บทที่ 506 ข่าวร้าย!!
การฆ่าล้างสังหารบนพื้นตอนนี้ยิ่งดุเดือด แม้รัศมีอำนาจที่บุกมาของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์จะแข็งแกร่งทรงพลัง แต่ภายใต้การเพิ่มพลังจากตาข่ายสีทองเขตปกครองผนึกสมุทร ท่ามกลางเสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหวของอาวุธเวทนับไม่ถ้วนนั่น กองทัพต่างๆ ถอยไปอย่างเป็นระเบียบ
ยิ่งมีหุ่นเชิดสงครามที่ผู้บำเพ็ญจำนวนมหาศาลผสานตัวเองไปในนั้นแต่ละตัวๆ พุ่งออกไปรับ
หุ่นเชิดเหล่านี้มีขนาดเล็ก มีขนาดใหญ่ ขนาดใหญ่มีขนาดพันจั้ง ขนาดเล็กมีขนาดหลายสิบจั้ง ทุกตัวแฝงไว้ด้วยค่ายกลมากมาย จำนวนผู้บำเพ็ญที่ผสานอยู่ในนั้นแตกต่างกันไป
ที่มากก็มีหลายพันคน ที่น้อยก็เกือบร้อย
เหมือนก่อนหน้านี้ที่สังหารผู้เก็บกู้ก็เป็นหุ่นเชิดสงครามพวกนี้
ผู้บำเพ็ญในบรรดานั้น พลังของแต่ละคนต่างแปรเปลี่ยนเป็นหนึ่งเดียว ปะทุกำลังรบที่เทียบได้กระทั่งระดับสมบัติวิญญาณขั้นต่างกันไป กวาดตามองไป หุ่นเชิดน้อยใหญ่มีมากถึงหลายหมื่น
ดังนั้นไม่นานนักกองทัพในนสนามรบที่เผ่ามนุษย์อยู่ ภายใต้การถอยอย่างต่อเนื่องนี้ ก็เข้าไปใกล้ตาข่ายยักษ์สีทอง ถอยเข้าไปในนั้นอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน จักรพรรดิหงหลิงที่อยู่บนท้องฟ้ามองเจ้าวัง ส่งเสียงประดุจอำนาจสวรรค์ดังมาอีกครั้ง
“ข่งเลี่ยงซิว ตอนนี้เผ่าฟ้าทมิฬกับเผ่ามนุษย์ก็กำลังทำสงครามกันอยู่เช่นกัน ขนาดของสงครามที่ชายแดนเหนือกว่าที่นี่มหาศาล ดังนั้น เผ่ามนุษย์ดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิไม่มีกำลังมาสนับสนุน เจ้าเองก็ไม่ต้องรออีกต่อไปแล้ว พวกเจ้าไม่มีกองทัพมาช่วยเหลือ
“และสงครามดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์ เผ่าใหญ่ต่างๆ ในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ต่างจับจ้อง ขอเพียงเผ่ามนุษย์เผยท่าทีถดถอยตกต่ำแม้เพียงเล็กน้อย เผ่าต่างๆ ก็จะยกกองทัพขยี้เผ่ามนุษย์ของเจ้า
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าทุกอย่างนี้เป็นเพราะเหตุใด” หงหลิงเอ่ยอย่างสงบนิ่ง
“เพราะราชวงศ์นภาคิมหันต์ที่เป็นเผ่าสูงสุดของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ พิธีล่าเผ่าพันธุ์ในวันสถาปนารัฐสี่แสนปีใกล้จะมาถึงแล้ว สัญญาโบราณก็ใกล้จะถึงแล้ว ไม่มีเผ่าใดอยากเป็นเหยื่อของพวกเขา เช่นนั้นตอนนี้ เผ่ามนุษย์ที่ไม่มีสมบัติแดนสงครามย่อมเป็นเครื่องสังเวยที่ดีที่สุด ส่งพวกเจ้าไป เผ่าพันธุ์ก็จะสุขสงบไปอีกแสนปี
“ดังนั้น…ข่งเลี่ยงซิว สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว เวลาของเจ้าเหลือไม่มาก ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ศิโรราบให้กับเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ข้า นี่ถึงจะเป็นเพียงวิธีเดียวที่รักษาเขตปกครองผนึกสมุทรให้สมบูรณ์ได้”
คำพูดที่ดังมาจากปากของจักรพรรดิหงหลิงพวกนี้ไม่ได้บอกกับเจ้าวังครองกระบี่เท่านั้น แต่ดังก้องไปทั้งสนามรบ ยิ่งทะลุผ่านตาข่ายสีทอง ดังมาในหูของผู้บำเพ็ญทุกคนที่นี่
เห็นได้ชัดว่าตั้งใจ
เพียงพริบตา ทุกคนที่ได้ยินล้วนจิตใจสั่นไหว คำพูดของหงหลิงมีพลังน่าอัศจรรย์ ทำให้คนไม่อาจควบคุมความสิ้นหวังที่ผุดขึ้นมาได้
“เพื่อทำลายความมุ่งมั่นการต่อต้านของเขตปกครองผนึกสมุทรเรา ด้วยฐานะจักรพรรดิพูดจาโป้ปดมดเท็จ จักรพรรดิหงหลิง เจ้าใจร้อนไปแล้ว”
เสียงของเจ้าวังยังคงสงบนิ่งเช่นเคย ไม่มีระลอกคลื่นอารมณ์ใดๆ ประดุจหินในมหาสมุทร ปล่อยให้คลื่นคลั่งซัดกระแทก แต่ก็ยังคงสามารถยึดมหาสมุทรเอาไว้ได้มั่น
ตอนนี้จากเสียงที่ดังก้องไป ระลอกคลื่นอารมณ์ที่เกิดจากคำพูดจักรพรรดิหงหลิงของผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์เขตปกครองผนึกสมุทรทั้งหลายก็ได้รับการปลอบประโลมอย่างรวดเร็ว
ยิ่งไปกว่านั้น เสี้ยวขณะต่อมา เงาร่างของเจ้าวังก้าวออกมาจากท้องฟ้า มือขวาขณะที่ยกขึ้นกระบี่จักรพรรดิข้างกายกะพริบแสงเจิดจ้าพร่างพราย รูปร่างแปรเปลี่ยนไปเป็นทวนยาวเล่มหนึ่ง หลังจากที่เขาถือมันเอาไว้ ก็พุ่งตรงไปหาหงหลิง
ขณะที่เข้าโรมรันกัน ฟ้าดินเปลี่ยนสี สังหารกันไปบนม่านฟ้า แม้สนามรบข้างล่างไม่นานนักก็มองไม่เห็นเงาร่างของพวกเขา แต่ระลอกคลื่นที่ส่งมาจากท้องฟ้ารุนแรงเป็นอย่างยิ่ง
การฆ่าล้างสังหารในสนามรบก็ดำเนินต่อไปเช่นกัน
หลังจากที่กองทัพเผ่ามนุษย์ทั้งหมดถอยกลับไป แสงของวิเศษต้องห้ามเขตปกครองหลวงกะพริบวูบวาบ ของวิเศษเวทต้องห้ามของทุกสำนักในเขตปกครองผนึกสมุทรแต่ละชิ้นแปรเปลี่ยนเป็นวิญญาณศัสตราบนตาข่าย ปะทุขึ้นทุกด้าน พุ่งออกไปภายนอกอย่างรวดเร็ว คิดจะต้านทานกองกำลังที่บุกมา
แต่เขตปกครองผนึกสมุทรจะอย่างไรก็เป็นกำลังของหนึ่งเขตปกครองเท่านั้น สู้พลังหนึ่งดินแดนของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ ดังนั้นจังหวะนับตั้งแต่แรก ล้วนอยู่ที่เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์
ต่อให้เป็นตอนนี้แม้จะต่อสู้กับวิญญาณสีชาดเพียงรัฐเดียว แต่ก็ยากจะต้านทาน ทำได้แค่เพียงฝืนรักษาเอาไว้เท่านั้น ยืดเวลาแตกพ่าย รอกองทัพเสริมเมืองหลวงจักรพรรดิมาถึง
เวลาไหลผ่านไปช้าๆ เช่นนี้
ไม่นานนักก็ผ่านไปเจ็ดวัน
สงครามครั้งนี้ดำเนินมาถึงตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นกลางคืนหรือกลางวันเสียงระเบิดดังกึกก้องอยู่ทุกชั่วขณะ การฆ่าสังหาร ดำเนินไปไม่หยุด
แม้เจ้าวังไม่ได้กลับมา แต่ทุกอย่างภายใต้การจัดการดูแลจากรองเจ้าวังและผู้อาวุโสใหญ่โถงครองกระบี่มณฑลต่างๆ ก็นับว่ายังเป็นระเบียบอยู่ แนวป้องกันหลังจากที่เกือบจะแตกพ่ายอยู่หลายครั้ง สุดท้ายก็รักษาไว้ได้
แนวป้องกันที่ห้าห่างออกไปหมื่นลี้ข้างหลังก็สร้างเสร็จแล้วไปกว่าครึ่ง
ส่วนสวี่ชิงทางนี้เข้าไปในสนามรบไม่ใช่แค่ครั้งเดียว ทำความคุ้นเคยกับจังหวะของสงคราม คุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงกองทัพทุกกองทัพ ตัวเขาเองก็ฆ่าศัตรูไปไม่น้อยเช่นกัน ส่วนการบาดเจ็บนั้นก็ยากจะหลีกเลี่ยง
แม้จะมีผลึกวารีสีม่วงฟื้นฟู แต่ความเหนื่อยล้าของจิตใจประเภทนั้นไม่อาจสลายหายไปได้ ทำได้เพียงสะสมเอาไว้ในใจอยู่เรื่อยๆ อุดคอเอาไว้ ทำให้เปลี่ยนมาเงียบนิ่ง
มีหลายครั้งที่เขาได้เจอกับผู้บำเพ็ญระดับสมบัติวิญญาณเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์
ดีที่เขาไม่ได้เข้าไปลึกเกิน จึงพอรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่ก็มีครั้งหนึ่งที่บาดเจ็บสาหัสเกือบตาย
สุดท้ายเขาได้พบกับข่งเสียงหลง ร่วมกับกลุ่มที่ข่งเสียงหลงอยู่ ร่วมกับพวกซานเหอจื่อและคนอื่นๆ หลายร้อยคน บังคับหุ่นเชิดสงครามตัวหนึ่ง เข้าร่วมในสนามรบในระดับที่ลึกยิ่งขึ้น
ภายใต้การโจมตีอย่างบ้าคลั่งของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ ในเจ็ดวันนี้ ฝ่ายเขตปกครองผนึกสมุทรไม่มีเวลาพักเลย สงครามระดับนี้ จิตใจของทุกคนล้วนตึงเครียด
มีเพียงเวลาเปลี่ยนกะกองทัพ มีเวลาพักผ่อนสั้นๆ ทุกครั้งในเวลานี้ ข่งเสียงหลงจะนอนบนพื้น มองท้องฟ้า เหม่อลอย ไม่พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว
ซานเหอจื่อก็เช่นกัน ปกติเขาที่ไม่ชอบดื่มสุรา ในเวลานี้นั่งพิงหุ่นเชิดตัวยักษ์ที่เต็มไปด้วยร่องรอยเสียหายดื่มสุรา ใบหน้าที่เต็มไปหนวดเครา
ทั้งๆ ที่อายุยังหนุ่มแน่น แต่ใบหน้าของเขากลับมีความล้ำลึกผ่านกาลเวลาเพิ่มขึ้นมา
สวี่ชิงได้ยินมาว่า หวังเฉิน…เมื่อครึ่งเดือนก่อน ในวันที่สามที่เยี่ยหลิงตาย ก็รบตายเช่นกัน
เพื่อมาช่วยซานเหอจื่อ
ร่างของเขาในช่วงรอยต่อสงคราม ทั้งสองฝ่ายทำความสะอาดสนามรบก็หายไม่เจอ หลอมรวมไปกับเลือดเนื้อนับไม่ถ้วน ตายโดยไร้ร่างสมบูรณ์
สวี่ชิงเงยหน้ามองไปที่ไกลเงียบๆ ฟ้าดินมืดครึ้มไปทั้งแถบ ประกายแสงสีแดงประเดี๋ยวๆ ก็กะพริบวูบวาบ เสียงระเบิดสะท้านสะเทือน กระจายไปทุกที่ที่สายตากวาดถึง
ทางทิศนั้นเป็นแนวหน้าอีกแห่งของสนามรบเขตตะวันตก และเป็นที่ที่กองทัพมณฑลรับเสด็จราชันคุ้มกัน
นายกองอยู่ตรงนั้น บรรพจารย์เสี่ยเลี่ยนจื่อก็อยู่ตรงนั้นเช่นกัน
‘หวังว่าพวกเขาจะปลอดภัย’ สวี่ชิงพึมพำในใจ
เขาไม่สามารถใช้แผ่นหยกสื่อเสียงได้ ในนสนามรบนี่เป็นสิ่งที่ถูกจำกัด มีเพียงรายงานสงครามเท่านั้นที่ถ่ายทอดได้
ความกดดัน ความเงียบ ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็คือจังหวะของสนามรบแห่งนี้
และเวลาพักผ่อนปรับเปลี่ยนก็สั้นมาก
ข่งเสียงหลงลุกขึ้น ตรงดิ่งไปยังหุ่นเชิดสงครามที่เปื้อนไปด้วยเลือด เสียหายไปไม่รู้ต่อกี่จุดจนนับไม่ถ้วนโดยไม่พูดไม่จาจากคำสั่งเคลื่อนไหวที่ลงมา
ในเจ็ดวันนี้นี่เป็นหุ่นเชิดตัวที่เจ็ดแล้วที่พวกเขาเปลี่ยนแล้ว
ซานเหอจื่อวางกาสุราเอาไว้อย่างระมัดระวัง เดินไปเช่นกัน
สวี่ชิงลุกขึ้นอย่างเงียบงัน ก้าวขึ้นไปบนหุ่นเชิดพร้อมกับผู้บำเพ็ญหลายร้อยคนที่รวมตัวมาจากรอบๆ นั่งขัดสมาธิไปในนั้น
หุ่นเชิดตัวนี้ทั้งร่างพลันสะท้านเฮือกจากการแผ่ซ่านของพลังบำเพ็ญ ค่อยๆ แผ่พลังกดดันออกมา ก้าวไปในสนามรบ เดินออกไปท่ามกลางการสั่นไหวของพื้น
เศษเนื้อนับไม่ถ้วนหลุดร่วงมาจากในช่องข้อต่อของหุ่นเชิดขณะที่เคลื่อนไหว ในนั้นมีผู้เก็บกู้ แต่ที่มีมากกว่าคือเลือดเนื้อของผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์
หลังจากร่วงลงสู่พื้นก็ถูกหุ่นเชิดสงครามที่เดินมาจากข้างหลังเหยียบจนแหลกเละอีกครั้ง
หุ่นเชิดสงครามที่สวี่ชิงอยู่ตัวนี้ ส่วนที่เขารับผิดชอบคือมือซ้าย ที่นั่นควบคุมพลังทำลายล้าง
ตอนนี้นั่งขัดสมาธิในนี้ สวี่ชิงมองสนามรบที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผ่านจากม่านแสงที่ปกป้องอยู่ที่ชั้นผิว สีหน้าโดยไม่รู้ตัวก็เหมือนกับคนอื่นๆ มีความเฉยชาเพิ่มขึ้น
จนเมื่อผ่านภูเขาซากหุ่นเชิด สวี่ชิงเห็นว่าที่นั่นไม่มีผู้รอดชีวิต
ตอนนั้นชายชราขาเป๋ที่บอกให้เขามีชีวิตรอดกลับมา ร่างของเขานอนอยู่ที่ภูเขาซากหุ่นเชิดแห่งหนึ่ง ร่างม่วงดำไปทั้งแถบ นั่นเป็นร่องรอยของการถูกไอพลังประหลาดกัดกิน
ศพแบบนี้ ตอนที่สวี่ชิงอยู่ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณตอนนั้นก็เคยเห็นมามากมาย
สำหรับสนามรบที่มีจำนวนหลายสิบล้านคน ความตายของคนคนหนึ่ง นอกจากสหายร่วมรบในกลุ่มเล็กๆ ของเขาหรือพลจดบันทึกแล้ว คนอื่นๆ ยากจะรู้ได้
ตายไปอย่างเงียบงัน
สวี่ชิงเงียบนิ่ง เสี้ยวขณะต่อมาหุ่นเชิดที่เขาอยู่ฝ่าตาข่ายสีทองออกไป รวมกับหุ่นเชิดที่เหมือนกันทุกประการหลายหมื่นตัวเป็นกองทัพใหญ่ ฝ่าทะลวงไป
เวลาไหลไป
พลบค่ำวันที่สิบ เจ้าวังกลับมา
การปรากฏตัวของเขาทำให้ขวัญกำลังใจของเผ่ามนุษย์พุ่งขึ้นทันที ในดวงตาของทุกคนเหมือนมีแสงริบหรี่
และสงครามครั้งนี้ จากการกลับมาของเจ้าวัง ทางฝ่ายเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์เลือกที่จะพักปรับปรุง ทำให้เกิดเป็นช่วงระยะเวลาพัก
ในระหว่างช่วงนี้ทั้งสองฝ่ายต่างส่งกลุ่มขนาดเล็กไปในสนามรบทำการนำศพที่สมบูรณ์ของฝ่ายตัวเองกลับมาเท่าที่เป็นไปได้ แม้เมื่อเจอกันก็มีการกระทบกระทั่งเข่นฆ่ากัน แต่สุดท้ายแล้วก็ล้วนเลือกที่จะหลบไปตามสัญชาตญาณ
สวี่ชิงทางนี้ก็ไปทางกลุ่มที่ข่งเสียงหลงอยู่ เขาถูกเจ้าวังเรียกกลับมายังกระโจม
ในยามที่พบเจ้าวังอีกครั้ง เขาไม่เห็นบาดแผลใดๆ บนร่างของเจ้าวัง กระทั่งว่าในดวงตามีไฟชีวิตเข้มข้นฉายออกมา รังสีอำมหิตในตัวก็เข้มข้นขึ้น
นี่ไม่สมเหตุสมผล
การต่อสู้ของเจ้าวังกับจักรพรรดิหงหลิงดำเนินมายาวนานขนาดนี้ ไม่มีทางไม่มีบาดแผลใดๆ ทั้งสิ้น
สวี่ชิงมองเจ้าวัง ลังเลเล็กน้อย รายงานข่าวที่ตนสืบมาได้จากมณฑลประกายอรุณออกมาเสียงเบา ขณะเดียวกันก็นำป้ายเจ้าวังออกมา ยื่นไปสองมือ
เจ้าวังรับมา หลังจากรับไว้แล้วมองผาดหนึ่งก็โยนให้สวี่ชิง
“ป้ายนี้มีทั้งหมดสองแผ่น แผ่นนี้เจ้าเก็บไว้ บางทีวันข้างหน้าอาจจะมอบพลังปกป้องให้เจ้าได้ ต่อให้มีเจ้าเขตปกครองคนใหม่มา ป้ายแผ่นนี้ถูกยกเลิกสิทธิ์อำนาจ แต่พลังที่ข้าทำให้ป้ายนี้สามารถเหนี่ยวนำของวิเศษเวทต้องห้ามครั้งหนึ่งได้ จะไม่ถูกยกเลิกไปด้วย”
“ท่านเจ้าวัง…” สวี่ชิงมองชายชราเบื้องหน้าคนนี้ ในใจเกิดระลอกคลื่น
“สวี่ชิง หลายวันนี้เจ้าคงเข้าใจสถานการณ์ของสนามรบแล้วกระมัง” เจ้าวังตัดบทสวี่ชิง เงยหน้าขึ้น สีหน้าเคร่งขรึม ในใจกลับถอนหายใจ
สำหรับสวี่ชิง เขาชมชอบมากๆ เดิมเตรียมจะคอยจับตามอง ฝึกฝนอบรมให้ดี ให้เขาสุดท้ายเป็นหนึ่งในคนรับช่วงต่อ แต่การมาถึงของสงครามเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง
เวลาไม่พอแล้ว
“เข้าใจแล้วขอรับ” สวี่ชิงพยักหน้า เอ่ยเสียงเบา
“เช่นนั้นต่อจากนี้ เจ้าทำหน้าที่อาลักษณ์ต่อ ตอนนี้จดบันทึก!” สายตาของเจ้าวังจับจ้องไปนอกกระโจม เอ่ยขึ้นอย่างสงบนิ่ง
สวี่ชิงรีบรับคำทันที นำแผ่นหยกจดบันทึกออกมา
“ออกคำสั่งให้กองทัพที่หกและเจ็ดถอยไปหมื่นลี้ ไปตั้งค่ายที่แนวป้องกันที่ห้า
“ออกคำสั่งให้กองทัพมณฑลรับเสด็จราชันและมณฑลบังคับจำนนสองกองทัพนี้ถอยไปสามหมื่นแปดพันลี้ ไปตั้งค่ายที่เทือกเขาพิรุณนิรันดร์
“ออกคำสั่งให้กองทัพที่สี่และห้า ถอยไปเจ็ดหมื่นลี้ ตั้งค่ายที่ชายแดนมณฑลสวนพิรุณ
“ออกคำสั่งให้กรมราชทัณฑ์กระจายไปทั่วทั้งมณฑลเผชิญคลื่น สังหารองครักษ์ชุดดำให้สิ้นซาก กวาดล้างศัตรูเส้นทางที่มุ่งหน้าไปมณฑลสวนพิรุณให้สิ้นซาก
“ออกคำสั่งให้มณฑลสวนพิรุณ นับแต่เสี้ยวขณะนี้เป็นต้นไป เปิดค่ายกลส่งข้ามขอบเขตกว้างตลอดเวลา!
“ออกคำสั่งลับกองทัพที่หนึ่ง ให้มุ่งหน้าไปยังมณฑลสวนพิรุณและมณฑลชี้แจ้งวิญญาณ ตรวจสอบสถานการณ์ไฟพิภพลุกไหม้ เร่งความเร็วนำคนธรรมดาถอย”
สวี่ชิงได้ยินถึงตรงนี้ก็เงยหน้ามองเจ้าวัง
“เจ้าวัง เช่นนี้แล้ว ที่นี่จะเหลือเพียงวังครองกระบี่และกองทัพที่สองและสามนะขอรับ”
เจ้าวังหลับตา เอ่ยออกไปอย่างสงบนิ่ง
“ไปถ่ายทอดคำสั่งเถิด!”
สวี่ชิงพยักหน้าถอยไป ในตอนที่ใกล้จะเดินออกไปจากกระโจม เขาเอ่ยเสียงเบาออกมาอย่างอดไม่ได้
“ท่านเจ้าวัง สภาพจิตใจของพี่ข่งช่วงนี้ค่อนข้างหดหู่…”
เจ้าวังไม่พูดอะไร
สวี่ชิงรออยู่ครู่หนึ่ง ก็เดินออกไปเงียบๆ
จวบจนเมื่อเขาเดินออกไปแล้ว เจ้าวังลืมตาขึ้น ไฟชีวิตลุกโชนที่ฉายออกมาในดวงตาเมื่อก่อนหน้านี้ ตอนนี้หมองหม่นลงไปอย่างรวดเร็ว แต่ไม่นานก็ลุกไหม้ขึ้นมาใหม่ และค่าตอบแทนก็คือเลือดสดๆ ที่ไหลออกมาจากมุมปากของเขา
นอกกระโจม สวี่ชิงเห็นข่งเสียงหลงยืนอยู่ตรงนั้น
ข่งเสียงหลงมองสวี่ชิง หลังจากพยักหน้าแล้ว จากเสียงเรียกที่ดังมาจากในกระโจม ข่งเสียงหลงเดินเข้าไป
เห็นสีหน้าโดดเดี่ยวเศร้าสร้อยของข่งเสียงหลง สวี่ชิงก็ถอนหายใจในใจ แต่ก็จำต้องเก็บจิตใจ เรียกรวมกรมอาลักษณ์ เริ่มทำการถ่ายทอดคำสั่ง
เวลาบนสนามรบก็ผ่านไปแต่ละวันๆ เช่นนี้เอง
สงครามยังคงดำเนินต่อไป อีกทั้งยังดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกับที่จำนวนบาดเจ็บล้มตายเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลทุกวัน จากกองทัพแต่ละกองที่ถูกโยกย้าย ค่ายทหารก็โล่งไปเยอะ
มีเพียงโครงกระดูกที่กองเป็นโครงๆ อยู่ตรงนั้น มากขึ้นเรื่อยๆ
สวี่ชิงเดินอยู่ในค่าย เคลื่อนไปข้างหน้าเงียบๆ จากวันที่เขามาถึงสนามรบแห่งนี้ ผ่านมายี่สิบสามวันแล้ว
ในยี่สิบสามวันนี้ เขาเห็นความตายมามากมายเหลือเกิน เห็นความน่าสังเวชมานับไม่ถ้วน เห็นนรกบนดิน และเสียงระเบิดข้างหู ก็คุ้นชินกับมันไปนานแล้ว
วันนี้เป็นช่วงรอยต่ออีกครั้งของการต่อสู้ทั้งสองฝ่าย เขาวางแผนว่าจะมาที่นี่หาคนบางคนไปร่วมกับกรมอาลักษณ์ของตัวเอง
เพราะกรมอาลักษณ์ยังมีหน้าที่ภารกิจที่จะต้องติดตามไปรบด้วย จนตอนนี้ตายไปหลายร้อยคน
ตอนนี้เหลือสมาชิกไม่เพียงพอแล้ว
นึกถึงตัวเลขการตายในสงครามที่ตนได้เห็นในทุกๆ วัน ฝีเท้าของสวี่ชิงก็หนักอึ้ง ในสมองเขามีเจ้าวังผุดขึ้นมา อีกฝ่ายเห็นได้ชัดว่าไม่ชอบมาพากลขึ้นเรื่อยๆ
ไม่มีใครที่ไฟชีวิตในดวงตาจะเข้มข้นจนถึงระดับนี้ อีกทั้งรังสีอำมิหิตที่แผ่ออกมายังถูกไฟชีวิตค่อยๆ กลบลงไป
ในดวงตาสวี่ชิงฉายแววเศร้าโศก
ในฐานะผู้บำเพ็ญ ต่อให้ทีแรกเขามองไม่ออก แต่หลังจากที่ผ่านมานานเช่นนี้ เขาย่อมเข้าใจ
เจ้าวังเผาพลังทั้งร่างของตัวเอง เผาไหม้อย่างไม่สนค่าตอบแทนทุกอย่าง และพลังน่าครั่นคร้ามที่แลกมาหลังจากการเผาไหม้ เขาก็ไม่ได้ปลดปล่อยมันออกมา แต่เก็บไว้ในกาย เหมือนว่ากำลังสะสมพลัง
‘กองทัพเสริมเมืองหลวงจักรพรรดิไม่มีทางมาถึงจริงๆ หรือ’ สวี่ชิงพึมพำในใจ คำถามนี้เป็นการเฝ้ารอร่วมกันของเผ่ามนุษย์เขตปกครองผนึกสมุทรทุกคนในสนามรบเช่นกัน
แม้ตอนนี้สวี่ชิงจะเป็นอาลักษณ์ รู้ข่าวข้อมูลที่สนามรบมากมาย แต่สำหรับเรื่องนี้…ก็ไม่รู้อะไรเลยเช่นกัน
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง สวี่ชิงก็ถอนหายใจเบาๆ ในใจ ในตอนที่เดินผ่านโครงกระดูกแต่ละโครง จู่ๆ ฝีเท้าของเขาก็หยุดชะงัก พลันหันไปมองบริเวณที่ห่างไปไม่ไกลนัก
ตรงนั้นมีโครงกระดูกสองร่าง ก่อนตายพวกเขากอดกัน บาดแผลบนร่างมากมาย ยิ่งมีไอพลังประหลาดเข้มข้น และตอนนี้แม้จะเสียสละชีวิต ก็ยังคงไม่แยกจากกัน
ต่อให้พวกเขาจะเหลือเพียงกายท่อนบนก็ตาม
สวี่ชิงเดินไปเงียบๆ ยืนอยู่ตรงนั้น มองโครงกระดูกสองโครงนี้อยู่นาน
“ศิษย์พี่เฉิน…”
โครงกระดูกที่กอดกันสองโครงนั้นคือเฉินถิงหาวคู่ฝึกเต๋าทั้งสองคน
ยี่สิบกว่าวันก่อน ในตอนที่สวี่ชิงมาถึงแนวหน้า ยังเห็นพวกเขาอยู่เลย ตอนนั้นเฉินถิงหาวได้รับบาดเจ็บ คู่ฝึกเต๋าของเขากำลังทำแผลให้เขา หลังจากเห็นสวี่ชิงพวกเขายังยิ้มให้สวี่ชิง
แต่ตอนนี้จากกันชั่วนิรันดร์
สวี่ชิงสะบัดมือถอดผ้าคลุมของชุดนักพรตออกมา คลุมไปที่ศพทั้งสอง หลังจากนั้นสิบกว่าอึดใจ เขาก็พึมพำเสียงเบา
“หลับให้สบาย”
สวี่ชิงหลับตา ในยามที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็ไปจากที่นี่ เสียงแตรสงครามรอบใหม่ดังจากสนามรบในตอนนี้เอง สงคราม เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
จังหวะและความถี่เห็นได้ชัดว่าเร็วขึ้น
“โคจรของวิเศษเวทต้องห้ามทุกด้าน ปล่อยพลังของวิเศษเวทต้องห้ามของทุกสำนักเจ็ดส่วน!
“ถ่ายทอดคำสั่งหุ่นเชิดสงคราม ใช้ตัวที่พังแล้วเป็นอาวุธใช้ครั้งเดียว โยนไปในสนามรบ!
“บอกผู้ครองกระบี่เตรียมกระบี่จักรพรรดิ!
“ประกาศแจ้งกองทัพทุกกอง เตรียมถอยไปยังแนวป้องกันที่ห้า”
นอกกระโจม เจ้าวังสวมชุดเกราะ ยืนอยู่ตรงนั้นส่งสัญญาณออกคำสั่ง ในช่วงเวลาทำศึก การส่งจิตเทพของเขาทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี ไม่จำเป็นต้องให้กรมอาลักษณ์ไปประกาศคำสั่งทีละคำสั่งๆ แล้ว การจัดการทุกอย่าง ล้วนอยู่เพียงชั่วเสี้ยวจิตเทพของเขาเท่านั้น
แต่สิ่งที่เขามองคือภาพรวม ติดที่กำลัง เรื่องรายละเอียดไม่สามารถทำได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง
ตอนนี้ก็ต้องให้สวี่ชิงทำการจัดศิษย์กรมอาลักษณ์ที่เหมาะสมไปพร้อมกัน ไปสนามรบช่วยดูแลสถานการณ์สงคราม รวบรวมข้อมมูลกลับมา สะดวกให้เจ้าวังพิสูจน์ยืนยันและวิเคราะห์สถานการณ์สงคราม
ไม่นานนัก ในสนามรบ การสังหารของทั้งสองฝ่ายก็ปะทุอย่างต่อเนื่อง ครั้งนี้ยากลำบากกว่าครั้งก่อน ด้านหนึ่งคือเห็นกับตา อีกด้านหนึ่งคือรวบรวมข้อมูลจากสนามรบเขตต่างๆ ทำให้สวี่ชิงรู้สึกเหมือนตึกใหญ่จะถล่มอย่างหนึ่ง
“เจ้าวัง ระดับความเหนื่อยล้าของผู้บำเพ็ญฝั่งเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ไม่ถูกต้อง! จำนวนของหิมะดำก็ไม่ถูกต้อง เข้มข้นขึ้นกว่าช่วงก่อนๆ ห้าส่วน!
“จากความเสียหาย จากการโคจรอาวุธเวทและกระบวนค่ายกลของพวกเขาต่างไปจากแต่ก่อน…กรมอาลักษณ์วิเคราะห์ว่าเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์มีกองทัพเสริมเข้าร่วมอย่างลับๆ!
แทบจะในเวลาเดียวกับที่สวี่ชิงเอ่ย บนท้องฟ้า ดินแดนเหนือสุด ดินแดนที่ห่างไกล พายุฝนคลั่งหอบม้วนท้องฟ้า เชื่อมต่อกับผืนดิน พัดกวาดมาสนามรบอย่างรวดเร็ว
เพียงพริบตา น้ำฝนในพายุ ขณะที่หอบม้วนในท้องฟ้า ก็ร่วงลงมาบนสนามรบ
น้ำฝนนี้คือฝนเลือด
มันพัดมาจากทางเหนืออันไกลโพ้น
ขณะเดียวกัน กระบี่อาญาสิทธิ์ของสวี่ชิงก็ส่งเสียงวู้มๆ ถี่กระชั้น รายงานสงครามเขตสงครามทางเหนือ ส่งมาที่นี่ในระดับที่เร่งความเร็วอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
สวี่ชิงหายใจหอบถี่ หลังจากตรวจอ่านสมองก็มีสายฟ้าฟาดผ่าทันที ด้วยสมาธิของเขาสีหน้ายังเปลี่ยนไปอย่างมากทันที กำกระบี่อาญาสิทธิ์เอาไว้แน่นตามสัญชาตญาณ
นอกกระโจม นอกจากเจ้าวังแล้วยังมีรองเจ้าวังและผู้ดูแลสองคน อีกทั้งผู้อาวุโสใหญ่โถงครองกระบี่กองทัพที่สองและสาม
พวกเขาสังเกตได้ถึงความไม่ชอบมาพากล พลันมองมาทางสวี่ชิงและเจ้าวังทันที
ร่างของเจ้าวังสั่นสะท้านเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าข้อมูลข่าวที่สวี่ชิงได้รับ ผ่านจากอำนาจของวิเศษเวทเขตแดนเมืองหลวงเขตปกครอง เขาก็รับรู้แล้วเช่นกัน
จากที่เหมือนหินกลางมหาสมุทร ในยามที่เขตปกครองผนึกสมุทรอยู่ในช่วงที่อันตรายที่สุด เจ้าวังครองกระบี่ที่เหมือนเสาเทพตรึงมหาสมุทร เผยสีหน้าโศกเศร้าออกมาต่อหน้าผู้คนเป็นครั้งแรก
ท่ามกลางความโศกเศร้า เขาทอดสายตามองไปทางเหนือ
แต่ไม่ว่าจะการสั่นสะท้านหรือความโศกเศร้า ล้วนเป็นเพียงแต่ชั่วเสี้ยวพริบตา เสี้ยวขณะต่อมา อารมณ์อ่อนแอทุกอย่างเหล่านี้ เจ้าวังครองกระบี่ล้วนตัดมันไปทั้งหมด
ร่างของเขายังคงผ่าเผย สันหลังยังคงเหยียดตรง สีหน้าของเขายังคงเคร่งขรึม สายตาของเขายังคงมุ่งมั่น
“ท่านเจ้าวัง…” ผู้อาวุโสใหญ่โถงครองกระบี่กองทัพที่สองและสามลังเลทันที
“สวี่ชิง อ่าน!” เจ้าวังเอ่ยสงบนิ่ง เสียงราบเรียบมั่นคง ต่อให้จนถึงตอนนี้แล้ว เขาก็ยังคงเป็นเสาเทพตรึงสมุทร
สวี่ชิงก้มหน้า สูดลมหายใจลึก
“แนวหน้าทางเหนือส่งรายงานสถานการณ์สงครามมา!”
“ตาข่ายของวิเศษเวทต้องห้ามทางเหนือพังทลาย ไม่สามารถผสานรวมได้อีก กองทัพพันธมิตรทุกเผ่าพ่ายแพ้ บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน
“ราชวงศ์สายลมสวรรค์และราชวงศ์ปฐพีเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์บุกเข้ามาอย่างทรงพลังกล้าแกร่ง รุกรานเข้ามาในมณฑลสงบสุขแล้ว!
“เจ้าวังอาญารบตาย!
“เจ้าวังพิธีการรบตาย!
“ส่วนตระกูลเหยา…ทั้งตระกูลที่อยู่แนวหน้าทางเหนือล้วนรบตาย โหวเหยาเดิมอยู่ที่สนามรบหายสาบสูญ เป็นตายไม่รู้”
คำพูดของสวี่ชิงดังขึ้นในหูของรองเจ้าวังและคนทั้งหลาย เหมือนอัสนีฟาดผ่า ทุกคนลมหายใจหยุดชะงัก มองไปทางเจ้าวังทุกคน
เจ้าวังกลับหัวเราะ
“เรื่องนี้ มาจนถึงตอนนี้ข้ามองเข้าใจแล้ว…ไม่ต้องกลัว พวกเจ้าไม่ต้องกลัว” เจ้าวังเงยหน้ามองไปทางสนามรบ เอ่ยเสียงเบา
“ศึกตัดสินใกล้จะมาถึงแล้ว”
แทบจะในพริบตาเดียวกับที่เจ้าวังพูดออกมา บนสนามรบก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์คล้ายว่าได้รับคำสั่งเดียวกัน ต่างส่งเสียงร้องตะโกนยินดีดังก้อง จากนั้นกองทัพยิ่งใหญ่ก็ต่างพากันถอย
ไม่นานนักก็ถอยออกจากสนามรบมาถึงเทือกเขาคลื่นนภา และที่ถอยพร้อมไปด้วยยังมีอาวุธเวททรงสี่เหลี่ยมรูปว่าวบนฟ้าด้วย
การจากไปของพวกมันทำให้เมฆหมอกบนท้องฟ้าเบาบางไปมาก เผยให้เห็นคลื่นวนขนาดมหึมาบนที่สูง
หิมะสีดำเทลงมาจากในนั้น โซ่เหล็กที่ท่อนแขนนับไม่ถ้วนบนพื้นถือเอาไว้ ตอนนี้กระชากอย่างบ้าคลั่ง ลมหายใจที่แฝงไว้ด้วยความตายแผ่ซ่านออกมาจากคลื่นวนบนท้องฟ้า
เพียงแค่เศษเสี้ยวก็ทำให้ท้องฟ้ามีความมืดสลัวอย่างฤดูหนาว มืดมนเป็นที่สุด
พื้นดินก็มีหมอกบางเบาเกิดขึ้น
โซ่ที่แผ่ลามไปในคลื่นวน เกิดน้ำค้างแข็งขึ้นมาอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า กลายเป็นโซ่น้ำแข็ง
จากนั้น เงาร่างยักษ์น่าครั่นคร้ามพรั่นพรึงสองร่าง หลังจากที่เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ถอยไปจากสนามรบ ก็ลุกตระหง่านขึ้นมาจากทางด้านซ้ายขวาของเทือกเขาคลื่นนภา
ด้านซ้ายคือจักรพรรดิหงหลิง
ด้านขวาสวมชุดจักรพรรดิ สวมกวานจักรพรรดิเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นหนึ่งในจักรพรรดิของสี่ราชวงศ์แห่งเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์!
พวกเขายืนอยู่ในฟ้าดิน เงาร่างสูงใหญ่คล้ายว่าสามารถค้ำยันฟ้าดินได้ จ้องมองมายังกระโจมที่เจ้าวังอยู่
“ข่งเลี่ยงซิว เขตรบทางเหนือแตกพ่ายแล้ว กองทัพเผ่าข้าบุกเข้าไปในเขตปกครองผนึกสมุทรแล้ว ส่วนที่นี่สมบัติแดนสงครามฟ้าทมิฬกำลังลงมาเยือน ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว
“เจ้ารู้ว่าอะไรคือสมบัติแดนสงคราม ดังนั้น เจ้าจะลองขัดขวางดูก็ได้ พวกเราจะไม่ขัดขวาง แต่ความจริง…เจ้าขวางไม่ได้หรอก”
เสียงกังวานดังก้องฟ้าดิน ผู้ครองกระบี่นอกกระโจมทุกคน สีหน้าต่างฉายแววมุ่งมุ่น ในยามที่จิตสังหารท่วมฟ้า เจ้าวังเงยหน้า มองสองจักรพรรดิที่ยืนอยู่ที่เทือกเขาคลื่นนภา เสียงสงบนิ่ง ดังไปทั่วทั้งสี่ทิศ
“ใช่แล้ว ทุกอย่างจะจบลงแล้ว”
พูดจบ เจ้าวังก็หันกลับไปมองเขตปกครองผนึกสมุทร เอ่ยเสียงแผ่วเบา
“ถ่ายทอดคำสั่ง กองทัพที่สอง กองทัพที่สาม ถอยออกไปจากแนวป้องกันทันที ถอยไปหมื่นลี้ ห้ามออกรบ
“ถ่ายทอดคำสั่ง กองทัพที่เหลือทั้งแปดกองที่ถอยไปในตำแหน่งที่กำหนด รักษาคุ้มกันอยู่กับที่ ห้ามออกรบ
“ถ่ายทอดคำสั่ง ผู้ครองกระบี่ทุกคนที่นี่…ถอยไปห้าพันลี้ ห้ามออกรบ!”
คำพูดของเจ้าวังเมื่อดังออกมา ผู้คนรอบๆ ต่างหน้าเปลี่ยนสี สวี่ชิงพลันเงยหน้ามองเจ้าวัง
รองเจ้าวังครองกระบี่ก้าวขึ้นมาก้าวหนึ่ง บนใบหน้าที่ลึกล้ำผ่านกาลเวลาปรากฏร่องรอยตะวันลับฟ้า เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
“ทั้งหมดห้ามไม่ให้ออกรบ เหลือเพียงท่านคนเดียวอย่างนั้นหรือ…เจ้าวัง ข้าแก่แล้ว ข้าจะตามท่านไปด้วย
“เจ้าวัง ซือหม่าหนานพลังบำเพ็ญไม่พอ แต่เลือดของข้าก็ยังพอร้อนอยู่ จะเสียเปล่าไม่ได้ ข้าเห็นว่าแดนล้ำค่านั่นแผ่ไอความเย็นออกมาดียิ่งนัก อยากจะไปตากลมเย็นสักหน่อย” ผู้ดูแลซือหม่าในดวงตาฉายความตาย แต่ใบหน้ากลับแฝงด้วยรอยยิ้ม ก้าวขึ้นไปเช่นกัน
“ในสี่ผู้ดูแล เหล่าโจวกับเหล่าซ่งต่างจากไปแล้ว เหลือข้ากับซือหม่า ท่านเจ้าวัง ท่านจะลำเอียงเข้าข้างซือหม่าไม่ได้ ข้าก็จะไปด้วยเหมือนกัน”
ในตอนที่สวี่ชิงเดินทางไปวังครองกระบี่ครั้งแรก ผู้ดูแลซุนที่ดูแลดำเนินพิธีสาบานตนผู้ครองกระบี่ของรุ่นเขารุ่นนี้ ตอนนี้ก็ยิ้มออกมาเหมือนกัน ก้าวออกไปก้าวหนึ่ง
คนอื่นๆ ต่างทยอยกันพูด ตอนนี้พลังเย็นเยียบในคลื่นวนบนท้องฟ้ายิ่งรุนแรงขึ้น
ท้องฟ้าถูกย้อมกลายเป็นสีดำ จากการหมุนของคลื่นวน ความเย็นที่ชวนให้จิตใจสั่นสะท้านเป็นระลอกๆ หมุนวนแผ่มา ปกคลุมฟ้าดิน ครอบคลุมทุกอย่าง
ระหว่างนั้นเหมือนว่าทุกที่ที่ผ่าน เมฆหมอกกลายเป็นน้ำแข็ง พื้นดินเกิดควันลอยขึ้น แล้วถูกแช่แข็งกลางอากาศ แปรเปลี่ยนเป็นเสาที่ไม่เป็นระเบียบแต่ละต้นๆ น่าครั่นคร้ามพรั่นพรึงยิ่งนัก!
มองทุกอย่างนี้ เจ้าวังเอ่ยเสียงราบเรียบ
“ข้ายังเป็นเจ้าวังอยู่หรือไม่”
คนทั้งหลายเงียบนิ่ง
“วังครองกระบี่ไม่ต้องการให้มีแล้วหรือ
“ผู้ที่ออกรบเผ่ามนุษย์เหล่านั้นตายอย่างเสียเปล่าหรือ
“พวกเจ้าทำตามคำสั่งเดี๋ยวนี้!”
เจ้าวังเอ่ยเสียงเย็นเยียบ เดินออกไปที่สนามรบ มือขวายกขึ้นสะบัด ลมพายุทรงพลังหอบท่วมฟ้า พัดกวาดที่นี่ ทำให้ผู้บำเพ็ญนับไม่ถ้วนในแนวป้องกันต่างร่ายกายสะท้านเฮือก ถูกผลักจนจำต้องถอยหลัง จวบจนถอยไปหมื่นจั้ง
ฟ้าดินมืดหม่น ทั้งแนวป้องกันทั้งสี่ เหลือเพียงเงาร่างโดดเดี่ยวที่ไม่เคยถอดชุดเกราะออกเลยร่างหนึ่ง
ฝุ่นทรายหอบม้วนอยู่ในสายลม น้ำค้างแข็งพวยพุ่งจากพื้น
ทุกอย่างคลุมเครือ
มีเพียงเงาร่างนั้น ยิ่งเดินยิ่งจากไปไกล รัศมีอำนาจยิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งกว่านั้นในขณะที่สะบัดมือ ระฆังเต๋าบนท้องฟ้าส่งเสียงวู้ม หลุดออกจากการรายล้อมของหมู่โลงศพ ทะยานออกไปเพียงลำพัง พุ่งตรงไปยังคลื่นวน ทำการสะกดมัน
จากนั้น เสียงแหบแห้งของเจ้าวังก็ดังไปทั่วสารทิศ
“หงหลิง เยวี่ยอู้ เจ้าทั้งสองกล้ามาสู้กับข้าหรือไม่!”