บทที่ 483 ก้าวหนึ่งสู่ห่านป่าเดียวดาย ก้าวหนึ่งสู่มาร
บนหุบเหวมหาสมุทร เรือใบไม้แล่นเร็วรี่ เร็วกว่าก่อนหน้านี้เกือบสิบเท่า ก้าวไปในหุบเหวมหาสมุทรอย่างบ้าคลั่ง ท่าทางเหมือนกลัวว่าจะทำให้สวี่ชิงเสียเวลา
โดยเฉพาะเมื่อสังเกตได้ว่าสวี่ชิงสีหน้าเคร่งขรึม ความเร็วจึงเร่งขึ้นอีก
หลังจากรู้ข่าวของเผ่าควันขจร สวี่ชิงทิ้งความคิดที่จะแวะที่เขาหมอกดำ เขาคิดว่าจะเดินทางไปเขาประกายอรุณในทันที ขณะเดียวกันในใจก็เกิดหมอกคลุมเครือมหาศาล
ด้านหนึ่งเขากังวลกับสงครามในเขตสงครามทางตะวันตกและเหนือสองเขตนี้ อีกด้านหนึ่งคือข้อมูลของเผ่าควันขจรทำให้เขายากที่จะไม่คิดเชื่อมโยงไปถึงคนร้ายเบื้องหลังที่คาดเดาเอาไว้จากในแผ่นหยกที่เจ้าวังมอบให้
“เรื่องที่สนามรบ ไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะทำอะไรได้…สิ่งเดียวที่ข้าทำได้คือทำภารกิจที่เจ้าวังมอบให้ให้สำเร็จ” นานหลังจากนั้น สวี่ชิงพึมพำ
เช่นนี้เอง เวลาไหลไป หลายวันผ่านพ้น ในหลายวันนี้ตาข่ายบนท้องฟ้า กระแสแสงไหลวนมากกว่าที่ผ่านมามาก ผ่านจากจุดนี้สวี่ชิงสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ศึกทางตะวันตกและทางเหนือทั้งสองแห่งได้ว่าน่าจะมาถึงระดับดุเดือดอย่างยิ่ง
เขาถอนหายใจในใจ เงยหน้าทอดสายตามองไปยังฟ้าดินในที่ไกล
สุดท้าย ในคืนวันที่สี่ ภูเขาประกายอรุณก็สะท้อนในสายตาสวี่ชิง
ภูเขาลูกนี้พิเศษมาก สีของมันไม่ใช่สีดำ แต่เป็นเจ็ดสี
มองเผินๆ เหมือนประกอบขึ้นมา แต่ความจริงแล้วเป็นก้อนเดียวกัน
อีกทั้งขนาดก็ใหญ่กว่าภูเขาทุกลูกที่สวี่ชิงได้เห็นมาตลอดทางอย่างชัดเจน มันตั้งตระหง่านอยู่บนหุบเหวมหาสมุทร สูงเสียดฟ้า ส่วนที่อยู่เหนือผิวน้ำก็สูงประมาณหมื่นจั้งเลยทีเดียว
ใต้แสงจันทร์ สีสันเจ็ดสีของเขาประกายอรุณถูกสะท้อนออกไปรอบๆ เกิดเป็นลำแสง ทำให้คนรู้สึกงดงามพร่างพราย
จะสามารถเห็นรางๆ ว่าใต้หุบเหวมหาสมุทรยังมีภูเขาที่น่าตื่นตะลึงยิ่งกว่า พื้นที่ที่แผ่ออกไปกว้างใหญ่ไพศาล
โดยเฉพาะในยามที่เข้าไปใกล้ สวี่ชิงยังสัมผัสได้ถึงพลังกดดันเป็นระลอก แผ่ออกมาจากภูเขาลูกนี้ ในขณะที่ปกคลุมรอบๆ ลมสุริยะที่นี่ก็รุนแรงเป็นอย่างยิ่ง ทุกที่ที่พัดผ่าน ไม่เพียงแต่มีเสียงลมดังก้อง ยังมีรอยแยกมิตินับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ผสานตัวอย่างรวดเร็วแล้วเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดขึ้นซ้ำไปมาเช่นนี้
มองภูเขาลูกนี้ ในใจสวี่ชิงซับซ้อนเล็กน้อย ยิ่งเกิดความรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมานิดๆ อารมณ์เหล่านี้ซ้อนสอดประสานด้วยกัน สุดท้ายก็แปรเปลี่ยนเป็นความว้าวุ่น
ด้านหนึ่งคือภารกิจที่เจ้าวังมอบให้ แต่ที่มากกว่าคือ…ที่นี่เป็นสุสานของบิดามารดาเขา
สวี่ชิงยืนอยู่บนเรือ จ้องมองเขาประกายอรุณที่อยู่ไกลๆ นานหลังจากนั้นเขาสะกดความคิดทุกอย่าง สูดลมหายใจลึก เดินออกไปจากเรือ เข้าไปใกล้เขาประกายอรุณในหุบเหวมหาสมุทรอย่างรวดเร็ว
ส่วนเรือใบไม้…แทบจะในพริบตาที่สวี่ชิงออกไปก็ดำลงไปทันที กลัวว่าหากจากไปช้าจะเป็นการรบกวนสวี่ชิง เพียงพริบตาก็ดำลงไปยังจุดลึกของหุบเหวใต้ทะเล เลียบลงไปกับพื้น จากไปอย่างรวดเร็ว
ศีรษะที่อยู่บนหางสิงโตหินทอดสายตามองภาพฉากนี้ สีหน้าก็ฉายความอิจฉาอย่างรุนแรงออกมา…
หลังจากนั้นหนึ่งก้านธูป สวี่ชิงเข้าใกล้ภูเขาประกายอรุณ ที่นี่เขาสัมผัสได้ถึงปราการป้องกันไร้รูปร่างชั้นหนึ่งล้อมรอบเขาประกายอรุณ เหมือนเป็นเกราะขนาดมหึมา ครอบภูเขาลูกนี้เอาไว้ข้างในตั้งแต่ข้างบนถึงข้างล่าง
นี่คือค่ายกลใหญ่โถงครองกระบี่เขาประกายอรุณ
ค่ายกลนี้ป้องกันมิให้ผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตทุกคนเข้าไป ต่อให้เป็นผู้ครองกระบี่ของต่างมณฑลอยากเข้ามา ก็ต้องมีสิทธิ์ถึงจะเข้าได้ มีเพียงผู้ครองกระบี่ของมณฑลนี้เท่านั้นจึงจะเข้าไปได้อย่างราบรื่น
แต่เนื่องจากที่นี่ยังเป็นพื้นที่ลับที่เจ้าวังครองกระบี่แบ่งเขตด้วยตัวเอง ดังนั้นผู้ครองกระบี่ของมณฑลนี้ก็มีสถานที่มากมายในภูเขาประกายอรุณแห่งนี้ที่ไม่อาจเข้าไปได้เช่นกัน
มีเพียงใช้แต้มความชอบแลกสิทธิ์ในการเข้าไปในพื้นที่ลับจึงจะสามารถเข้าไปได้โดยไม่มีอะไรขัดขวางอย่างแท้จริง
แต่ว่าทุกอย่างนี้สำหรับสวี่ชิงในตอนนี้ก็ไม่เป็นปัญหา แผ่นหยกที่เจ้าวังมอบให้ ระดับความสูงส่งของอำนาจดุจเจ้าวังมาด้วยตัวเอง
ดังนั้นการมาถึงของเขาจึงไม่ทำให้เกิดระลอกคลื่นค่ายกลใดๆ และจะไม่มีพื้นที่ลับแห่งใดที่ห้ามไม่ให้เขาเข้า
‘ไปทำการสืบให้เสร็จก่อน แล้วค่อยไปหาหลุมฝังศพของท่านพ่อท่านแม่’
ดวงตาสวี่ชิงฉายแววเด็ดเดี่ยว เอาแผ่นหยกที่เจ้าวังมอบให้ออกมา ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่เกิดระลอกคลื่นใดๆ ทั้งสิ้น ก็เดินเข้าไปในค่ายกลเขาประกายอรุณ ย่างก้าวเข้าไปในภูเขา
ทันทีที่ฝีเท้าเหยียบไปบนภูเขาประกายอรุณ ในใจสวี่ชิงก็เกิดระลอกคลื่นอารมณ์ การสัมผัสรับรู้ถึงสายเลือดอันราวเลือนทำให้เขาลมหายใจหอบถี่ หัวใจยิ่งมีความเจ็บปวดส่งมา
นั่นคือสัมผัสรับรู้ของท่านพ่อท่านแม่
เมื่อพลังบำเพ็ญถึงระดับเขาระดับนี้จะสามารถสัมผัสรับรู้ได้ถึงสายเลือด และเพราะสัมผัสรับรู้ประเภทนี้ทำให้สวี่ชิงยกมือไปตามสัญชาตญาณ กดไว้ที่หัวใจ
“ท่านพ่อ…ท่านแม่…” สวี่ชิงพึมพำ ดวงตาแดงเล็กน้อย
แม้ในสายตาคนนอก สวี่ชิงเป็นคนที่สังหารอย่างเด็ดเดี่ยวไม่ลังเล ลงมือโหดเหี้ยม อีกทั้งระลอกคลื่นอารมณ์ก็ไม่ชัดเจน แต่นี่เกิดจากชีวิตบังคับ ไม่ใช่นิสัยของเขา
ตอนนี้ บนเขาประกายอรุณลูกนี้ ในสมองของเขามีภาพแต่ละฉากๆ ที่เมืองเป็นหนึ่งปรากฏขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
นานจากนั้น สวี่ชิงก้มหน้า ซ่อนกลิ่นอายทั้งหมดลงไป และสะกดระลอกคลื่นในใจเอาไว้ เขารู้ตัวเองตอนนี้ต้องทำภารกิจของเจ้าวังให้สำเร็จก่อน
เขาจึงเดินขึ้นไปยังยอดเขาเงียบๆ
ที่ไกลโพ้น สวี่ชิงมองเห็นบริเวณใกล้ยอดมีวังเล็กใหญ่หลายร้อยวังสร้างเอาไว้
วัสดุของวังเหล่านี้เป็นหินของภูเขาประกายอรุณ ดังนั้นก็เป็นเจ็ดสีเหมือนกัน อีกทั้งสร้างเอาไว้อย่างโอ่อ่า ภายใต้แสงจันทร์ดูแล้วเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์
งดงามเป็นอย่างยิ่ง
และเทียบกับมณฑลรับเสด็จราชัน โถงครองกระบี่ที่นี่ในด้านของขนาดก็มีขนาดที่ใหญ่กว่ามาก ปกติแล้วผู้ครองกระบี่ที่รักษาการณ์อยู่ที่นี่ ในด้านของจำนวนก็ย่อมมากกว่ามณฑลรับเสด็จราชัน
แต่ว่าตอนนี้เป็นช่วงของสงคราม ผู้ครองกระบี่ของโถงครองกระบี่เขาประกายอรุณเก้าส่วนต่างมุ่งหน้าไปยังสนามรบ ตลอดทางที่สวี่ชิงเดินมาก็สัมผัสได้ว่าในโถงครองกระบี่ที่กว้างใหญ่แห่งนี้เงียบสงัดนัก
จำนวนของผู้ครองกระบี่เหมือนจะไม่ถึงสามสิบคน ขณะที่อำพรางสวี่ชิงสังเกตได้ว่า ผู้ครองกระบี่เหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนลาดตระเวน สีหน้าระแวดระวัง เห็นได้ชัดว่าโลกภายนอกมีคนเล่าลือเรื่องที่มีคนจะโจมตีโถงครองกระบี่พวกเขาก็ได้ยินมาเหมือนกัน
ผู้บำเพ็ญที่อยู่ป้องกันเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นพลังบำเพ็ญระดับแก่นลมปราณวังสวรรค์ขั้นต่ำ พลังบำเพ็ญที่สูงที่สุดคือผู้ครองกระบี่ระดับปราณก่อกำเนิด กลิ่นอายพอๆ กับฉู่เทียนฉวิน ซึ่งก็ประมาณระดับปราณก่อกำเนิดช่วงกลาง
สวี่ชิงมองที่ที่อีกฝ่ายผ่านไปจากที่ไกลๆ แล้วตรวจสอบค่ายกลโถงครองกระบี่เล็กน้อย
ค่ายกลนี้หากคิดจะทำลายไม่ใช่เรื่องง่าย รวมกับตาข่ายของวิเศษเวทต้องห้ามบนฟ้าสามารถรับประกันได้ว่าโถงครองกระบี่ทุกแห่งในเขตปกครองผนึกสมุทรจะปลอดภัย
หลังจากวิเคราะห์ได้แล้ว สวี่ชิงดึงสายตากลับมา อยู่ในโถงครองกระบี่ที่เงียบสงัดนี้ หลบเลี่ยงผู้ครองกระบี่ที่เดินลาดตระเวน อำพรางกายขึ้นไปยังยอดเขา
เป้าหมายของเขาชัดเจนมาก จะไปหอเอกสารของโถงครองกระบี่
แผ่นหยกของเจ้าวังและการซ่อนอำพรางของสวี่ชิงทำให้เขาราบรื่นมาตลอดทาง หลังจากนั้นหนึ่งก้านธูปก็หาหอที่เก็บม้วนเอกสารเจอ
ที่นี่มีพันธนาการ ไม่อนุญาตให้ผู้ครองกระบี่เข้ามาได้ตามอำเภอใจ แต่จากการที่แผ่นหยกในมือสวี่ชิงแผ่ประกายแสงอ่อนโยนออกมา พันธนาการข้างหน้าเขาก็รางเลือนไป
ก่อนจะเหยียบเข้ามา สวี่ชิงแผ่จิตเทพไปหาเจ้าเงา ไม่นานเจ้าเงาก็แผ่ออกไปอย่างรวดเร็ว เหมือนกระเป๋าเสื้อ ห่อสิงโตหินกับศีรษะเอาไว้
สวี่ชิงมองผาดหนึ่ง ยืนยันว่าไม่มีปัญหาแล้วถึงได้ก้าวเข้าไป สัมผัสอย่างละเอียดครู่หนึ่ง ยืนยันว่าในหอม้วนเอกสารไม่มีผู้ครองกระบี่เฝ้ายามถึงได้ก้าวเข้าไปในนั้น เริ่มเปิดอ่านม้วนเอกสารที่นี่
หอนี้มีทั้งหมดสี่ชั้น เอกสารของสำนักมีมากมายมหาศาล สวี่ชิงไม่มีทางอ่านได้หมดในเวลาสั้นๆ ดังนั้นเอกสารหลักๆ ที่เขาหาคือบันทึกของแสงประกายอรุณ
ที่ชั้นสาม เขาหาม้วนเอกสารที่เป็นเอกสารที่ต้องมีสิทธิ์เข้าถึงสูงสุดเจอฉบับหนึ่งเช่นนี้
หลังจากเปิดพันธนาการบนนั้น สวี่ชิงก็อ่านมัน
ครู่หนึ่ง คิ้วของเขาขมวดขึ้น
สิ่งที่บันทึกในม้วนเอกสารเป็นเรื่องเกี่ยวกับแสงประกายอรุณจริงๆ จากบันทึก แสงประกายอรุณเป็นแสงที่แผ่ออกมาก่อนที่ดวงอาทิตย์จะแตกดับ ไม่ใช่วัตถุไร้ชีวิต แต่มีสติปัญญา
หลายปีมานี้มีปรากฏให้เห็นทั้งหมดเจ็ดร้อยห้าสิบสองครั้ง
แต่นี่ความจริงแล้วมีความขัดแย้ง เพราะหากเกิดขึ้นจากดวงอาทิตย์ที่แตกดับจริงๆ ก็น่าจะปะทุขึ้นเพียงครั้งเดียวเมื่อตอนนั้นถึงจะถูก ไม่มีทางประเดี๋ยวๆ ก็เกิดขึ้นหลังจากผ่านเวลามาเนิ่นนาน
ดังนั้นจากการค้นคว้าของวังครองกระบี่พบว่า แสงประกายอรุณในระดับหนึ่งแล้วนั้นแม้จะเกี่ยวพันกับดวงอาทิตย์แตกดับ แต่ก็ไม่ได้เกิดขึ้นจากการนี้ทั้งหมด
มันเป็นเหมือนหลังจากที่ดวงอาทิตย์แตกดับก็เปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ฟ้าดินของพื้นที่บางส่วน นับจากธรรมชาติในพื้นที่แถบนี้ก็เกิดเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทหนึ่งมากกว่า
ดังนั้น พวกมันถึงได้ปรากฏขึ้นบ้างบางครั้งในหลายปีมานี้
อีกทั้งยังปรากฏขึ้นแค่ที่เขาประกายอรุณเท่านั้น
จุดนี้เอกสารก็มีบันทึกเช่นกัน เล่ากันว่าเขาประกายอรุณเป็นดินแดนที่เลือดของดวงอาทิตย์ก่อนจะแตกดับหยดลงมา เลือดของดวงอาทิตย์เป็นสีรุ้ง ดังนั้นภูเขาลูกนี้จึงมีเจ็ดสี
กลิ่นอายของดวงอาทิตย์ที่นี่ก็เป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่จำเป็นต่อการเกิดแสงประกายอรุณ
ขณะเดียวกัน แสงประกายอรุณความจริงแล้วไม่มีประโยชน์ต่อพลังบำเพ็ญของผู้บำเพ็ญ แต่มันทำให้ผู้บำเพ็ญไปสัมผัสรับรู้พลังดวงอาทิตย์ และพลิกย้อนสายเลือดของตัวเอง
ขณะเดียวกัน ในด้านการหลอมอาวุธก็มีผลอันน่าตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ในการค้นคว้าของวังครองกระบี่ยังชี้ว่าแสงประกายอรุณในด้านการต้านทานพลังของเทพเจ้ามีคุณสมบัติที่แข็งแกร่ง ดังนั้น ภายใต้เหตุผลมากมาย อีกทั้งยังมีจำนวนน้อย ดังนั้นจวบจนถึงทุกวันนี้ ทุกครั้งที่แสงกระกายอรุณปรากฏขึ้น โถงครองกระบี่ล้วนมีบันทึกอย่างละเอียด
บันทึกเหล่านี้รวมไปถึงเวลาที่แสงประกายอรุณปรากฏและสถานที่สุดท้ายที่ไป
สวี่ชิงเปิดอ่านไม่เจอจุดที่เป็นปัญหาอะไรเท่าไร แสงประกายอรุณทุกทางในนั้นล้วนตรวจสอบได้ กว่าครึ่งในนั้นถูกส่งไปยังวังครองกระบี่ บางส่วนถูกขั้วอำนาจอื่นใช้วัตถุมาแลกเปลี่ยน
พวกที่ถูกแลกเปลี่ยนเหล่านั้น โถงครองกระบี่ก็มีการจดบันทึกสถานที่ไปเช่นกัน
สวี่ชิงเปิดอ่านอยู่นาน สิ่งที่สืบได้ก็มีเพียงเรื่องพวกนี้เท่านั้น
“นอกจากว่าจะไปไล่สืบที่ไปของทุกทาง ไม่เช่นนั้นแล้วก็ยากจะหาเบาะแสเจอ” สวี่ชิงขมวดคิ้ว มองเอกสารจำนวนมหาศาล ดวงตาของเขามีแววลึกล้ำ
ขณะเดียวกันนี้ ในเขาประกายอรุณแห่งนี้ ในจุดลึกของหุบเหวมหาสมุทร…ที่นี่เต็มไปด้วยสิ่งประหลาดมากมาย ยิ่งมีพลังกดดันน่ากลัวจนถึงขีดสุดที่มาพร้อมด้วยเจตจำนงแห่งความตายปกคลุมทั่วทุกทิศ
ทุกสิ่งล้วนรางเลือน ทุกอย่างล้วนบิดเบี้ยว เหมือนเป็นโลกที่เกิดจากเทพเจ้าลืมตา
เหมือนว่าผู้บำเพ็ญคนใดที่มาถึงที่นี่ล้วนได้รับผลกระทบไม่ระเบิดแตกดับก็กลายพันธุ์
ที่นี่คือแดนต้องห้ามชีวิต
และต้นกำเนิดของทุกอย่างคือซากกระดูกของดวงอาทิตย์ที่สำหรับโลกภายนอกได้หายสาบสูญไปตั้งนานแล้ว
บนเนื้อชุ่มเลือดบนซากกระดูกที่มีขนาดพันจั้งนี้ ชายชราเผ่าจิตรกรรมยืนตัวสั่นงันงกอยู่ตรงนั้น มองนิ้วขนาดร้อยจั้งนิ้วหนึ่งที่ลอยอยู่ข้างหน้า แผ่พลังอำนาจเทพที่น่ากลัวออกมา
“ใต้เท้าทรงอำนาจเกรียงไกรนัก ได้ยินมาว่าในห้วงเวลาเนิ่นนานนี้ ทุกเผ่าต่างหาซากกระดูกที่นี่ทว่าหาให้ตายก็หาไม่เจอ แต่ใต้เท้าพอมาถึงก็เจอเลย ใต้เท้าเป็นเทพที่สวรรค์เลือกจริงๆ ด้วย!
“เพียงแต่ ซากกระดูกของดวงอาทิตย์ชิ้นนี้เนื่องจากแตกดับมานานเหลือเกิน ตอนนี้ขาดความมีชีวิตชีวา ยากจะนำมาใช้เป็นสีนะขอรับ”
ชายชราเผ่าจิตรกรรมเอ่ยเสียงสั่น
“มีเพียงหาสิ่งมีชีวิตเป็นๆ บางอย่างให้มากหน่อยแล้วส่งเข้าไป ชดเชยความมีชีวิตชีวาให้มัน ถึงจะมีความเป็นไปได้ที่จะเอามาใช้เป็นสี…”
นิ้วเทพเจ้าได้ยินก็เปลี่ยนทิศเล็กน้อย จากการที่รอบๆ รางเลือนและบิดม้วน เงาร่างของมันก็หายไปในพริบตา
เห็นนิ้วจากไปไกล ชายชราเผ่าจิตรกรรมหน้าตาเป็นทุกข์ทันที
“นี่จะทำอย่างไรดี…เมื่อวาดเสร็จองค์ท่านฆ่าข้าทิ้งแน่นอน แต่ไม่วาดก็ถูกฆ่าเหมือนกัน…”
และในตอนนี้ก็เป็นเวลาก่อนแสงอรุณจะสาดส่อง
ท้องฟ้ามืดมิดไปทั้งผืน แม้จันทร์กระจ่างจะลอยเด่น แต่แสงจันทร์ในมณฑลประกายอรุณไม่อาจส่องทะลุหมอกได้ ดังนั้น ทั้งหุบเหวสมุทรก็ยังคงดำมืดไปหมด
มีเพียงยอดเขาที่อยู่ตั้งตระหง่านอยู่บนหุบเหวสมุทรที่ทะลุผ่านหมอก มองเห็นจันทร์เพ็ญบนท้องฟ้า
เพียงแต่ภูเขาที่หุบเหวสมุทรส่วนมากไม่สูง ดังนั้นทั่วทั้งมณฑลประกายอรุณสถานที่ที่สว่างที่สุดมีเพียงเขาประกายอรุณเท่านั้น
บนเขาประกายอรุณ สวี่ชิงยืนอยู่บนชั้นสามของหอเอกสาร มองท้องฟ้าไปตามหน้าต่างไม้ ลมภูเขาพัดมา กระทบต้องผมยาวของเขาปลิวพริ้ว และเผยให้เห็นดวงตาทั้งสองข้างที่สะท้อนแสงจันทร์
‘หากจะสืบเบาะแส อาศัยลำพังเพียงพลังของข้าคนเดียวจะต้องใช้เวลานานมาก’ สวี่ชิงพึมพำในใจ คิ้วค่อยๆ ขมวดมุ่น
เรื่องนี้เขาบอกคนอื่นไม่ได้ ต่อให้เป็นผู้ครองกระบี่ที่รักษาการณ์อยู่ที่นี่ก็จะบอกออกไปง่ายๆ ไม่ได้ เพราะหากการวิเคราะห์ของเจ้าวังถูกต้อง คนเบื้องหลังที่ฆ่าเจ้าเขตปกครองจะต้องมีอำนาจล้นฟ้าแน่นอน
ดังนั้นต่อให้เป็นผู้ครองกระบี่ที่นี่…สวี่ชิงก็ไม่กล้าเชื่อ
เพราะค่าตอบแทนของการไว้ใจคนผิด สำหรับเขาแล้วคือวิกฤตชีวิตเป็นตาย
เงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง สวี่ชิงอ่านเอกสารอีกจำนวนหนึ่งอีกครั้ง สุดท้ายก็ไปจากหอเอกสาร เดินไปในโถงครองกระบี่ที่กว้างขวางเงียบสงัดด้วยการซ่อนอำพราง
ยิ่งใกล้สว่าง จากแสงที่ลาลับของจันทร์เพ็ญ ฟ้าดินก็ยิ่งมิดมิด นี่เป็นสิ่งที่ต้องประสบพบเจอก่อนรุ่งสางจะมาเยือน
และในเวลานี้ลมก็มักจะเย็นยะเยือกกว่าปกติเล็กน้อย สายลมกระทบต้องร่างของสวี่ชิง พัดแขนเสื้อชุดนักพรตสะบัด
สวี่ชิงเดินไปในเขาประกายอรุณอย่างเงียบๆ เขาเตรียมไปหาหลุมฝังศพของบิดามารดา อยากจะไปเซ่นไหว้
เขารอวันนี้มาเนิ่นนานเหลือเกิน
จิตใจที่คลอนไหวไปมา คลื่นความคิด ทุกอย่างกลายเป็นระลอกคลื่น แผ่มาในใจสวี่ชิงไม่ขาดสาย
สะกดเอาไว้ไม่ได้ ฝังกลบลงไปไม่ได้
ในยามที่ลมพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ ร่างของสวี่ชิงก็สั่นขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้เล็กน้อย เรื่องนี้น้อยนักที่จะเห็นจากเขา
สวี่ชิงไม่ได้ควบคุมมัน เขาหลับตา ประสาทสัมผัสรับรู้แผ่ออกไป ไปตามการชี้นำจากสายเลือดอันรางเลือน เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างเงียบงัน เดินผ่านบ้านหลังหนึ่ง ที่นี่มีการชี้นำจากสายเลือด
เดินผ่านหินผาก้อนหนึ่ง ที่นี่ก็มีการชี้นำจากสายเลือดเช่นกัน
เดินผ่านเจดีย์สูงแห่งหนึ่ง ที่นี่ก็มีการชี้นำจากสายเลือดเช่นกัน
สวี่ชิงเดินอยู่นาน ผ่านพื้นที่แต่ละแห่งๆ เดินบนเขาประกายอรุณส่วนหนุึ่งที่โผล่ขึ้นมาจากหุบเหวสมุทรจนทั่วแล้ว
จวบจนสุดท้าย ที่ยอดเขา เขาก็หยุดแล้วยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้น
ลมภูเขาแรงกว่าเมื่อครู่ขึ้นอีก ท้องฟ้ามืดมิดจากดวงอาทิตย์ที่ลอยขึ้นมาก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง เหมือนไฟแผดเผา ค่อยๆ มีแสงส่องทะลุผ่านชั้นเมฆ ส่องมาบนหุบเหวสมุทร กระทบมายังยอดเขาทุกลูก และสาดส่องมายังเขาประกายอรุณ
แสงเจ็ดสีสาดออกมาจากหินผาทุกแห่งบนเขาประกายอรุณ หลังจากที่สะท้อนกับแสงอาทิตย์ ก็ก่อเป็นกลุ่มแสงงดงาม กลายเป็นสิ่งที่ดึงดูดสายตาที่สุดในฟ้าดิน ณ เสี้ยวขณะนี้
มองไกลๆ บนหุบเหวสมุทรสีดำ ภูเขาเจ็ดสีลูกหนึ่งเจิดจ้าพร่างพราย เหมือนเป็นต้นกำเนิดของแสงทุกอย่าง คิดจะประชันแสงกับดวงอาทิตย์
แสงของมันปกคลุมไปทั่วทุกสารทิศ จากม่านฟ้าที่สว่างขึ้นเรื่อยๆ จากการลอยขึ้นของดวงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ แสงเจ็ดสีของเขาประกายอรุณก็ยิ่งสว่างขึ้นในเสี้ยวพริบตานี้แผ่แสงพรายยามรุ่งอรุณเจิดจ้าออกไปรอบๆ ตลอดเวลา
งดงามพร่างพราย
ในภาพอันสวยงามนี้ สวี่ชิงลืมตาขึ้น เขาก้มหน้ามองหินใต้เท้า เขาเข้าใจแล้ว
ทำไมพื้นที่ที่เขาเดินผ่านทุกแห่ง ทุกตำแหน่งจึงมีการชี้นำของสายเลือด
ทำไมตัวเองหามาจนถึงตอนนี้ ทั้งๆ ที่สัมผัสอยู่ข้างๆ แต่กลับหาตำแหน่งของหลุมฝังศพไม่เจอเสียที
“ข้าฝังท่านพ่อท่านแม่ไว้ที่เขาประกายอรุณ” นี่คือสิ่งที่รัชทายาทรัฐม่วงครามบอกสวี่ชิงในตอนนั้น
เสี้ยวขณะนี้สวี่ชิงรู้ถึงสาเหตุแล้ว
“หลุมฝังศพของท่านพ่อท่านแม่ก็คือภูเขาประกายอรุณลูกนี้…พวกเขาถูกฝังไว้ในจุดลึกของใจกลางภูเขาลูกนี้ ดังนั้นในเสี้ยวพริบตาที่ข้าเหยียบมาบนภูเขาลูกนี้ ก็สัมผัสได้ถึงการชี้นำของสายเลือด”
สวี่ชิงพึมพำ มองภูเขาประกายอรุณใต้เท้า เขาอยากเข้าไปภายในเขาลูกนี้ แต่ความพิเศษของเขาประกายอรุณ ด้วยพลังบำเพ็ญของเขาในตอนนี้ยังไม่สามารถทำถึงจุดนั้นได้
นาน นานมากๆ
สวี่ชิงคุกเข่าลงอย่างเงียบๆ สองมือลูบไปบนหินผา ก้มหน้า
ที่นี่ไม่มีใครรับรู้ถึงตัวตนของเขา ย่อมไม่มีใครเห็นว่าบนหินผาที่สวี่ชิงก้มหน้า หยดน้ำไหลมาตามใบหน้าและปรายจมูกของเขา ไหลลงมาแต่ละหยดๆ แทรกซึมไปในหินผา ราวกับน้ำหมึก
มีเพียงแสงเจ็ดสีจากเขาประกายอรุณที่แผ่ออกมาอยู่ตลอด คล้ายว่าแปรเปลี่ยนเป็นมืออันอ่อนโยนข้างหนึ่ง กำลังลูบร่างอันสั่นเทาและใบหน้าที่ร่ำไห้อย่างไร้เสียงของสวี่ชิงอย่างแผ่วเบา
ไม่รู้ว่านานเท่าไร หน้าผากของสวี่ชิงสัมผัสไปกับหินผา
“ท่านพ่อ…ท่านแม่…พักผ่อนให้สบาย…”
สวี่ชิงพึมพำ เสียงค่อนข้างแผ่วเบา มีเพียงตัวเขาที่ได้ยิน
สุดท้าย เขาเงยหน้าขึ้น ไม่เห็นน้ำตา
เขาลุกขึ้น ความเย็นยะเยือกตลบอวล เดินไปข้างล่างภูเขา จากไปไกลอย่างเงียบๆ
ฟ้าในตอนนี้สว่างแล้ว
แสงอาทิตย์เจิดจ้าสาดส่อง กระทบมาที่เงาแผ่นหลังของสวี่ชิง และสาดทอมาบนเขาประกายอรุณโดยสมบูรณ์
แสงพรายพราวพร่าง เจิดจ้างดงาม ช่างสวยจับจิตนัก
สวี่ชิงจากไปแล้ว
ความปรารถนาโดยตลอดมาของเขาความจริงไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น เขาแค่อยากมาเขาประกายอรุณ มาเซ่นไหว้หน้าหลุมฝังสพของบิดามารดาเท่านั้น
นานหลังจากนั้น สวี่ชิงที่เดินมาถึงตีนเขา หันกลับไปมองเขาเจ็ดสีที่เจิดจ้าพร่างพรายในฟ้าดิน จ้องมองอยู่นาน
“วันหน้า เมื่อไม่มีความเสียดายใดๆ แล้ว ข้าจะมาลงหลักปักฐานที่นี่”
สวี่ชิงพึมพำเสียงเบา หลับตาลง
หลังจากนั้นสามสี่อึดใจ ในยามที่ลืมตาอีกครั้ง เขาเห็นความคิดทั้งหมดในใจลงไป ดวงตาฉายความเหี้ยมโหดอีกครั้ง หันหลังเดินจากไปไกล ฝีเท้ายิ่งยืนหยัดมั่นคง
เขาจะไปหุบเขาใต้หุบเหวสมุทรแห่งหนึ่งนอกเขาประกายอรุณ ที่นั่นห่างจากเขาประกายอรุณไม่ไกลนัก เป็นสถานที่ที่แสงประกายอรุณทางสุดท้ายในบันทึก
เขาเตรียมไปตรวจสอบสักหน่อยว่ามีเบาะแสหรือไม่
ใต้หุบเหวสมุทรกับข้างบนเหมือนเป็นโลกสองใบ หมอกขวางกั้นแสงอาทิตย์ ความหนาวยะเยือกขวางกั้นความอบอุ่น
สวี่ชิงเดินไปในความมืดตามเขาประกายอรุณ เร็วขึ้นเรื่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นรอยเงาทางหนึ่ง ลึกเข้าไปในความมืดเรื่อยๆ จวบจนมาถึงจุดใต้สุดของเขาประกายอรุณ
นี่ก็คือก้นบึ้งของหุบเหวสมุทรแห่งนี้
ที่นี่เต็มไปด้วยสิ่งประหลาด เต็มไปด้วยความชั่วร้าย ในความมืดมิดรอบๆ มีลูกไฟวิญญาณสีเขียวจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นมาเป็นบางครั้ง ขณะที่ลอยไปลอยมา ก็เงียบสงัดไปแถบ
‘หลังจากดวงอาทิตย์แตกดับ สิ่งที่แผ่ออกมาก็คือสิ่งประหลาดเหมือนกัน…’ สวี่ชิงหลังจากสัมผัส ก็ครุ่นคิด เคลื่อนไปด้วยความระแวดระวังภัยและป้องกันกันอันตราย พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
เขารู้ดีว่าหุบเหวสมุทรที่สิ่งประหลาดหนาแน่นจะต้องมีอันตรายอย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องให้กำเนิดความชั่วร้ายมากมาย ความจริงนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำไมผู้บำเพ็ญมณฑลประกายอรุณไม่เคยเดินทางใต้ดินมาก่อน
เหมือนกับทะเลต้องห้าม ไม่มีใครรู้ว่าใต้หุบเหวสมุทรมีตัวตนที่น่ากลัวมากน้อยเพียงใด
อยู่ในระยะยาวจะทำให้อันตรายเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
สวี่ชิงนอกจากจะระแวดระวังแล้วก็เพิ่มการซ่อนอำพราง เงาร่างราวภูตผี เข้าไปใกล้หุบเขาที่เขาต้องการจะไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นสองชั่วยาม สวี่ชิงที่ออกไปจากขอบเขตของค่ายกลเขาประกายอรุณ ก็มาถึงยังสถานที่เป้าหมาย
หุบเหวที่ว่าความจริงเป็นรอยแยกขนาดมหึมาใต้หุบเหวสมุทร กว้างถึงร้อยจั้ง ความยาวที่ทอดตัวไกลถึงหลายพันจั้ง
หมอกดำลอยออกมาจากรอยแยกนี้เป็นระยะๆ หลอมรวมไปรอบๆ
สวี่ชิงหลังจากที่มองเห็นอยู่ไกลๆ เพิ่งจะทะยานไป แต่สีหน้าก็พลันเปลี่ยน ย่อตัวลงทันที ซ่อนอยู่ข้างหลังหินผาแห่งหนึ่ง เขาหรี่ตามองไปยังหมอกที่ลอยออกมาจากหุบเหวไกล
ในหมอกพวกนั้น สวี่ชิงสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นที่คุ้นเคยจำนวนหนึ่ง
“อร่อย…ควัน…” แทบจะในขณะเดียวกับที่สวี่ชิงสัมผัสได้ เจ้าเงาก็ส่งจิตเทพมาอย่างรวดเร็ว ส่งมาในเวลาเดียวกัน ทำให้สิงโตหินและศีรษะที่ห่ออยู่ข้างในปรากฏออกมาในขณะที่สั่นเทา
หลังจากที่พวกมันสองตนปรากฏออกมาก็ไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย หลังจากที่ถูกเจ้าเงาหุ้มไว้ ความรู้สึกที่เหมือนถูกกินแบบนั้นทำให้พวกมันอกสั่นขวัญแขวน
สวี่ชิงไม่สนใจสิงโตหินกับศีรษะ จ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากที่สังเกตได้ว่าในหมอกมีเงาร่างเผ่าควันขจรอยู่จริงๆ เขาก็ไม่บุ่มบ่าม แต่สั่งเจ้าเงาให้มันแผ่ออกไปสำรวจ
ไม่นานนัก เจ้าเงาก็เคลื่อนหน้าไปอย่างเร็วรี่บนพื้น ไม่ได้เข้าไปในหุบเหว ไม่นานนักก็กลับมา แสดงคลื่นอารมณ์กับสวี่ชิง แต่การแสดงของมันรางเลือนมาก คล้ายว่าสิ่งที่มันเห็นซับซ้อนเกินไป
ต่อให้เป็นบรรพจารย์สำนักวัชระก็ยังงุนงงสับสนไปเล็กน้อยเช่นกัน
สวี่ชิงขมวดคิ้ว สะบัดมือโยนศีรษะที่อยู่บนหางสิงโตหินไปให้เจ้าเงา
“เอามันไปด้วย”
ภายใต้ความหวาดกลัวของศีรษะ เจ้าเงากลืนมันลงไปในคำเดียว พุ่งตรงไปยังหุบเหว หลังจากนั้นครู่หนึ่งในตอนที่กลับมา ศีรษะก็รีบพูด
“ใต้เท้า ข้าเห็นแล้ว ในนั้นเป็นเผ่าควันขจรหมดเลย มีประมาณหลายร้อยตน ในนั้นมีระดับปราณก่อกำเนิดหลายตน!
“พวกมันกำลังติดตั้งของวิเศษเวทชิ้นหนึ่ง จากการสังเกตและศึกษาอย่างละเอียด รวมกับความรู้อันกว้างขวางของข้า เพียงผาดเดียวข้าก็จำได้ว่า นั่นเป็นของวิเศษเวทต้องห้ามที่สร้างการรบกวนครั้งเดียว”
บรรพจารย์สำนักวัชระขมวดคิ้วอยู่ข้างๆ สายตากวาดมองศีรษะ เกิดความรู้สึกอันตรายขึ้นมาเพิ่มขึ้นรางๆ
สวี่ชิงได้ยิน มองไปทางหุบเหว ในดวงตากะพริบประกายแสงเย็นเยียบ
อยู่ใกล้เขาประกายอรุณขนาดนี้ ติดตั้งของวิเศษเวทแบบนี้ เป้าหมายของเผ่าควันขจรเดาได้ไม่ยาก เป้าหมายที่อีกฝ่ายจะรบกวน มีความเป็นไปได้สูงว่าเกี่ยวกับเขาประกายอรุณ
แม้การคาดเดาเช่นนี้จะค่อนข้างไร้หลักการ แต่อย่างไรก็ยังมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะใช้กับที่อื่น
แต่…ผิดก็ผิด สำหรับสวี่ชิงแล้วไม่สำคัญ เดิมเขาก็เกลียดชังเผ่าควันขจรมากอยู่แล้ว นอกจากนี้ เขาประกายอรุณในใจสวี่ชิงตอนนี้แตกต่างไปมาก
ดังนั้น หุบเหวที่เผ่าควันขจรอยู่แห่งนี้ ทำลายเสียก็สิ้นเรื่อง
‘หากมีระดับปราณก่อกำเนิด เข้าไปสังหารเลยยาก’ ภายใต้การยกมือขวาสะบัดของสวี่ชิง ท่ามกลางวังสวรรค์วังที่สามสั่นสะเทือนในทันที พลังพิษต้องห้ามแผ่ออกมาแผ่ลามไปรอบๆ อย่างรวดเร็วตามร่างกายของเขา
จากนั้นเขาก็สัมผัสทิศทางลมหนาวที่พัดที่นี่เล็กน้อย มายังบริเวณที่ลมพัดผ่านอย่างเงียบงัน ทำการปล่อยพิษอีกครั้ง
เขาใช้เวลาครึ่งชั่วยามเช่นนี้เอง แผ่พลังพิษต้องห้ามไปรอบๆ ไม่หยุด สุดท้ายก็คำนวณเล็กน้อย มั่นใจว่าเพียงพอแล้ว เขาก็ย่อตัวนั่งลงที่ไกลๆ ดวงตาฉายจิตสังหาร มือขวายกขึ้นแล้วชี้
ทันใดนั้นพิษรอบๆ ที่ลอยอวลก็หอบม้วน ในนั้นมีแมลงสีดำนับไม่ถ้วน พัดไปยังรอยแยกหุบเขาอย่างรวดเร็ว
เพียงพริบตา พิษทั้งหมดก็พุ่งเข้าไปในหุบเหว
ไม่นานนักเสียงโหยหวนและเสียงคำรามแต่ละเสียงๆ ก็พลันดังออกมาจากในหุบเหว
ในขณะเดียวกัน ณ จุดลึกหุบเหวสมุทรที่ห่างจากที่นี่ระยะหนึ่ง นิ้วขนาดร้อยจั้งข้างหนึ่งกำลังเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วโดยไร้ความหวาดกลัว ทุกที่ที่ผ่าน สิ่งมีชีวิตทั้งหมดล้วนถูกมัดไว้ข้างหลังมัน
กวาดตามองไป ข้างหลังมันมีผู้บำเพ็ญเผ่าต่างๆ จำนวนหลายร้อย ทุกคนต่างถูกมัดไม่อาจสลัดหลุดได้ สีหน้าสิ้นหวัง