Skip to content

Outside Of Time 579

บทที่ 579 แผ่นดินเซ่นจันทราจะเกิดลมพายุ ประกายไฟจะลุกโหม

เทพเจ้ามีฝัน ใช้ระบำเป็นเครื่องสังเวย ตัดกระดาษเป็นสรรพชีวิตทั้งหลาย วาดระบายหมื่นสรรพสิ่ง

ผู้ยอดเยี่ยมเทพปิติ ประทานสุขชั่วนิรันดร์ ผู้ยอดแย่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ชิงชัง เพียงเสี้ยวความคิดสลายกลายเป็นอากาศ

นี่ก็คือระบำบวงสรวง

ตอนนี้จากการตายท่ามกลางการกัดกินของชายชราในยอดเขาคู่ สิ่งที่สลายหายไปกับเขา ยังมีผีเสื้อเริงระบำทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากระบำบวงสรวงที่ล้มเหลวครั้งนี้ทั้งหมด

ผีเสื้อเริงระบำพวกนี้หลังจากกลืนกินเลือดเนื้อของเขาแล้วก็ผสานไปในฟ้าดิน หายไปไร้ร่องรอย ทำให้สรรพสิ่งทั้งหลาย กระจ่างชัด

และสำหรับสิ่งมีชีวิตในเทือกเขามิรู้สิ้น ตื่นขึ้นมา…บางทีอาจจะไม่ใช่ความโชคดี

ชีวิตคนที่ไม่ได้รับการจัดการวางแผน สิ่งที่นำมาให้อาจจะเป็นความสับสนงุนงงทำอะไรไม่ถูกยิ่งกว่าเดิม

กวาดตามองไป เริ่มจากเมืองล่างภูเขา ความงุนงงครั้งนี้เหมือนพายุพัดกวาด ท่วมจมเมืองมิด

ในเมือง คนธรรมดาก็ดี ผู้บำเพ็ญก็ดี ในเสี้ยวพริบตาที่ตื่นขึ้นมาล้วนเงียบนิ่ง

สามีภรรยาบางคู่ สหายบางคน ญาติสนิทบางคน ศิษย์อาจารย์บางคน พวกเขาต่างมองอีกฝ่าย ในสีหน้าแฝงด้วยความซับซ้อนที่เข้าแทนที่ความงุนงงสับสน พวกเขาต่างเป็นคนแปลกหน้าแต่ก็คุ้นเคยกันดี

ที่แปลกหน้าเพราะเคยไม่รู้จักกัน แต่ได้รับบทบาทให้อยู่ด้วยกันนับแต่นั้น ที่คุ้นเคยเพราะความทรงจำช่วงนั้นไม่ได้หายไป และที่สับสนงุนงงทำอะไรไม่ถูกคือหลังจากที่ตื่นขึ้นมาแล้วควรจะไปที่ไหนทำอย่างไร

เมืองเช่นนี้ สำนักเช่นนี้ ตระกูลแต่ละตระกูลยิ่งเป็นเช่นนี้ ลมพายุหอบม้วนไปทั่วทั้งเทือกเขามิรู้สิ้น ปกคลุมทุกอย่างเอาไว้

มีคนเลือกที่จะจากไป ไม่กลับมายังสถานที่ที่ทำให้พวกเขาตื่นตระหนกหวาดกลัวและเลอะเลือนแห่งนี้ตลอดกาล

ในนั้นที่มีจำนวนมากคือผู้ที่มาจากต่างถิ่น

แต่ความจริงแล้วคนทั้งหลายส่วนมากที่เทือกเขามิรู้สิ้นแห่งนี้นับตั้งแต่เกิดก็อยู่ที่นี่ ชะตาชีวิตของเขาในตอนที่เป็นทารกก็ถูกเปลี่ยนไปแล้ว

กระทั่งว่าหากสืบย้อนต่อไป บรรพบุรุษของพวกเขาล้วนเป็นเช่นนี้

พวกเขาชินกับชีวิตถูกจัดการ ชินกับทุกอย่างล้วนถูกกำหนดเอาไว้ กระทั่งว่าความเคยชินนี้ได้กลายเป็นสัญชาตญาณไปแล้ว เพราะก่อนหน้าที่จะตื่นขึ้นมา พวกเขาไม่รู้ความจริงเลย

ในความคิดของพวกเขา ฟ้าดินไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลง ชีวิตก็ยังคงเป็นปกติ

เหมือนถูกขังอยู่ในกรง ในวันหนึ่งที่กรงถูกเปิดออก แต่พวกเขา…ก็ยังคงเลือกที่จะอยู่ในกรง

กระทั่งว่าในใจของเขาเพื่อที่จะย้ำความคิดของตัวเองก็จะเกิดความสงสัยบางอย่าง สงสัยว่าการฟื้นตื่นที่ว่าเป็นเรื่องโกหก

ใช้ข้อความคิดนี้มาพิสูจน์ว่า ตัวเองตื่นอยู่ตลอดเวลา

ความสุขเช่นนี้ก็เป็นความโศกสลดอย่างหนึ่งเช่นกัน

สวี่ชิงเงียบนิ่ง

เขาในตอนนี้อาศัยโลงน้ำแข็งสีฟ้าที่นายกองอยู่ อาศัยพลังคทาในนั้น จิตเทพของเขาปกคลุมไปทั่วทั้งเทือกเขามิรู้สิ้น

นี่ทำให้เขาสัมผัสรับรู้ได้ถึงความคิดที่มาจากคนทั้งหลายได้อย่างชัดเจน

สุดท้ายสวี่ชิงกับนายกองก็เลือกที่จะจากไป

ก่อนจาก นายกองสัมผัสทุกอย่างที่นี่ ถอนหายใจออกมา

“สรรพชีวิตที่นับแต่เกิดก็อยู่ที่นี่ บรรพบุรุษแต่ละรุ่นๆ ล้วนมีชีวิตอยู่ที่นี่ ต่อให้ตื่นขึ้นมา แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับอยู่ในฝัน

“พวกเขาก็จะอาศัยอยู่ที่นี่ต่อไปเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

“อาชิงน้อย ไปเถอะ…บางทีสำหรับพวกเขา การปรากฏตัวขึ้นของพวกเราเป็นการรบกวนอย่างหนึ่ง”

นายกองส่ายหน้า เก็บโลงน้ำแข็งของตัวเองลงไป เดินไปยังท้องฟ้า หลังจากเดินไปหลายก้าวก็หยุด หันไปมองสวี่ชิง

สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก เก็บประสาทสัมผัสรับรู้ลงไป เดินไปทางนายกอง

ทั้งสองจากไปอย่างเงียบๆ บนท้องฟ้าจนกระทั่งมาถึงนอกสำนักบุปผาหยินหยาง ฝีเท้าของพวกเขาก็หยุดลง

อู๋เจี้ยนอูอยู่ตรงนั้น

ตอนนี้สำนักบุปผาหยินหยางเหลือไม่ถึงครึ่งแล้ว ภูเขาถล่ม บ่อวิญญาณก็ปนเปื้อนไปแล้วท่ามกลางฝุ่นควันนี้ ส่วนลูกศิษย์ในสำนักหลังจากที่ตื่นขึ้นก็จากไปกว่าครึ่ง

มีเพียงผู้บำเพ็ญที่เกิดที่นี่ นั่งอยู่บนหินภูเขาที่แตกกระจายอยู่เงียบๆ ความคิดว้าวุ่น

ส่วนเงาร่างของอู๋เจี้ยนอูยืนเหม่อลอยอยู่ข้างล่างภูเขา ข้างหน้าของเขาคืออวิ๋นเสียจื่อที่เดินจากไปไกลทีละก้าวๆ

ท้องฟ้าที่ทอประกายแสงพรายมีนัยยะแฝงถึงการปิดฉากลง ทำให้คนรู้สึกถึงความกดดันอย่างหนึ่ง เช่นใจของเขาในตอนนี้ และเฉกเช่นความซับซ้อนของอวิ๋นเสียจื่อในตอนนี้เช่นกัน

อู๋เจี้ยนอูมองเงาร่างของอวิ๋นเสียจื่ออย่างเหม่อลอย ในใจยากบรรยาย

หลังจากสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่นี่ เขาก็มาที่นี่ในทันที เห็นภูเขาที่ถล่มทลาย เห็นความวุ่นวายรอบๆ และเห็นอวิ๋นเสียจื่อ

กลอนที่เขาเคยท่อง อีกฝ่ายเหมือนฟังไม่เข้าใจแล้ว ไม่มองเขาแม้เพียงแวบเดียว

นี่ทำให้อู๋เจี้ยนอูในใจเต็มไปด้วยความขมขื่น ตอนนี้จ้องมองเงาแผ่นหลังของอีกฝ่าย เขาก็พลันเอ่ยเสียงดังขึ้นมา

“ฟ้ามืดพายุพัดซัดหมอกเมฆ อาทิตย์กระจ่างฝนพร่างพรำข้ามีร่ม!”

เสียงของอู๋เจี้ยนอูดังไปในฟ้าดิน ดังมายังข้างหูของอวิ๋นเสียจื่อ เพียงแต่ฝีเท้าของนางไม่หยุดชะงักแม้เพียงครึ่งก้าว และไม่ได้หันกลับมาเลย สุดท้ายก็จากไปไกล ไร้ร่องรอย

อู๋เจี้ยนอูอึ้งตะลึงเหม่อลอย ถอยหลังไปหลายก้าวนั่งลงข้างๆ

สวี่ชิงและนายกองเดินมาเงียบๆ มองความหมองหม่นในสีหน้าของอู๋เจี้ยนอู สวี่ชิงยกมือยื่นกาสุราให้อู๋เจี้ยนอูกาหนึ่ง เขารู้สึกว่าอู๋เจี้ยนอูในตอนนี้น่าจะอยากดื่มสุรา

อู๋เจี้ยนอูรับมาอย่างสั่นเทา หลังจากดื่มลงไปอึกใหญ่ตาก็แดงเล็กน้อย เอ่ยพึมพำเสียงต่ำ

“นางฟังไม่เข้าใจเลย ล้วนเป็นเรื่องโกหกทั้งนั้น!”

นายกองถอนหายใจ ตบไหล่อู๋เจี้ยนอู ไม่ได้พูดอะไร

จวบจนหลังจากนั้น จากการที่อู๋เจี้ยนอูจิตใจฟื้นฟูขึ้นมาบ้างเล็กน้อย พวกเขาคนกลุ่มนี้ก็เดินทางจากไปจากที่นี่ เพียงแต่อู๋เจี้ยนอูเงียบนิ่งมาตลอดทาง

ระหว่างทางนายกองหาหนิงเหยียนที่ซ่อนตัวอยู่ในรอยแยกแผ่นดินแห่งหนึ่งเจอ ก็หิ้วเขาขึ้นมา

หนิงเหยียนใจหวาดหวั่นพรั่นพรึง ภาพที่นี่ก่อนหน้านี้ทำให้เขารู้สึกว่าอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น เมื่อเห็นพวกสวี่ชิง จิตใจของเขาก็พุ่งพล่าน จากนั้นก็มองอู๋เจี้ยนอูอย่างโมโห กำลังจะเอ่ยปาก ก็พบว่าอารมณ์ของอู๋เจี้ยนอูผิดปกติ

หนิงเหยียนตกตะลึงสงสัย มีใจคิดอยากจะถาม แต่ก็รู้ว่าตอนนี้ไม่เหมาะ จึงสะกดความอยากรู้เอาไว้ในใจ

พวกเขากลุ่มนี้ไปจากเทือกเขามิรู้สิ้นเช่นนี้เอง จากการที่นายกองนำดวงอาทิตย์จำลองออกมา เงาร่างของคนทั้งหลายกะพริบวูบวาบ ก็หายไปจากขอบฟ้า

เรื่องเกิดขึ้นที่เทือกเขามิรู้สิ้น คำพูดของคนที่จากไปค่อยๆ เล่าลือกันออกมา ขณะเดียวกัน การตายของนักร่ายระบำบวงสรวงก็ทำให้กับสำนักบุปผาหยินหยางทั้งหมดต่างให้ความสำคัญ

ในเจ็ดวันนี้ หลังจากที่ผู้แข็งแกร่งสำนักบุปผาหยินหยางมากมายได้ยินเรื่องนี้ก็อาศัยค่ายกลศิษย์สำนักส่งข้ามมา ทำการตรวจสอบ

สุดท้ายประกาศจับจากสำนักบุปผาหยินหยางฉบับหนึ่งก็ประกาศไปทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา

ประกาศว่าผู้ลบหลู่เทพเจ้ามีเว่ยยางจื่อและเทียนชิงจื่อเป็นผู้นำ

หากมีผู้มอบเบาะแส จะได้รับมิตรภาพจากสำนักบุปผาหยินหยาง หากมีคนมอบศีรษะและวิญญาณของพวกเขา สำนักสาขาหลักบุปผาหยินหยางจะมอบลูกกลอนบรรเทาทุกข์ให้เป็นรางวัล

ประกาศนี้เมื่อประกาศออกมา ทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราสั่นสะท้าน ด้านหนึ่งเพราะเรื่องนี้ไม่เล็กเลย อีกด้านหนึ่งคือลูกกลอนบรรเทาทุกข์

ประโยชน์ของลูกกลอนนี้มีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือช่วยบรรเทาความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากคำสาป

ผู้บำเพ็ญของแผนดินใหญ่เซ่นจันทรา คำสาปพระจันทร์สีชาดในร่างของพวกเขา จากการเพิ่มขึ้นของพลังบำเพ็ญและเวลาที่หมุนผ่านไปจะค่อยๆ ทำให้ร่างกายและวิญญาณเจ็บปวดอย่างสุดซึ้ง

ความทรมานที่เกิดขึ้นจากความทุกข์ทรมานนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญคนใดก็ไม่อยากรับทั้งนั้น และวิธีที่จะบรรเทาความเจ็บปวดนี้ได้มีเพียงลูกกลอนบรรเทาทุกข์เท่านั้น

เพียงแต่ลูกกลอนนี้มีน้อยมาก แต่ความต้องการกลับมาก จึงล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่สิ่งที่หินวิญญาณจะซื้อได้ ไม่ว่าเม็ดใดล้วนขายได้กำไรทั้งสิ้น

ยกตัวอย่างเช่นบรรพจารย์ความร่วมมือสองเผ่าในตอนนั้นก็คิดจะจับเป็นสวี่ชิงส่งไปยังตำหนักเทพ เพื่อแลกลูกกลอนบรรเทาทุกข์มา

จากจุดนี้ก็สามารถคิดได้ว่าความเย้ายวนจากประกาศมีมากเพียงใด

และตอนนี้พวกสวี่ชิงและนายกองที่ถูกประกาศจับพวกเขาไปไกลจากเทือกเขามิรู้สิ้นแล้ว มาปรากฏบริเวณใกล้กับทางตะวันตก

ที่นี่นายกองจะซ่อนตัวหลบภัยสักหน่อย ขณะเดียวกันก็จะเตรียมการเพื่องานอีกชิ้นหนึ่ง

สวี่ชิงไม่คิดจะตามไปด้วย เขามีเรื่องที่ตัวเองต้องไปจัดการ

เขาระลึกถึงเมืองหิ่งห้อยทางตวนมู่ฉางทางนั้นมาโดยตลอดว่ายังมีเผ่ามนุษย์ที่ตกอยู่ในคำสาป เขาอยากช่วยพวกเขาแก้คำสาป

เพียงแต่คิดจะแก้คำสาปนี้ เขาต้องทำการค้นคว้าและทดลองอย่างมหาศาล นี่ต้องมีสภาพแวดล้อมที่สงบมั่นคงและต้องใช้เวลาในระดับหนึ่ง

ด้วยนิสัยที่อยู่ไม่นิ่งรักอิสระของนายกอง หากอยู่กับเขาเห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะ

ขณะเดียวกันมีที่แห่งหนึ่ง สวี่ชิงวางแผนว่าจะไปดูสักหน่อย

ดังนั้นสวี่ชิงจึงบอกแผนการนี้กับนายกอง

“ศึกษาคำสาปอย่างนั้นหรือ” นายกองได้ยินก็ตาเป็นประกาย หลังจากเอาลูกท้อออกมากัดคำหนึ่ง แสงในดวงตายิ่งเป็นเจิดจ้าเป็นประกาย

“ฮ่าๆ อาชิงน้อย เดิมความคิดของเจ้านี้เป็นการใหญ่เรื่องที่แปดที่ข้าเตรียมเอาไว้ หากเจ้าศึกษาค้นคว้าได้ก่อนล่วงหน้า เรื่องภายหลังที่จะลงมือของเราก็จะประหยัดเวลาไปมาก

“ก็ดีเหมือนกัน!” นายกองใบหน้าฉายแววตัดสินใจเด็ดเดี่ยว ยื่นผิงกั่วให้สวี่ชิงลูกหนึ่ง โอบไหล่อีกฝ่ายเอาไว้ เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม

“อาชิงน้อย หากเจ้าออกไปเอง จำไว้ว่าต้องระวังอย่าให้สำนักบุปผาหยินหยางหาเจอ ส่วนข้าเตรียมไปทำเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่ง คงประมาณครึ่งปีได้กระมัง”

“เล็กแค่ไหนหรือ” สวี่ชิงมองนายกองผาดหนึ่ง

“ฮ่าๆ เรื่องเล็กๆๆ มากๆ” นายกองยกนิ้วโป้งและนิ้วชี้ขึ้น หลังจากแตะกันก็แยกเป็นช่องทางหนึ่ง ใช้มันเปรียบกับเรื่องที่จะทำ

“เช่นนั้นก็รักษาตัวด้วย” สวี่ชิงยิ้ม ไม่ได้ถามอะไรมาก

นายกองหัวเราะฮ่าๆ เงยน้ามองไปยังท้องฟ้าไกล

“เอาเถอะ พวกเราแยกกันที่นี่ก็แล้วกัน ครึ่งปีหลังจากนี้ไปรวมตัวกันที่เทือกเขาทนทุกข์เป็นอย่างไร ข้าจะบอกเจ้าให้นะอาชิงน้อย ครั้งนี้อย่าได้สาย มาถึงก่อนเป็นดีที่สุด หลังจากนี้ครึ่งปี ศิษย์พี่ใหญ่จะพาเจ้าไปเข้าร่วมกลุ่มที่เจ๋งโคตรๆ ไปเลย!

“ที่นั่น จะเป็นหมากสำคัญตาหนึ่งที่พวกเราจะจัดการพระจันทร์สีชาด!”

สวี่ชิงดวงตาฉายประกาย เทือกเขาทนทุกข์ชื่อนี้ เขาได้ยินครั้งแรกจากปากตวนมู่ฉาง รู้ว่าที่นั่นมีวิธีเข้าร่วมกับตำหนักขบถจันทร์

ส่วนรายละเอียดสวี่ชิงไม่รู้ และแผนเดิมของเขาสถานที่ที่จะไปก็รวมถึงเทือกเขาทนทุกข์

เพราะตวนมู่ฉางบอกไว้ว่า การศึกษาค้นคว้าคำสาปของตำหนักขบถจันทร์ลึกซึ้งมาก หากสามารถได้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากในนั้น ก็จะประหยัดเวลาในการศึกษาของเขาได้เป็นอย่างมาก

อีกทั้งจากการศึกษาอนุมานข้อมูลที่คล้ายๆ กัน ก็จะสามารถต่อยอดแนวความคิดมากมายให้กับเขาได้เช่นกัน

ดังนั้นสวี่ชิงพยักหน้า หลังจากปรึกษาหารือกำหนดรายละเอียดการพบกันบางอย่าง สวี่ชิงก็ลุกขึ้น เตรียมจากไป

ก่อนจาก นายกองมอบเมล็ดพันธุ์จำนวนหนึ่งจากอู๋เจี้ยนอูทางนั้นยื่นให้สวี่ชิง

“ศิษย์น้องเล็ก หากเจ้าไปถึงเทือกทนทุกข์ก่อน ก็ปลูกเมล็ดพันธุ์พวกนี้ที่นั่น เช่นนี้ เมื่อข้าทางนี้เจอกับเรื่องด่วนที่ต้องหาเจ้า ข้าก็จะให้พี่เจี้ยนเจี้ยนสั่งลูกๆ ของเขาไปตามกลิ่นของเมล็ดพันธุ์นี้ไปหาเจ้า หลังจากที่ข้าจัดการเรื่องเรียบร้อยก็ใช้วิธีนี้หาเจ้าได้เช่นกัน”

สวี่ชิงรับเมล็ดพันธุ์มา ในใจนึกอัศจรรย์ ความพิเศษของลูกๆ อู๋เจี้ยนอูเขาก็รู้อยู่ สมองอดคิดถึงกล่องปรารถนาใบนั้นเมื่อตอนนั้นขึ้นมาไม่ได้ จึงมองไปทางอู๋เจี้ยนอู

อู๋เจี้ยนอูก็ยังคงท่าทางไร้ชีวิตชีวาเช่นเดิม นอนอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่ตรงนั้น ประเดี๋ยวๆ ก็ถอนหายใจ

“ไม่ต้องสนใจเขา อกหักก็แบบนี้ ปกติ ไม่กี่วันก็ดีขึ้นแล้ว”

นายกองยิ้มพลางเอ่ย พูดจบเขาก็สูดลมหายใจลึก มองสวี่ชิง ดวงตาแฝงด้วยคำอวยพร

“เช่นนั้นศิษย์น้องเล็ก พวกเราสุดแท้แต่ชะตากำหนด รักษาเนื้อตัวกันให้ดี!”

สวี่ชิงได้ยินก็พยักหน้า

หนิงเหยียนอยู่ข้างๆ ทำหูตั้ง แอบฟังบทสนทนาของทั้งคู่มาโดยตลอด จนกระทั่งได้ยินคำว่าอกหักสองคำนี้ ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าทำไมหลายวันมานี้อู๋เจี้ยนอูเป็นเช่นนี้ ในใจเหยียดหยาม แอบพูดในใจว่าเรื่องแค่นี้เองหรือ

ตอนนี้เห็นสวี่ชิงจะไปแล้ว เขารีบลุกขึ้นไปส่งทันที ในดวงตายิ่งฉายแววปรารถนา หวังว่าสวี่ชิงจะพาเขาไปด้วย…

สวี่ชิงไม่สนใจ เพียงก้าวเดียวก็ไปจากดวงอาทิตย์จำลอง ไหววูบไปจากม่านฟ้า หายไปทันที

“โตแล้ว ไม่เล่นกับศิษย์พี่ใหญ่แล้ว” นายกองมองสวี่ชิงจากไปไกลจนลับสายตา ในใจรู้สึกสะท้อนใจ จากนั้นก็ยกมือประสานปางมือ ดวงอาทิตย์จำลองส่งเสียงเลื่อนลั่น เร่งความเร็วเคลื่อนไปข้างหน้า

เวลาไหลไป ไม่นานก็ผ่านไปครึ่งเดือน

ประกาศจับของสำนักบุปผาหยินหยางยังคงอยู่ แต่คนที่ถูกประกาศจับกลับไม่มีเบาะแสใดๆ สืบหาออกมาได้ ราวกับสลายกลายเป็นไอ ขณะเดียวกันก็มีข่าวลือของเรื่องใหญ่อีกเรื่องที่ทำให้ประกาศจับครั้งนี้ถูกคนละเลยไปตามสัญชาตญาณ

เรื่องใหญ่เรื่องนี้ช่างสั่นสะท้านจิตใจนัก ทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราต่างฮือฮา

บุตรเทวะบาดเจ็บสาหัส!

ต้นเหตุของเรื่องนี้ตอนแรกก็ถูกปิดเอาไว้เป็นอย่างดี นอกจากสาขาหลักตำหนักพระจันทร์สีชาดแล้วก็ไม่มีใครล่วงรู้ พวกเขารู้แค่ว่าที่ราบน้ำแข็งทางตอนเหนือเกิดการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น รู้ว่าทะเลเพลิงสวรรค์เกิดปรากฏการณ์ประหลาด อีกทั้งสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นพลังฟ้าดินอย่างต่อเนื่องมาเดือนกว่าๆ

แม้จะมีการคาดเดามากมาย แต่จะอย่างไรก็ไม่มีข้อมูลที่แท้จริง

จวบจนวันนี้หลังจากที่ผ่านไปหลายเดือน สถานการณ์ความจริงนี้ถึงจะแพร่ออกมา อีกทั้งผู้ที่เผยแพร่เรื่องนี้ไม่ใช่ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด แต่เป็นคนของตำหนักขบถจันทร์ที่กระจายข่าวไปทุกๆ ที่

พวกเขาบอกผู้คนว่าเหตุการณ์ประหลาดที่ทะเลเพลิงสวรรค์เกิดจากรัฐทายาทเจ้าเหนือหัวหลุดพ้นจากพันธนาการแล้ว

และเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงที่ที่ราบน้ำแข็งทางเหนือก็เกิดจากรัฐทายาทช่วยองค์หญิงหมิงเหมย บุตรีแห่งเจ้าเหนือหัวเมื่อตอนนั้นออกมา

ทันทีที่ผู้แข็งแกร่งที่น่าครั่นคร้ามทั้งสองหลุดพ้นจากพันธนาการก็โจมตีสังหารไปยังสาขาหลักตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดทันที

เปิดศึกที่น่าครั่นคร้ามพรั่นพรึงที่นั่น

นี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำไมระลอกคลื่นพลังจึงแผ่ต่อเนื่องมาหนึ่งเดือน

ส่วนผลของมหาศึกครั้งนี้ รัฐทายาทและองค์หญิงหมิงเหมยหายตัวไป บุตรเทวะตำหนักพระจันทร์สีชาดบาดเจ็บสาหัส

เรื่องนี้เผยประเด็นสำคัญออกมาจุดหนึ่ง นั่นก็คือ…พระจันทร์สีชาดชื่อหมู่ยังไม่ลงมาเยือน

นี่ไม่ตรงกับเหตุผล เพราะหากบุตรเทวะบาดเจ็บสาหัส เช่นนั้นองค์ท่านจะต้องสำแดงวิชาเทพลงมา แต่ดูจากระลอกคลื่นพลังฟ้าดินในช่วงนี้ เรื่องนี้ยังไม่เกิดขึ้น!

จึงมีข่าวลืออีกสองเรื่องกระจายออกไปพร้อมกับเรื่องนี้

ข่าวลือเรื่องแรกคือตัวตนที่แท้จริงของบุตรเทวะพระจันทร์สีชาด และวิญญาณที่เขาดูดมาจากพี่น้องที่สะกดเอาไว้ในหลายปีที่ผ่านมา ถูกชิงเอาไปจากศึกครั้งนี้

วิญญาณเหล่านี้เป็นเหตุผลที่ทำให้ลูกๆ ของเจ้าเหนือหัวที่ถูกผนึกพันธนาการสูญเสียสติสัมปชัญญะไป

ว่ากันว่าทันทีที่ถูกช่วงชิงไป ในตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดก็มีเสียงครวญครางนับไม่ถ้วนดังออกมา ราวว่าไม่ใช่เสียงมนุษย์

เรื่องนี้ฮือฮาสะท้านสะเทือน มีคนวิเคราะห์ว่าแผนของรัฐทายาทไม่ใช่จะต่อสู้ชี้ชะตากับบุตรเทวะอย่างที่แสดงออกมาให้เห็น แต่มีความหมายลึกซึ้งอื่นอีก

บางทีวิญญาณเหล่านี้เป็นเพียงแค่หนึ่งในเป้าหมายของเขา

ส่วนรายละเอียดไม่มีใครรู้

และข่าวลือเรื่องที่สองที่แพร่ออกมายิ่งส่งผลกระทบต่อจิตใจคนทั้งหลาย

“พระจันทร์สีชาดชื่อหมู่ เนื่องจากเรื่องนอกแผ่นดินใหญ่ตกอยู่ในห้วงนิทราลึก ในเวลาสั้นๆ ไม่อาจตื่นขึ้นมาได้!”

ข้อมูลที่แฝงอยู่ในข่าวลือช่างชวนให้คนตื่นตะลึงนัก ฟ้าของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราเหมือนว่าจะเปลี่ยนไปจากการนี้

เหมือนในบ่อน้ำนิ่งบ่อหนึ่งเกิดระลอกคลื่นขึ้นมา

เพียงพริบตา ทุกเขตปกครองทุกมณฑลล้วนมีกลุ่มประชาชนจำนวนหนึ่งประดุจประกายแสงเพลิง

พวกเขาเผยแพร่คำขวัญของตำหนักขบถจันทร์ เรียกขานให้ผู้คนลุกขึ้นมาต่อต้าน พยายามที่จะขยายกำลังออกไป

เพียงแต่ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดและขั้วอำนาจที่ขึ้นกับตำหนักเทพ และยังมีทูตเทวะ ผู้รับใช้เทวะ และทาสเทวะจำนวนมหาศาล ไม่นานนักก็ถูกส่งออกไปทำการสะกดควบคุมไปทุกกลุ่ม

ยิ่งมีจักรพรรดิตำหนักเทพ หลังจากบุตรเทวะบาดเจ็บสาหัสก็ตื่นขึ้นมาจากนิทรา ควบคุมสถานการณ์

ด้วยรูปแบบที่แข็งแกร่งไม่อ่อนข้อ พัดกวาดลมพายุเลือดเนื้อไปทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่

แต่สุดท้าย…ลมในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราก็พัดขึ้นจนได้

และตอนนี้ ในเขตปกครองทรายดำทางตะวันตกของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ในฟ้าดินพัดหอบลมเม็ดทรายสีดำขึ้น คลายว่าจะเชื่อมกับผืนฟ้า ปกปิดครรลองสายตา

เขตปกครองทรายดำเป็นหนึ่งในเจ็ดเขตปกครองทางตะวันตกของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา อยู่ติดกับใจกลาง

ที่มาของชื่อสถานที่แห่งนี้เพราะทั้งเขตปกครองเป็นทะเลทราย

อีกทั้งทะเลทรายที่นี่พิเศษมาก เม็ดทรายไม่ใช่สีเหลืองแต่เป็นสีคราม

ดังนั้นลมที่พัดหอบก็เป็นลมเม็ดทรายสีคราม พัดอยู่ตลอดทั้งปี

ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศที่นี่ พำนักอาศัยสืบเผ่าพันธุ์ไปในลมเม็ดทรายสีดำชั่วนิรันดร์

และสำหรับลมเม็ดทรายสีดำที่นี่ ก็มีเรื่องเล่ามากมาย หนึ่งในนั้นมีเรื่องหนึ่งที่เป็นที่ยอมรับมากที่สุด

ว่ากันว่าที่นี่เมื่อนานแสนนานมาแล้วไม่ใช่ทะเลทราย แต่เป็นพื้นที่แอ่งกระทะขนาดมหึมาแห่งหนึ่ง ในนั้นมียอดเขาสูงนับไม่ถ้วน

ดินบนพื้นในตอนนั้นเป็นสีดำ จะมีหมอกลอยขึ้นจากบนพื้นทำให้ที่นี่เกิดเป็นทะเลหมอก

จนกระทั่งวันหนึ่ง บนท้องฟ้ามีเส้นผมสีดำเส้นหนึ่งร่วงลงมา ผมเส้นนี้ลอยมาที่นี่ แปรเปลี่ยนเป็นฝุ่นธุลีถมแอ่งกระทะจนเต็ม กลายเป็นเม็ดทรายสีดำ

และทำให้ที่นี่กลายเป็นทะเลทรายนับจากนั้นมา

ยอดเขาสูงใหญ่เหล่านั้นเมื่อครั้งนั้นก็ถูกท่วมจมไปกว่าครึ่งจากเหตุนั้น ส่วนที่โผล่ออกมาเชื่อมต่อซึ่งกันและกัน ก็ได้กลายเป็นเทือกเขาน้อยใหญ่

เทือกเขาที่ใหญ่ที่สุดในนั้นชื่อว่าทนทุกข์

และทะเลทรายผืนนี้ถูกเรียกว่าทะเลทรายผมคราม

เนื่องจากสภาพอากาศเลวร้าย ดังนั้นผู้ที่อาศัยในทะเลทรายผมครามมีไม่มาก แต่เนื่องจากความพิเศษบางอย่าง ดังนั้นคนต่างถิ่นอยู่ที่นี่ไม่น้อยเลย

จากการหมุนผ่านไปของเวลาก็ค่อยๆ เกิดเป็นเมืองดินเมืองแล้วเมืองเล่า

เมืองเหล่านี้ล้วนสร้างอยู่ในยอดเขา ไม่ได้สร้างอยู่บนผืนทราย และตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดก็ได้สร้างฐานที่มั่นไว้แห่งหนึ่งเป็นการเฉพาะที่นี่

ตอนนี้ ท่ามกลางลมทรายสีดำ ฟ้าดินสลัวรางเลือนไปทั้งแถบ ท่ามกลางความรางเลือนมีเงาร่างหนึ่ง กำลังมุ่งหน้ามาจากในนั้น

ลมแรงมาก ส่งเสียงหวีดหวิวมา พัดกระทบมาที่ร่างเหมือนมือจำนวนมหาศาลผลักอยู่ข้างหน้า เป็นแรงขัดขวางการเคลื่อนที่ไป ยิ่งพัดเสื้อผ้าสะบัดปลิวไม่หยุด

แต่กลับไม่อาจต้านทานเงาร่างในลมทรายได้เลย ความเร็วของเขาดูเหมือนไม่เร็ว แต่ทุกก้าวที่ก้าวออกมาล้วนเป็นระยะหนึ่งจั้ง เพียงแต่เขาจะหยุดบ้างเป็นครั้งคราว เอาแผ่นหยกออกมาดูทิศทาง

“ยังเหลืออีกระยะหนึ่ง”

สวี่ชิงพึมพำเสียงต่ำ ใบหน้าของเขาพันไว้ด้วยผ้าพันคอ ผมก็เช่นเดียวกัน โผล่ออกมาเพียงดวงตาทั้งสองจ้องมองไปยังที่ไกล

หลังจากแยกกับนายกอง เขาก็ขบคิดเส้นทางต่อจากนั้น จึงตัดสินใจวางเป้าหมายมาเป็นที่เทือกเขาทนทุกข์เสียเลย

เตรียมหาว่าจะเข้าร่วมกับตำหนักขบถจันทร์อย่างไร พลางหาสถานที่พักพิงไปด้วย เพื่อศึกษาค้นคว้าคำสาป

วันนี้เป็นวันที่สามแล้วที่เขาเข้ามาในทะเลทรายผมคราม

ชุดนักพรตบนร่างของเขาเปลี่ยนมาเป็นเสื้อผ้าของท้องถิ่น เสื้อที่แนบตัว กางเกงขาก๊วย รองเท้ายาวถึงเข่าทำจากหนังสัตว์ และยังมีเสื้อตัวนอกสีเทาตัวโคร่งที่คลุมทั้งร่างเอาไว้ข้างใน และปกป้องหลิงเอ๋อร์เอาไว้ได้อย่างดี

ลมที่นี่สำหรับผู้บำเพ็ญแล้ว มีพลังพัดทะลุในระดับหนึ่ง หากอาศัยพลังบำเพ็ญต้านทาน ในเวลาสั้นๆ ยังพอไหว แต่หากเวลานานไปจะต้องพลังเหือดแห้งแน่นอน

เพราะพลังวิญญาณฟ้าดินของทะเลทรายทั้งผืนอยู่ในลมทรายล้วนกระจัดกระจาย เบาบางมาก

ขณะเดียวกัน ลมที่นี่ก็มาพร้อมความอ้างว้างหมองเศร้า พัดนานไปพลังชีวิตจะค่อยๆ หมองมัว จนกระทั่งกลิ่นอายความตายพันล้อม กลายเป็นกระดูก

มีเพียงสิ่งมีชีวิตพิเศษบางประเภท อยู่ที่นี่แล้วเหมือนปลาได้น้ำ ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม

ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ในตอนที่สวี่ชิงดูทิศทาง แมงป่องสีดำตัวขนาดครึ่งมนุษย์จู่ๆ ก็พุ่งออกมาจากทรายข้างหลังเขา

รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง เพียงพริบตาก็ประชิดเข้ามาใกล้สวี่ชิง หางแมงป่องกะพริบประกายวูบ เห็นใกล้จะแทงเข้ามาเต็มที แต่เจ้าเงาใต้เท้าสวี่ชิงพลันพุ่งขึ้นมา แล้วปกคลุมแมงป่องไปทันที

แมงป่องหายไป เจ้าเงากลับมาอย่างรวดเร็ว

นับจากต้นจนจบ สวี่ชิงไม่ได้ไปดูแม้แต่น้อย หลังจากเข้ามาในนี้เขาเจอกับสัตว์ร้ายประเภทนี้ไม่น้อย ในร่างของทุกตัวล้วนมีคำสาปแฝงอยู่ นี่ทำให้สวี่ชิงดีใจมาก

จึงสั่งเจ้าเงาไว้ตั้งนานแล้วว่าให้มันจับเป็นเอาไว้ในร่าง เก็บเอาไว้ศึกษาในภายหลัง

ตอนนี้ยืนยันทิศทางของตัวเอง สวี่ชิงเก็บแผ่นหยกลงไป เคลื่อนไปข้างหน้าต่อ

รายงานข่าวเกี่ยวกับแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราที่นายกองเคยให้เขาเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่ง การมาเยือนครั้งนี้ของสวี่ชิงก็ทุ่มเทกายใจและค่าตอบแทนลงไปจำนวนหนึ่ง ซื้อข้อมูลที่เกี่ยวกับเขตปกครองทรายดำมากมาย

ดังนั้นตำนานของที่นี่และทิศทางของเทือกเขาทนทุกข์ ในใจเขายิ่งชัดเจน

ท่ามกลางการเคลื่อนไปข้างหน้านี้ เวลาก็ผ่านไปอีกเจ็ดวัน จากการเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ระหว่างทางสวี่ชิงได้เห็นของแปลกประหลาดบางอย่างในลมทรายสีดำนี้

นั่นคือเห็ดยักษ์สิบกว่าจั้ง

เห็ดเหล่านี้เหมือนห้องสูงใหญ่ ตั้งระหง่านในทะเลทราย มันมีสีสันสดใส มองจากที่ไกลๆ ทำให้คนเกิดใจมุ่งมั่นปรารถนาไปตามสัญชาตญาณ

สวี่ชิงไม่ได้เข้าไปใกล้ หลังจากสายตากวาดมองไปก็เลือกที่จะหลบหลีก

ความยุ่งยากที่ไม่จำเป็นประเภทนี้เขาไม่ยินดีที่จะไปสัมผัส และนอกจากเห็ดยักษ์แล้ว ในทะเลทรายยังมีเงามายาจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นมา

นั่นเป็นเงาภาพมายาหญิงชายที่เกิดขึ้นจากลมทราย กำลังเดินไปข้างหน้าหัวเราะพูดคุยไปในฟ้าดิน

เสียงของพวกมันมีพลังดูดวิญญาณ ทุกที่ที่ผ่าน ทะเลทรายจะเกิดรอยเป็นทางยาว

เหมือนว่าใต้ทะเลทรายมีหนอนตัวยาวกำลังคลายไปตามพวกมัน

นอกจากนี้ยังมีเสามากมายที่ประเดี๋ยวๆ ก็ปรากฏในสายตาสวี่ชิง

เสาเหล่านี้แขวนกระดูกที่แห้งไปตามลม คล้ายว่ากำลังเตือนอะไร

สวี่ชิงจ้องเพ่งของพวกนี้ เคลื่อนไปข้างหน้าต่อ จวบจนหลายวันหลังจากนั้น เขาก็เห็นสัตว์ยักษ์แขวนกระดึงฝูงหนึ่งในทะเลทราย

ลักษณะของสัตว์ยักษ์เหล่านี้เหมือนแรด ทุกที่ที่เดินผ่านล้วนมีเสียงกระดึงดังลั่นไปทั่ว บนหลังพวกมันมีต่างเผ่าร่างผอมสูงจำนวนหนึ่งนั่งอยู่ ทั้งร่างคลุมเอาไว้อย่างมิดชิด เหลือไว้เพียงดวงตาสีขาวที่คอยจับตามองทุกอย่างรอบๆ

หลังจากเห็นสวี่ชิง สัตว์ยักษ์เหล่านั้นก็หยุดนิ่ง ต่างเผ่าในนั้นต่างสีหน้าระแวงระวัง

สวี่ชิงประสานหมัด เลือกที่จะถอยหลังหลบ และพวกเขาหลังจากที่ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้าให้สวี่ชิง ต่างฝ่ายต่างจากไป ต่างฝ่ายต่างไม่หาเรื่องกัน

เวลาก็หมุนผ่านไปเช่นนี้เอง ไม่นานนักก็ผ่านไปหนึ่งเดือน

เทือกเขาทนทุกข์เห็นอยู่ลิบๆ ข้างหน้า

ใต้ผืนฟ้าที่มืดมิด ฟ้าดินสลัวคลุมเครือไปทั้งหมด เทือกเขาทนทุกข์ก็เหมือนกิ้งก่ายักษ์บรรพกาลแผงหนามที่นอนอยู่กลางทะเลทรายตัวหนึ่ง ยอดเขาสูงต่ำเป็นระลอกสลับขึ้นลงแต่ละลูกๆ วางแนวจากตะวันตกไปตะวันออก เป็นพื้นที่เกินกว่าแปดพันลี้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version