ายังคงสดใส ไร้เมฆหมอก แต่เสี้ยวพริบตาต่อมาจากเสียงฟ้าร้อง ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก
แต่ไม่ว่าน้ำฝนจะโปรยปรายลงบนทะเลสาบแห่งกาลอวกาศของวังเซียนอย่างไร ก็ไม่สามารถก่อให้เกิดระลอกคลื่นได้เลย
กาลอวกาศแห่งนี้ จากความปั่นป่วนของลิขิตสวรรค์ และจากการใกล้เข้ามาของวันรับตำแหน่ง ก็เกือบจะแข็งตัวสมบูรณ์แล้ว
เรื่องนี้ สวี่ชิงอาศัยธรรมนูญกาลอวกาศของตัวเอง สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน
เขารู้ หากอยากสร้างระลอกคลื่นภายใน ยากกว่าปกติมาก
นี่ไม่ใช่เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นกะทันหัน นี่เป็นการดำเนินไปทางประวัติศาสตร์ที่เป็นไปตามธรรมชาติ
“เกรงว่านี่ก็คือโอกาสที่อริยะเซียนที่ 4 กำลังรอคอยอยู่”
ภายในตำหนักหนึ่งน้อยไร้ขอบเขต สวี่ชิงเงยหน้ามองท้องฟ้ามืดมิดกลายเป็นกลางวันในเสี้ยวพริบตา ฝนที่ตกลงมาก็กลายเป็นลูกเห็บอย่างรวดเร็ว
ตกลงมาเสียงดังลั่น
ความหนาวเย็นก็แผ่ซ่านตามมา กลายเป็นความกดดัน ไม่นานก็กลายเป็นลมกรรโชก พัดกรีดหวีดผ่านไป พัดทำให้ผมยาวของสวี่ชิงปลิวไสว
ท่ามกลางสายลม สวี่ชิงสัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลของกระแสประวัติศาสตร์ที่ไหลบ่ามาอย่างไม่อาจต้านทานได้
……
กระแสคลื่นมาถึง
สิ่งที่มาพร้อมกัน ยังมีเรื่องเล็กๆ ที่สร้างความฮือฮาไปทั่วทั้งวังเซียน!
บอกว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะเรื่องนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยคำพูดเดียวทุกเมื่อ ดังนั้นจึงเล็กน้อยจนแทบไม่ต้องนึกถึง และกลายเป็นแค่ความเข้าใจผิดไปเสียเท่านั้น
และเหตุที่เรื่องเล็กน้อยสามารถสร้างความฮือฮาไปทั่ววังเซียนได้
เป็นเพราะเรื่องนี้ถูกกล่าวออกมาจากปากของอริยะเซียนที่ 4
เขาได้ชี้แจงข้อสงสัยเกี่ยวกับ กงซุนชิงมู่ หลี่เทียนเจียว สาวงามจิ้งจอก และจงฉือ 4 คนนั้น รวมถึงการวินิจฉัยของตนเองด้วยกับวังคุมกฎ
เขาวิเคราะห์ว่า ผู้ดูแลวังทัณฑ์อัสนี กงซุนชิงมู่ ตั้งใจจะก่อกบฏต่อวังเซียน มีแผนการอันชั่วร้าย
หลักฐานคือแผ่นหยกของศิษย์ของเขา ที่มาและรายละเอียด ทิศทางทั้งหมดล้วนชี้ไปที่อาจารย์ของเขา
ดังนั้น อริยะเซียนที่ 4 จึงสงสัยว่า เบื้องหลังการก่อกบฏของศิษย์กงซุนชิงมู่ คือคำสั่งและการวางแผนของคนผู้นี้!
ส่วนสาวงามจิ้งจอกนั่น อริยะเซียนที่ 4 เปิดเผยเรื่องราวที่นางก่อนไม่มีที่มาที่ไปก่อนที่จะมาถึงวังเซียน และเมื่อรวมกับเรื่องที่นางกลายเป็นศิษย์ของกงซุนชิงมู่ แม้สุดท้ายจุดประสงค์จะยังไม่ชัดเจน แต่อริยะเซียนที่ 4 ก็มั่นใจ
จุดประสงค์ของนางปีศาจผู้นี้ คือนายน้อย!
ดังนั้น จึงเข้าใกล้นายน้อย และเพื่อป้องกันการถูกขับไล่ แสวงหาฐานะ แต่จากร่องรอยของนาง ทั้งๆ ที่นางไม่เคยรู้จักกงซุนชิงมู่ และอยู่ห่างไกลกับขั้นที่เขาจะรับเป็นศิษย์
ทั้งหมดนี้ ล้วนพิสูจน์ได้ว่า นางต้องการวางแผนร้ายต่อนายน้อย!
ส่วนหลี่เทียนเจียวนั้น จงใจแนะนำสาวงามจิ้งจอกให้นายน้อยรู้จัก ทั้งที่รู้ว่าต้องแพ้แต่ก็จงใจวางเดิมพัน เป้าหมายย่อมเป็นการส่งสาวงามจิ้งจอกไปอยู่ข้างกายนายน้อย
นี่คือสมรู้ร่วมคิด!
ส่วนจงฉือ แม้จะติดตามนายน้อยมานานหลายปี และแสดงความจงรักภักดีมาตลอด แต่ก็ด้วยเหตุผลที่ไม่ทราบสาเหตุ ก็เกิดความคิดจะวางแผนร้ายขึ้นมา
หลักฐานคือในร่างกายของเขามีพิษ และยังเป็นผู้วางเองด้วย!
และไม่มีใครที่จะวางยาพิษตัวเอง ดังนั้นอริยะเซียนที่ 4 จึงวิเคราะห์ว่า เขาจะใช้พิษในร่างกายของตนเอง ใช้เคล็ดวิชาลับวางยาพิษนายน้อย
การยกตัวอย่างของอริยะเซียนที่ 4 ครั้งนี้ ย่อมสร้างความฮือฮาไปทั่วทั้งวังเซียน
เพียงพริบตาก็ดึงดูดความสนใจและการจับตามองของผู้คนนับไม่ถ้วน
นี่ก็เป็นแผนที่เปิดเผยเช่นกัน
เปิดเผยทุกสิ่ง เพื่อให้สายตาทั้งวังเซียนถูกใช้เพื่อการรักษากฎระเบียบ
การจับตามองของพวกเขา ทำให้ทุกสิ่งถูกเปิดเผยภายใต้แสงแดดอันร้อนแรง อยู่ภายใต้สายตาของสาธารณชน
เช่นนี้ หากเกิดสิ่งที่อริยะเซียนที่ 4 กล่าวขึ้นจริงๆ ก็สามารถตรวจจับได้ในทันที และสามารถควบคุมได้
ทำให้กฎระเบียบสำเร็จ
หากสุดท้ายไม่เกิดขึ้น อริยะเซียนที่ 4 ก็แค่ต้องขอโทษ และใช้คำว่าเข้าใจผิดก็สามารถแก้ไขทุกสิ่งได้ และระลอกคลื่นต่อประวัติศาสตร์ก็เบาบางมาก
ในเมื่อเรื่องนี้ไม่ได้ส่งผลต่อทิศทางของประวัติศาสตร์
แต่สำหรับเสียหลิงจื่อและคนอื่นๆ เรื่องนี้พูดได้ว่าเป็นการแทงมาจากด้านหน้าอย่างรุนแรง ยากที่จะต้านทาน และไม่อาจขัดขวางได้
โดยเฉพาะบุตรีของผู้นำเซียนจิ่วอั้น เซียนหลิงหวงก็จับตามองเรื่องนี้ในทันที ใช้เหตุผลที่ไม่มีใครสงสัย และควบคุมตำหนักหนึ่งน้อยไร้ขอบเขตอย่างเปิดเผย
ราวกับการชำระล้างคนชั่วร้าย ขับไล่สาวงามจิ้งจอกออกจากตำหนักหนึ่งน้อยไร้ขอบเขต และยังทำให้จงฉือจำต้องเลือกที่จะหลบเลี่ยงเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง
ก่อนจากไป เขาก็โค้งคารวะต่อสวี่ชิงที่เงียบงันมาตลอดเป็นครั้งสุดท้าย
เมื่อนึกถึงประสบการณ์ในช่วงเวลานี้ จงฉือก็มีระลอกคลื่นอารมณ์ในใจ และเมื่อมองนายน้อยที่อยู่ตรงหน้า ในใจเขาก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง
ประสบการณ์ครั้งนี้ เขายากที่จะลืม
ดังนั้น หลังจากการคำนับครั้งหนึ่ง เขาก็ตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง “นายน้อย เมื่อวานข้าน้อยฝันแปลกๆ…”
“ฝันว่าอีกไม่กี่วัน งานแต่งงานของนายน้อยกับนายหญิงน้อย”
“งานแต่งงานนั้นยิ่งใหญ่มาก ทั้งวังเซียนเต็มไปด้วยความสุข แต่…ในเสี้ยวขณะที่ท่านกับคุณหนูใหญ่กำลังจะคำนับฟ้าดิน ก็เกิดเคราะห์ขึ้น”
“ฟ้าดิน คำนับไม่สำเร็จ…โลก กลายเป็นสีเลือด”
จงฉือกล่าวเสียงเบา หลังจากกล่าวจบ ก็โค้งคารวะอีกครั้ง แล้วจากไปจากตำหนักหนึ่งน้อยไร้ขอบเขต
ภายในตำหนักใหญ่ สวี่ชิงมองไปยังทิศทางที่จงฉือจากไป ในดวงตามีประกายเย็นเยียบ
เขาไม่แปลกใจกับการโจมตีตอบโต้จากอริยะเซียนที่ 4 เลย
เพราะการต่อสู้ระหว่างการรักษากฎระเบียบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ กำหนดวิถีของแต่ละฝ่าย ดังนั้นสวี่ชิงจึงรู้ดีว่า สาเหตุที่เขาชนะใน 2-3 ครั้งที่ผ่านมา เป็นเพราะเขาซ่อนตัวอย่างสมบูรณ์
เช่นนี้ จึงใช้ที่มืดรับมือกับที่แจ้ง จึงเอาชนะได้อย่างแยบยล
ทำให้ความสนใจของอีกฝ่ายไปอยู่ที่เสียหลิงจื่อและสาวงามจิ้งจอก
แต่ชัยชนะที่ได้มาจากการอยู่ในเงามืดนี้ ท้ายที่สุดก็เป็นเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้น ไม่สามารถกำหนดผลลัพธ์ที่แท้จริงได้เลย
การดำเนินไปของประวัติศาสตร์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก เป็นแค่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่แยกออกมาเท่านั้น
และข้อได้เปรียบนั้น แท้จริงแล้วก็อยู่ในมือของอีกฝ่ายมาโดยตลอด เพียงแต่ก่อนหน้านี้ถูกชุดการกระทำของเขาทำให้ความคิดพร่ามัว จนลืมไปชั่วขณะก็เท่านั้น
แต่ท้ายที่สุดก็นึกขึ้นได้
“สิ่งที่ข้ารอคอย ก็คือในเสี้ยวขณะที่พวกเจ้านึกขึ้นได้ แล้วลงมือเองนี่แหละ” สวี่ชิงพึมพำ
เขากำลังเดินหมากที่กระดานใหญ่มาก กระดานหมากที่เกี่ยวกับว่าก่อให้เกิดพายุอย่างไร
เพียงแต่การเดินหมากครั้งนี้ อาศัยกำลังของตัวเขาเองไม่พอ แม้จะรวมพันธมิตรก็ยังไม่พอ ยังต้องให้ฝ่ายผู้รักษากฎระเบียบเข้าร่วมด้วย
ถึงจะก่อเป็นพลังได้!
เพราะการกระทำใดๆ ของฝ่ายผู้รักษากฎระเบียบ ความจริงล้วนเป็นระลอกคลื่นทั้งสิ้น แม้จะเล็กน้อย แต่…
ก็คือสายลมที่พัดมา!
“ลมพัดแล้ว”
ตอนนี้ท้องฟ้าภายนอกครืนครั่นสะท้านเลื่อนลั่น ลมกลายเป็นพายุ หมุนพัดฝุ่นผงพัดกวาดไปทั่วทุกทิศทาง
ในดวงตาของสวี่ชิง แฝงด้วยประกายแสงเย็นเยียบ
คิดจะอาศัยลมทะยานสู่สวรรค์!
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)
