Skip to content

Outside Of Time 507

บทที่ 507 ขุนพลเดียวดายพลีชีพหลีกทางให้วีรบุรุษ

บนท้องฟ้า คลื่นวนส่งเสียงครืนครัน พลังเย็นเยียบที่แผ่ออกมาจากในนั้นเย็นเยือกยิ่งนัก โซ่เหล็กกลายเป็นน้ำแข็ง คลื่นวนแผ่ความเย็นออกมา ท้องฟ้ามืดมิดวาววับเหมือนกระจกสีดำบานหนึ่ง

ตัวตนน่ากลัวในนั้นกำลังปรากฏออกมาจากข้างในอย่างช้าๆ

แต่ข้างนอกคลื่นวน ระฆังใบมหึมาลอยตั้งตรง ทั้งใบมีอักขระโบราณนับไม่ถ้วนกำลังกะพริบแสง ส่งเสียงระฆังดังออกมา เกิดเป็นพลังสะกด

แต่พลังที่มาจากคลื่นวนน่ากลัวเกินไป ไม่สามารถสะกดได้โดยสมบูรณ์ ต่อให้ระฆังสำแดงพลังทั้งหมดจนถึงขีดจำกัดสูงสุด กระทั่งว่าตัวมันเริ่มเกิดรอยร้าว ทำการต้านทานราวผลาญพลังทั้งหมด ก็ยังไม่อาจขัดขวางการมาเยือนของแดนล้ำค่าได้

ยิ่งมีลมที่ทำลายทุกอย่าง แผ่ซ่านไปทั้งในและนอกคลื่นวน มองไปไกลๆ เหมือนกังหันหมุนวนไม่หยุด พัดความเย็นไปทั่วทิศ ความเย็นจับจิตมาเยือน

ฟ้าดินเกิดน้ำค้างแข็งมายิ่งขึ้น เลือดเนื้อโครงกระดูกนับไม่ถ้วนถูกแช่แข็งแกร่งเป็นผุยผง ลมเพียงพัดก็กลายเป็นเถ้าธุลี

จากนั้นก็เป็นซากศพ จากนั้นก็เป็นหิมะดำและพื้นดิน ทำให้ทุกอย่างรางเลือน

เงาร่างเดียวดายร่างหนึ่ง ก้าวไปทีละก้าวๆ มาพร้อมด้วยการเผาผลาญพลังบำเพ็ญ เดินไปยังฟ้าดินคลุมเครือ เดินเข้าไปในมิติที่บิดเบี้ยวหนาวเย็น

เงาร่างนี้สะท้อนในดวงตาผู้บำเพ็ญเขตปกครองผนึกสมุทรทุกคนที่นี่ สะท้อนในดวงตาสวี่ชิง แปรเปลี่ยนเป็นหนึ่งเดียว

ชุดเกราะสีดำที่ตัดขึ้นเพื่อทหาร ผมยาวสีดอกเลาที่แปรเปลี่ยนเป็นสีขาวเนื่องจากชีวิตเผาไหม้ตามไปด้วย

ในสายลมหนาว ผ้าคลุมไหล่ที่ปลิวอยู่ข้างหลังเจ้าวังพัดไปด้านหนึ่ง ประดุจธงปลิวไสว

ในความมืด เม็ดทรายน้ำค้างแข็งที่พัดหอบในสนามรบอันอึมครึมอย่างรวดเร็ว พัดพาห้วงเวลาความล้ำลึกไป

“ท่านเจ้าวัง…”

สวี่ชิงโศกเศร้า ในใจเกิดระลอกคลื่นยักษ์ซัดโหม

เงาร่างใต้อาทิตย์อัศดงเดินจากไปไกลเรื่อยๆ จากการผงาดขึ้นของรัศมีอำนาจ ไม่ใช่แค่เพียงหนึ่งเดียวในดวงตาของคนทั้งหลาย ยิ่งดึงดูดฟ้าดิน กลายเป็นจุดที่โดดเด่นดึงดูดในฟ้าดิน

การเคลื่อนไปข้างหน้าของเจ้าวัง เป็นความมืดทะมึน บดบังฟ้าดิน รังสีอำมหิตแผ่ซ่าน มืดครึ้มไร้จุดสิ้นสุดของกองทัพยิ่งใหญ่ของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ ของเงาจักรพรรดิน่าครั่นคร้ามทั้งสองที่เทือกเขาคลื่นนภา

ข้างหลังเขา ห่างออกไปหมื่นจั้งเป็นคือกองทัพที่สองและสาม และผู้ครองกระบี่เมืองหลวงเขตปกครองที่รอดชีวิตมาจำนวนหลายหมื่น

ตัวคนเดียวเพียงลำพัง!

มองทุกอย่างนี้ ผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์ทุกคนล้วนเศร้าโศก ในใจพุ่งพล่านรุนแรง ดวงตาที่เดิมก็ถูกสนามรบอาบย้อมจนแดงก่ำ ตอนนี้ฉายสีเลือดออกมามากกว่าเดิม

ข่งเสียงหลงก็เงยหน้าเช่นกัน มองเงาร่างนั้น ดวงตาที่หมองหม่นตอนนี้เกิดประกายแสงขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแต่ในประกายแสงนี้ ร่างของเขาสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้

ท่ามกลางคลื่นที่โหมซัดกระหน่ำในใจของทุกคน เสียงแหบแห้งของรองเจ้าวังมาพร้อมด้วยความเจ็บปวดโศกเศร้าเช่นกัน ดังก้องไปทั่วทิศ

“ทุกคน!”

“พวกเรา…ถอย!!”

ทุกคนเงียบนิ่ง จนเมื่อเสียงประดุจอสุนีบาตของรองเจ้าวังดังขึ้น

“นี่เป็นคำสั่งของเจ้าวัง ปฏิบัติ!”

รองเจ้าวังคำราม พลันสะบัดมือ ลมกรรโชกพัดหอบมา ยิ่งมีผู้ดูแลวังครองกระบี่และผู้อาวุโสใหญ่โถงครองกระบี่ของสองกองทัพต่างคำรามเสียงต่ำทุ้ม สุดท้ายก็ควบคุมกองทัพเผ่ามนุษย์ที่นี่ ค่อยๆ เคลื่อนไปอย่างช้าๆ

แต่ทุกคนต่างหันกลับมามองถี่ๆ ทอดสายตามองข้างหลัง

เพียงแต่ มองไม่เห็นอะไรแล้ว

เงาร่างนั้นผสานไปกับความมืดแล้ว จวบจนเมื่อประกายแสงพร่างพรายวาดผ่าท้องฟ้า ฉีกทึ้งความคลุมเครือ พุ่งขึ้นฟ้ามาจากทางสนามรบ

ท้องฟ้าส่งเสียงครืนครันเลื่อนลั่น ผืนดินสั่นสะเทือน จิตกระบี่มหาศาลหอบม้วนฟ้าดิน ขับไล่ความมืดมิด ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี

นั่นเป็นแสงกระบี่ทางหนึ่ง นั่นคือกระบี่จักรพรรดิเล่มหนึ่ง!

กระบี่จักรพรรดิที่วังครองกระบี่เขตปกครองผนึกสมุทรหลอมรวมมีทั้งหมดเก้าเล่ม สงครามเมื่อก่อนหน้านี้ใช้ไปแล้วสี่เล่ม นี่เป็นเล่มที่ห้า

กระบี่นี้เมื่อฟาดฟันออกมา เจิดจ้าพร่างพราย ทำลายความคลุมเครือ บดขยี้ความบิดเบี้ยว พวยพุ่งขึ้นมาจากในสนามรบ พุ่งตรงไปยังจักรพรรดิเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองที่เทือกเขาคลื่นนภา

ทุกที่ที่กระบี่นี้พาดผ่าน รอยแยกขนาดมหึมาถูกแยกออกมา เหมือนมังกรยักษ์ตัวหนึ่ง มาพร้อมด้วยเสียงกระบี่ดังกึกก้องเลื่อนลั่น บดขยี้อย่างทรงพลัง

แสงของมันสาดส่องบนสีหน้าซีดขาวของผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์นับไม่ถ้วน จิตของกระบี่สะท้านสะเทือนไปในเส้นป้องกันจิตใจของศัตรูทุกคน

“ข่งเลี่ยงซิว สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว เจ้าเผาไหม้ชีวิตจะมีความหมายอะไร”

บนเทือกเขาคลื่นนภา จักรพรรดิหงหลิงเอ่ยเสียงต่ำทุ้ม ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ในพริบตาที่ฝีเท้าเหยียบย่างลงมา ฟ้าดินสะท้านกึกก้อง

มือขวาของเขายกขึ้น โลกใบเล็กหลายพันใบกระทั่งว่ามากกว่านั้นปรากฏขึ้นรอบๆ สุดท้ายก็รวมมาที่ฝ่ามือของเขาทั้งหมด

ฝ่ามือสามชุ่น เกิดเป็นโลกใบใหญ่มายาหนึ่งใบ

นี่คือลักษณะของหวนสู่อนัตตาขั้นสี่

กดลงไปเบาๆ

ฟ้าดินสั่นไหว ทุกอย่างรางเลือนอีกครั้ง

มีเพียงลมพายุปะทุมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พัดหอบไปทั้งสี่ทิศ ทำให้โลกที่ถูกแช่แข็งพัดเศษชิ้นส่วนนับไม่ถ้วนขึ้นมา คล้ายฝนดาวตก อุกาบาตน้ำแข็งเป็นทางๆ กวาดซัดไปทั้งแปดทิศ

เทือกเขาคลื่นนภาสั่นไหวรุนแรง เศษหินนับไม่ถ้วนหลุดร่วง

ในยามที่ชัดเจนอีกครั้ง สวี่ชิงและผู้บำเพ็ญเขตปกครองผนึกสมุทรที่นี่ทุกคน เทือกเขาคลื่นนภาที่มองเห็นมีรอยแยกกว้างถึงหมื่นจั้งทางหนึ่ง

รอยแยกมหึมาที่มาจากทางสนามรบ แผ่ลามไปหลายร้อยลี้ ทะลุผ่านเทือกเขาคลื่นนภา น่าครั่นคร้ามตื่นตะลึงนัก

เงาร่างของจักรพรรดิหงหลิงอยู่นอกเทือกเขาคลื่นนภา ตอนนี้กำลังถอยหลังไปทีละก้าวๆ

ผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ทุกตนไม่มีใครไม่หวาดกลัว

ข้างหน้าพวกเขา ท่ามกลางพื้นดินที่บิดเบี้ยว เงาร่างของเจ้าวังปรากฏขึ้นในความคลุมเครือ ทั่วร่างของเขาเผาไหม้ไปด้วยแสงไฟของพลังชีวิตและพลังบำเพ็ญ ฝีเท้ามุ่งมั่นยืนหยัด ก้าวไปทีละก้าวๆ เสียงแหบแห้ง ดังก้องตามฝีเท้าของเขา

“ขอเพียงดินแดนของเขตปกครองสมุทรยังอยู่ ข้าจะเสียดายชีวิตนี้ไปทำไม”

ประโยคนี้ดังก้องไปทั่วสนามรบ ในยามที่ดังไปในหูของเผ่ามนุษย์เขตปกครองผนึกสมุทรที่กำลังถอย แสงกระบี่เจิดจ้าทางที่สองก็พวยพุ่งขึ้นฟ้าอย่างน่าครั่นคร้าม

นี่คือกระบี่ที่หก

กระบี่นี้เมื่อปรากฏออกมา พื้นดินในสนามรบแหลกละเอียด แสงกระบี่เจิดจ้าท่วมฟ้า ในโลกที่เหมือนนรกภูมิแห่งนี้ พุ่งตรงไปหาจักรพรรดิหงหลิง

ยังไม่จบแค่นั้น จากการเดินไปข้างหน้าของเจ้าวัง จากการที่ทั้งร่างของเขาลุกไหม้ไม่หยุด กระบี่ที่เจ็ด กระบี่ที่แปด ก็สาดส่องเจิดจ้าขึ้นบนท้องฟ้า

ครั้งนี้ จักรพรรดิแห่งหมอกจันทราสีหน้าเคร่งขรึม ยืนข้างจักรพรรดิหงหลิง ลงมือพร้อมกัน

ผืนฟ้าทลาย เอียงเล็กน้อยอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า ผืนดินถล่มแผ่ออกไปทั่วทุกทิศอย่างต่อเนื่อง

ฟ้าทลายดินถล่ม น่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงนัก

ทุกอย่างรางเลือนอีกครั้ง

ครั้งนี้ต้นเหตุของความรางเลือนไม่ใช่เพราะคลุมเครือและบิดเบี้ยว ไม่ใช่น้ำค้างแข็งและฟ้าถล่ม แต่เป็นสำหรับการจับจ้องศึกครั้งนี้ สำหรับผู้บำเพ็ญมากมาย พลังบำเพ็ญไม่อาจค้ำยัน ยากที่จะเห็นได้อย่างชัดเจน

ต่อให้เป็นสวี่ชิง สิ่งที่เห็นก็คลุมเครือไปหมดเช่นกัน เห็นเพียงเงาร่างทั้งสามในนั้นกำลังสู้รบโรมรันเป็นตาย ทุกครั้งที่ปะทะกัน ฟ้าดินล้วนเกิดเสียงเลื่อนลั่น

เสียงฟาดผ่าที่ยิ่งกว่าอัสนีสวรรค์ คลื่นเสียงที่เกิดขึ้นจากการระเบิดในระดับสูงสุดแผ่ซ่านไปในจิตใจของทุกคน ทำให้คนทั้งหลายจำต้องถอยต่อไป

ทางเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ก็เช่นกัน

ปราณกระบี่ดุดันโหมกวาด ฟ้าถล่มดินทลายเหี่ยวแห้ง

จวบจนเสี้ยวขณะต่อมา จากเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นที่ดังมาจากท้องฟ้า แฝงมาด้วนเสียงแหลกละเอียด เศษชิ้นส่วนโลกใบใหญ่นับไม่ถ้วนที่ลอยอยู่กลางอากาศเงาร่างทั้งสามที่โหมโรมรันแยกออกจากกัน

ทุกอย่างถึงได้กลับมาชัดเจนเล็กน้อย

ฝีเท้าที่ก้าวไปข้างหน้าของเจ้าวัง สุดท้ายถูกขัดจังหวะ เขาเงยหน้ามองไปทางท้องฟ้า

ส่วนจักรพรรดิหงหลิงและจักรพรรดิเยวี่ยอู้ เทือกเขาคลื่นนภาข้างหลังเขาถล่มไปกว่าครึ่ง รอยแยกหลายทางทะลุแผ่ลามไปจนสุดสายตา ตอนนี้คนทั้งสองต่างเงยหน้ามองไปทางท้องฟ้า

ตอนนี้ ผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด รวมถึงเผ่ามนุษย์เขตปกครองผนึกสมุทรทุกคนที่นี่ต่างเงยหน้า ในใจเกิดคลื่นมหึมา เงยหน้ามองท้องฟ้า

“ปากทางนิรยภูมิฟ้าทมิฬ มาเยือนแล้ว” หลังจากสู้กับเจ้าวังแล้ว จักรพรรดิหงหลิงสีหน้าขาวซีด เอ่ยเสียงแหบแห้ง

ต้นตอของเสียงครืนครันและเสียงแหลกละเอียดที่ดังมาจากท้องฟ้าคือคลื่นวนมหึมานั่นเอง

พลังหนาวเหน็บที่แผ่ออกมาจากคลื่นวนมาถึงระดับที่สามารถผนึกแช่แข็งชีวิตได้แล้ว คลื่นวนเองก็แข็งค้างเช่นกัน จะเห็นปลายคมของอาวุธชิ้นหนึ่งมาปรากฏอยู่ที่ชายขอบด้านหนึ่งในคลื่นวนนี้ได้รางๆ แล้ว!

ชั้นผิวสีดำแผ่จิตสังหารรุนแรงออกมา ยิ่งแฝงไว้ด้วยความตายเข้มข้น

ความหนาวเยือกจับจิตน่าหวาดกลัวที่ทำให้ผู้บำเพ็ญระดับหวนสู่อนัตตายังต้องสั่นสะท้านปะทุขึ้นในนั้น

ระฆังเต๋าที่ทำการสะกดมันอยู่ข้างนอกตอนนี้กำลังสั่นสะเทือน กำลังแตกร้าว รอยร้าวแต่ละทางๆ ปรากฏขึ้นไม่หยุด วัตถุที่ได้รับการประทานมาจากเมืองหลวงจักรพรรดิเริ่มพังทลาย

เพราะสิ่งที่มันเผชิญหน้าคือของวิเศษล้ำค่าสงครามชิ้นหนึ่ง

วัสดุของมันลึกลับ ได้รับการประทานมาจากพระจันทร์สีชาด เล่ากันว่าแปลงมาจากทหารของเทพเจ้าที่ถูกพระจันทร์สีชาดสังหาร

สามารถแผ่ความเย็นเยือกจับจิต ทำให้โลกกลายเป็นดินแดนอันตราย

นี่ก็คือสมบัติแดนสงคราม

สมบัติแดนสงครามเป็นรากฐานพลังของเผ่าหนึ่ง พลานุภาพของมันเกินกว่าจะจินตนาการ นั่นเป็นสิ่งที่สยบเทพเจ้า

ระดับความสำคัญเหมือนกับของวิเศษเวทต้องห้ามของสำนักในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์

การมีอยู่ของมัน เป็นหนึ่งในหลักฐานว่าเผ่าเผ่าหนึ่งแข็งแกร่งหรือไม่

เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ไม่มีสมบัติแดนสงคราม

เผ่าพันธุ์มากมายมากมายไม่มีสมบัติแดนสงคราม

และเผ่าพันธุ์ใดที่มีสมบัติแดนสงครามล้วนเท่ากับว่าในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ จะได้รับการคุ้มครองไม่ถูกรุกราน สยบทั้งแปดทิศ มีพลังทำสงครามกับเผ่าอื่น

ที่ปรากฏที่นี่ไม่ใช่ร่างจริงของสมบัติแดนสงครามเผ่าฟ้าทมิฬ เป็นเพียงแค่การอัญเชิญเงาของวิเศษล้ำค่าสงครามชิ้นหนึ่งเท่านั้น

แต่พลังที่แผ่ออกมาก็ยังคงไม่ใช่พลังที่ผู้บำเพ็ญระดับหวนสู่อนัตตาจะต่อต้านและขัดขวางได้

ฟ้าดินแห่งเหี่ยว

เย็นยะเยือกจะถึงขีดสูงสุดก็คือความตาย ไม่มีอะไรหลงเหลือ ทุกอย่างเป็นฝุ่นธุลี

บนตาข่ายสีทองที่ไกล วิญญาณศัสตรานับไม่ถ้วนลอยอยู่ในนั้น ส่งเสียงน่าเวทนา คิดจะต่อต้าน แต่กลับทำไม่ได้ กำลังแหลกละเอียดไม่หยุด

ภาพนี้เมื่ออยู่ในสายตาของกองทัพเผ่ามนุษย์เขตปกครองผนึกสมุทร ทุกคนต่างเหม่อลอย

สวี่ชิงสมองขาวโพลน

โลกของพวกเขาถูกความหนาวเหน็บเข้าแทนที่

ในสนามรบ จักรพรรดิหงหลิงและจักรพรรดิเยวี่ยอู้สายตาจับจ้องไปที่ร่างของเจ้าวัง ท่ามกลางฟ้าดินที่น้ำค้างเหมันต์เกาะไปทั่วทั้งแถบ หงหลิงเอ่ยขึ้นราบเรียบ

“ทหารจงฟังคำสั่ง เคลื่อนหน้าไปเขตปกครองผนึกสมุทร เป้าหมายคือเมืองหลวงเขตปกครอง ไปรวมพลกับสายลมสวรรค์และปฐพีสองรัฐนี้!”

คำพูดเมื่อดังออกมา บนพื้นกว้างใหญ่ข้างหลังเขามีเสียงสิบล้านกระทั่งว่ามากกว่านั้นคำรามต่ำทุ้มมา เมื่อผสานกัน ก็สั่นสะเทือนฟ้าดิน

“ขอรับ!”

หลังจากเสียงนี้ดังออกมา กองทัพนับไม่ถ้วนมาพร้อมด้วยเผ่าต่างๆ ในดินแดนคลื่นศักดิ์สิทธิ์มากมาย เงาร่างประดุจคลื่นน้ำ ปรากฏขึ้นอย่างมืดฟ้ามัวดิน

จากนั้น จักรพรรดิหงหลิงและจักรพรรดิเยวี่ยอู้ก็เดินไปทางเจ้าวังครองกระบี่

ก้าวประชิดไปทีละก้าวๆ

“ข้ามีกระบี่!” เจ้าวังที่ยืนอยู่ข้างหน้ากองทัพยิ่งใหญ่เกรียงไกร มองคลื่นวนบนท้องฟ้า เอ่ยเสียงเบา ขณะที่มือขวายกขึ้น ก็กำมือไปข้างหลัง

กระบี่จักรพรรดิพร่างพรายเล่มหนึ่ง ค่อยๆ ก่อขึ้นมาในมือช้าๆ นี่เป็นกระบี่จักรพรรดิเล่มที่เก้าของสนามรบ และเป็นกระบี่ของเจ้าวังเอง

ตอนนี้ขณะที่คำพูดของเขาดังออกมา ในตาข่ายสีทอง โลงสัมฤทธิ์หลายแสนใบที่ลอยอยู่กลางอากาศก็เปิดออกพร้อมกัน!

ยิ่งมีเสียงเดียวกันดังก้องทั้งแปดทิศ

“ข้ามีกระบี่เล่มหนึ่ง!”

“ข้ามีกระบี่เล่มหนึ่ง!!”

“ข้ามีกระบี่เล่มหนึ่ง!!!”

เสียงแต่ละประโยคๆ ดังออกมาจากโลงที่เปิดออก เงาร่างแต่ละร่างๆ ปรากฏขึ้นในฟ้าดิน

พวกเขาคือผู้ที่ในห้วงเวลาอันยาวนานพลังบำเพ็ญถึงระดับสูงสุด มีชีวิตอยู่ในช่วงที่ค่อนข้างสงบสุขเลยทีเดียว ในช่วงสุดท้ายเลือกที่จะหลับใหล ฝึกบำเพ็ญทั้งกระบี่จักรพรรดิและชีวิต เลือกที่จะฟันกระบี่เพื่อเขตปกครองผนึกสมุทรในช่วงเวลาสำคัญ…พวกเขาคือผู้ครองกระบี่!

แสงกระบี่แต่ละทางๆ ปะทุมาจากร่างผู้ครองกระบี่ที่ตื่นขึ้นมาเหล่านี้

แสงกระบี่หลายหมื่นทางกะพริบวาบบนท้องฟ้า รวมเป็นแม่น้ำกระบี่สายหนึ่ง ขณะที่พุ่งตรงไปยังเจ้าวัง ร่างของผู้ครองกระบี่เหล่านี้ก็แห้งเหี่ยวอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็เหมือนถูกลบไป หายไปจากโลก

ทุกคนก่อนที่จะหายไป ล้วนมองไปทางเขตปกครองผนึกสมุทร บ้านเกิดของพวกเขา

มีอาลัยอาวรณ์ มีอวยพร มีวางใจ มีนึกย้อนความหลัง แต่สิ่งเดียวที่ไม่มีคือเสียใจ

“ข้ามีกระบี่เล่มหนึ่ง”

เจ้าวังเงยหน้า แสงกระบี่หลายหมื่นรวมที่มือของเขา ผสานกับกระบี่จักรพรรดิ ความพร่างพรายของประกายแสงต่อให้เป็นความหนาวเหน็บบนท้องฟ้า ก็เหมือนว่ายังต้องหลีกให้ในเสี้ยวขณะนี้

กระบี่เงื้อขึ้นท้องฟ้าสั่นไหว เสียงทำลายทุกสรรพสิ่ง

“ปกป้องบ้านของข้า!”

ขณะพูด เจ้าวังก็ชักกระบี่ที่หลังออกมา ฟันไปยังหงหลิงและเยวี่ยอู้ที่อยู่ข้างหน้าไปหนึ่งกระบี่

กระบี่นี้ฟ้าดินสั่นคลอน รัศมีอำนาจบดขยี้พันกองทัพ

กระบี่นี้ทหารเทพไร้แสง ความหนาวเหน็บหลีกหนี

จักรพรรดิทั้งสองหวั่นไหว ผู้บำเพ็ญทั้งหลายตื่นกลัว กระบี่ที่หลอมรวมผู้ครองกระบี่หลายแสนคนทรงพลังทำลายล้าง กลายเป็นความสว่างเจิดจ้าเพียงหนึ่งเดียวในฟ้าดิน รับวิถีสวรรค์ แปรเปลี่ยนกฎ ฟาดฟันจิตคิดร้าย ทำลายศัตรูรุกราน

จักรพรรดิหงหลิงนำราชรถวิหคแดงมาไว้ข้างหน้า ต้านทานเคราะห์ภัย

ปราณกระบี่บดขยี้ทำลายล้าง เสียงครวญครางน่าสังเวชเป็นอย่างยิ่ง พุ่งผ่านหว่างคิ้วของอสูรวิหคไป

หนึ่งร่างกลายเป็นสองซีก

หงหลิงที่อยู่ข้างหลังสีหน้าหวาดกลัว โลกใบใหญ่ปรากฏขึ้น ต้านทานกระบี่จักรพรรดิ เสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหว โลกใบใหญ่รางเลือนแล้วรางเลือนอีก จวบจนรางเลือนแตกสลายไปข้างหน้า

หงหลิงเลือดสดๆ กระอักออกมา พลังบำเพ็ญพังทลาย ในยามที่ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นตกใจโมโห ประกายแสงกระบี่ก็ฟันผ่านหว่างคิ้วมา!

เยวี่ยอู้ที่อยู่ข้างๆ ลงมือช่วย ทุ่มสุดพลัง แต่ก็ยากจะรักษากายเนื้อของหงหลิงไม่ให้แตกสลาย ไม่ให้พังทลายเป็นชุ่นๆ ทำได้เพียงปกป้องวิญญาณเทพของเขา ส่วนตัวเองก็ถูกฟันไปครึ่งหนึ่ง

ขณะรีบร้อน ชุดจักรพรรดิขาดวิ่น กวานจักรพรรดิหลุดร่วง มุกนับไม่ถ้วนกระจัดกระจาย น่าสังเวชเป็นอย่างยิ่ง ถูกบีบถอยไปอีกครั้ง

พลานุภาพของหนึ่งกระบี่ ถึงตอนนี้จึงสลายไป

ฟ้าได้รับการชำระล้าง แผ่นดินได้รับความสงบสุข

มีเพียงเจ้าวังที่ยืนอยู่ที่เดิม ในมือไร้กระบี่แล้ว กระอักเลือดสดๆ ออกมา แปรเปลี่ยนเป็นฝนเลือดร่วงลงสู่พื้นดิน

แต่ฝนเลือดนี้กำหนดเอาไว้แล้วว่าไม่อาจร่วงหล่นสู่พื้นดินได้ ในยามที่พลานุภาพของกระบี่หายไป ความหนาวเหน็บในคลื่นวนกลางท้องฟ้าก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ลมหนาวกระหน่ำบดขยี้ฟ้าดินปะทุมาอีกครั้ง กวาดโหมไปข้างนอก

ทุกที่ที่ผ่าน ฟ้าดินถูกแช่แข็งแตกร้าวเกิดเป็นมิติ มิติถูกบดขยี้เกิดเป็นรูโหว่

ระฆังเต๋าที่ในตอนก่อตั้งเขตปกครองผนึกสมุทร สาขาหลักผู้ครองกระบี่เมืองหลวงจักรพรรดิมอบให้ส่งเสียงระฆังครั้งสุดท้าย แปรเปลี่ยนเป็นเสียงก้องกังวานสะท้านสะเทือน

ระฆังแตกเป็นเสี่ยงๆ แหลกสลายไปในม่านฟ้า

สมบัติแดนสงครามเผ่าฟ้าทมิฬ จากในคลื่นวนกลางท้องฟ้า มาด้วยพลังบดขยี้ทุกสิ่ง ปรากฏออกมาแล้วกว่าครึ่ง

สีดำสนิท แผ่ความชั่วร้ายมหาศาล ทำให้ท้องฟ้าไร้ผืนฟ้า

ตัวทวนที่คมกริบมาพร้อมด้วยความเหี้ยมเกรียมเหลือประมาณ ทำให้ผืนดินไร้เหลี่ยมคม

ตาข่ายของวิเศษเวทต้องห้ามเขตปกครองผนึกสมุทรบิดเบี้ยวอย่างสาหัส วิญญาณศัสตราที่แปลงมาจากของวิเศษเวทต้องห้ามจากสำนักต่างๆ ในเขตปกครองผนึกสมุทรร้องโหยหวนน่าเวทนา ล้มตายเป็นจำนวนมาก

ตาข่ายของวิเศษเวทพังถล่มทันที

เห็นเป็นเช่นนี้ จักรพรรดิเยวี่ยอู้ที่ทะยานถอยไปพันจั้ง สีหน้าท่าทางสะบักสะบอม เหลือเพียงกายครึ่งท่อนบน ตอนนี้ร่างแผ่เส้นเนื้อชุ่มเลือดจำนวนมหาศาลออกมา ในยามที่ถักทอร่างกายส่วนที่หายไปไม่หยุด เขาเงยหน้ามองร่างเจ้าวังที่อยู่ข้างหน้าอย่างไร้ความหวาดกลัว

“ข่งเลี่ยงซิว เจ้ายังมีกระบี่หรือไม่!”

ดวงวิญญาณที่ลอยอยู่ข้างๆ เขา นั่นคือจักรพรรดิหงหลิงที่กายเนื้อแหลกสลายไม่อาจสร้างขึ้นใหม่ได้อีก วิญญาณเทพก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน วิญญาณของเขาต่างจากวิญญาณทั่วๆ ไป ข้างบนมีเส้นสีแดงนับไม่ถ้วนลึกเข้าไปในวิญญาณ ถักเป็นตาข่าย ขณะเดียวกับที่ปกป้องวิญญาณของเขา ก็กำลังถูกรุกรานและพันธนาการ

นั่นคือวิชาของเผ่าฟ้าทมิฬ และเป็นชะตาของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์

สามารถเพิ่มพลังให้กับวิญญาณเทพของเขา แต่ก็ควบคุมทุกอย่าง

ตอนนี้เขามองสายตาของเจ้าวัง เอ่ยขึ้นอย่างเคร่งขรึม

“พลังครองกระบี่ทำลายกายขอบเขตของข้า ทำลายโลกใบใหญ่ของข้า ทำลายรากพลังเต๋าของข้า ทำลายเยวี่ยอู้ไปครึ่งกาย สะเทือนวิญญาณเขา ข่งเลี่ยงซิว เจ้ายอดเยี่ยมมาก!”

เจ้าวังเงยหน้า สายตาเหลือความเสียดาย แย้มยิ้มเล็กน้อย

ในรอยยิ้ม บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยร้าวเป็นทางๆ แผ่ลามไปทั่วร่าง ชุดเกราะของเขาก็ยิ่งเป็นเช่นนั้น เกิดรอยร้าวถี่เป็นใยแมงมุม

เขาไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ และไม่ได้ตอบกลับคำพูดของจักรพรรดิเยวี่ยอู้ ตอนนี้หันหลังเดินไปทางตาข่ายที่แหลกละเอียด ในยามที่ฝีเท้าแต่ละก้าวๆ เหยียบย่างลงมา ร่างของเขาก็ขยายใหญ่ขึ้น

ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในยามที่เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ ชุดเกราะบนตัวเขาไม่สามารถทนได้อีกต่อไป แตกร้าวเอง เหมือนถอดชุดเกราะ ร่วงลงมาไม่หยุด

เป็นชิ้นๆ

จวบจนเมื่อเดินออกไปนอกสนามรบ สุดท้ายในตอนที่เดินมาถึงตาข่ายที่เริ่มพังทลายของเขตปกครองผนึกสมุทร ร่างของเขาก็ขยายใหญ่หลายหมื่นจั้ง สายตาของเขาลอดผ่านตาข่ายน้ำแข็งขาดวิ่น มองไปทางกองทัพเผ่ามนุษย์ที่อยู่ห่างออกไปร้อยลี้

“ท่านเจ้าวัง…”

กองทัพเผ่ามนุษย์ร้องไห้อย่างโศกสลด

ข่งเสียงหลงไม่อาจยืนได้มั่นแล้ว สวี่ชิงประคองเขาเอาไว้ ตาของเขาบวมแดง ภาพแต่ละฉากข้างหน้า แม้เขาจะมองเห็นไม่ได้ชัดมาก แต่ก็มองเห็นคร่าวๆ

คนอื่นๆ ก็เช่นกัน

นอกตาข่าย เจ้าวังจ้องมองคนทั้งหลาย เอ่ยเสียงเข้มงวด

“มนุษย์ใครบ้างไม่ตาย มีอะไรน่าร้องไห้กัน ยืนให้ดีทุกคน!”

กองทัพเผ่ามนุษย์ยืนตรงด้วยความเศร้าโศก ทุกคนต่างยืนด้วยแผ่นหลังที่เหยียดตรง!

มองชายเผ่ามนุษย์กลุ่มนี้ เจ้าวังพยักหน้าเล็กน้อย สายตากวาดมองไปบนร่างของทุกคน หยุดอยู่ที่สวี่ชิงนานหน่อย มีความคาดหวัง

ที่ร่างของข่งเสียงหลง สายตาของเจ้าวังหยุดนิ่งสองอึดใจ มีความอาลัยอาวรณ์ มีความชื่นชม

ที่ร่างของรองเจ้าวัง หยุดอยู่สามอึดใจ คนนอกไม่เข้าใจ แต่รองเจ้าวังเข้าใจถึงความหมายแฝงของสายตานี้ เขาพยักหน้าแรงๆ ในใจเกิดความเศร้าโศกท่วมท้น เขารู้ นี่คือฝากฝังหลานชาย

สุดท้าย ในขณะที่ข่งเสียงหลงสั่นสะท้านแรงยิ่งขึ้น สายตาของเจ้าวังก็มองไปทางเขตปกครองหลวง จากนั้น…ชุดเกราะชิ้นสุดท้ายบนร่างของเขาก็ร่วงหล่น

ท่ามกลางสมบัติแดนสงครามในคลื่นวนนั้นแผ่การทำลายล้างที่น่ากลัวยิ่งขึ้น กองทัพเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์บนสนามรบ ขณะที่เคลื่อนหน้าไปอีกครั้ง…

เจ้าวังหันหลัง หันหลังให้กับเขตปกครองผนึกสมุทร กางแขนทั้งสองออก ผสานเป็นหนึ่งไปกับตาข่ายที่พังทลายข้างหลัง

เสี้ยวขณะต่อมา โลกใบเล็กแต่ละใบๆ ก็ปรากฏขึ้นบนตาข่าย หลังจากปรากฏขึ้นมากมายไร้ขอบเขตแล้ว ก็รวมมายังโลกใบใหญ่ที่กำลังลุกไหม้ของเจ้าวัง

และความหนาวเหน็บทั้งหมดบนตาข่ายของวิเศษเวทต้องห้าม ในเสี้ยวขณะนี้ทะลักโหมไปในโลกใบใหญ่ของเจ้าวังอย่างรวดเร็ว รวมไปบนร่างของเขา

เขาผสานกับตาข่ายของวิเศษเวทต้องห้ามโดยสมบูรณ์!

หลังจากที่เผาไหม้อายุขัยของตัวเอง เผาไหม้พลังบำเพ็ญของตัวเอง ลงมือในศึกนี้ และฟันกระบี่นั้น เขาก็น้ำมันแห้งแสงเทียนมอดดับแล้วจริงๆ แต่ก็ยังคงเลือกที่จะเผาไหม้ตัวเอง

ตัวเขาแปรเปลี่ยนเป็นส่วนหนึ่งของตาข่ายของวิเศษเวทต้องห้ามเขตปกครองหลวง ใช้ความอบอุ่นของตัวเองมายืดเวลาการพังถล่มออกไป

“ออกคำสั่งให้…ในมณฑลเผชิญคลื่น กองทัพเผ่ามนุษย์ทั้งหมดถอยไปยังเมืองหลวงเขตปกครอง”

เจ้าวังเอ่ยเคร่งขรึม ความหนาวเหน็บสุดขั้วรวมมาจากรอบๆ คำรามมาจากข้างหน้าเขา ซัดโหมมาทั้งหมด ทำให้เจ้าวังตอนนี้กลายเป็นน้ำแข็งแกะสลัก

แต่เขาก็ยังคงค้ำยันฟ้าดินได้

เขายังคงต้านทานความเย็นยะเยือกให้กับเขตปกครองผนึกสมุทร

ต่อให้จนถึงตอนนี้ น้ำเสียงของเขา สีหน้าของเขาก็ไม่ฉายความอ่อนแอแม้แต่น้อย

ตาข่ายของวิเศษเวทต้องห้ามมีสีทองกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นอีกครั้ง

ภายใต้การผสานของเขา ตาข่ายของวิเศษเวทต้องห้ามผืนนี้ไม่เพียงแต่สามารถยืนหยัดไปได้อีกเล็กน้อยที่นี่เท่านั้น แต่พื้นที่เขตปกครองผนึกสมุทรทั้งหมดที่มันปกคลุมล้วนได้ประโยชน์ด้วย

ไม่ว่าจะเป็นทางเหนือหรือทางตะวันตก กองทัพเขตปกครองผนึกสมุทรที่แตกพ่ายเหล่านั้น ตาข่ายสีทองข้างหลังพวกเขาปรากฏขึ้นอีกครั้ง ขัดขวางกองทัพเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ที่ไล่ตามมาให้พวกเขา

พื้นที่แต่ละแห่งที่ถูกยึดครอง ในเสี้ยวขณะที่ตาข่ายสีทองนี้ปรากฏอีกครั้ง ก็พยายามเข้าขัดขวางโศกนาฏกรรมเป็นตายในฟ้าดินที่เกิดขึ้นแต่ละฉาก

ต้นกำเนิดของทุกอย่างนี้ ร่างของเจ้าวังกำลังสลายไป

ความหนาวเหน็บที่มาจากสมบัติแดนสงคราม ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากพลังทำลายล้างของมันไม่อาจพรรณาได้

แต่สำหรับเจ้าวังเหมือนไม่นับเป็นเรื่องอะไร แขนขาของเขาสลายไปเป็นฝุ่นธุลีไปแล้ว ร่างของเขาก็กำลังสลายไปเช่นกัน ใบหน้าของเขาค่อยๆ ตกลงมาช้าๆ ดวงตาทั้งสองลืมไม่ค่อยขึ้นแล้ว

ในสนามรบ จักรพรรดิหงหลิงและจักรพรรดิเยวี่ยอู้ยกมือขึ้น ห้ามการเคลื่อนหน้าของกองทัพ พวกเขายืนอยู่ข้างหน้าตาข่ายสีทอง ไม่ว่าจะเป็นเขาทั้งสองคนหรือกองทัพมากมหาศาลข้างหลัง ตอนนี้ต่างเงียบนิ่ง

แต่เสี้ยวขณะต่อมา ทั้งสองคนนี้สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป พลันมองไปยังมิติเยื้องทางด้านขวาของเจ้าวัง

เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งตอนนี้ดังมาจากในมิติด้านขวาของเจ้าวัง

“ข่งเลี่ยงซิว เดิมข้าจะไม่ปรากฏตัวออกมาก็ได้ มองเจ้าแตกดับก็พอแล้ว แต่เจ้าได้ความเคารพจากข้าไป ดังนั้น ข้ามาที่นี่เพื่อถามเจ้า ลมหายใจเฮือกสุดท้ายของเจ้ายังไม่สลายไป คือกำลังรอข้าอยู่ใช่หรือไม่”

จากเสียงที่ดังก้อง เงาดำที่แปลงมาจากหมอกทางหนึ่ง ก็ปรากฏขึ้นข้างหน้าใบหน้าของเจ้าวังจากความว่างเปล่า

การปรากฏขึ้นของเงาร่างนี้ทำให้ทุกคนในสนามรบต่างจิตใจสั่นสะท้าน

ทางเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์เป็นเช่นนี้ ทางฝ่ายเผ่ามนุษย์เขตปกครองผนึกสมุทรก็เช่นกัน

มีเพียงสายตาของจักรพรรดิทั้งสองที่เก็บลง คล้ายว่าไม่แปลกใจ

สวี่ชิงดวงตาเบิกโพลง ต้องเงาร่างนั้นไม่วางตา เขานึกถึงเรื่องที่เจ้าวังให้ตัวเองไปตรวจสอบ ลมหายใจหอบถี่ ทำทุกอย่างที่ตัวเองทำได้ พยายามจำรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่าย

แต่น่าเสียดาย เงาหมอกนั้นรางเลือนโดยสิ้นเชิง

ดวงตาทั้งสองที่เดิมหลับลงของเจ้าวัง ตอนนี้พลันลืมขึ้นมา มองไปทางเงาหมอกข้างหน้า

“เจ้าเขตปกครองเป็นเจ้าที่ฆ่าใช่หรือไม่” เสียงของเจ้าวังต่ำทุ้ม แฝงด้วยเสียงแหบแห้ง ดังก้องไปทั่วทุกทิศ

“เป็นข้าเอง” เงาดำพยักหน้า เอ่ยเสียงเบา

“เจ้าส่งคนไปตรวจสอบไม่ใช่หรือ น่าเสียดาย เจ้าตรวจสอบผิดทาง”

เจ้าวังเงียบนิ่ง

“เจ้าไม่ถามว่าข้าเป็นใครหรือ” เงาดำเอ่ยเสียงสงบนิ่ง

“เจ้าจะบอกหรือ”

เงาดำส่ายหน้า ถอนหายใจ

“เช่นนั้นก็ลาก่อน ข่งเลี่ยงซิว” เงาดำถอยไปหลายก้าว ประสานหมัดโค้งคารวะ หายไปในฟ้าดิน

แต่ในเสี้ยวพริบตาที่เงานั้นจะหายไปโดยสมบูรณ์ ดวงตาทั้งสองของเจ้าวังก็พลันฉายแสงพร่างพราย กระบี่จักรพรรดิน่าครั่นคร้ามเล่มหนึ่ง ก็หลอมขึ้นในดวงตาทั้งสองของเขา แล้วพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว ฟันไปยังเงาดำ

ความเร็วน่าตื่นตะลึง ไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายได้หลบหลีกแม้เพียงเล็กน้อย และโอกาสก็อยู่ในช่วงก่อนที่อีกฝ่ายจะหายไป ดังนั้นเพียงพริบตา กระบี่นี้ก็พุ่งผ่านหว่างคิ้วของเขาไปอย่างรวดเร็ว

ยิ่งสืบย้อนพลังดั้งเดิม พุุ่งตรงไปยังมิติอันไร้จุดสิ้นสุด ไล่สังหารร่างเดิมของเงานี้ จะฟาดฟันทุกอย่างที่เกี่ยวพันกับร่างนี้ ไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบัน อนาคต ล้วนอยู่ในขอบเขตของการสังหารจากกระบี่นี้

ร่างเงาดำชะงัก หายไปโดยสมบูรณ์ แต่กลับมีเสียงพึมพำดังก้องฟ้าดิน

“เจ้ายังมีอีกกระบี่จริงๆ ด้วย

“ข้าไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต และไม่เคยมีปัจจุบัน ข่งเลี่ยงซิวคนที่ข้านับถือมีไม่มาก เจ้านับเป็นหนึ่งในนั้น ให้เจ้าฟันข้ากระบี่นี้ทิ้งไว้ในใจข้า ทำให้ข้าไม่ลืมเจ้า”

เจ้าวังจ้องเพ่ง สายตาเย็นเยียบกลายเป็นชั่วนิรันดร์ จวบจนเมื่อน้ำค้างแข็งหนาวเหน็บปกคลุมใบหน้าของเขา

กลายเป็นเถ้าธุลี ดับสลาย

“เจ้าวัง!!”

กองทัพเผ่ามนุษย์ น้ำตาเป็นสายเลือด โศกเศร้าเหลือประมาณ น้ำตาไหลรินจากดวงตาของผู้บำเพ็ญทุกคน พวกเขาดวงตาแดงก่ำ จิตใจในชั่วขณะนี้ถูกความเสียใจอย่างสุดซึ้งท่วมเต็ม

เจ้าวังครองกระบี่ แตกดับ

ฟ้าของเขตปกครองผนึกสมุทรถล่มลงมาอีกครั้งแล้ว

ท้องฟ้าในเสี้ยวขณะนี้คำรามลั่น คล้ายสัมผัสได้ถึงความเศร้าโศก แปรเปลี่ยนเป็นฝนเลือด เกิดลมพายุ ในยามที่หยาดหยดลงพื้นดินก็เปลี่ยนเป็นน้ำแข็งเลือด

ท่ามกลางน้ำแข็งเลือด ร่างสวี่ชิงสั่นสะท้าน โศกเศร้าเสียใจดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา หัวใจเหมือนมีมือใหญ่ๆ ไร้รูปร่างบีบเอาไว้ เจ็บปวดมาก เจ็บปวดเหลือเกิน

อดีตที่เคยมีร่วมกับเจ้าวังประดุจภาพวาด ปรากฏขึ้นข้างหน้าเขาไม่หยุด

เสียงร้องไห้ดังก้องรอบตัวเขา ความเจ็บปวดปกคลุมไปทั่วทุกทิศของเขา

ร่างของข่งเสียงหลงประคองไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ล้มลงคุกเข่าบนพื้น น้ำตารินไหล ความรู้สึกไร้ที่พึ่ง เศร้าโศกเสียใจ ควบคุมทุกอย่างในใจของเขา

จนตัวเขาทั้งคนงออยู่บนพื้น ร่ำไห้สะอึกสะอื้น

และในตอนนี้ เสียงครืนครันในฟ้าดินสะท้อนก้อง ตาข่ายของวิเศษเวทต้องห้ามแตกเป็นเสี่ยง แหลกละเอียดโดยสมบูรณ์

หลังจากแนวหน้าทางเหนือพังถล่ม ตอนนี้แนวหน้าทางตะวันตก พังทลายแล้ว

ภาพนี้ประกาศความพ่ายแพ้ของเขตปกครองผนึกสมุทร

ความหนาวเหน็บสะท้านจิตใจแปรเปลี่ยนเป็นลมพายุ พัดมาจากข้างบนอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกับที่หอบม้วนไปทั่วทิศ พื้นดินก็สั่นไหวรุนแรง

ในลมพายุนั่น กองทัพเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์กำลังเคลื่อนหน้ามา

ท้องฟ้าถูกความเย็นปกคลุม แยกไม่ออกว่าเป็นกลางคืนหรือกลางวัน และความจริงในตอนนี้…เป็นช่วงเวลาฟ้าสาง

แม้น้ำค้างแข็งเย็นเยือกจะปกคลุมม่านฟ้า แต่สายรุ้งจะอย่างไรก็จะปรากฏ เพียงแต่ต้องรอหลังจากลมฝน ต้องรอในยามที่อาทิตย์ยามอรุณรุ่งสาดส่อง

เลือดของเจ้าวังแปรเปลี่ยนเป็นฝน

ความสิ้นหวังและความโกรธแค้นเศร้าโศกของเขตปกครองผนึกสมุทร ทำให้พื้นดินตอนนี้เกิดลมขึ้น

ดังนั้น ในเสี้ยวพริบตาที่กองทัพเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์เหยียบมาในแนวป้องกันที่สี่ บนม่านฟ้าที่ไกล ดวงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณก็ขึ้น

แสงสีทองแถบหนึ่งรวมเป็นทะเล สาดส่องมาจากท้องฟ้า

นั่นไม่ใช่แค่แสงอาทิตย์เท่านั้น

ในทะเลแสงยังมีธงนับไม่ถ้วนปลิวไสว ประดุจสายรุ้ง

ยังมีเงาร่างเกราะทองนับไม่ถ้วนส่องประกายในนั้น ประดุจแสงรุ้ง

ยังมีเสียงคำรามของมังกรดำนับไม่ถ้วนกำลังสะท้อนก้อง ยังมีระลอกคลื่นค่ายกลนับไม่ถ้วนกำลังปะทุ

ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมเมฆหอบม้วน

บนท้องฟ้า มังกรทองสี่กรงเล็บตัวขนาดแสนจั้งตัวหนึ่ง ฉีกทึ้งมิติ คำรามออกมาจากในนั้น เสียงกึกก้องสนั่นหวั่นไหว ทรงพลังแข็งแกร่ง ดังเป็นระลอกมา

พื้นดินสั่นสะเทือนบ้าคลั่ง กองทัพเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ต่างหยุดชะงัก หงหลิงและเยวี่ยอู้จักรพรรดิทั้งสอง พลันเงยหน้าขึ้น

เพราะที่หลังของมังกรทองตัวนั้นยังมีบัลลังก์สีทองบัลลังก์หนึ่ง บนนั้นมีเงาร่างที่ไม่โมโหแต่รัศมีอำนาจฉายชัดนั่งอยู่

เขาสวมชุดคลุมยาวสีเหลือง ไม่ใช่ราชาไม่ใช่จักรพรรดิ

แต่มังกรทองสี่กรงเล็บบ่งบอกถึงฐานะ

“บุตรลำดับเจ็ดของจักรพรรดิมนุษย์!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version