Skip to content

Outside Of Time 580


บทที่ 580 ผลจากการข่มขู่ชิงทรัพย์

ส่วนจะเข้าไปที่ตำหนักขบถจันทร์อย่างไร สวี่ชิงก็ยังไม่แน่ใจนัก

ตอนนั้นตวนมู่ฉางก็ไม่ได้กล่าวชัดเจน เพียงบอกให้เขามายังที่นี่

ตอนนี้ผ่านมาเกินครึ่งปี สวี่ชิงอยู่ในลมทรายสีดำนี้ มองเทือกเขาทนทุกข์ ในสมองผุดรายงานเกี่ยวกับที่นี่ที่ตนสืบเสาะมา

แตกต่างกับเทือกเขามิรู้สิ้น เทือกเขาทนทุกข์ไม่มีพืชปกคลุม มีเพียงลมทรายนับไม่ถ้วนหวีดหวิวอยู่ข้างหู เสียงอื้ออึงดังอยู่ตลอดเวลา ทำให้รู้สึกถึงความหดหู่และความอ้างว้างโดยสัญชาตญาณ

สวี่ชิงกระชับคอเสื้อ สัมผัสได้ว่าหลิงเอ๋อร์เลื้อยพันคอของตนอยู่ เขาก็อบอุ่นใจขึ้นมา เมื่อไหววูบ ก็พุ่งไปตามลมทราย ค่อยๆ ก้าวไปในเทือกเขาทนทุกข์ เริ่มค้นหาร่องรอยของตำหนักขบถจันทร์

เวลาดั่งลมระหว่างฟ้าดิน พัดพาไม่หยุด ผ่านไปเรื่อยๆ

สิบวันต่อมา บนยอดเขาค่อนข้างสูงแห่งหนึ่งในเทือกเขาทนทุกข์ สวี่ชิงมองไปรอบด้าน ขมวดคิ้วขึ้นมา

ในสิบวันนี้ เขาค้นหาเบาะแสเกี่ยวกับตำหนักขบถจันทร์ในเทือกเขาทนทุกข์มานานแล้ว หาอย่างไรก็หาไม่พบ แต่เขาสังเกตเห็นว่าเทือกเขานี้มีสิ่งมีชีวิตอยู่ไม่น้อย ชนเผ่าก็ปะปนกัน พักอาศัยอยู่ในเมืองดินในเขาแต่ละลูก

ในนี้พบเห็นคนธรรมดาได้น้อย ส่วนใหญ่มีพลังบำเพ็ญติดตัวกัน แต่บางส่วนก็เกลียดชังผู้มาเยือน

มีสองสามครั้งที่สวี่ชิงมองไกลๆ ก็สัมผัสได้ถึงจิตปฏิปักษ์จากสายตาผู้บำเพ็ญในเมืองเหล่านั้น

‘ตวนมู่ฉางบอกว่าวิธีเข้าไปในตำหนักขบถจันทร์ อยู่ในเทือกเขาทนทุกข์นี้…’ สวี่ชิงเงยหน้ามองยังยอดเขาที่ไกลออกไป บนภูเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขาทนทุกข์มีระลอกคลื่นผนึกต้องห้ามพระจันทร์สีชาดอยู่

‘ปกติตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดไม่มีทางสร้างตำหนักสาขาย่อยด้านนอกส่งเดช แต่ที่นี่กลับมีอยู่ตำหนักหนึ่ง…

‘นี่บ่งบอกว่าที่แห่งนี้มีความพิเศษ มีความเป็นไปได้ที่จะมีวิธีเข้าไปในตำหนักขบถจันทร์อยู่จริง แต่มีจุดหนึ่งที่แปลกประหลาดมาก หากคนส่วนใหญ่รู้ว่าเทือกเขาทนทุกข์เป็นทางเข้าตำหนักขบถจันทร์ แล้วทำไมตำหนักเทพจึงไม่ผนึกที่นี่หรือห้ามไม่ให้เข้าไปเล่า’

ดวงตาสวี่ชิงฉายแววครุ่นคิด เก็บสายตามองลงไปด้านล่างภูเขากลับมา

มองไปจากระดับความสูงที่เขาอยู่ ทะเลทรายด้านล่างเป็นสีดำไปหมด สายลมพัดหอบลมทรายต่อเนื่อง ย้อมโลกทั้งใบกลายเป็นทะเลหมอกสีดำ

สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด กำลังจะค้นหาต่อ แต่ตอนนี้เอง ไกลออกไปก็มีเสียงคำรามที่ลอยมาตามลม ขณะที่คลุมเครือก็แผ่ขยายคลื่นพลังวิชาเวทเป็นระลอก

เดิมสวี่ชิงไม่สนใจ หลายวันมานี้เขาเจอเรื่องทำนองนี้ในเทือกเขาทนทุกข์มาแล้วหลายครั้ง ส่วนใหญ่เป็นผู้บำเพ็ญบางเผ่าที่สังหารกันด้วยเหตุผลบางประการ

ระดับขั้นไม่สูงมาก หลักๆ คือสร้างฐาน มีแก่นลมปราณอยู่น้อย

แต่หลังจากเดินไปได้สองสามก้าว สวี่ชิงก็ชะงักฝีเท้า มองไปทางที่ระลอกคลื่นวิชาเวทแผ่มา

’คลื่นพลังปราณก่อกำเนิด? ไม่ได้แข็งแกร่งมาก ประมาณสองสามทัณฑ์’

เป็นครั้งแรกที่สวี่ชิงพบเห็นการต่อสู้ระหว่างปราณก่อกำเนิดหลังจากมาถึงที่นี่ ในเมื่อหาวิธีเข้าไปในตำหนักขบถจันทร์ที่นี่ไม่พบ เช่นนั้นก็ต้องใช้วิธีอื่นค้นหา

สวี่ชิงจึงอำพรางกาย ผสานเข้าไปในสายลม ลอยไปที่นั่น

ไม่นานนัก สถานที่ต่อสู้ก็ปรากฏขึ้นในครรลองสายตาสวี่ชิง

ที่นั่นเป็นหุบเขาแห่งหนึ่ง ด้านล่างคือลมดำทะเลทราย มีผู้บำเพ็ญสองคนกำลังต่อสู้กันกลางอากาศ ปรับเปลี่ยนวิชาเวทไปมา ยิ่งมีอาวุธเวทแหลมคมทิ่มแทงกันไปมา กลายเป็นคลื่นพลังครืนครันไปรอบทิศ

สองคนนี้อยู่ในวัยกลางคน สวมเสื้อผ้าคล้ายคลึงกับสวี่ชิง ห่อทั้งตัวไว้มิดชิด เผยออกมาเพียงดวงตา

พวกเขาลงมือกันอย่างดุดัน ตาต่อตา ฟันต่อฟันอย่างสิ้นเชิง ในนี้คนหนึ่งบาดเจ็บสาหัส มีบาดแผลขนาดใหญ่อยู่ที่ช่วงท้อง แขนข้างหนึ่งก็ไม่รู้ว่าถูกตัดเมื่อไร

ผู้ที่จัดการเขา ตาบอดไปแล้วข้างหนึ่ง ตอนนี้เลือดไหลหยดย้อย ทว่าดวงตาอีกข้างกลับเผยความโหดเหี้ยมออกมา

เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้นี้ไม่ได้เพิ่งเริ่ม แต่น่าจะสู้กันมาจากที่อื่น ไล่ล่ากันมาจนถึงที่นี่

ตอนที่สวี่ชิงมาถึง ผู้บำเพ็ญตาเดียวตนนั้นก็อ้าปากพ่นไอดำออกมา ขณะที่ไอหมอกหอบม้วนคู่ต่อสู้ของเขาที่บาดเจ็บสาหัสและอ่อนแอลงเรื่อยๆ ก็ฉากหลบไม่ทัน ไอดำปะทะเข้าหน้าอย่างจัง

เสียงกรีดร้องดังออกมา ผู้บำเพ็ญที่บาดเจ็บคนนี้ถอยอย่างรวดเร็วแต่ก็ช้าไป ผู้บำเพ็ญตาเดียวหัวเราะเหี้ยมเกรียม พลันไล่ตามไป สองมือทะลวงเข้าไปที่หน้าอกอีกฝ่ายอย่างโหดเหี้ยม ทำลายอวัยวะตันทั้งห้า บดขยี้อวัยวะกลวงทั้งหก

ยิ่งไม่รู้ว่าสำแดงวิชาอะไรออกมา จึงทำให้อีกฝ่ายกลายเป็นศพแห้งกรอบ

สวี่ชิงมองอย่างละเอียด ปราณก่อกำเนิดของผู้บำเพ็ญที่กลายเป็นศพแห้งกรอบผู้นั้นก็ไม่ได้หนีไปไหน ถูกผนึกอยู่ในศพแห้ง

เสร็จเรื่องเหล่านี้ ผู้บำเพ็ญตาเดียวก็เก็บศพแห้งไป พลันหันหน้ามา ดวงตาเปล่งประกายเย็นเยียบ ในม่านตายังมีตราประทับกะพริบวูบวาบ ขณะที่ให้ความรู้สึกแปลกประหลาด เขาก็แสยะยิ้ม

“ยังมีอีกคนหรือ

“เจ้าก็คิดจะปล้นข้าด้วย?”

ขณะที่กล่าว สายตาของเขาก็มาหยุดที่ที่สวี่ชิงอำพรางกายอยู่

แม้สวี่ชิงจะไม่ได้สวมหน้ากาก แต่การอำพรางของเขาก็ไม่ธรรมดา อีกฝ่ายสังเกตเห็นได้ จะต้องมีความพิเศษอยู่เป็นแน่ อีกทั้งสายตาของอีกฝ่ายก็เฉียบคมมาก ไม่ใช่เสแสร้งแกล้งทำ

สวี่ชิงครุ่นคิด ก็เลิกพรางตัวและเดินออกมา ถอยสองสามก้าวเพื่อบ่งบอกว่าตนไม่มีจิตปฏิปักษ์ด้วย สายตาจริงใจ เอ่ยอย่าใจเย็น

“สหายเต๋าผู้นี้ ข้าไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับผู้ที่ท่านสังหารไป อำพรางคลื่นพลังวิชาเวทมาที่นี่เพราะสหายผู้หนึ่งหายสาบสูญไปในเทือกเขานี้ จึงออกตามหา ไม่ทราบว่าท่านเคย…”

สวี่ชิงยังพูดไม่ทันจบ ผู้บำเพ็ญตาเดียวตนนั้นก็ถอยหลังไปสองสามก้าว ส่งเสียงหัวเราะเย็นชาออกมา

“ที่นี่คนหายตัวไปเยอะแยะ ข้าไม่เคยเห็นหรอก” ผู้บำเพ็ญตาเดียวไหววูบ ทะยานไปไกล

สีหน้าสวี่ชิงเป็นปกติ เดิมทีเขาคิดจะอาศัยวิธีการพูดนี้ ลองถามพวกข้อมูลที่ตนต้องการ แต่อีกฝ่ายระวังตัวมากเกินไป

ทว่าสวี่ชิงก็ไม่ได้ติดใจอะไรเรื่องนี้ ในเมื่อถามไม่ได้ ก็หันหลังจะจากไป

แต่เดินได้ไม่กี่ก้าว แววตาสวี่ชิงก็มีแสงเย็นเยียบกะพริบวูบ เขาสัมผัสได้ว่าตอนนี้ในสายลมรอบด้านมีพิษบางส่วนเพิ่มมา

พิษนี้ซ่อนไว้มิดชิดยิ่ง ไร้สีไร้กลิ่น ลอยมาตามลม และทำให้ติดพิษโดยไม่รู้ตัว

“ส่วนประกอบค่อนข้างหยาบ หญ้าหลงลืม ใบร้อยแห้ง ศิลาเก้าคุณ…ทั้งยังผสมกับพวกดอกไม้แห้ง เป็นพิษผสม จะกระตุ้นให้กำเริบต้องใช้พิษอีกชนิดเหนี่ยวนำ”

สวี่ชิงสูดดมหนึ่งครั้ง เดินหน้าต่อไปด้วยใบหน้าเรียบเฉย

จนผ่านไปเกือบหนึ่งก้านธูป ด้านหลังของเขาก็มีเสียงหวีดหวิวดงัมา สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ หันหน้ามองไป

ผู้บำเพ็ญตาเดียวคนนั้นย้อนกลับมา ตอนที่ห่างกับสวี่ชิงเกือบสิบจั้ง ดวงตาก็ฉายแววประหลาดใจออกมา พิจารณาสวี่ชิง ทำจมูกดมฟุดฟิด

“ร่างเจ้าผิดปกติ หอมเกินมาก”

พูดพลาง สายตาของผู้บำเพ็ญตาเดียวก็จ้องไปที่คอของสวี่ชิง ดวงตาเปล่งประกายหม่น ยกนิ้วขึ้นมา

“ของสิ่งนั้นของเจ้าน่าอร่อยเสียจริง ส่งมันมาให้ข้าสิ แล้วข้าจะบอกคำตอบที่เจ้าต้องการ”

หลิงเอ๋อร์ตัวสั่น

ตำแหน่งที่ผู้บำเพ็ญตาเดียวผู้นี้มอง คือจุดที่นางอยู่มิมีผิดเพี้ยน

สัมผัสได้ว่าหลิงเอ๋อร์กำลังตัวสั่น สายตาสวี่ชิงก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา สังเกตถึงนิ้วที่อีกฝ่ายชี้ขึ้น พิษรอบๆ ปกคลุมร่างตัวเองในพริบตา ท่าท่างคล้ายจะปะทุ จึงมองผู้บำเพ็ญตาเดียวผู้นั้นอย่างราบเรียบ

ผู้บำเพ็ญตาเดียวรู้สึกหนักอึ้ง พิษรอบๆ เป็นสิ่งที่เขาปล่อยเอาไว้ ก่อนหน้านี้เขาสังเกตเห็นของที่อยู่บนคออีกฝ่ายแล้ว คิดว่าเป็นสมบัติล้ำค่า

ทว่าพลังต่อสู้ของคนตรงหน้า ทำให้รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย จึงแอบวางพิษไว้

เมื่อกลับมาตอนนี้ ก็คิดว่าน่าจะติดพิษไปพอสมควรแล้ว พร้อมปะทุ แต่ตอนนี้ตนกระจายของกระตุ้นพิษไปแล้วแท้ๆ ทว่าอีกฝ่ายกลับยังดูปกติดี

ภาพนี้ ทำให้ผู้บำเพ็ญสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล ดวงตาจึงล่อกแล่ก ถอยหลังไปสองสามก้าว เอ่ยเสียงเรียบ

“ดูจากท่าทางของเจ้า ของสิ่งนี้น่าจะสำคัญกับเจ้ามากสินะ ช่างเถอะ ชีวิตนี้ข้าไม่เคยแย่งของรักของใครมาก่อน แต่ถ้าเจ้าอยากได้คำตอบ ก็ต้องแลกเปลี่ยนด้วยสิ่งของที่มีมูลค่าสักเล็กน้อย”

สวี่ชิงพยักหน้า เดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง พลังบำเพ็ญในร่างกายระเบิดออกมา ปราณก่อกำเนิดสองทัณฑ์ทั้งสิบสามระเบิดพลังต่อสู้สามสิบเก้าปราณออกมาในพริบตา

พลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งนี้ สำหรับผู้บำเพ็ญที่ยกระดับพลังจากหกวังสวรรค์เป็นปราณก่อกำเนิด ต่อให้ปราณก่อกำเนิดทั้งหกของพวกเขาผ่านทัณฑ์ลิขิตสวรรค์มาห้าครั้งจนถึงระดับบริบูรณ์ ก็ยังเทียบไม่ได้

ความทรงพลานุภาพของมันโหมลมพายุที่น่าครั่นคร้ามขึ้นรอบด้าน บดขยี้ทั่วสารทิศ สั่นสะเทือนไปทั้งแดนดิน

ผู้บำเพ็ญตาเดียวผู้นั้นสมองอื้ออึง ลมหายใจหอบถี่ ร้องเสียงหลง

“เจ้าๆๆ!

เขาสัมผัสถึงสองทัณฑ์ของสวี่ชิงได้ อีกทั้งปราณก่อกำเนิดยังมากกว่าตน แต่ตัวเขามีสามทัณฑ์ แม้สวี่ชิงจะน่าครั่นคร้าม ทว่าไม่ได้ตื่นกลัว

เพียงแต่การที่พิษไม่กำเริบ ทำให้ใจเขาไม่สงบเอาเสียเลย

จนเสี้ยวขณะที่สวี่ชิงระเบิดพลังออกมา กลิ่นอายที่น่าหวาดหวั่นนั่นก็ประหนึ่งถูกกระบองฟาดเข้าที่ศีรษะ ทำให้เขาสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ดวงตาฉายแววเหลือเชื่อออกมา

กระทั่งรู้สึกวิงเวียนรวมถึงรู้สึกเหมือนอยู่ในฝันด้วย ความจริงเขาในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญไร้สังกัด ชีวิตนี้จึงไม่เคยเห็นสองทัณฑ์ที่น่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้มาก่อน

‘นี่มันสัตว์ประหลาดแล้ว เขาต้องไม่ใช่สองทัณฑ์แน่ เขากำลังล่อเหยื่อ!!’

ผู้บำเพ็ญตาเดียวพึมพำในใจ ถอยหลังอย่างบ้าคลั่ง สิ่งที่คิดทั้งหมดคือจะรอดออกไปอย่างไร ตอนที่ถอยหลังอย่างรวดเร็วจึงโบกมือสำแดงวิชาออกมามากมาย จำแลงหนอนสีน้ำตาลออกมาตัวแล้วตัวเล่า

บนตัวหนอนเหล่านี้มีปีกงอกออกมา จำนวนนับหมื่น พุ่งออกไปปกคลุมฟ้าดิน แต่ละตัวพ่นใยออกมา ถักทอตาข่ายใหญ่ชั้นแล้วชั้นเล่า ครอบคลุมไปทางสวี่ชิง

ยิ่งมีอาวุธเวทพุ่งหวีดหวิวออกไปอันแล้วอันเล่า ในนี้มีสิ่งที่กระจายกลายเป็นเกราะคุ้มกันทั่วร่างผู้บำเพ็ญตาเดียว มีทั้งเป็นกระบี่เหินหาว ทั้งแจกัน ยิ่งมีหอกยาว

มากมายก่ายกอง จำนวนมหาศาล อีกทั้งไม่ได้เป็นชุด เห็นได้ชัดว่าได้มาจากหลายคน เวลานี้เมื่อสำแดงออกมาพร้อมกัน พลานุภาพกลับแสนธรรมดา ทว่าเมื่อรวมกันก็ยังทรงพลังอยู่บ้าง

ขณะเดียวกันยังโยนขวดยาลูกกลอนออกมามากมาย เมื่อระเบิด ผงพิษเข้มข้นด้านในก็ฟุ้งออกมา กัดกร่อนทุกสรรพสิ่ง สกัดกั้นสวี่ชิง

หินภูเขาบนพื้นก็เกิดคลื่นวนจากการที่คนผู้นี้ยกเท้าเหยียบย่าง กลายเป็นโคลนตม เถาวัลย์สีน้ำตาลหลายเส้นก็โผล่ขึ้นมา ไปเกี่ยวรัดสวี่ชิง

สำแดงวิธีการต่างๆ ออกมาในพริบตา อานุภาพไม่ธรรมดา

แต่ยังไม่พอ

พริบตานั้น สวี่ชิงก็ประหนึ่งอสูรร้ายน้าครั่นคร้ามตัวหนึ่ง มาพร้อมกับพายุคลั่งไร้สิ้นสุด ระเบิดความว่างเปล่า พลังทำลายล้างพุ่งไปอย่างรวดเร็ว

เถาวัลย์ใต้เท้าไม่ทันได้เข้าใกล้สวี่ชิง ก็ทยอยสั่นสะเทือนแตกสลายไปเอง ท่ามกลางคลื่นพลังที่น่าครั่นคร้ามทั่วร่างสวี่ชิง พวกมันไม่สามารถคงอยู่ได้แม้แต่น้อย

และหนอนที่พ่นตาข่ายยักษ์ออกมาก็เช่นกัน เมื่อเงาวิหคทองที่เกิดจากกลิ่นอายของสวี่ชิงพุ่งไปก็ลุกไหม้

เปลวเพลิงหอบม้วน ปกคลุมหนอนทั้งหมด

หนอนสีน้ำตาลเหล่านั้นส่งเสียงกรีดร้อง สลายไปกลายเป็นฝนเพลิงโปรยปรายลงพื้นดินทั้งหมด พร้อมกับผู้บำเพ็ญตาเดียวคนนั้นที่กระอักเลือดออกมาเช่นกัน สีหน้าหวาดผวาถึงขีดสุด

“ผู้อาวุโสข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว!”

เขากรีดร้องพลางถอยหนีอย่างร้อนรน ในใจปั่นป่วนกลายเป็นคลื่นยักษ์ลูกมหึมากระหน่ำซัด ท่วมจิตใจของเขาจนจม

เขาไม่นึกไม่ฝันว่าออกมาข้างนอกครั้งหนึ่ง ตนจะมาพบกับสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวเช่นนี้

และทั้งๆ ที่อีกฝ่ายแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ก่อนหน้านี้กลับอ่อนน้อมถ่อมตนถึงเพียงนั้น สร้างความเข้าใจผิดให้กับตนเอง และสิ่งที่เกินไปก็คือการอำพรางพลังบำเพ็ญไว้ ทำให้เขารู้สึกสิ้นหวัง

ขณะที่กรีดร้อง อาวุธเวทที่เขาล้วงออกมามากมาย ก็กำลังแตกหักครืนครัน ส่วนผงพิษ…

สำหรับสวี่ชิงแล้ว ระดับการสร้างพิษของอีกฝ่ายต่ำเกินไป

การใช้งานและความเข้าใจเรื่องพิษของทั้งสองคน ราวกับศิษย์ที่เพิ่งเข้าสำนักไม่นานกับปรมาจารย์

สวี่ชิงไม่สนใจ ทั่วร่างโหมพายุครืนครันมา เขายกมือขวาขึ้นโดยไม่สนใจการหลบหลีกและการป้องกันของเขา ขณะที่ค่ายกลพังทลายอาวุธเวทแตกสลาย ก็คว้าไปที่คอของผู้บำเพ็ญตาเดียว

ผู้บำเพ็ญตาเดียวร้องคำราม ปราณก่อกำเนิดสามทัณฑ์ทั้งเจ็ดในร่างกายปะทุขึ้นมา เคลื่อนร่างกายย้ายไปด้านหลังในพริบตา จะหนีจากสวี่ชิง

แต่ตอนนี้เอง ร่างมารฟ้าจำนวนมหาศาลก็ปรากฏขึ้นกะทันหันในความว่างเปล่ารอบๆ กลายเป็นคลื่นวน บิดเบี้ยวมิติของที่นี่ ทำให้การเคลื่อนไหวในพริบตาของผู้บำเพ็ญตาเดียวถูกรบกวนจนช้าลงเล็กน้อย

ความเชื่องช้านี้ ก็คือความเป็นความตาย

ชั่วพริบตา ด้วยความเร็วขีดสุดของสวี่ชิง มือขวาของเขาคว้าคอผู้บำเพ็ญตาเดียวไว้ กดลงไปที่พื้นอย่างแรงโดยไม่หยุดชะงัก

เสียงครืนครันกึกก้อง หินภูเขาแตกกระจาย กลายเป็นหลุมขนาดใหญ่หลุมหนึ่ง

ร่างกายของผู้บำเพ็ญตาเดียวราวกับเป็นตุ๊กตาผ้า ถูกสวี่ชิงกดไว้ ไร้ซึ่งกำลังต่อต้าน ดวงตาฉายแววตื่นกลัวอย่างรุนแรง รีบเอ่ยขึ้นว่า

“ผู้อาวุโสโปรดระงับโทสะด้วย! ข้าผิดไปแล้ว! ข้ารู้สิ่งที่ผู้อาวุโสถามก่อนหน้านี้ ข้ารู้ ข้ารู้ทั้งหมด!”

สีหน้าสวี่ชิงเย็นชา เขาเป็นคนที่ไม่ระรานใครก่อนมาตลอด ตอนนี้ขณะที่ดวงตาเปล่งจิตสังหารวูบวาบ ผู้บำเพ็ญตาเดียวรู้สึกตกตะลึงจนแทบจะแตกสลาย เอ่ยอย่างรวดเร็ว

“ผู้อาวุโสท่านถามถึงตำหนักขบถจันทร์ใช่หรือไม่

สวี่ชิงมองผู้บำเพ็ญตาเดียวอย่างเย็นชา

ผู้บำเพ็ญใจสั่นสะท้าน อันที่จริงก่อนหน้านี้ตอนที่เห็นสวี่ชิงครั้งแรก ก็มองออกแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่มาจากด้านนอก และคนที่มาจากภายนอก ปกติส่วนใหญ่ก็มาเพื่อเข้าไปในตำหนักขบถจันทร์

แน่นอนว่ามีข้อยกเว้นอยู่บ้าง แต่ด้วยวิกฤตความเป็นความตายตอนนี้ เขาไม่สนอะไรอีกแล้ว พยายามอย่างเต็มที่ด้วยความหวังอันริบหรี่ บอกรหัสลับออกมา จากนั้นก็สังเกตสายตาสวี่ชิงอย่างรวดเร็ว แต่น่าเสียดาย มองอะไรไม่ออกมากนัก

แต่เขาสังเกตเห็นจุดหนึ่ง นั่นคืออีกฝ่ายยังไม่ได้เล่นงานตนเองจนตายทันที จึงรีบเอ่ยว่า

“ผู้อาวุโส ข้าคือคนจากตำหนักขบถจันทร์ พวกเราคนกันเองทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าท่านอยากเข้าไปในตำหนักขบถจันทร์หรือ ข้าช่วยได้นะขอรับ”

สายตาสวี่ชิงยังคงเย็นชา หากตำหนักขบถจันทร์มีแนวคิดเช่นนี้ เขาก็คงจะไม่อยากเข้าร่วมถึงเพียงนั้นแล้ว

“ขอแค่ผู้อาวุโสอยู่ในอาณาเขตเทือกเขาทนทุกข์ หยิบกระจกขึ้นมาชิ้นหนึ่ง กระจกอะไรก็ได้ ท่านแค่พูดรหัสลับของตำหนักขบถจันทร์กับกระจก ก็สามารถเริ่มการทดสอบของตำหนักขบถจันทร์ได้แล้ว

“และเมื่อผ่านการทดสอบ ไม่ว่าผู้อาวุโสจะอยู่ในแห่งหนใด ขอแค่มีกระจก ท่านก็สามารถเข้าไปในตำหนักขบถจันทร์ได้ในพริบตา!”

ผู้บำเพ็ญตาเดียวเอ่ยเสียงสั่น แต่หลังจากกล่าวจบเขาก็ตกตะลึง สัมผัสได้ว่าคำพูดของตนมีช่องโหว่ แต่ก็ทำได้แค่กัดฟันรอว่าสวี่ชิงจะไม่พบจุดนั้น

“หากเป็นเช่นนั้นจริง เมื่อครู่ทำไมเจ้าถึงไม่หลบหนี ไม่หยิบกระจกออกมาเล่า” สวี่ชิงเอ่ยราบเรียบ

ตาเดียวยิ้มขืน ยิ่งหวาดกลัวคนตรงหน้าขึ้นไปอีก นี่ก็คือช่องโหว่หนึ่งในคำพูดที่ร้อนรนของเขาเมื่อครู่นี้

“ผู้อาวุโส ข้า…ข้ายังอยู่ในช่วงทดสอบ ยังไม่ผ่านเลยขอรับ…”

พูดจบ เขาก็รู้ว่าจิตสังหารคนตรงหน้าไม่ได้ลดลงเลย ดังนั้นเพื่อรักษาชีวิต เขาจึงพูดออกมาอย่างร้อยรนว่า

“ผู้อาวุโส วิธีทั้งหมดที่ข้าบอกล้วนเป็นความจริงนะขอรับ ก่อนหน้านี้เป็นเพราะข้าตามืดบอด ข้าผิดไปแล้วผู้อาวุโส!”

ผู้บำเพ็ญตาเดียวก็เป็นคนโหดเหี้ยม ขณะที่ขอโทษ ร่างกายก็มีปราณก่อกำเนิดปราณหนึ่งลอยออกมาจากวิญญาณสวรรค์ของเขา สลายไปต่อหน้าต่อตาสวี่ชิง

“ข้าทำลายปราณก่อกำเนิดดวงหนึ่งเป็นการไถ่โทษผู้อาวุโสนะขอรับ!”

ผู้บำเพ็ญตาเดียวสั่นสะท้าน เลือดสดไหลออกมาจากมุมปาก กลิ่นอายเบาบางลงไม่น้อย

สวี่ชิงขมวดคิ้ว เขารู้สึกเสียดาย เอ่ยเสียงเย็นชาว่า

“ในเมื่อวิธีการง่ายๆ เช่นนี้ก็สามารถติดต่อกับตำหนักขบถจันทร์ได้ แล้วทำไมตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดจึงไม่ผนึกที่นี่เล่า”

ผู้บำเพ็ญตาเดียวตกตะลึง เรื่องนี้ถือเป็นความรู้ทั่วไป แต่อีกฝ่ายกลับไม่รู้ ทว่าเขาเองก็ไม่กล้าคิดมากนัก รีบร้อนตอบมาว่า

“ผู้อาวุโส ทางเข้าตำหนักขบถจันทร์ ทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่บูชาจันทรามีทั้งหมดเก้าแห่ง ที่นี่เป็นแค่หนึ่งในนั้น และแต่ก่อนตำหนักพระจันทร์สีชาดก็เคยผนึกที่อื่นไปแล้ว เพียงแต่ผนึก ทางเข้าก็จะหายไปปรากฏที่อื่นแทน

“ทางเข้าตำหนักขบถจันทร์เป็นแบบสุ่ม จึงป้องกันไม่ได้ สู้ปล่อยให้มันมั่นคงจะจับตาดูได้ง่ายกว่า”

ขณะที่ผู้บำเพ็ญตาเดียวพูดก็มองสวี่ชิงอย่างระมัดระวัง สีหน้าเจือแววประจบเอาใจ ตอนนี้สมองเอาแต่คิดว่าจะเอาตัวรอดอย่างไรเต็มไปหมด ดังนั้นหลังจากที่สัมผัสได้ว่าจิตสังหารสวี่ชิงยังคงอยู่ เขาจึงกัดฟันกรอด ปล่อยปราณก่อกำเนิดออกมา

ระเบิดต่อหน้าต่อตาสวี่ชิงอีกครั้ง

“ผู้อาวุโส…ข้าทำลายให้อีกปราณ เพื่อเป็นการขอโทษท่าน…ข้าผิดไปแล้วจริงๆ”

ผู้บำเพ็ญตาเดียวกรีดร้องโอดครวญในใจ ใบหน้าขาวซีด การทำลายปราณก่อกำเนิดต่อเนื่องสองปราณสำหรับเขาพอๆ กับการได้รับบาดเจ็บสาหัส กลิ่นอายเบาบางลงถึงขีดสุด เริ่มหายใจรวยริน แต่เห็นได้ชัดว่ายังพยายามแสดงความจริงใจของตนออกมา

ทำให้หลิงเอ๋อร์ที่เห็นภาพนี้ก็ใจอ่อนยวบ เอ่ยกับสวี่ชิงเสียงเบา

“พี่สวี่ชิง คนผู้นี้ก็ค่อนข้างน่าสงสารนะเจ้าคะ เช่นนั้นท่านนำปราณก่อกำเนิดของเขาออกมาอีกสองสามปราณดีหรือไม่ ดูว่าเขาเสแสร้งหรือเปล่า หากไม่ใช่ ก็ให้เขาตายอย่างสงบเถอะ”

เมื่อสวี่ชิงได้ยินก็เห็นด้วย สำหรับคนที่ลงมือกับตน เว้นเสียแต่เขาจะทำไม่ได้ เช่นนั้นเขาก็ไม่ได้มีนิสัยปล่อยให้รอด

ไม่รอให้ผู้บำเพ็ญตาเดียวพูดต่อ เขาก็ยกมือขึ้นแล้วพลันแปลงเป็นสภาวะพรางมารยา ทะลวงเข้าไปในร่างกายคนผู้นี้ ควักปราณก่อกำเนิดห้าปราณที่เหลือของเขาออกมาบดขยี้ทันที

ขณะที่ครืนครัน ปราณก่อกำเนิดห้าปราณแหลกสลาย อายุขัยสวรรค์ผสานเข้าไปในร่างกายสวี่ชิง ปริมาณน้อยมาก ทว่าเมื่อกลายเป็นร่างมารฟ้า กลับมีปราณพิฆาตเข้มข้นกว่าแต่ก่อน

เสียงกรีดร้องที่ผู้บำเพ็ญตาเดียวคนนั้นเปล่งออกมา หลังจากสูญเสียปราณก่อกำเนิดทั้งหมดไป ทั่วร่างเขาก็ผ่อนลมหายใจออกมาได้อย่างเดียวแต่สูดรับไม่ได้แล้ว

เห็นเป็นเช่นนี้ สวี่ชิงยืนยันยืนยันความจริงใจของเขาได้ จึงจัดการให้เขาจากไปอย่างสงบ

หนึ่งดาบปาดลำคอ

โบกมือทำลายกายเนื้อของเขาจนกลายเป็นฝุ่นผง

อีกฝ่ายดูเหมือนเผ่ามนุษย์ แต่ตอนที่สวี่ชิงลงมือก็สังเกตเห็นว่า คนผู้นี้คือต่างเผ่า แต่ความจริงไม่ว่าจะเผ่าอะไร ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องว่าจะเป็นหรือตาย

หากสวี่ชิงพลังบำเพ็ญอ่อนด้อย เช่นนั้นคนที่ต้องกรีดร้องในตอนนี้ก็คือเขา หลิงเอ๋อร์ก็จะถูกแย่งไป สถานการณ์หลังจากนั้นคงจะยิ่งน่าเวทนา

เมื่อจัดการเสร็จ สวี่ชิงก็หยิบถุงเก็บของขึ้นมา ลุกขึ้นไหววูบ ออกจากที่นี่

ขณะเดียวกัน ในถ้ำหินพำนักแห่งหนึ่งที่ห่างจากจุดที่ทั้งสองคนต่อสู้กันหลายร้อยลี้ มีชายชราคนหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น

เสื้อผ้าของชายชราคนนี้ปกคลุมทั้งร่างกาย แต่ใบหน้าที่เผยออกมาเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น

ตอนนี้เขาลืมตาขึ้นมาพลันกระอักเลือดออกมาคำโต ขณะที่โซซัดโซเซก็จับก้อนหินข้างกายเอาไว้ประคองตัว ระหว่างที่หน้าอกปั่นป่วนก็กระอักเลือดออกมาอีกครั้งอย่างอดไม่อยู่

หลังจากกระอักออกมาเจ็ดแปดครั้ง ร่างกายของเขาก็สั่นเทา ดวงตาฉายแววหวาดกลัวรุนแรงถึงขีดสุดออกมา หันหน้ามองออกไปไกลๆ อย่างรวดเร็ว

“ถือว่าพ้นเคราะห์แล้ว แต่สิ่งที่ต้องแลกก็มหาศาลเหลือเกิน…ร่างบังคับนั่นของข้า…”

ชายชราขมขื่น เขาในฐานะเผ่าฉุดดึง มีพลังพรสวรรค์ สามารถนำศัตรูที่สังหารจนตายหลอมเป็นศพแห้ง แล้วใส่เลือดเนื้อตนเองเข้าไป จากนั้นก็หลอมให้กลายเป็นร่างฉุดดึงที่มีพิเศษเฉพาะเผ่าของพวกเขาร่างหนึ่งได้

ร่างฉุดดึงนี้คล้ายๆ กับร่างแยก แต่คล่องแคล่วกว่ามาก ทั้งยังจับพิรุธได้ยาก

ปกติที่เขาใช้วิธีการนี้ ก็ได้รับผลประโยชน์มาไม่น้อย

นี่ก็เป็นสิ่งที่เขาพึ่งพา ในอดีตยามเจอกับผู้แข็งแกร่งก็มักจะเอาตัวรอดเช่นนี้ แต่การพลีชีพร่างฉุดดึงในครั้งนี้ เป็นการสละครั้งสำคัญของเขา เชื่อมโยงกับจิตใจ การตายของร่างฉุดดึงทำให้เขาบาดเจ็บอย่างมาก

ตอนนี้อวัยวะภายในทั้งหมดแหลกเละป่นปี้ อาการสาหัสยิ่ง

นอกจากนี้ เขารู้สึกว่าคนที่เจอวันนี้แตกต่างกับผู้แข็งแกร่งที่เคยเจอมาในอดีต รู้สึกหวาดหวั่นรุนแรงอย่างยิ่ง

ชายชราใจสั่นสะท้าน กัดฟันไหววูบ ฝืนความเจ็บปวดทะยานออกไป ไม่กล้าหยุดลงแม้แต่น้อย หลบหนีไปให้ไกล ยิ่งใช้วิธีอำพรางต่างๆ นานา

หลังจากที่เขาหนีมาหนึ่งชั่วยาม ด้านนอกถ้ำแห่งนี้ ร่างของสวี่ชิงก็มาถึงในพริบตา เจ้าเงาเข้าไปสำรวจก่อน หลังจากตรวจสอบแล้ว สวี่ชิงก็เดินเข้าไป จ้องเลือดบนพื้นเขม็ง แค่นเสียงเย็นชาออกมา

ก่อนหน้านี้หลังจากที่เขาสังหารแล้วจากไป ก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล อายุขัยสวรรค์น้อยในปราณก่อกำเนิดของอีกฝ่ายน้อยเกินไป กลายเป็นร่างมารฟ้าปราณพิฆาตก็เข้มข้นเกิน

สิ่งนี้ทำให้เขานึกถึงเรื่องที่อีกฝ่ายใช้อาวุธเวทมากมายรวมถึงวิธีการที่ทำให้คนกลายเป็นศพแห้งและผนึกปราณก่อกำเนิดไว้ สวี่ชิงจึงสงสัยว่าร่างที่ตนเองสังหารไป น่าจะไม่ใช่ร่างจริง

ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เผ่าเดียวกัน พรสวรรค์และความแปลกประหลาดก็เช่นนี้ ไม่ว่าจะเรื่องใดก็เกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น สวี่ชิงจึงแผ่สัมผัสรับรู้ตลอดทาง ใช้ร่างมารฟ้าที่แปรมาจากปราณก่อกำเนิดของอีกฝ่าย ถึงค้นหาที่นี่จนพบ

‘หนีไวเสียเหลือเกิน’

สวี่ชิงเดินออกมาจากถ้ำ กวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างเย็นชา เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายอำพรางร่องรอยหลายครั้ง โดยเฉพาะตอนที่สายลมสีดำพัดหวิวทำให้ทุกอย่างเลือนรางไปหมด ร่างมารฟ้าก็สัมผัสไม่ได้อีก

‘นับว่าเขาโชคดีไป ครั้งหน้าต้องสังหารให้สิ้น’ สวี่ชิงหันหลัง ทะยานไปไกล หลังจากออกมาเขาก็หาภูเขาที่ห่างไกลแห่งหนึ่ง เมื่อเห็นว่ารอบๆ ไม่มีอุปสรรค สายตาจึงฉายแววครุ่นคิดออกมา

เขากำลังพิจารณาว่าคำพูดของอีกฝ่ายเป็นความจริงมากน้อยเพียงใด มองจากเบาะแส ตอนนั้นอีกฝ่ายเลือกรักษาชีวิตรวมถึงไม่ยอมให้ตัวตนแท้จริงถูกเปิดเผยเป็นปัจจัยแรก

ปกติด้วยสถานการณ์เช่นนี้ จะเลือกพูดความจริง แล้วปิดบังความลับไว้ หากเป็นเรื่องโกหก เมื่อถูกสงสัย ก็จะทำให้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นน่าสงสัยไปหมด

‘จึงเป็นไปได้มากว่าจะเป็นความจริง ลองทดสอบดูได้!’

ดวงตาสวี่ชิงฉายแววไม่ลังเล หยิบกระจกออกมาบานหนึ่ง

หลังจากสังหารเผ่าเงาคันฉ่องไป เขาก็เก็บกระจกของผู้บำเพ็ญที่สังหารไปบางส่วนไว้กับตัว เดิมเตรียมจะเอาไว้ศึกษ ตอนนี้หยิบออกมาชิ้นหนึ่ง ทำตามวิธีการที่ผู้บำเพ็ญตาเดียวกล่าวไว้ เริ่มทดลอง

“จันทร์สีชาดหาใช่สิ่งนิจนิรันดร์ ความหวังนั้นคงอยู่ตลอดกาล!”

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version