Skip to content
Home » Blog » Outside Of Time 503

Outside Of Time 503

บทที่ 503 นรกในโลกมนุษย์

ได้ยินคำพูดของบรรพจารย์ นายกองซาบซึ้งขึ้นมาทันที มองไปทางเสี่ยเลี่ยนจื่อด้วยน้ำตาคลอเบ้า

เงาร่างของอีกฝ่ายในใจเขายิ่งใหญ่เหลือประมาณ สาดประกายแสงอบอุ่น

ครั้งนี้เขาตกใจกลัวกับสถานการณ์ผู้บำเพ็ญหลายล้านคนของสองมณฑลแล้วจริงๆ และการก้าวออกมาของบรรพจารย์ คำพูดที่ยุติธรรมเที่ยงตรง ทัศนคติที่ถูกต้องต่อตน ทุกอย่างทำให้ความน้อยเนื้อต่ำใจมหาศาลในใจของนายกองแปรเปลี่ยนเป็นความซาบซึ้ง

เขารู้สึกว่าในโลกนี้ยังมีความอบอุ่น ฟ้าดินยังมีความจริงใจ!

และบรรพจารย์สุดท้ายแล้วก็รักเขามากที่สุด ตัวเขายังเป็นศิษย์หลานตัวน้อยที่บรรพจารย์รักที่สุด

นายกองจึงใช้แรงสุดกำลังเบิกหนังตาขึ้น จะมองไปทางสวี่ชิง

สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ หิ้วศีรษะนายกองมองไปทางผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสองของมณฑลบังคับจำนนและรับเสด็จราชัน เอ่ยขึ้นอย่างสงบนิ่ง

“จากรายงานอักษรเจี่ยหมายเลขหนึ่งสามเจ็ดเก้าที่กรมอาลักษณ์รวบรวม เคราะห์ภัยวุ่นวายของสองมณฑลล้วนเกี่ยวกับเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ และได้รับการยืนยันจากรายงานตัวอักษรมี่หมายเลขที่สองหนึ่งสี่ว่าฝั่งเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ปลุกแดนต้องห้ามอาภรณ์

“นอกจากนี้ ผนึกมณฑลบังคับจำนนราบรื่นกว่ามณฑลรับเสด็จราชันอย่างเห็นได้ชัด สรุปจากการเปรียบเทียบข้อมูลที่ส่งมาจากทั้งสองมณฑลแล้ว ต่อให้มณฑลบังคับจำนนไม่มีกองทัพเสริม อย่างมากหนึ่งเดือนก็จะสามารถจัดการเคราะห์แดนต้องห้ามอาภรณ์ได้ ส่วนมณฑลรับเสด็จราชันต้องใช้เวลามากกว่านั้น

“เรื่องนี้ในตอนที่อยู่ที่กรมอาลักษณ์ ข้าก็สงสัยเช่นกัน เดิมคิดว่าประตูเทพเจ้าแดนต้องห้ามมรณะเป็นต้นเหตุที่ทำให้การผนึกยากลำบากกว่าเดิม แต่ตอนนี้ดูแล้ว น่าจะเกี่ยวพันกับความร่วมมือของเฉินเอ้อร์หนิวในแดนต้องห้ามอาภรณ์”

นายกองซาบซึ้งขึ้นมาอีกครั้ง

เขาขยับศีรษะอย่างรวดเร็ว ทำท่าพยักหน้า และหน้าตาโทรมๆ ของเขา หนวดเครารกครึ้ม ฉายความอเนจอนาถออกมาอย่างเข้มข้น ท่าทางแบบนี้เพิ่มความน่าเชื่อถือได้อีกเล็กน้อย

แต่เสียงที่น่าเชื่อถือที่สุดตอนนี้ดังมาจากที่ไกล

“ความวุ่นวายในแดนต้องห้ามอาภรณ์ไม่เกี่ยวกับสหายตัวน้อยเผ่ามนุษย์ผู้นี้ กลับเป็นการมาเยือนของเขาที่ช่วยเผ่าเราเอาไว้ได้อย่างมหาศาล”

คนทั้งหลายมองไปทันที เห็นเพียงเสื้อผ้าแต่ละตัวๆ บินออกมาจากบนผ้าคลุมศพที่อยู่ข้างล่าง แปรเปลี่ยนเป็นสีสันต่างๆ กลางอากาศ เป็นเผ่าอาภรณ์นั่นเอง

เพียงแต่ เทียบกับสมาชิกเผ่าที่ตายไป จำนวนของเผ่าอาภรณ์ที่เหลือรอดมีไม่มาก

ผู้ที่เป็นผู้นำพูดออกมาเป็นชุดจักรพรรดินีหญิงชุดหนึ่ง ข้างหลังมันรวมไว้ซึ่งชุดองครักษ์จำนวนมหาศาล

การปรากฏตัวขึ้นของพวกมันทำให้ผู้บำเพ็ญที่นี่ต่างประสานหมัด การผนึกแดนต้องห้ามอาภรณ์ครั้งนี้ เผ่าอาภรณ์ลงแรงมากที่สุด และคำพุดของชุดจักรพรรดิก็แน่นอนว่ามีน้ำหนักมหาศาล

เห็นเผ่าอาภรณ์ปรากฏตัวขึ้น นายกองรีบโก่งคอสองสามที แต่รู้สึกว่าไม่ค่อยง่าย จึงพูดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“อาชิงน้อยช่วยข้าหน่อย”

สวี่ชิงใบหน้าไร้อารมณ์ ยกมือล้วงเข้าไปในปากนายกอง หลังจากควานๆ ครู่หนึ่ง ก็ล้วงเอาถุงมือข้างหนึ่งออกมาจากปากนายกอง

ก็ไม่รู้ว่านายกองซ่อนได้อย่างไร ถุงมือข้างนี้ถูกขยุ้มเอาไว้ เต็มไปด้วยรอยยับย่น ตอนนี้เมื่อเอาออกมา จากการที่นายกองเป่าลมไป มันก็พองขยายอิ่มเอิบ ฟื้นคืนสภาพเดิม

เป็นนวลนางนิ้วทั้งห้านั่นเอง

นางเพิ่งฟื้นตื่น คล้ายว่ายังมึนๆ งงๆ เล็กน้อย หลังจากบินออกไปก็โซซัดโซเซวนล้อมรอบศีรษะของนายกองอยู่สองสามรอบ จากนั้นก็ฟื้นคืนสติอย่างสมบูรณ์ แผ่ระลอกคลื่นอารมณ์ดีใจ โบกมือให้นายกอง ก่อนจะบินไปทางเผ่า

สวี่ชิงสังเกตเห็นสายตาที่นายกองมองถุงมือนั่นว่าไม่ค่อยชอบมาพากลหน่อยๆ อ่อนโยนเกินไป สายตาแบบนี้สวี่ชิงก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นจากนายกอง

แต่เขารู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาซักถาม จึงไม่ได้เอ่ยปาก

และผนึกแดนต้องห้ามอาภรณ์ตอนนี้โดยพื้นฐานก็เป็นรูปร่างแล้ว ชุดสวมใส่สำหรับคนตายสีดำตัวนั้นถูกผ้าคลุมศพคลุมโดยสมบูรณ์

จึงทำตามแผน หลังจากนี้หนึ่งชั่วยาม ผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์จำนวนมหาศาลที่โถงครองกระบี่มณฑลบังคับจำนนรวบรวมมาจากในมณฑลของตัวเองเองร่วมกับมณฑลรับเสด็จราชันก็เริ่มไปช่วยเหลือแนวหน้า

กองทัพเกรียงไกรเคลื่อนพลรวดเร็ว ไปจากแดนต้องห้ามอาภรณ์

ยิ่งใหญ่เกียงไกร ทรงแสนยานุภาพ

ส่วนชิงฉิน ในยามที่กองทัพเปิดค่ายกลส่งข้ามขอบเขตกว้างที่โถงครองกระบี่มณฑลบังคับจำนน ทยอยส่งข้ามไปนั้น มันก็ส่งเสียงแกว๊กให้สวี่ชิง สายตาฉายแววอำลา

มันช่วยสวี่ชิงเพราะคำฝากฝังจากพี่ใหญ่ แต่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีจุดยืนของตัวเอง ติดตามจนถึงที่สุดโดยไม่ลังเล

แม้มันจะไม่ได้เกลียดชังเผ่ามนุษย์ แต่ก็พูดไม่ได้ว่ามีความรู้สึกดีอะไร โดยเฉพาะสงครามใหญ่ระหว่างสองเผ่าแบบนี้ มันไม่อยากร่วมด้วย นี่ก็เป็นเหตุที่ก่อนหน้านี้เจ้าวังไปเชิญแต่มันกลับปฏิเสธ

ดังนั้น เพื่อช่วยสวี่ชิงเป็นการส่วนตัวมันยินดี แต่เพื่อเผ่าพันธุ์มันไม่ยินดี

แม้ตั้งแต่ต้นจนจบ ชิงฉินจะไม่ได้ส่งจิตเทพใดๆ ออกมา อาศัยเพียงเสียง แต่สวี่ชิงตอนนี้มองชิงฉิน เขาก็สามารถเข้าใจการตัดสินใจของอีกฝ่ายได้

“ขอบคุณผู้อาวุโสชิงฉินมากขอรับ!”

สวี่ชิงสีหน้าเคร่งขรึม ยืนอยู่บนเรือยักษ์ประสานหมัดโค้งคารวะอย่างจริงจัง

ชิงฉินบินบนท้องฟ้า หัวทั้งสามมองสวี่ชิง สุดท้ายหลังจากที่บินวนเวียนสองสามรอบ ก็ส่งเสียงคำรามออกมาเป็นชุด

แกว๊กๆๆ!

ภายใต้เสียงคำราม มันสยายปีกกระพือ ร่างส่งเสียงดังครืนครันก็พุ่งตรงไปบนท้องฟ้า จากไปไกลจากขอบฟ้า

สวี่ชิงจ้องมองท้องฟ้า จวบจนเงาร่างของชิงฉินหายลับไปโดยสมบูรณ์ นายกองที่ส่วนสูงถึงเพียงเข่าของเขาก็ถอนหายใจ

“คิดไม่ถึงเลย ช่วงนี้จะเกิดเรื่องมากมายขนาดนี้”

ใต้ศีรษะของนายกองตอนนี้มีร่างเด็กทารกงอกขึ้นมา มือเท้าเล็กๆ อวบอ้วนเดิมควรจะน่ารักน่าเอ็นดู ทว่าเมื่อมีศีรษะของผู้ใหญ่ทำให้เขาดูแล้วแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง

สวี่ชิงกวาดสายตารอบๆ พบว่าคนทั้งหลายที่นี่ทยอยเดินไปในค่ายกลส่งข้ามแล้ว จึงก้มหน้ามองไปทางนายกอง เอ่ยถามไป

“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านทำเรื่องอะไรในนั้นกันแน่”

นายกองถอนหายใจ

“ข้าก็น้อยใจนะ หลังจากพวกเราแยกกันส่งข้ามที่ต้นสิบลำไส้ สถานที่ที่ข้ามาปรากฏตัวก็คือที่เผ่าอาภรณ์ ที่นี่ข้าได้เจอกับน้องสาวนวลนางนิ้วทั้งห้า ดังนั้นข้าเลยเสนอไปว่าอยากไปเที่ยวเล่นในสถานที่สนุกๆ ของเผ่าพวกเขา คิดไม่ถึงว่าเดินไปๆ แดนต้องห้ามอาภรณ์จะฟื้นตื่นขึ้นมาเสียดาย!!

“ตื่นขึ้นมาก็ช่างเถิด แต่ยังกลืนน้องสาวนวลนางทั้งห้าของข้า!”

“ต่อหน้าข้า กลืนน้องสาวนวลนางนิ้วทั้งห้าของข้า นั่นเป็นเรื่องที่ข้ายอมได้หรือ ข้าจึงไล่ตามไป เข้าไปในส่วนลึกของแดนต้องห้ามอาภรณ์ เสี่ยงตายในนั้น ในที่สุดก็ช่วยน้องสาวนวลนางนิ้วทั้งห้าออกมาได้

“แต่เจ้าก็รู้จักนิสัยข้า ข้าเป็นคนที่ยอมเสียเปรียบคนหรือ!

“ดังนั้น ด้วยความโกรธของข้า ข้าจึงตัดสินใจเดินเข้าไปลึกอีกนิด จากนั้นเห็นหัวใจดวงหนึ่งล่องลอยอยู่กลางอากาศ มันน่าจะกำลังฟื้นตื่น ทั้งร่างส่งกลิ่นหอม ดังนั้นเพื่อแก้แค้น ข้าจึงกัดกินหัวใจวิญญาณที่มันต้องการในการฟื้นตื่นไปหลายคำ”

นายกองกระแอม มือเล็กๆ ทั้งสองข้างไพล่อยู่ข้างหลัง มองไปทางสวี่ชิง

สวี่ชิงมองนายกอง เขานึกถึงเสียงก่นด่าและความโกรธเดือดดาลขั้นสุดของใบหน้าดวงนั้นเมื่อก่อนหน้านี้ คิดแล้วไม่น่าจะกลืนไปสองสามคำง่ายๆ แบบนั้น

ส่วนคำพูดของนายกองสวี่ชิงเชื่อเพียงครึ่งเดียว เนื่องจากขาดข้อมูล ดังนั้นเขารู้ว่าเคราะห์ความวุ่นวายแดนต้องห้ามอาภรณ์ นายกองไม่ได้เป็นคนก่อจริงๆ

แต่เรื่องภายหลังที่นายกองพูดเหล่านั้น สวี่ชิงไม่เชื่อเลย

เขารู้สึกว่าด้วยนิสัยของนายกองจะจ้องทำเรื่องสะท้านฟ้าสะเทือนดินอะไรในนั้นแน่ๆ คิดแล้วต่อให้เป็นเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ก็คาดไม่ถึงว่าแผนการอันรอบคอบของพวกมันจะเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดเช่นนี้ได้เหมือนกัน

แต่สรุปแล้ว ผลลัพธ์นั้นดี อีกทั้งยังทำให้ผนึกราบรื่นขึ้นอีกเล็กน้อยด้วย

สวี่ชิงจึงพยักหน้า กวาดสายตามองนายกองตัวเตี้ย เอ่ยขึ้นอย่างช้าเนิบ

“เช่นนั้นแล้ว กลับไปข้าจะบันทึกให้ศิษย์พี่ใหญ่ นับว่าเป็นคุณงามความชอบครั้งใหญ่เรื่องหนึ่งเหมือนกัน”

นายกองได้ยินคำพูดนี้ก็หน้าตาเบิกบาน หัวเราะร่า

“นี่สิถึงจะเป็นศิษย์น้องเล็กของข้า ฮ่าๆ ให้เจ้า”

นอกจากดีใจแล้ว นายกองกวาดตามองไปรอบๆ หยิบเอาผลึกวารีสีเขียวครามขนาดเท่าไข่ไก่ออกมาก้อนหนึ่ง ยัดไปในมือสวี่ชิง

ผลึกวารีนี่เห็นได้ชัดว่าถูกผนึก มองเผินๆ ไม่มีอะไร มีเพียงถือเอาไว้ในมือถึงจะสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นน่าตกใจที่แฝงอยู่ในนั้น สวี่ชิงหลังจากรับเอาไว้ วิญญาณของเขาก็แผ่ความปรารถนาออกมาตามสัญชาตญาณ

กระทั่งว่านิ้วเทพเจ้าในวังสวรรค์ติงหนึ่งสามสองก็ยังสั่นสะท้านไปเช่นกัน

สวี่ชิงหวั่นไหว

“นี่คืออะไร”

“แฮ่ม รู้หรือไม่ทำไมข้าถึงเรียกไอ้ตัวดีในแดนต้องห้ามอาภรณ์ว่าไม่มีสมอง” นายกองคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม กะพริบตาปริบๆ ให้สวี่ชิง มือเล็กๆ อ้วนป้อมยกขึ้น ชี้ไปที่ผลึกวารีสีเขียวคราม

“อยู่ที่นี่”

สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก มองนายกองอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านยังกินอะไรอีก”

“ไม่มีอะไรๆ ก็แค่ร่างครึ่งเทพที่เจ้านั่นสร้างให้ตัวเองไปอีกเกือบครึ่งร่างก็เท่านั้นเอง พอถูๆ ไถๆ ได้” นายกองเรอออกมา สีหน้าหยิ่งทะนง ยิ่งกวาดสายตามองสวี่ชิงอย่างรวดเร็ว คิดอยากจะเห็นความอิจฉาของสวี่ชิง

“ครึ่งเทพหรือ” สวี่ชิงถามไปประโยคหนึ่ง

“แน่นอน เฮ้อ ก็ธรรมดาๆ แหละ ไม่ใช่ของวิเศษวิโสอะไร อาชิงน้อย เจ้ามาช้าไป ถ้าเจ้ามาเร็วกว่านี้ศิษย์พี่ก็ไม่ถึงกับต้องกินจนจุก เหลือมาให้เจ้าแค่นี้”

นายกองกระแอม คำพูดแม้จะถ่อมตัว แต่ความได้ใจบนใบหน้าเต็มไปด้วยแววโอ้อวด

“มา แสดงสีหน้าอิจฉาให้ศิษย์พี่ดูหน่อย”

สวี่ชิงพยักหน้า ทำให้แววตาของตัวเองจับจ้องเล็กน้อย จากนั้นก็อ้าปากเหมือนตกใจ หลังจากแสดงสีหน้าชุดนี้ เขาก็เก็บผลึกวารีสีเขียวครามลงไปอย่างสงบ เตรียมดูดซับเรื่อยๆ ระหว่างทาง

“เฮ้อ อาชิงน้อย สีหน้าแบบนี้ของเจ้าไม่ถูก มาๆๆ เพิ่มกัดลิ้น แล้วก็เพิ่มสูดลมหายใจด้วย” นายกองไม่พอใจ รีบแก้ไขทันที

สวี่ชิงรู้สึกว่านี่ค่อนข้างสมเหตุสมผล จึงลองดู แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ทำได้ไม่ดี

เห็นสวี่ชิงเชื่อฟังแบบนี้ นายกองในใจรู้สึกได้ใจ แต่ภายนอกกลับส่ายหน้า

“เจ้านี่นะ ยังต้องฝึกอีกมาก!”

พูดแล้วนายกองกับสวี่ชิงก็ลงจากเรือยักษ์ ในยามที่เดินไปในค่ายกลส่งข้าม เขาก็บิดขี้เกียจ ถามไปตามสบายว่า

“ใช่แล้ว อาชิงน้อย ช่วงนี้เจ้าได้ผลเก็บเกี่ยวอะไรบ้าง”

ระหว่างพูดนายกองก็ก้าวเข้าไปในค่ายกลส่งข้าม

“ก็ไม่มีอะไร ก็แค่ได้ร่างวิญญาณเทพมาร่างหนึ่งก็เท่านั้น”

สวี่ชิงตอบกลับไปอย่างเรียบเฉย ก้าวเข้าไปเช่นกัน

จากการสั่นสะเทือนของค่ายกล นายกองพลันหันมาเหมือนตะโกนอะไรบางอย่าง สวี่ชิงได้ยินไม่ชัด เห็นเพียงนายกองสีหน้าเหมือนสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นดวงตาก็เบิกโพลง เผยความคาดไม่ถึงออกมา ลิ้นยิ่งหลังจากที่สูดลมหายใจก็ถูกฟันกัดเล้กน้อยด้วย

‘อ้อ ที่แท้นี่ก็คือกัดลิ้นที่ว่าอย่างนั้นหรือ’ สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด

เสี้ยวขณะต่อมา แสงค่ายกลปกคลุมรอบๆ ท่วมจมพวกเขาสองคนและผู้บำเพ็ญจากสองมณฑลคนอื่นๆ เอาไว้ในนั้น

มณฑลสวนพิรุณ

แผนที่มณฑลนี้เรียวยาว ด้านขวาคือมณฑลเผชิญคลื่นที่เป็นสนามรบเขตตะวันตก ด้านซ้ายคือมณฑลสงบสุขที่เป็นแนวหน้าของเขตเหนือ

ภูมิอากาศร้อนชื้นเป็นหลัก เป็นเช่นนี้ทั้งสี่ฤดู

ลักษณภูมิอากาศเช่นนี้ทำให้ร่างกายของทุกเผ่าในมณฑลสวนพิรุณในด้านขนาดของร่างกายแล้วใหญ่กว่าผู้บำเพ็ญมณฑลอื่นๆ มาก ยกตัวอย่างเช่นเผ่ากระจายวิญญาณที่ชิงฉินชอบก็สูงถึงห้าจั้ง ทุกเผ่าล้วนเป็นเช่นนี้

ทั้งมณฑลเต็มไปด้วยป่าฝน จะเห็นยอดเขาได้บ้าง ภูเขาสิบลูกในนั้นมักจะมีลูกหนึ่งเป็นภูเขาไฟ แต่ว่าการระเบิดไม่ได้บ่อยนัก

นับตั้งแต่เกิดสงครามมา เนื่องจากลักษณะที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของมณฑลสวนพิรุณ จึงนำมาใช้เป็นหน่วยสนับสนุน ทรัพยากรจากเขตปกครองหลวงนอกเสียจากจะกำหนดจุดหมาย ไม่เช่นนั้นแล้วล้วนมารวมที่นี่ก่อน แล้วค่อยแบ่งไปให้เขตสงครามทางตะวันตกและเหนือทั้งสองเขต

ดังนั้นที่นี่ในระดับหนึ่งแล้วก็เป็นพื้นที่ภายในเขตสงคราม มีวังอาญารับผิดชอบดูแล

เพียงแต่แม้กองทัพเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ส่วนมากจะถูกตรึงกำลังไว้ที่ชายแดน แต่เนื่องจากพื้นที่ทางเขตเหนือก่อนที่จะเปิดศึกก็ได้สูญเสียพื้นที่ไปสามมณฑล ต่อให้กองทัพพันธมิตรของทุกเผ่าร่วมกับของวิเศษเวทต้องห้ามเขตปกครองหลวงสร้างตาข่ายยักษ์สกัดกั้น แต่สุดท้ายก็ยังคงมีขั้วอำนาจเล็กๆ ของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์บางกลุ่มเข้ามาในสามมณฑล

พวกมันเชี่ยวชาญการซ่อนอำพราง ยิ่งกว่านั้นคือมีของวิเศษเวทรับมือกับตาข่าย ทำการปิดกั้นมันได้ในระยะเวลาสั้นๆ ดังนั้นนอกเสียจากจะลงแรงมหาศาลทำการค้นหา ไม่เช่นนั้นแล้วยากสังหารได้

โดยเฉพาะพวกมันล้วนได้รับการฝึกฝนเป็นพิเศษ ในนั้นส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นองครักษ์ชุดดำ ภายใต้การกระจายกำลังกันยิ่งยากที่จะกำจัดให้สิ้นซากอย่างรวดเร็ว

ส่วนเป้าหมายหลักของพวกมันคือทำลายและขัดขวางการขนส่งในเขตพื้นที่สงคราม

อย่างไรเสีย ก็ไม่ใช่ทรัพยากรทุกอย่างจะสามารถใส่ในมิติเก็บของได้

และไม่ใช่ทรัพยากรทุกอย่างจะเหมาะกับการขนส่งด้วยค่ายกล ยังมีทรัพยากรบางอย่างที่จำเป็นต้องใช้กำลังคนส่ง

ตอนนี้ ในมณฑลสวนพิรุณแห่งนี้ ณ จุดค่ายกลส่งข้ามขนาดใหญ่ของเขตปกครองผนึกสมุทรแห่งหนึ่ง มีองครักษ์ชุดดำของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์จำนวนหลายพันคนกำลังโจมตีที่นี่

พวกมันล้วนพลังบำเพ็ญไม่ธรรมดา กำลังรบนน่าครั่นคร้าม

อย่างไรเสียสามารถเป็นองครักษ์ชุดดำได้ก็เหมือนกับผู้ครองกระบี่ ล้วนแต่เป็นผู้โดดเด่นยอดเยี่ยมในพื้นที่นั้นๆ

แม้จะไม่ใช่ทุกคนล้วนสามารถสู้ข้ามระดับได้ แต่มักจะในขอบเขตเดียวกันพวกมันจะเป็นฝ่ายได้เปรียบมากกว่า

ภารกิจของพวกมันก็คือทำลายค่ายกลส่งข้ามขนาดใหญ่แห่งนี้

ค่ายกลนี้ปกคลุมพื้นที่รัศมีรอบๆ หนึ่งร้อยลี้ มองจากท้องฟ้าลงมากว้างใหญ่เป็นอย่างยิ่ง ทุกครั้งที่เปิด ตามหลักแล้วสามารถทำให้ผู้บำเพ็ญจำนวนหลายแสนคนปรากฏตัวพร้อมกันได้

ตอนนี้เสียงฆ่าล้างสังหารดังออกมาจากชายขอบค่ายกลไม่หยุด

แม้ผู้บำเพ็ญที่คุ้มกันที่นี่จะมีไม่น้อย แต่ส่วนมาล้วนเป็นลูกศิษย์วังอาญา ด้านความยอดเยี่ยมสู้วังครองกระบี่ไม่ได้ เทียบกับองครักษ์ชุดดำแล้วย่อมห่างชั้นกันมาก

แต่ดีที่เรื่องจำนวนยังได้เปรียบในระดับหนึ่ง ในมณฑลสวนพิรุณก็มีกองทัพพันธมิตรจากเผ่าต่างๆ และผู้ครองกระบี่อยู่คุ้มกันดูแลจำนวนหนึ่ง จากแสงกะพริบของค่ายกลส่งข้าม กำลังไล่ตามมา

แต่ว่าอาวุธเวทหลายร้อยอันที่ลอยอยู่กลางอากาศขององครักษ์ชุดดำ กำลังแผ่ระลอกคลื่นรบกวนอยู่ตลอดเวลา ทำให้การส่งข้ามของค่ายกลไม่ราบรื่น

ยิ่งมีพลทหารเดนตายขององครักษ์ชุดดำบางคนฝ่าการปิดล้อม เมื่อเข้าใกล้ค่ายกลส่งข้ามก็ระเบิดตัวเองทันที ระลอกคลื่นที่เกิดขึ้นทำให้ค่ายกลกระเพื่อม

แต่ว่ามองภาพรวมแล้วค่ายกลนับว่ายังสมบูรณ์ดี ทุกอย่างนับว่ายังเป็นระเบียบ

องครักษ์ชุดดำที่ฝ่าทะลวงมาพวกนั้นถูกควบคุมไว้ในบริเวณที่ไม่สำคัญ

นี่เกี่ยวพันกับเหยาอวิ๋นฮุ่ยที่ทำหน้าที่คุ้มกันค่ายกลส่งข้าม

เหยาอวิ๋นฮุ่ยในฐานะที่เป็นเจ้ากรมบัญญัติแห่งวังอาญา ภายใต้การคุ้มกันและการจัดการด้วยพลังบำเพ็ญระดับสมบัติวิญญาณของนาง ก็ได้ทำการต้านทานการโจมตีขององครักษ์ชุดดำมากมายมหาศาลที่นี่

และตอนนี้นางไม่ได้งดงามทรงเสน่ห์อย่างตอนที่อยู่เขตปกครองหลวง นางสวมเสื้อเกราะสงคราม สีหน้าแม้จะเต็มไปด้วยความอ่อนล้า แต่จิตสังหารชัดเจนมาก

ภายใต้การจัดการของนาง จากการล้อมสังหารของคนทั้งหลาย การลอบโจมตีที่มาจากองครักษ์ชุดดำครั้งนี้ก็ไม่อาจดำเนินไปได้นาน ยากจะทำการสำเร็จ

เมื่อเห็นว่าโจมตีอยู่นานแต่ก็ไม่สำเร็จ องครักษ์ชุดดำที่โจมตีที่นี่ก็มีความคิดจะถอย หัวหน้าที่อยู่ในนั้นดวงตาฉายแววเสียดาย กวาดตามองเหยาอวิ๋นฮุ่ยที่จ้องตัวเองเขม็งมาจากที่ไกลๆ อย่างเย็นชา

มันรู้ว่าไม่อาจอยู่ได้นาน ดังนั้นถึงออกคำสั่งถอย

แต่ในตอนที่องครักษ์ชุดดำหลายพันนายเตรียมจะจากไป ในยามที่ผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์และกองทัพพันธมิตรที่คุ้มกันที่นี่ต่างถอนหายใจโล่งอก ทันใดนั้น…พื้นดินก็สั่นสะเทือน

การสั่นสะเทือนนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ในขณะที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายตกใจ เม็ดทรายนับไม่ถ้วนบนพื้นก็สั่นสะเทือนลอยขึ้นมาเอง เหมือนว่ามีแรงเหนี่ยวมหาศาลกลุ่มหนึ่งมาจากฟ้า ทำให้ฝุ่นและทรายมหาศาลลอยอยู่กลางอากาศ

ไม่ใช่แค่นี้เท่านั้น ยังมีสิ่งก่อสร้างที่ผุพังบางแห่ง อีกทั้งเศษหิน โครงกระดูก เลือด ล้วนแต่ลอยขึ้นกลางอากาศอย่างไม่อาจควบคุมได้

โดยเฉพาะเลือดพวกนั้น ในยามที่ลอยขึ้นกลางอากาศก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยเลือดหมุนย้อน น่าสยดสยองพรั่นพรึงนัก

อาวุธเวทบนฟ้าที่มาจากองครักษ์ชุดดำพวกนั้น พวกมันไม่สามารถรบกวนค่ายกลส่งข้ามได้อีกต่อไป กลับกัน เมื่ออยู่ภายใต้ระลอกคลื่นนี้ต่างพากันระเบิด

ภาพนี้สั่นสะท้านจิตใจ ในยามที่ทำให้ผู้บำเพ็ญทั้งหมดที่นี่ใจสั่น เส้นผมของพวกเขาก็สะบัดปลิว ผิวเกิดรอยยุบลงไปมากมาย กระทั่งว่าคนที่พลังบำเพ็ญไม่พอบางคน เลือดในร่างซึมออกมา กลายเป็นมนุษย์เลือด

ดีที่ไม่เกิดการตายขึ้น

ภาพนี้ทำให้ทุกคนต่างสูดลมหายใจลึก ยิ่งสังเกตเห็นต้นดำเนิดของทุกอย่างนี้

สิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้มาจากบนฟ้า แต่มาจากบนพื้นดิน

นั่นเป็นค่ายกลส่งข้ามขนาดมหึมาที่ปกคลุมพื้นที่รัศมีหนึ่งร้อยลี้

ค่ายกลนี้กำลังโคจร!

ความแข็งแกร่งของการระเบิดประเภทนี้ทำให้ทุกคนต่างหายใจหอบถี่ นอกจากในตอนที่สงครามเพิ่งเริ่มแล้ว จนตอนนี้ก็ยังไม่มีพลังที่สั่นสะท้านจิตใจเช่นนี้อีกเลยจริงๆ

สิ่งที่ทำให้ค่ายกลส่งข้ามมีปฏิกริยาเช่นนี้มีเพียงการส่งข้ามขั้นสุดยอดที่แบกรับน้ำหนักจนถึงขีดสูงสุด!

นี่หมายถึงว่าจำนวนที่ส่งข้ามมามีจำนวนมากถึงหลายแสน

“นี่เป็นไปได้อย่างไร!”

“ตอนนี้เผ่าเรากับเผ่ามนุษย์อยู่ที่แนวหน้าสถานการณ์ซับซ้อน กำลังเหลือของเผ่ามนุษย์ไม่มีทางมีกำลังทหารเหลือมาแน่นอน หรือจะเป็นต่างเผ่า”

“ต่อให้เป็นต่างเผ่า ความเป็นไปได้ของเรื่องนี้ก็น้อยมาก เผ่าเราประกาศกับทุกเผ่าที่ไม่ใช่เผ่ามนุษย์ในเขตปกครองผนึกสมุทรแล้วว่า หลังจากที่ฝ่ายเราโจมตียึดได้แล้ว ผลประโยชน์ของทุกเผ่ายังคงเหมือนเดิม!”

“สถานการณ์เช่นนี้ต่างเผ่าเผ่าใดที่จะยกกันมาทั้งเผ่าได้!”

องครักษ์ชุดดำเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์หลายพันตนรอบๆ ที่เดิมคิดจะถอยหนีต่างหน้าเปลี่ยนสี ในขณะที่จิตใจสั่นสะท้านพวกเขาก็มองไปที่แสงสะท้านฟ้าที่ปะทุออกมาจากค่ายกลส่งข้ามร้อยลี้นั่น

แสงนี้แสบตามาก พร่างพรายเป็นอย่างยิ่ง สาดส่องท้องฟ้าราตรีให้สว่างไสวราวกับกลางวัน

ยิ่งกว่านั้น ท่ามกลางประกายแสงพร่างพรายนี้ เสียงระเบิดเลื่อนลั่นกึกก้องเดี๋ยวเบาเดี๋ยวดัง ตามกฎเดียวกัน แผ่มาจากค่ายกลไปทั่วทั้งแปดทิศ

“ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร จะให้พวกมันโคจรค่ายกลนี้สำเร็จไม่ได้!”

“องครักษ์ชุดดำทุกนาย โจมตีทุกด้าน ขัดขวางการส่งข้าม!”

จากคำสั่งของหัวหน้าองครักษ์ชุดดำ องครักษ์ชุดดำหลายพันตนต่างพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วทันที ตรงดิ่งไปยังค่ายกล

“ต้านทานสุดกำลัง ใครก็ตามที่เข้าใกล้ค่ายกล ฆ่า!” ดวงตาหงส์ของเหยาอวิ๋นฮุ่ยจ้องเพ่ง ออกคำสั่งเสียงดุดัน ตัวเองยิ่งพุ่งออกไปขัดขวางหัวหน้าองครักษ์ชุดดำ

และในยามที่ค่ายกลส่งข้ามขนาดใหญ่เปิดออกก็จะมีพลังกดดันของตัวมันเอง พลังกดดันนี้นอกจากจะมาจากค่ายกลแล้ว ยังอาศัยพลังของการส่งข้ามด้วย

เช่นนี้แล้วถึงจะรับประกันว่าการส่งข้ามไม่มีปัญหา

แทบจะในเสี้ยวพริบตาเดียวกับที่องครักษ์ชุดดำพวกนี้พุ่งมาแล้วถูกผู้บำเพ็ญวังอาญาขวางเอาไว้ ในค่ายกลก็มีเสียงสนั่นหวั่นไหวสะเทือนสะท้านฟ้าดินดังมา ท่ามกลางเสียงระเบิดตูมๆ เงาร่างร้อยกว่าร่างก็ปรากฏขึ้นในนั้น

สิ่งที่องครักษ์ชุดดำวิเคราะห์นั้นถูกต้อง แต่ก็ผิดเช่นกัน

ที่ถูกคือมีผู้บำเพ็ญหลายแสนกระทั่งมากกว่านั้นส่งข้ามมา และที่ผิดคือนี่เป็นกลุ่มแรก ล้วนเป็นระดับหวนสู่อนัตตาทั้งหมด!

การมาเยือนของผู้บำเพ็ญระดับหวนสู่อนัตตาร้อยกว่าคนทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมเมฆหอบทะลัก มิติรอบๆ ล้วนกำลังสั่นสะท้าน แผ่นดินยิ่งเกิดรอยแยกเป็นระลอกๆ

ที่นี่ไม่ว่าจะเป็นองครักษ์ชุดดำหรือวังอาญา หรือจะเป็นกองทัพพันธมิตรต่างเผ่า ต่างดวงตาเบิกกว้างทั้งหมด จิตใจสั่นสะท้านอย่างหนัก

“นี่…นี่…”

“นี่จะเป็นไปได้อย่างไร!”

“กองทัพเสริมเผ่ามนุษย์!”

องครักษ์ชุดดำทั้งหมดต่างหนังศีรษะชาหนึบ แต่ละคนสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมหาศาลโดยสมบูรณ์ ขณะที่ในหัวมีเสียงฟ้าผ่าก็ถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว และเทียบกับพวกเขาแล้ว ผู้บำเพ็ญวังอาญาล้วนตื่นเต้นฮึกเหิมจนถึงขีดสุด

“กองทัพเสริมเผ่ามนุษย์!”

“ทัพเสริมมาถึงแล้ว!”

“ในที่สุดทัพเสริมก็มาถึงแล้ว!!”

ความทุกข์ยากบำบากของหนึ่งเดือน จากความตื่นเต้นของผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์ที่ไม่ได้อยู่แนวหน้าแค่อยู่ในเขตสงครามเท่านั้นก็พอจะมองออกนิดๆ แล้ว ความยากลำบากของพวกเขาทำให้พวกเขาต้องสะกดความสิ้นหวังที่ผุดขึ้นมาในใจลงไปอยู่เรื่อยๆ ถึงจะสามาถยืนหยัดต่อไปได้

ตอนนี้กระทั่งว่ามีคนร้องไห้แล้ว ส่งเสียงคำรามอย่างซาบซึ้ง

เหยาอวิ๋นฮุ่ยก็ซาบซึ้งเช่นกัน สีหน้าฉายแววเหม่อลอยเล็กน้อย

เดิมนางคิดว่าไม่มีทางมีทัพเสริมมา เดิมนางคิดว่าสงครามครั้งนี้สุดท้ายมีเพียงความสิ้นหวังเท่านั้น

และพวกเขาก็ล้วนคิดเช่นนี้เหมือนกัน จินตนาการได้ว่าเหล่านักรบที่อยู่ท่ามกลางความเป็นตายทุกเวลาที่แนวหน้าเหล่านั้น หลังจากนี้ไม่นาน เสี้ยวพริบตาที่ได้เห็นกองทัพเสริมระดับความดีใจจะต้องเป็นสิบเท่าร้อยเท่าของผู้บำเพ็ญที่นี่อย่างแน่นอน

เสี้ยวพริบตาต่อมา บนค่ายกลส่งข้าม บรรพจารย์สำนักต่างๆ จากมณฑลบังคับจำนนและมณฑลรับเสด็จราชันก็เหาะเหินออกมาจากทั่วทุกทิศอย่างรวดเร็ว บางคนยกมือกวาด ฟ้าดินถล่มทลาย องครักษ์ชุดดำเหล่านั้นแต่ละคนเหมือนเยื่อกระดาษ อ่อนด้อยเหลือประมาณ แตกสลายระเบิดกลายเป็นดอกไม้เลือดเนื้อเป็นดอกๆ

เหมือนว่าการมาถึงของกองทัพเสริมส่งคำอวยพรมาให้

จากนั้น ผู้บำเพ็ญระดับหวนสู่อนัตตาหลายร้อยคนก็กระจายมาตรวจสอบค่ายกลส่งข้าม หลังจากมั่นใจว่ารอบๆ ปลอดภัย ท่ามกลางความตื่นเต้นของผู้บำเพ็ญที่คุ้มกันอยู่รอบๆ ค่ายกลก็ส่งเสียงกึกก้องขึ้นอีกครั้ง

ไม่นานนัก เงาร่างของกองทัพหลายแสนก็ลงมาเยือน

การปรากฏตัวของพวกเขา พลังที่รวมด้วยกันแล้วแผ่ออกมาทรงพลังรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ท้องฟ้ามีเสียงสายฟ้าดังเลื่อนลั่น ฟาดผ่าไปรอบๆ ไม่หยุด สะท้านสะเทือนฟ้าดิน

ยังไม่จบแค่นี้ ขณะที่กองทัพหลายแสนนี้รวมตัวกันอย่างรวดเร็ว จากการกะพริบแสงวูบวาบของค่ายกลก็มีเงาร่างของกองทัพอีกกลุ่มหนึ่งมาเยือน

สะท้านฟ้าสะเทือนปฐพี!

จวบจนเมื่อกองทัพหลายล้านของสองมณฑลปรากฏขึ้นแล้ว เงาร่างของนายกองและคนอื่นๆ ก็ลงมาเยือนที่นี่ แต่ตอนนี้ประกายแสงค่ายกลก็ยังคงกะพริบวูบวาบ หลอมรวมเงาร่างสุดท้ายออกมา

ขณะที่เงาร่างนี้ก่อเค้าร่างอยู่ตลอด ทุกคนบนค่ายกลก็ถูกสั่งให้ออกไป นายกองรวมอยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน

หลังจากทั้งค่ายกลว่างโล่งแล้ว ผู้บำเพ็ญหลายล้านของทั้งสองมณฑลบนท้องฟ้า ภายใต้ความเคร่งขรึมของผู้อาวุโสใหญ่โถงครองกระบี่ทั้งสอง ทุกคนต่างสีหน้าจริงจังขึ้นมาตามสัญชาตญาณ พวกเขามองไปทางค่ายกล รอให้เงาร่างในค่ายกลหลอมรวม

ภาพนี้ทำให้ผู้บำเพ็ญทั้งหลายของวังอาญาที่อยู่รอบๆ สีหน้าเคร่งขรึม เหยาอวิ๋นฮุ่ยที่เดิมจะก้าวขึ้นไปต้อนรับและคารวะทำความเคารพฝีเท้าก็ชะงักไปเช่นกัน มองไปยังเงาร่างเพียงร่างเดียวในค่ายกลส่งข้ามบนพื้นอย่างอดไม่ได้

ท่ามกลางความเลือนราง นางรู้สึกค่อนข้างคุ้น

จวบจนเสี้ยวขณะต่อมา ท่ามกลางประกายแสงค่ายกลที่กะพริบวูบวาบเจิดจ้า เงาร่างก็นั้นก็ชัดเจนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

สวี่ชิงยืนอยู่ในนั้น!

แทบจะในพริบตาที่เขาปรากฏขึ้น ผู้บำเพ็ญล้านคนที่อยู่รอบๆ อีกทั้งผู้อาวุโสใหญ่โถงครองกระบี่ทั้งสองต่างประสานหมัดโค้งคารวะไปทางสวี่ชิงทางนั้น

ไม่มีคำพูด มีเพียงการโค้งคารวะ

แต่การโค้งคารวะจากคนล้านคน ความแข็งแกร่งจากรัศมีอำนาจที่เกิดขึ้น สะท้านฟ้าสะเทือนดิน ทำให้พื้นที่รกร้างส่งเสียงเลื่อนลั่น ลมสวรรค์กึกก้อง รอบๆ สายอสุนีฟาดผ่า

กระทั่งว่าขณะไร้รูปร่างยังมีพลังโชคชะตาหลอมรวม

สวี่ชิงเงยหน้า ทอดสายตามองทุกอย่างนี้

เขารู้ ตำแหน่งอาลักษณ์ตำแหน่งนี้ความจริงรับการโค้งคารวะนี่เอาไว้ไม่ได้

แต่ตอนนี้ เขาเป็นตัวแทนเจ้าวัง ดังนั้นการคารวะนี้เขาพอจะรับเอาไว้ได้

สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ผู้บำเพ็ญมณฑลรับเสด็จราชันและมณฑลบังคับจำนน ภายใต้การจัดการของเขาได้ถูกปล่อยออกมา มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่

ดังนั้น การคารวะนี้เขารับเอาไว้ได้!

สวี่ชิงสีหน้าเคร่งขรึม ประสานหมัด โค้งคารวะกลับ

“ขออาลักษณ์สวี่สั่งการแทนท่านเจ้าวัง!” บนท้องฟ้า ผู้อาวุโสใหญ่มณฑลรับเสด็จราชันเอ่ยเสียงต่ำทุ้ม

“กองทัพเสริมมณฑลรับเสด็จราชัน มณฑลบังคับจำนน เดินทางด้วยความเร็วสูงสุด มุ่งหน้าไปยัง…แนวหน้าเขตตะวันตก!” สวี่ชิงเงยหน้า ชูป้ายของเจ้าวังขึ้นสูง เอ่ยเสียงดัง

“น้อมรับบัญชา!”

คนหนึ่งล้านต่างคำรามเสียงต่ำทุ้ม

เหยาอวิ๋นฮุ่ยที่อยู่ไกลๆ ทั้งคนอึ้งตะลึงอยู่ตรงนั้น ในสมองมีสายฟ้าฟาดผ่า สีหน้าเหม่อลอย ทุกอย่างเบื้องหน้าเหมือนหายไปหมด เหลือเพียงในค่ายกล เงาร่างเหยียดตรงที่ได้รับการโค้งคารวะจากคนล้านคน

ความทรงจำสลักลึกไปในใจ

กองทัพเสริมเผ่ามนุษย์มณฑลรับเสด็จราชันและมณฑลบังคับจำนน ไม่ได้หยุดที่มณฑลสวนพิรุณ ในเสี้ยวขณะที่ส่งข้ามออกมา หลังจากที่สวี่ชิงออกคำสั่งแทนเจ้าวังแล้ว กองทัพแสนยาล้านคนก็เคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว

มุ่งหน้าไปยังแนวหน้าเขตตะวันตกในเขตสนามรบแห่งนี้ เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

เหยาอวิ๋นฮุ่ยและผู้บำเพ็ญวังอาญา พวกเขามีภาระหน้าที่ของตัวเองอยู่ จึงไม่ได้ติดตามไปด้วย แต่หลังจากที่กองทัพแสนยานุภาพจากไปไกล คนทั้งหลายที่อยู่ที่ค่ายกลส่งข้ามร้อยลี้ ระลอกคลื่นในใจก็ยังคงยิ่งใหญ่อยู่อย่างนั้น ไม่อาจลบเลือนหายไป

โดยเฉพาะเงาร่างที่เดินออกมาจากค่ายกลส่งข้ามเป็นคนสุดท้าย ได้รับการโค้งคารวะจากผู้บำเพ็ญล้านคน ในใจของพวกเขาทุกคน สลักเอาไว้อย่างลึกซึ้ง

“นั่นก็คืออาลักษณ์ของเจ้าวังครองกระบี่…”

“สวี่ชิง!”

“ได้ยินว่าสวี่ชิงคนนี้กับหัวหน้าเหยา…มีเรื่องขัดแย้งกัน”

แม้ระดับความสนใจในตัวสวี่ชิงของผู้บำเพ็ญวังอาญาจะไม่สู้วังครองกระบี่ แต่ก็ได้ยินชื่อเสียงมาบ้าง

โดยเฉพาะช่วงก่อนสงคราม เนื่องจากเจ้าวังครองกระบี่รับหน้าที่แทนเจ้าเขตปกครอง สวี่ชิงยืนอยู่ข้างๆ เขา ย่อมได้รับการจับจ้องจากทั้งเขตปกครอง

แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็สู้ความสะท้านสะเทือนที่มาจากภาพนั้นเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้

และตอนนี้ก็มีคนนึกถึงข่าวลือการไม่ลงรอยกันของสวี่ชิงกับเหยาอวิ๋นฮุ่ย จึงแอบมองไปทางนาง

เหยาอวิ๋นฮุ่ยเงียบนิ่ง

ในใจของนางเกิดระลอกคลื่นเป็นระลอกๆ เรื่องในอดีตต่างๆ ลอยปรากฏขึ้นข้างหน้า หลังจากที่ปรากฏขึ้นอย่างแจ่มชัด ก็แปรเปลี่ยนเป็นซับซ้อน

จวบจนครู่หนึ่ง นางสะกดระลอกคลื่นในใจ ออกคำสั่งกับผู้บำเพ็ญวังอาญาที่อยู่รอบๆ

“คุ้มกันค่ายกลส่งข้ามที่นี่อย่างเข้มงวด!”

ฐานะตำแหน่งกับพลังบำเพ็ญ ตลอดจนประสบการณ์ในช่วงนี้ ทำให้บนร่างของเหยาอวิ๋นฮุ่ยมีอำนาจความน่าเกรงขามเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย

ตอนนี้จากคำสั่ง คนทั้งหลายที่อยู่รอบๆ ต่างก้มหน้ารับคำ เก็บอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการมาเยือนของกองทัพลงไป

แต่การมาถึงของกองทัพก็ยังคงทำให้พวกเขามีความหวังในสงครามครั้งนี้

ความหวังนี้เหมือนไฟ ลุกไหม้มณฑลสวนพิรุณ และลุกโหมที่มณฑลเผชิญคลื่น ยิ่งเริ่มส่องประกายเจิดจ้าในแนวหน้าเขตตะวันตก

และที่แนวหน้าเขตตะวันตกตอนนี้ หลังจากที่เผ่ามนุษย์และเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ผ่านสงครามที่มีระยะเวลาสิบสามวัน ทั้งสองฝ่ายก็หยุดพักจัดระเบียบกันชั่วคราว

กวาดสายตามองไป สนามรบมีรอยแยกมหึมาทางหนึ่งที่ใต้เทือกเขาคลื่นนภาห่างออกไปหนึ่งหมื่นลี้ ถูกแบ่งเป็นสองส่วนอย่างชัดเจน

สุดปลายหมื่นลี้นอกรอยแยกคือเทือกเขาคลื่นนภา ที่นั่นเดิมเป็นประตูที่สามของมณฑลเผชิญคลื่น

ในอดีต พื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลนอกเทือกเขา สกัดกั้นไว้ด้วยหลุมลึกเนตรสวรรค์และที่ราบเก้ามณฑล ถึงจะเป็นดินแดนเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์

แต่ตอนนี้มองจากท้องฟ้ามา เทือกเขาคลื่นนภาเหมือนมังกรยักษ์ที่ไม่อาจดิ้นรน นอนอยู่ตรงนั้น จำต้องสยบศิโรราบหายใจรวยริน

จากภาพรวมจะเห็นได้ว่ามีพื้นที่หลายแห่งเสียหาย มีภูเขาจำนวนไม่น้อยที่พังถล่ม เกิดควันสีดำลอยคลุ้ง

ยิ่งมีเศษชิ้นส่วนอาวุธเวทจำนวนมหาศาลเกลื่อนกลาดไปทั่วทุกทิศ

นั่นคือร่องรอยของสงคราม

ที่นี่ เดิมเป็นแนวป้องกันที่สามในการต่อต้านเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามนุษย์ แต่เมื่อครึ่งเดือนก่อน จากการที่บางส่วนของของวิเศษเวทต้องห้ามเขตปกครองผนึกสมุทรแหลกสลาย ที่นี่…ก็ถูกตีแตกแล้ว

กองทัพเผ่ามนุษย์จึงจำต้องถอยไปหมื่นลี้ อาศัยตาข่ายของวิเศษเวทต้องห้ามก่อตัวขึ้นใหม่ ปกป้องคุ้มครองอยู่ที่แนวป้องกันที่สี่

ดังนั้น เทือกเขาคลื่นนภาตอนนี้ไม่มีเผ่ามนุษย์ ที่มีคือกองทัพมหาศาลเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ที่สวมชุดเกราะ

จำนวนมีไม่น้อยว่าหลายล้าน กระทั่งว่าในพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุดลูกหูลูกตาข้างหลังเทือกเขา ยังสามารถเห็นกระโจมค่ายทหารราบมากมาย

ในนั้นไม่ได้มีเพียงเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ยังมีเผ่าที่ถูกจับมาเป็นทาสมากมายในแดนดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์

ส่วนเทือกเขาคลื่นนภา เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ในครึ่งเดือนนี้ก็ทำการเปลี่ยนแปลง สร้างสิ่งก่อสร้างอีกนับไม่ถ้วน สร้างเจดีย์แหลมสูงจำนวนหลายล้าน

สายฟ้าแต่ละทางๆ แล่นอยู่ที่ปลายเจดีย์ ก่อเป็นตาข่ายสายฟ้าผืนใหญ่ ปกคลุมไปทั่วสารทิศ

ในนั้นประเดี๋ยวๆ ก็มีสายฟ้าถูกเหนี่ยวนำถึงไปกลางอากาศ หายไปในท้องฟ้า ส่งเสียงฟ้าร้องกึกก้อง และวาดเค้าร่างเมฆหมอกดำทะมึนออกมาอย่างชัดเจน เผยให้เห็นสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมานับไม่ถ้วนประเดี๋ยวเลือนราง ประเดี๋ยวปรากฏในเมฆหมอกบนท้องฟ้า

สิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาพวกนั้น ทุกตัวล้วนมีขนาดพันจั้ง รูปร่างสี่เหลี่ยมรูปว่าวเป็นระเบียบนัก ที่ตรงกลางมีดวงตาข้างเดียวสีแดง

จำนวนไม่น้อยกว่าแสน

พวกมันมีตัวตนอยู่ในเมฆหมอกบนท้องฟ้าที่ไร้ขอบเขต แผ่ปรากฏไปบนสนามรบแนวหน้า ขณะที่แผ่พลังสะกดน่าหวาดกลัวเป็นระลอกๆ ออกมา ก็มีเสียงโคจรวู้มๆ เหมือนสัตว์ยักษ์คำราม ดังก้องมาอยู่ตลอด

ทุกที่ที่เสียงพาดผ่า มิติบิดเบี้ยว ทุกทิศรางเลือน ประดุจเทพเจ้าพึมพำ

พวกนี้ก็คือของวิเศษเวทสงครามที่เผ่าฟ้าทมิฬมอบให้เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์

เสียงโคจรของพวกมันทำลายจิตใจได้ พลังกดดันที่พวกมันแผ่ออกมาสามารถบดขยี้เลือดเนื้อ วิชาเวทที่พวกมันปลดปล่อยออกมาสามารถทำลายแปดทิศได้

และที่อันตรายที่สุดคือผู้เก็บเกี่ยวที่พวกมันปล่อยออกมา

นั่นเป็นตัวตนแปลกประหลาดที่มองไม่เห็นไม่อาจรับรู้ได้ พวกมันปรากฏตัวบนสนามรบ ประดุจทูตแห่งความตายแบกเคียว สร้างการบาดเจ็บล้มตายให้กับเผ่ามนุษย์อย่างมหาศาล

การลงมือของพวกมันไม่ใช่แค่ทำศึกสงครามอย่างเดียว แต่รวมถึงการซุ่มโจมตีด้วย

ไอพลังประหลาดที่แผ่ออกมาจากในตัวพวกมันไม่เหมือนกับพื้นที่ต้องห้าม แดนต้องห้าม

นั่นเป็นการทำให้แปดเปื้อนอย่างสาหัสสำหรับเผ่ามนุษย์โดยเฉพาะ

เผ่ามนุษย์ที่อยู่ในบริเวณของผู้เก็บเกี่ยว มักจะลงมือไม่กี่ครั้งก็ร่างกายแห้งเหี่ยว สุดท้ายจุดกลายพันธุ์ในร่างก็จะถูกเหนี่ยวนำระเบิด กลายเป็นอสูรกลายพันธุ์ที่สูญเสียสติปัญญา

และสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงแค่หนึ่งในเครื่องมือสงครามของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น

ท้องฟ้าของสนามรบเป็นสีดำ แผ่ความอึมครึม แปรเปลี่ยนเป็นความกดดัน ยิ่งมีหิมะสีดำโปรยปราย

หิมะพวกนี้เป็นเครื่องมืออีกอย่างของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์

พวกมันมองเผินๆ คือหิมะ แต่เมื่อมองให้ละเอียดแล้วก็จะพบว่า ในหิมะจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนเหล่านี้ ทุกเกล็ดล้วนมีมือเท้าเรียว มีใบหน้าเหี้ยมเกรียม

พวกมันมีอยู่ทั่วทุกที่ ทั้งสามารถอยู่เดี่ยวๆ ก่อเป็นวิชาเวท และสามารถจับกลุ่มกันเองก่อเป็นพลังวิเศษ แผ่ปกคลุมไปในสนามรบ หากมีเผ่ามนุษย์สูดเข้าไปในปาก หรือติดไปบนร่างกายก็จะกลายเป็นพิษร้ายแรง

การเปลี่ยนแปลงของพวกมันกระทั่งว่าสามารถแปรเปลี่ยนไปเป็นอาวุธในมือของผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์

ป้องกันกันไม่หวาดไม่ไหว

ในเมฆหมอกมีอาวุธเวทสี่เหลี่ยมรูปว่าว ใต้เมฆหิมะดำโปรยปรายมากมาย

แต่สิ่งเหล่านี้ยังไม่ใช่ทั้งหมด

พื้นดินก็ถูกเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ทำให้มีชีวิตขึ้นมา

ดินนับไม่ถ้วนหลอมรวมกับโครงกระดูก ก่อเป็นแขนขาดขนาดมหึมาแต่ละข้างๆ เคลื่อนที่อยู่บนพื้น

และการปรากฏขึ้นของแขนขาดทุกข้าง พื้นดินตรงนั้นจะยุบลงไปส่วนหนึ่ง แล้วเติมเต็มด้วยหิมะสีดำอย่างรวดเร็ว

ในมือของแขนขาดบนพื้นเหล่านี้ยังถือโซ่เหล็กสีดำเอาไว้ด้วย

จำนวนของโซ่เหล็กมีมหาศาล ยืดขยายไปในท้องฟ้า ทะลุเมฆหมอก หลอมรวมอยู่เหนือเมฆหมอก

สุดปลายขอบฟ้าเหนือเมฆหมอกมีคลื่นวนสีดำขนาดมหึมาลูกหนึ่ง

คลื่นวนลูกนี้ดูแล้วเหมือนดวงอาทิตย์ ขณะหมุนวนเสียงดังครืนครันเลื่อนลั่น โซ่เหล็กที่ยืดมาจากพื้นดินล้วนลึกเข้าไปในคลื่นวน

จากการลากของแขนที่ขาดบนพื้น โซ่เหล็กส่งเสียงเคร้ง เหมือนว่ามีตัวตนอะไรที่น่ากลัวยิ่งกว่ากำลังถูกลากออกมาช้าๆ

กลิ่นเหม็นเป็นระลอกๆ แผ่ออกมาจากในคลื่นวน ก่อเป็นเมฆดำจำนวนมากยิ่งขึ้น แปรเปลี่ยนเป็นหิมะสีดำเข้มข้น โปรยปรายอยู่ตลอด

ในยามที่กองทัพมณฑลรับเสด็จราชันและมณฑลบังคับจำนนเข้ามาใกล้พื้นที่แนวหน้า ส่งคำขอคำสั่งไปให้กรมสั่งการที่อยู่แนวหน้า รอคำสั่งอนุมัติให้เข้ามาใกล้ สนามรบเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาเห็นก็เป็นเช่นนี้

สวี่ชิงอยู่ข้างหน้ากองทัพ ทอดสายตามองทุกอย่าง ในใจเกิดระลอกคลื่นลูกยักษ์ ขณะเดียวกัน เขาก็สังเกตเห็นโครงกระดูกจำนวนนับไม่ถ้วนบนสนามรบ

เขาศพทะเลเลือด โครงกระดูกราวป่า

สวี่ชิงชีวิตนี้สังหารมามากมาย แต่ต่อให้เป็นเขาตอนนี้เมื่อเห็นสนามรบแห่งนี้ ก็หวั่นไหวกับสิ่งที่เห็นทุกอย่างนี้ไปเช่นกัน

โครงกระดูกมากมายมหาศาลนัก

แทบจะกว่าครึ่งล้วนไม่อาจประกอบกันได้ สิ่งที่เห็นอยู่ในสายตาคือเลือดเนื้อ สิ่งที่จมูกได้กลิ่นคือกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง

สงครามเหมือนโม่ฟ้าดิน ภายใต้การบดขยี้ซึ่งกันและกัน สรรพชีวิตที่อยู่ในนั้นล้วนยากจะหนีเคราะห์ภัย

เขาไตรวิญญาณสะกดมรรคาในความทรงจำของสวี่ชิงก็เป็นนรกในโลกมนุษย์แล้ว แต่เทียบกับที่นี่แล้วไม่มีค่าที่จะให้พูดถึงเลย

ที่นี่ถึงจะเป็นนรกในโลกมนุษย์ของจริง

พวกนายกองที่อยู่ข้างๆ เขา ภายใต้การทอดสายตามองไปต่างเงียบนิ่งไปเช่นกัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version