บทที่ 504 โลกใบนี้มันกินคน
ผ่านไปครู่ใหญ่ สวี่ชิงมองแนวป้องกันเผ่ามนุษย์ในสนามรบฝั่งตน
ตาข่ายสีทองที่เชื่อมระหว่างฟ้าดิน ราวกับเป็นม่านยักษ์ที่ถูกตัดเหนือสนามรบ
ไม่ว่าจะบนท้องฟ้า บนพื้นดิน วิธีการทั้งหมดของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ถูกตาข่ายยักษ์สีทองสกัดไว้ด้านนอกแนวป้องกันที่สี่ของเผ่ามนุษย์
ม่านยักษ์สีทองนี้ยิ่งใหญ่อลังการ ไม่ใช่แค่เชื่อมระหว่าวฟ้าดิน ก็ยังทอดยาวออกไปอาณาบริเวณด้านข้างไม่รู้จบ
หากมีดวงตาที่มองเห็นเขตแดนทั้งหมดของเขตปกครองผนึกสมุทรได้ เช่นนั้นก็จะมองเห็นความกว้างใหญ่ไพศาลของมัน ขณะที่เชื่อมกับทางทิศเหนือของสนามรบก็ครอบคลุมแนวที่ชายแดนระหว่างเขตปกครองผนึกสมุทรและเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดอีกด้วย
และที่นี่ ในตาข่ายสีทอง ในร่องน้ำแนวป้องกันที่สี่ที่เผ่ามนุษย์ขุดไว้นานแล้วสร้างสิ่งป้องกันนับไม่ถ้วนเอาไว้ กระโจมทหารมากมายตั้งเรียงรายอยู่ที่นี่
ผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์นับไม่ถ้วนที่อ่อนระโหยโรยแรงกำลังต่อเติมและป้องกันที่นี่ต่อเนื่อง
อาวุธเวทสงครามที่เหมือนกับหนามแหลมหลายแถวติดตั้งไล่ยาวอยู่ตามขอบร่องน้ำนี้สุดลูกหูลูกตา ชี้ไปทางเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์
จำนวนมากมายเรือนแสน ตอนนี้กำลังเปล่งแสงเจิดจ้า ทำให้ความว่างเปล่าด้านหน้าเริ่มบิดเบี้ยว กระทั่งปรากฏรอยปริแตกอีกหลายทาง เสียงครืนครันสนั่นหูแทบดับ กึกก้องไม่หยุด
นี่ไม่ใช่เสียงระเบิด แต่เป็นเสียงการสะสมพลัง
การระเบิดของพวกมัน ไม่ใช่วิชาเวทที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ใช้ต้านทานท่วงทำนองพลังที่เกิดจากหิมะสีดำโดยเฉพาะ
เมื่อเปิดใช้งานทุกด้าน จะทำให้หิมะดำเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นสูญเสียความสามารถในรวมตัวกัน หลอมละลายไปก่อน
และเสียงครืนครันที่มีอยู่ทุกที่ ก็เป็นเรื่องปกติของแนวหน้า
ยิ่งมีหวนสู่อนัตตานับร้อยนั่งขัดสมาธิอยู่ในม่านยักษ์สีทอง พวกเขาคือผู้ควบคุมของวิเศษเวทต้องห้าม ใช้พลังของวิเศษเวทต้องห้ามรบกวนอาวุธเวทสี่เหลี่ยมรูปว่าวของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ ต้านทานเฉพาะจุด
ขณะเดียวกันก็ทำสัญลักษณ์ไว้กับพวกผู้เก็บกู้ด้วย จากนั้นก็ส่งผู้บำเพ็ญออกไปทำภารกิจล่าสังหาร
นอกจากนี้ยังเห็นหุ่นเชิดสงครามร่างสูงใหญ่อีกหลายร่างบนพื้นดินด้วย
หุ่นเชิดเหล่านี้มีลักษณะเด่นของเผ่ามนุษย์อยู่ ทุกร่างสูงใหญ่ดุจขุนเขา พวกมันยืนอยู่บนค่ายกลแต่ละจุด การขับเคลื่อนของแต่ละตัวต้องใช้ผู้บำเพ็ญจำนวนมหาศาลขับเคลื่อนพร้อมกัน พลานุภาพย่อมไม่ธรรมดา
และจุดที่น่าหวาดหวั่นมากที่สุดก็คือกระบี่จักรพรรดิเล่มใหญ่เก้าเล่ม!
ทั้งเก้าเล่มสูงเทียมฟ้า เป็นกระบี่ขนาดยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างฟ้าดิน
ขณะที่พวกมันแผ่พลานุภาพไร้เทียมทาน ก็ปะทุพลังสยบด้วยอานุภาพที่น่าครั่นคร้ามออกมา อีกทั้งหากมองอย่างละเอียด จะเห็นได้ว่ากระบี่จักรพรรดิเก้าเล่มนี้เกิดจากการรวมตัวกันของกระบี่จักรพรรดินับไม่ถ้วน
พวกมันสามารถรวมอำนาจสยบเป็นหนึ่งเดียวกัน และสามารถกระจายตัวได้ด้วย ถือเป็นหอกหนักของเผ่ามนุษย์ในสงครามครั้งนี้
ยิ่งบนท้องฟ้า ยังมีระฆังเต๋าขนาดยักษ์อีกใบหนึ่ง
ระฆังนี้ เป็นสิ่งที่วังครองกระบี่สาขาหลักเมืองหลวงจักรพรรดิมอบให้ตอนที่วังครองกระบี่เขตปกครองผนึกสมุทรสร้างเสร็จ
เดิมแขวนไว้ในวังครองกระบี่ ตอนนี้วางอยู่ในสนามรบ และเพราะมัน…เป็นสมบัติชั้นยอดของวังครองกระบี่เขตปกครองผนึกสมุทร ตอนแรกเป็นขุมพลังของวังครองกระบี่เช่นเดียวกับกรมราชทัณฑ์
ประโยชน์ของมันไม่เพียงแต่ส่งผลกับภายนอก แต่ยังส่งผลกับภายในได้ด้วย
เสียงระฆังที่ส่งผลกับภายนอก สังหารได้แปดทิศ ส่วนภายในคือการอัญเชิญ
มองไกลๆ จะเห็นว่ารอบๆ ระฆังยักษ์ใบนี้มีโลงศพสัมฤทธิ์อยู่นับแสนใบ และบนโลงศพทุกใบก็วาดผนึกไว้หลายชั้น
สิ่งที่นอนอยู่ด้านใน ไม่ใช่คนตาย
แต่คือคนเป็น!
ในบรรดาพวกเขามีทั้งชายและหญิง มีทั้งชราและหนุ่มสาว พวกเขาคือคนบ่มเพาะกระบี่ที่วังครองกระบี่เตรียมไว้นานหลายปีแล้วสำหรับสงคราม
ในกลุ่มพวกเขาส่วนใหญ่ใช้ชีวิตค่อนข้างสงบสุขมานาน และในตอนที่น้ำมันตะเกียงใกล้แห้งก็ยังไม่ได้หักกระบี่ของตนเอง จึงยอมใช้วิชาลับทำให้อยู่ในห้วงนิทรา และผสานกระบี่จักรพรรดิกับชีวิต
รอเพียงพริบตาที่ตื่นขึ้น ก็จะหักกระบี่ที่บำเพ็ญด้วยชีวิตของตนเอง
และยังมีคนที่รู้ว่าตนเองฝึกบำเพ็ญมาจนถึงคอขวดแล้ว จึงยอมเข้าสู่ห้วงนิทราเพื่อเขตปกครองผนึกสมุทร ผสานชีวิตหล่อเลี้ยงกระบี่
ในกลุ่มพวกเขาทุกคนรู้ว่าตอนที่ตนตื่นขึ้น จะเป็นช่วงเวลาที่เขตปกครองผนึกสมุทรวิกฤตขั้นสุด
และตอนนี้ ในโลงศพกว่าแสนก็ว่างเปล่าไปสามส่วนแล้ว
ผู้ครองกระบี่ด้านในถูกปลุกให้ตื่นขึ้นท่ามกลางสงครามก่อนหน้า และตัดชีวิตของตนเองจนกลายเป็นกระบี่สุดท้ายโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ตอนนี้ หลังจากทั้งหมดสะท้อนในดวงตาสวี่ชิง ในแนวป้องกันที่สี่ของเขตปกครองผนึกสมุทรก็มีร่างเงานับสิบทะยานออกมา พุ่งมาหากองทัพใหญ่ที่สวี่ชิงอยู่
ไม่นานนัก ผู้มาเยือนก็เข้ามาใกล้ ผู้นำคือรองเจ้าวังครองกระบี่
เขาออกมาต้อนรับด้วยตนเอง นี่อธิบายท่าทีได้แล้ว
สีหน้าที่เหนื่อยล้าของเขามีแววตื่นเต้น คลื่นอารมณ์เช่นนี้ สำหรับเขาผู้บำเพ็ญผู้ยิ่งใหญ่ระดับนี้อย่างเขา เห็นได้ไม่บ่อยนัก
ข่งเสียงหลงก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เนื้อตัวเขามีบาดแผล หดหู่อย่างมาก แต่ตอนที่เห็นสวี่ชิงก็ฝืนยิ้มออกมา
เมื่อสวี่ชิงเห็นภาพนี้ ก็รู้สึกอัดอั้น เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาซักไซร้ หลังจากรองเจ้าวังครองกระบี่มาถึง ก็ส่งเสียงกึกก้อง
“สหายหมิงอี่ สหายก้งเจ๋อ!”
ผู้อาวุโสใหญ่ของโถงครองกระบี่มณฑลรับเสด็จราชันกับมณฑลบังคับจำนนก็ทะยานออกมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน คารวะรองเจ้าวัง
“พวกเจ้ามาทันเวลาพอดี ทันท่วงทีจริงๆ!” รองเจ้าวังสูดลมหายใจลึก สะกดความตื่นเต้นในใจ เอ่ยขึ้นทันที
“เจ้าวังมีคำสั่ง!
“หวนสู่อนัตตาของมณฑลบังคับจำนนและเสด็จราชันทั้งหมดรวมถึงผู้รับผิดชอบสำนักต่างๆ ให้ตรงไปยังกระโจมใหญ่ทันที เจ้าวังเรียกเข้าพบ!
“ส่วนคนที่เหลือ จงตั้งค่ายพักแรม เฝ้ารอขั้นตอนต่อไปที่นี่
“เชิญ!”
รองเจ้าวังประสานหมัดคารวะกับเผ่ามนุษย์จากทั้งสองมณฑล จากนั้นสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่สวี่ชิง เผยประกายประหลาดออกมา สีหน้าฉายแววชื่นชมเข้มข้น
“อาลักษณ์สวี่ เจ้าก็ไปกับข้าด้วย”
สวี่ชิงขานรับอย่างเคร่งขรึม
ทุกผู้ไม่เสียเวลา ติดตามรองเจ้าวังไปทันที
ก่อนที่จะเดินทาง สวี่ชิงหันกลับไปมองนายกองผาดหนึ่ง
นายกองตอนนี้โตขึ้นมาขนาดเท่าเด็กเจ็ดแปดขวบแล้ว ยืนอยู่ข้างกายผู้ดูแลสมบัติวิญญาณของโถงครองกระบี่เหมือนเด็กคนหนึ่ง
หลังจากสังเกตเห็นสายตาสวี่ชิง เขาก็โบกมือให้ เป็นสัญญาณว่าจะไปหาสวี่ชิงภายหลัง
สวี่ชิงพยักหน้า รีบเดินตามคนอื่นไป ไม่นานก็มาถึงแนวป้องกันเขตปกครองผนึกสมุทร
ตลอดทางที่เดินมาถึงพื้นที่นี้ สวี่ชิงเห็นผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์มากมายได้รับบาดเจ็บ
เหล่านักรบแนวหน้า เห็นได้ชัดว่ารู้การมาถึงของทหารกองหนุนจากสองมณฑล ดังนั้นแทบจะพริบตาที่กลุ่มของสวี่ชิงเดินเข้ามาในอาณาเขตป้องกัน ก็มีผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์นับไม่ถ้วนเดินออกมาจากในกระโจมของตน มองไปทางพวกสวี่ชิงด้วยสายตาตื่นเต้น
ในนี้มีศิษย์สำนักต่างๆ อยู่ มีผู้บำเพ็ญไร้สังกัด และมีผู้ครองกระบี่ อาการบาดเจ็บมีทั้งหนักและเบา แต่ในตอนที่เห็น ก็ประสานหมัดให้พวกสวี่ชิง
ต่อสู้มาจนถึงตอนนี้ ความน่าเวทนา ความขมขื่น ความเหนื่อยล้าของพวกเขาถือว่าหนักหนาสาหัสมากแล้ว แต่ยังคงไม่สิ้นหวัง เพียงแต่พวกเขาปรารถนาที่จะมองเห็นความหวัง
ตอนนี้ ความหวัง ปรากฏแล้ว!
จากนัยน์ตาผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์เหล่านี้ สวี่ชิงสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของพวกเขา และตอนที่กำลังเดินหน้าต่อ เขาก็มองเห็นนักรบแนวหน้าที่มากยิ่งกว่า
คนเหล่านี้ในตอนแรก บ้างก็เงียบยิ่งบ้างก็เย็นชา บ้างก็ขมขื่นบ้างก็จิตสังหารในดวงตายังไม่สลายไป แต่หลังจากที่สังเกตเห็นพวกเขาก็กลายเป็นความตื่นเต้นระคนยินดี
ยังมีบางส่วนที่เป็นผู้ครองกระบี่ของวังครองกระบี่ คู่ฝึกเต๋าเฉินถิงหาวทั้งสองก็อยู่ในนี้ด้วย
พวกเขาบาดเจ็บไม่น้อย หลังจากเห็นสวี่ชิง เฉินถิงหาวก็เผยรอยยิ้ม คู่ฝึกเต๋าของเขากำลังพันแผลให้เขาอย่างอ่อนโยน เมื่อสังเกตเห็นสวี่ชิงก็ยิ้มให้
แต่พวกเขาไม่ได้พูดออกมา เพราะยิ่งเข้าใกล้แนวหน้า เสียงครืนครันของที่นี่ก็ยิ่งดังสนั่นขึ้นเรื่อยๆ เสียงคลื่นพลังที่มาจากอาวุธเวทหนามแหลมนับไม่ถ้วนนั้นดังก้องไปทั่วทิศ สนั่นหวั่นไวจนหูแทบดับ
สวี่ชิงพยักหน้า เขาเห็นว่าแม้เฉินถิงหาวจะบาดเจ็บหนัก แต่ก็ยังอยู่ในช่วงฟื้นฟู จึงผ่อนคลายลง
สวี่ชิงรู้สึกดีกับสองคนนี้ เพราะตอนที่เพิ่งมาถึงเมืองหลวงเขตปกครอง พวกเขาไม่ใช่แค่บอกข้อมูลมากมายอย่างเป็นมิตร อีกทั้งยังเคยยืนอยู่ข้างเขาที่วังอาญาอีกด้วย
สวี่ชิงจึงมองอยู่หลายครั้ง ถึงถอนสายตากลับมา
ระหว่างที่เดินไป ไม่นานพวกเขาก็มาถึงหน้ากระโจมที่ตั้งอยู่ที่ชายขอบร่องน้ำด้วยการนำทางของรองเจ้าวัง
ที่นี่ ก็คือหน่วยสั่งการแนวหน้า
ขณะที่มีทหารคุ้มกันนับร้อย ก็มีผู้ครองกระบี่ตำแหน่งบุ๋นหลายคนรออยู่อย่างเคร่งขรึม ทุกครั้งที่ในกระโจมเจ้าวังสั่งการ พวกเขาก็จะรับคำสั่งทันที จัดทำบันทึกรวมถึงกำกับดูแลดำเนินการ
“ให้กองทัพที่เจ็ดตรงไปแนวหน้าทันที จับตาการเปลี่ยนแปลงความเคลื่อนไหวทั้งหมดของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์!
“สั่งการกองทัพที่เก้า กระจายกำลังออกไป ในเขตสนามรบ รวบรวมข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของหิมะดำเสีย!
“จากนั้นจัดกลุ่มกรมราชทัณฑ์เป็นกลุ่มย่อย ออกไปสังหารองครักษ์ชุดดำที่แฝงเข้ามาภายหลังด้วย การสร้างแนวป้องกันที่ห้าจะถูกทำลายไม่ได้!”
เสียงเคร่งขรึมของเจ้าวังดังลอดออกมาจากในกระโจมไม่หยุด หลังจากกลุ่มคนนอกกระโจมได้รับคำสั่ง ก็เริ่มดำเนินการทันที
ในสายตาสวี่ชิงพร้อมกับความละเอียดถี่ถ้วน กวาดมองผู้ครองกระบี่บุ๋นเหล่านี้ตามสัญชาตญาณ
ส่วนผู้ครองกระบี่บุ๋นเหล่านี้ก็สังเกตเห็นสวี่ชิงแล้วเช่นกัน ก็ต่างตกตะลึง จากนั้นแววตาก็เผยความยำเกรง และตอนที่ได้รับคำสั่งให้ไปดำเนินการ ตอนผ่านร่างสวี่ชิงก็ล้วนโค้งคำนับให้เขา
ฐานะและหน้าที่การงานของพวกเขาตลอดจนผลลัพธ์ของประสิทธิภาพ ทำให้พวกเขาตามพื้นที่ต่างๆ ในแนวหน้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้
ทว่าขณะที่เผชิญหน้ากับสวี่ชิง จำเป็นต้องทำเชนนี้
เพราะพวกเขาเป็นคนของกรมอาลักษณ์ เป็นลูกน้องกลุ่มแรกที่ถูกเรียกมาหลังจากสวี่ชิงจัดตั้งกรมอาลักษณ์ขึ้นในช่วงเตรียมศึกสงคราม
ตอนนั้นสวี่ชิงยังไม่มาที่สนามรบ แต่คนของกรมอาลักษณ์ของเขาส่วนใหญ่ติดตามทหารมา
สวี่ชิงพยักหน้าน้อยๆ เป็นสัญญาณว่าให้พวกเขารีบไปทำงาน หลังจากที่ศิษย์กรมอาลักษณ์เหล่านี้พากันจากไป รองเจ้าวังจึงรีบสาวเท้าขึ้นหน้า เอ่ยที่ด้านนอกกระโจมอย่างนอบน้อม
“เจ้าวัง หวนสู่อนัตตาของมณฑลรับเสด็จราชันและบังคับจำนนรวมถึงผู้รับผิดชอบต่างๆ มาถึงแล้วขอรับ”
“เข้ามา!” ในกระโจมใหญ่ มีเสียงเคร่งขรึมของเจ้าวังลอดออกมา
เหล่าหวนสู่อนัตตาที่อยู่นอกกระโจมแต่ละคนก็สีหน้าเคร่งขรึม พากันเดินเข้าไป
ไม่นาน ด้านนอกกระโจมใหญ่นอกจากทหารที่คอยคุ้มกันเหล่านั้นก็เหลือแค่สวี่ชิงกับพวกของข่งเสียงหลง
ขณะที่รอ สวี่ชิงมองข่งเสียงหลงที่หน้าซีดเซียวห่อเหี่ยว
“พี่ข่ง เกิดอะไรขึ้นหรือ” สวี่ชิงเอ่ยถามเสียงแผ่ว
“เย่หลิง…ตายแล้ว” ข่งเสียงหลงเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ ในน้ำเสียงเจือปวดร้าวและขมขื่น หน้าซีดเซียวไร้ประกาย
สวี่ชิงใจสั่นวูบ เขารู้ว่าเย่หลิงชอบข่งเสียงหลง
“ก่อนที่นางจะตาย นางบอกกับข้าว่า นางชอบข้า…”
ข่งเสียงหลงคว้าไหล่ของสวี่ชิงเอาไว้ด้วยร่างเทา ดวงตาแดงก่ำ มือสั่นรัว
“สวี่ชิง ข้าเสียใจ”
ข่งเสียงหลงพูดด้วยตาแดงก่ำ ท้ายสุดก็หลับตาลง
สวี่ชิงเงียบนิ่ง ยอมให้ข่งเสียงหลงบีบหัวไหล่ของตนเอง
เขาเผชิญหน้ากับการเกิดการตายการพลัดพรากจากกันมาแล้วหลายครั้ง เขาจึงเข้าใจความรู้สึกนี้ นั่นคือความรู้สึกที่เหมือนไม่ใช่เรื่องจริง ไม่อาจทำใจให้คุ้นชินได้ และจะชินกับมันไม่ได้ด้วย
สิ่งที่เขาทำได้ คือทำได้เพียงแค่ยืนอยู่ข้างๆ ข่งเสียงหลง ขณะที่ข่งเสียงหลงตัวสั่นเทาก็ยื่นสุรากาหนึ่งให้กับเขา
ข่งเสียงหลงรับกาสุรา หลังดื่มลงไปอึกใหญ่ ก็พึมพำเสียงต่ำ
“ที่แท้สุรา ก็มีช่วงเวลาที่ไร้รสชาติด้วย”
ข่งเสียงหลงคลายมือที่หัวไหล่สวี่ชิง ตบลงเบาๆ หันหลังจากไป
เขามาที่นี่ เพราะอัดอั้นตันใจ ได้ยินว่าสวี่ชิงมา จึงตามมาดู
สวี่ชิงเงียบนิ่ง
เบื้องหน้ามีวังครองกระบี่ในตอนนั้นปรากฏขึ้น ภาพแรกที่พบกับเย่หลิง
เด็กสาวที่กำลังกินเม็ดแตงเลือดเนื้อคนนั้น เด็กสาวที่บอกเขาว่าไปเรียนเคล็ดจำแลงปีศาจที่สำนักมายาจำแลงปีศาจได้ เด็กสาวที่ไม่ว่าจะตอนใด ในสายตาในดวงใจมีแค่ข่งเสียงหลงคนนั้น
ผ่านไปนาน สวี่ชิงถอนหายใจแผ่วเบา
“โลกใบนี้ มันกินคน” สวี่ชิงพึมพำ อารมณ์ซับซ้อน
ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็มีหวนสู่อนัตตาทยอยเดินออกมาจากกระโจม ขณะที่เสี่ยเลี่ยนจื่อกับผู้อาวุโสใหญ่ลานครองกระบี่ทั้งสองทยอยจากไป ในกระโจมก็มีเสียงของเจ้าวังลอดออกมา
“สวี่ชิง เจ้าเข้ามา”
ตอนที่เดินเข้าไป เขาเห็นเจ้าวังนั่งอยู่ด้านหน้าสุด และเห็นว่าในกระโจมมีแผนที่จำลองที่ทำจากทรายขนาดยักษ์ที่ก่อร่างจากวิชาเวท
แผนที่จำลองจากทรายนี้วาดโครงร่างแนวหน้าทั้งฝั่งตะวันตกได้สมบูรณ์แบบมาก เห็นเทือกเขาคลื่นนภาจากด้านในเป็นแค่เส้นแนวป้องกันส่วนหนึ่ง
เส้นคดเคี้ยวซ้ายขวาของมันทอดยาวไปทั้งฝั่งตะวันตกเชื่อมกับแนวหน้าทางเหนือ อาณาบริเวณกว้างขวางใหญ่โต
นี่ก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นสงครามที่กินพื้นที่กว้างใหญ่มาก
และถึงแม้ที่นี่จะเป็นแค่ส่วนหนึ่งของแนวป้องกันทั้งหมด แต่หน่วยสั่งการของเจ้าวังเลือกที่นี่ จินตนาการได้ว่าที่นี่คือศูนย์กลางของแนวป้องกัน
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก สายตาย้ายจากแผนที่ทำจากทราย มองไปทางเจ้าวัง
เจ้าวังซูบซีดกว่าก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด ดวงตามีแต่เส้นเลือด อีกทั้งเรือนร่างยังมีบาดแผล ชุดเกราะตอนนั้นที่ตนเองสวมให้เขายังอยู่บนร่าง เหมือนยังไม่เคยถอดออก
ส่วนปราณพิฆาต ก็เข้มข้นยิ่งกว่าก่อนหน้านี้
ตอนนี้เขานั่งอยู่ตรงนั้น ทำให้สวี่ชิงรู้สึกเหมือนเป็นสัตว์ป่าแห่งยุคตนหนึ่ง รวมกองกำลังทหารขนาดใหญ่ทั้งหมดไว้กับตนเอง บางครั้งก็เลือกคนมากัดกิน ทำให้รู้สึกหวาดผวาตามสัญชาตญาณ
“คารวะเจ้าวัง” สวี่ชิงสีหน้าเคร่งขรึม ประสานหมัดคารวะ
“สวี่ชิง ข้าได้รับทรัพยากรที่เจ้าส่งมาก่อนหน้านี้แล้ว”
เจ้าวังจ้องสวี่ชิง ราวกับจะสลายปราณพิฆาตจากเรือนร่าง แต่การรวมตัวกันของดวงชะตากองทัพใหญ่ ทำให้เขาไม่สลายปราณพิฆาตได้ เขาจึงพยายามทำให้สีหน้าตนอ่อนโยนลงเล็กน้อย ดวงตาก็เผยความชื่นชมออกมา
“ที่รวมกำลังทหารทั้งสองมณฑล ข้าก็รู้ดี ครั้งนี้ เจ้าได้คุณงามความดีครั้งใหญ่!”
สวี่ชิงก้มหน้า เอ่ยราบเรียบ
“นี่เป็นเรื่องที่ควรทำขอรับ นอกจากนี้ที่เขาประกายอรุณ ข้า…”
คำพูดสวี่ชิงพูดถึงตรงนี้ ยังไม่ทันพูดจบ จู่ๆ ท้องฟ้าด้านนอกก็เปลี่ยนสี ราวกับว่าดวงดาวย้ายตำแหน่ง พื้นดินแผ่จิตสังหาร สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ราวกับมังกรอสรพิษโผล่ออกมาจากที่ซ่อน
ยิ่งมีเสียงหวีดหวิวที่มาจากผู้บำเพ็ญคลื่นศักดิ์สิทธิ์เป็นระลอก กึกก้องไปทั่วฟ้าดิน
สงคราม หลังจากหยุดพักไปชั่วคราว ก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง!
จิตสังหารราวกับพายุ พัดเข้ามาจากเทือกเขาคลื่นนภา ซัดมาบนตาข่ายผนึกต้องห้ามของเขตปกครองผนึกสมุทร
ตาข่ายสีทองนี้สั่นไหวในพริบตา เปล่งแสงเจิดจ้าแยงตาออกมา
ความบ้าคลั่งที่แฝงอยู่ในพายุนี้ พัดกวาดร่องน้ำแนวป้องกัน แล่นผ่านหวีดหวิวด้านนอกกระโจมเผ่ามนุษย์ของเขตปกครองผนึกสมุทรหลายแห่ง ทำให้กระโจมทหารนับไม่ถ้วนสั่นไหวอย่างรุนแรง
และพัดมาที่ด้านนอกกระโจมใหญ่ของเจ้าวัง พัดผ้ากระโจมเกิดเสียงดังสนั่น ประตูผ้าโบกสะบัดเข้าไปด้านใน เผยให้เห็นเมฆดำเต็มท้องฟ้ารวมถึงสายอัสนีอีกนับไม่ถ้วนฟาดผ่าเส้นขอบฟ้า
ครืน!
พื้นดินและท้องฟ้า ส่งเสียงดังสนั่นออกมาพร้อมกัน
ผมยาวของสวี่ชิงปลิวไสวตามลม จิตใจก็โหมระลอกคลื่นกระหน่ำซัดเช่นเดียวกับเส้นผม
เสียงคำรามราวกับอสูรขนาดยักษ์นับไม่ถ้วนกู่ร้อง กึกก้องไปทั่วทิศเหนือสนามรบยิ่งกว่าสายทัณฑ์สวรรค์ ดั่งลั่นระฆัง
เจ้าวังสีหน้าไร้อารมณ์ แต่ปราณพิฆาตเข้มข้นขึ้นในตอนนี้ ขณะที่ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี เขาก็ลุกขึ้นยืน โยนแผ่นหยกชิ้นหนึ่งให้สวี่ชิง เดินออกไปนอกกระโจมใหญ่
“ในแผ่นหยกชิ้นนี้บันทึกข้อมูลบางส่วนของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ในนสนามรบ เจ้าถอยไปค้นคว้าดูก่อน ให้เวลาเจ้าหนึ่งวัน รีบทำความคุ้นชินกับสนามรบโดยเร็ว
“นี่เป็นแค่การรบขนาดธรรมดา ยังห่างชั้นกับระดับสงครามใหญ่อีกโข ส่วนเรื่องจะทำความคุ้นเคยอย่างไร ก็จัดการเอง
“นับตั้งแต่พรุ่งนี้ เจ้าก็กลับไปตำแหน่งเดิม ทำหน้าที่อาลักษณ์!”
ได้ยินคำพูดของเจ้าวัง สวี่ชิงขานรับเสียงดังทันที
เจ้าวังพยักหน้า เดินออกจากกระโจมใหญ่ ส่วนศิษย์ของกรมอาลักษณ์ทั้งหมดด้านนอกกระโจมตอนนี้ก็กลับมาแล้ว ยืนอย่างเคร่งขรึม รอรับคำสั่ง
สวี่ชิงยืนอยู่ด้านหลังเจ้าวัง มองสนามรบไกลๆ นอกจากการเปลี่ยนแปลงแปลกประหลาดมหัศจรรย์บนท้องฟ้าแล้ว เขาเห็นผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ร้องคำรามพุ่งมาราวกับท้องทะเล
ผู้บำเพ็ญเหล่านี้ส่วนหนึ่งเหาะเดินอากาศ ส่วนหนึ่งพุ่งทะยานอยู่บนพื้นดิน ล้วนสวมเสื้อเกราะ จิตสังหารแรงกล้า
ส่วนขบวนรบของพวกเขาก็มีมือถูกตัดขนาดยักษ์หลายข้างถูกกระตุ้นหลายเป็นศูนย์กลาง แบ่งออกเป็นรูปขบวนหลายรูปแบบ ปกคลุมฟ้าดิน
ไม่นาน โองการแต่ละฉบับก็ออกมาจากปากของเจ้าวัง กองทัพใหญ่เผ่ามนุษย์เขตปกครองผนึกสมุทรก็ราวกับเป็นสัตว์ร้ายตนหนึ่งที่ตื่นขึ้นมาจากการจำศีลในตอนนี้ เริ่มทำการโต้กลับ
สวี่ชิงประสานหมัดจากไปในตอนนี้ เขารู้ดีว่าตนที่เพิ่งมาถึงสนามรบ ยังไม่ค่อยเข้าใจจังหวะของสงครามรวมถึงจุดได้เปรียบจุดเสียเปรียบของกองทัพต่างๆ
ส่วนตำแหน่งอาลักษณ์ก็ไม่ได้ง่ายดายปานนั้น ต้องคอยควบคุมให้ได้ตลอดเวลา ถึงอย่างไรนอกจากถ่ายทอดคำสั่งแล้ว ยังต้องคอยติดตามระดับความสมบูรณ์แบบ รวมถึงสรุปวิเคราะห์ล่วงหน้า
สิ่งนี้จำเป็นต้องทำความเข้าใจรายละเอียดของสนามรบจึงจะทำได้
ภายในเวลาหนึ่งวัน อันที่จริงยังไม่เพียงพอ
แม้ในแผ่นหยกที่เจ้าวังให้มาจะบันทึกข้อมูลสนามรบของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ไว้ แต่ก็ยังไม่เพียงพอ
ดังนั้น เพื่อทำให้ตนปรับตัวได้ไวที่สุด เขาต้องหาตำแหน่งที่มองเห็นสนามรบ สังเกตภาพรวมกว้างๆ ของสนามรบนี้ได้ ขณะเดียวกันตำแหน่งนี้ต้องอยู่ในจุดที่ให้ตนเข้าสู่สนามรบได้ตลอดเวลา ทั้งต้องเข้าใจรายละเอียดยิบย่อยของทั้งเผ่ามนุษย์และเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ด้วย
แม้การอยู่ข้างกายเจ้าวังจะสอดคล้องกับเงื่อนไขข้อที่หนึ่ง แต่ตำแหน่งที่เจ้าวังอยู่คือจุดศูนย์กลาง ไม่เหมาะที่จะเข้าสู่สนามรบได้ทันที ต่อให้เข้าไป ก็ยังต้องยื่นเรื่อง ยุ่งยากเกินไป
ดังนั้นขณะที่ฟ้าดินครืนครัน สงครามกำลังปะทุอย่างสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน สวี่ชิงก็มองไปรอบด้าน หาตำแหน่งที่สอดคล้องกับเงื่อนไข สุดท้ายสายตาก็หยุดอยู่ที่ภูเขาหุ่นเชิดหมดสภาพกองยักษ์หลายกองในจุดใกล้กับแนวหน้า
หุ่นเชิดสงครามของเขตปกครองผนึกสมุทรทุกร่างขับเคลื่อนโดยผู้บำเพ็ญจำนวนมหาศาล ปกติจะอยู่ตามค่ายกลที่จัดตั้งไว้บนพื้นหลายแห่ง ทำให้มันรักษาสภาพระดับสูงสุดอยู่ตลอดเวลา
แต่ที่มากกว่านั้นก็ใช้การไม่ได้แล้ว ซ่อมแซมไม่ได้ ทำได้เพียงกองรวมกันไว้ ขณะที่ใช้ชิ้นส่วนมาซ่อมแซมหุ่นเชิดตัวอื่น ก็เป็นที่กำบังส่วนหนึ่งไปด้วย
นอกจากนี้ในช่วงเวลาสำคัญ ยังสามารถใช้เป็นต้นกำเนิดการปนเปื้อน แล้วโยนออกไปให้ระเบิดได้ด้วย
เห็นกองภูเขาที่เกิดขึ้นจากการที่หุ่นเชิดไร้ประโยชน์กองรวมกัน สวี่ชิงก็เหาะเหินเข้าไปใกล้
ขณะที่ปะทะกัน ที่นี่มีคนคอยคุ้มกันอยู่ไม่มาก มีเพียงชายแก่ที่ขาเน่าเปื่อยไปแล้วนั่งอยู่ตรงนั้น มองสนามรบด้วยสีหน้าชินชา
การมาถึงของสวี่ชิง แม้จะดึงดูดความสนใจจากเขา แต่เขาก็สายตาที่มองมาก็ไร้ประกาย ไม่ได้สนใจอะไร
สวี่ชิงก็ไม่พูดมาก หลังจากมาถึงก็กระโดด เหยียบกองขยะเหล่านั้นขึ้นไปบนยอดทันที
ยืนอยู่ตรงนั่น เขาล้วงแผ่นหยกที่เจ้าวังมอบให้ออกมา อ่านพลางมองสนามรบ
ตำแหน่งนี้ค่อนข้างสูง ทำให้สวี่ชิงมองเห็นสนามรบทั้งหมดได้ชัดเจนยิ่ง
ด้านนอกตาข่ายสีทอง ในสนามรบเวลานี้เสียงครืนครันกึกก้อง
บนฟากฟ้า อาวุธเวททรงสี่เหลี่ยมรูปว่าวขนาดยักษ์ของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ก็ส่งเสียงวึงๆ หูแทบดับออกมาต่อเนื่อง ดังก้องไปทั้งสี่ทิศ ขณะที่ทำให้มิติบิดเบี้ยว อัสนีหลายสายก็แล่นจากด้านใน ฟาดลงมาบนพื้นเป็นระยะ ส่งเสียงอื้ออึงไปทั้งอาณาบริเวณ
และยังมีแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากดวงตาสีเลือดของของวิเศษเวททรงข้ามหลามตัดมายังสนามรบ ขณะที่สนับสนุนผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ โจมตีกองทัพใหญ่เผ่ามนุษย์
สวี่ชิงรู้จักอาวุธเวททรงสี่เหลี่ยมรูปว่าวนี้ผ่านแผ่นหยก เวลานี้จุดที่มองไป ผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์มากมายอาบย้อมเลือดไปทั้งตัว ส่วนหนึ่งมาจากศัตรู อีกส่วนหนึ่งมาจากปฏิกิริยาหลังปนเปื้อนไอพลังประหลาดเข้มข้นของตน
สิ่งเหล่านี้มาจากอาวุธเวททรงสี่เหลี่ยมรูปว่าวของเผ่าฟ้าทมิฬ พลานุภาพแปลกประหลาด สั่นสะเทือนไปรอบทิศ
ทว่าเผ่ามนุษย์ก็มีวิธีรับมือโดยเฉพาะ จากการที่ตาข่ายยักษ์สีทองเปล่งแสงเจิดจ้าซึ่งแปรมาจากผนึกต้องห้ามของเมืองหลวงเขตปกครอง สวี่ชิงเห็นผู้แข็งแกร่งหวนสู่อนัตตานับร้อยนั่งขัดสมาธิอยู่ในนั้นควบคุมค่ายกล ราวกับกลายเป็นต้นกำเนิด แผ่พลังบำเพ็ญทั้งหมดผสานกับตาข่ายยักษ์สีทอง
ฉับพลันใบหน้าสีทองขนาดยักษ์หลายหน้าก็นูนออกมาจากตาข่ายยักษ์สีทอง คำรามไร้เสียง พุ่งออกมาข้างนอกฉับพลัน กระแทกอาวุธเวททรงสี่เหลี่ยมรูปว่าวบนท้องฟ้า
ภายใต้เสียงดังสนั่นระหว่างฟ้าดิน ในที่สุดอาวุธเวททรงสี่เหลี่ยมรูปว่าวเหล่านั้นก็ได้รับผลกระทบ ถ่วงดุลกันและกัน
ทว่าหิมะดำที่ขจรกระจายอยู่ระหว่างฟ้าดินของสนามรบก็แทรกซึมเข้าไปทุกจุด ยากที่จะสกัดกั้น เวลานี้กำลังล่องลอยอย่างต่อเนื่อง
พวกมันบ้างก็แปรเป็นวิชาเวทหลายสายโจมตีผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์ บ้างก็รวมตัวกัน แปลงร่างเป็นอสูรบ้างมนุษย์ พุ่งหากองทัพใหญ่ท่ามกลางเสียงคำราม
ยังมีบางส่วนที่ร่วงโรยที่เบื้องหน้าผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นอาวุธ ให้พวกเขาประกบปางมือควบคุม พลานุภาพเพิ่มขึ้นมหาศาล
ยิ่งมีหิมะสีดำร่วงลงมาบนตัวผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์ แม้ว่าผู้บำเพ็ญเขตปกครองผนึกสมุทรจะคอยหลบเลี่ยงอย่างสุดกำลัง ทว่าหิมะสีดำทั้งมากมายทั้งหนาแน่นเกินไป ไม่แผ่วเลยแม้แต่น้อย
ผู้บำเพ็ญที่ถูกปนเปื้อน ร่างกายสั่นเทาในพริบตา หิมะดำกลายเป็นพิษร้าย ทำให้ในไอพลังประหลาดในร่างกายพวกเขาก้าวข้ามจุดวิกฤต ชั่วพริบตาก็มีเสียงกรีดร้องโหยหวนไปทั่วทิศ ยิ่งมีไม่น้อยที่กลายพันธุ์ทันที ส่งเสียงคำราม ไม่แบ่งแยกพันธมิตรหรือศัตรู
โหดร้ายน่าเวทนาเป็นล้นพ้น
แต่เผ่ามนุษย์ทำสงครามกับเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์มาจนถึงตอนนี้ จึงมีวิธีรับมืออยู่
ไม่นานระหว่างที่สวี่ชิงใจสั่นสะท้าน ร่องน้ำแนวป้องกันก็มีเสียงครืนครันสนั่น หนามแหลมที่น่าตกตะลึงหลายแท่งยื่นออกมา ตำแหน่งปลายแหลมชี้ไปทางสนามรบ ท่ามกลางเสียงน่าครั่นคร้ามหูแทบดับ ก็แผ่คลื่นเสียงที่บ้าคลั่งไปทางสนามรบ
ทุกจุดที่คลื่นเสียงนี้ผ่าน หิมะดำระหว่างฟ้าดินก็ละลาย หลังจากกลายเป็นน้ำ ยังไม่ทันจะหยดลงพื้นก็เดือดพล่านระเหยไปอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นหมอกสีดำขับออกไป
ใช้โอกาสนี้ เผ่ามนุษย์ของเขตปกครองผนึกสมุทรในสนามรบจึงมีเวลาพักหายใจ กองทัพที่ออกศึกถอยกลับอย่างรวดเร็ว กองทัพอื่นที่เตรียมตัวอยู่นานแล้วก็พุ่งเข้าไปทันที