Skip to content

Outside Of Time 581

บทที่ 581 ต้นแบบร้านยาที่ยอดเยี่ยมสุดในอนาคตของเซ่นจันทรา

บนทะเลทรายผมคราม สายลมหอบม้วนหวีดหวิวในผืนพสุธา ทรายสีดำปกคลุมประหนึ่งมหาสมุทร ทุกอย่างนี้ราวกับคงอยู่ตลอดกาล ฟ้าดินไม่หยุดนิ่ง ลมทรายไม่สลายไป

มีเพียงด้านบนตัวภูเขาที่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ลมทรายถึงได้บางเบามาก จึงทำให้เห็นรอบด้านได้ค่อนข้างชัด

มองไกลๆ ยอดเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่ในทะเลทรายผมคราม ราวกับเป็นดินแดนนอกพิภพแห่งแล้วแห่งเล่า

โดยเฉพาะเทือกเขาทนทุกข์ที่ทอดยาวอย่างไม่รู้สิ้นสุด ลมทรายที่นี่จึงเบาบางยิ่ง

แต่เสียงอื้ออึงที่มาจากสายลมยังดังมาจากรอบด้านอย่างต่อเนื่อง ราวกับมีปีศาจสัตว์ประหลาดนับไม่ถ้วนซ่อนตัวอยู่ในลมทราย ส่งเสียงคำรามไม่ยอมถูกฝังในที่แห่งนี้ให้โลกภายนอกได้รับรู้ และดังเข้ามาในหูของสวี่ชิงเช่นกัน

ภูเขาห่างไกลที่สวี่ชิงเลือกอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาทนทุกข์ ตำแหน่งค่อนข้างเร้นลับ และตอนที่เขาใช้กระจก เจ้าเงาก็แผ่ขยายมาป้องกันรอบๆ กายเขา

ความหลักแหลมนี้ ทำให้บรรพจารย์สำนักวัชระที่เห็นรู้สึกหวาดระแวงอย่างรุนแรง จึงลอยตามออกมา คุ้มกันข้างๆ ทำท่าปกป้องเจ้านายอย่างภักดี

ราวกับว่าขอแค่มีอะไรผิดปกติเพียงเล็กน้อย มันก็จะพุ่งออกไปอย่างไม่ลังเล ต่อให้ตนเองต้องร่างสลายเป็นผุยผง ก็จะพิสูจน์ความภักดีของตนให้ได้

หลิงเอ๋อร์ก็โผล่ศีรษะออกมาเช่นกัน ดวงตาเปล่งแสงสีขาว ระมัดระวังรอบด้าน

ด้วยการคุ้มครองของพวกเขา สวี่ชิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่สีหน้าก็ค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้น เขาสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่แฝงเจตจำนงเอาไว้แผ่ซ่านออกมาจากในกระจก เป็นความรู้สึกที่เหมือนกับเงยหน้ามองท้องฟ้าดารา

ยิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด

ติงหนึ่งสามสองในประสาทสัมผัสเทพก็สั่นสะเทือน นิ้วเทพเจ้าลืมตาขึ้นทันที ดวงตาฉายแววสับสนประหลาดใจ จากนั้นก็พรางกายอย่างรวดเร็ว

และเศษกระจกชิ้นนี้ก็รวมพลังในพริบตานี้ ลอยขึ้นมาอยู่เบื้องหน้าเขาเอง เปล่งแสงวูบวาบเล็กน้อย

ขณะเดียวกัน เสียงที่คล้ายจะดังมาจากความว่างเปล่าอันไกลโพ้นก็เรียบเรียงเป็นคำพูดตามการสะท้อนก้องของเจตจำนงนี้ แทนที่เสียงหวีดหวิวของสายลม กึกก้องในทะเลความรู้สึกของสวี่ชิง

“ไท่ซ่างผู้อยู่ทุกหนแห่ง รับการเปลี่ยนแปลงไม่รู้จบ ตรวจสอบสยบสิ่งชั่วร้าย ปกป้องกายคุ้มครองชีวา”

“สติปัญญาแจ่มใส แก่นแท้สงบร่มเย็น สามวิญญาณคงอยู่ตลอดกาล จิตวิญญาณมิวางวาย”

เสียงนี้ให้รู้สึกคล้ายล่องลอยไร้ซึ่งตัวตน แยกไม่ออกว่าชายหรือหญิง ราวกับเกิดขึ้นจากคำพูดแห่งสรรพชีวิตรวมกัน แต่ตอนที่ระลอกคลื่นในใจสวี่ชิงกระเพื่อมขึ้นลง กลับทำให้เขาสงบร่มเย็น

ราวกับว่าในคำกล่าวนี้ แฝงพลังชำระล้างจิตใจเอาไว้

ชั่วขณะนี้สวี่ชิงรู้สึกสงบลงอย่างยิ่ง เงียบสงบว่างเปล่า ทะเลความรู้สึกสงบนิ่ง

ราวกับผ่านไปนานแสนนาน และราวกับเพียงพริบตาเดียว เสียงเลื่อนลอยนั่นยังสะท้อนก้องไม่หยุด ทั้งๆ ที่ดังมายังคงเป็นคำกล่าวนี้ แต่ในสัมผัสรับรู้ของสวี่ชิง กลับความหมายเป็นอื่นไปเสียแล้ว

เพราะสองคำในนี้ เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน

“…ตรวจสอบ…แก่น…”

สวี่ชิงไม่วู่วาม สัมผัสอย่างละเอียดอีกครั้ง

ลางสังหรณ์เขาค่อยๆ ชัดเจนขึ้น เข้าใจว่าขอแค่ตนเองจดจ่อกับสองคำนี้ เช่นนั่นก็จะเริ่มการทดสอบที่ไม่รู้จักนี้ได้

สวี่ชิงครุ่นคิด ไม่ทำอะไรต่อ

ด้านหนึ่งคือสภาพแวดล้อมที่นี่ไม่เหมาะที่จะดำเนินการทันที อีกด้านคือสวี่ชิงยังไม่ค่อยเข้าใจรายละเอียดการทดสอบนี้ทั้งหมด

ดังนั้นเขาจึงยกมือขึ้นคว้ากระจกตรงหน้า ตัดขาดการเชื่อมต่อ

พริบตาต่อมา ความรู้สึกสงบก็หายไป สวี่ชิงเงยหน้าขึ้น เสียงลมอื้ออึงจากนอกเทือกเขา ดังเข้ามาในหูอีกครั้ง

หลิงเอ๋อร์รีบหันหน้ามามองสวี่ชิง

“พี่สวี่ชิง เป็นอย่างไรบ้าง สำเร็จหรือไม่เจ้าคะ”

สวี่ชิงยกมือลูบหัวหลิงเอ๋อร์เบาๆ ดวงตาฉายแววครุ่นคิด จากนั้นก็เอ่ยราบเรียบ

“วิธีการน่าจะถูกแล้ว แต่ยังต้องใช้เวลาพิสูจน์อีกเล็กน้อย”

หลิงเอ๋อร์วางใจ เมื่อสังเกตเห็นว่าสวี่ชิงกำลังใครครวญจึงไม่รบกวน กลับเข้าไปอยู่ในคอเสื้อของสวี่ชิงอย่างเชื่อฟัง หาพื้นที่เหมาะๆ ขดตัวเป็นก้อน ได้สัมผัสกับอุณหภูมิร่างกายของสวี่ชิง ใจของนางก็สงบลงอย่างมาก

ราวกับว่าสำหรับนางแล้ว อุณหภูมิของสวี่ชิง คือที่มาของความสงบสุขทั้งหมด

ครู่ต่อมา ดวงตาสวี่ชิงฉายแววแน่วแน่ เขาเตรียมจะหาที่พักอาศัยในเทือกเขาทนทุกข์นี้ สืบค้นการทดสอบของกระจกพลางศึกษเรื่องคำสาปไปด้วย

หากลำพังแค่ตนคนเดียว เขาคงจะเลือกเปิดถ้ำแล้วเข้าพัก ตัดขาดจากโลกภายนอก

แต่หากมีหลิงเอ๋อร์อยู่ด้วย…สวี่ชิงคิดๆ ก็ตัดสินใจจะไปหาเมืองที่อยู่ใกล้ๆ นี้แล้วพักดีกว่า เขาไม่อยากให้หลิงเอ๋อร์ต้องมาเจอกับความโดดเดี่ยวจากการตัดขาดจากโลกระหว่างที่อยู่กับตน

ด้วยความคิดนี้ สวี่ชิงจึงออกจากภูเขา ตรงไปด้านในเทือกเขาทนทุกข์ สุดท้ายเขาก็เลือกเมืองดินที่ค่อนข้างเล็กรอบนอกบนเขาแห่งหนึ่ง

เมืองดินที่สร้างบนไหล่เขานี้ไม่มีชื่อ มีประชากรอยู่เพียงหลักพัน สิ่งปลูกสร้างในนี้ส่วนใหญ่สร้างมาจากดินทราย มองรวมๆ ไม่ค่อยมีสีสัน จืดชืดอย่างยิ่ง

ที่นี่มีคนในพื้นที่อาศัยเป็นหลัก ที่เหลือจะเป็นคนภายนอกที่มาด้วยเหตุผลต่างๆ หลายเผ่าพันธุ์

แม้ในเมืองจะมีร้านค้าบ้าง แต่ก็ทำมาค้าขายปกติ ลูกค้าค่อนข้างน้อย

มองไปมีบ้านเรือนราวสามส่วนที่ว่างเปล่า ไม่มีคนพักอาศัย

เห็นได้ชัดว่าคนในนั้นอาจจะจากไป หรืออาจจะตายไปแล้ว

ความเปล่าเปลี่ยวและความเงียบเหงา เป็นความรู้สึกแรกที่สวี่ชิงสัมผัสได้จากเมืองนี้

แต่เมื่อเทียบกับที่อื่น ความใจกว้างของเมืองเล็กๆ เมืองนี้มากกว่าเล็กน้อย แม้การมาถึงของสวี่ชิงจะเกิดความสนใจที่เป็นจิตปฏิปักษ์มากมาย แต่ก็ไม่มีใครเข้ามาขัดขวาง

สวี่ชิงที่เดินอยู่ในเมืองเล็กๆ ตอนนี้ ห่อหุ้มร่างกายในชุดคลุมเปิดเผยเพียงดวงตา สังเกตเห็นว่าในกลุ่มคนที่พักอาศัยในเมืองนี้ มีบางคนที่รูปร่างพิกลพิการ

ร่างกายของคนเหล่านี้ใหญ่โตอวบอ้วน เนื้อไขมันพอกเป็นชั้นๆ ไม่ว่าจะมือหรือว่าขาก็เป็นเช่นเดียวกัน ยังมีคนที่มีหลายแขน กระทั่งมีใบหน้าโผล่ออกมาจากชั้นไขมันในร่างกายบางส่วนด้วย

กระทั่งมีบางส่วนติดอยู่ใต้เท้า แผ่ขยายออกไปยาวกว่าครึ่งจั้ง เสื้อผ้าก็ปิดไม่มิด

คล้ายกับเป็นคนหลายคนรวมกันอยู่ในร่างเดียว หรือร่างกายอาจจะเกิดการกลายพันธุ์ และส่วนใหญ่สีหน้าด้านชา

แรกเริ่มเดิมทีสวี่ชิงคิดว่าเป็นต่างเผ่าที่ตนไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เมื่อมองนานๆ เขาก็พบว่ามันไม่ใช่เช่นนั้น

‘ความพิกลพิการของคนเหล่านี้ น่าจะเกิดขึ้นในภายหลัง’

สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด รู้สึกทะเลทรายผมครามแปลกประหลาดมากขึ้นเป็นเท่าทวี สุดท้ายเขาจึงเดินวนรอบเมือง หาบ้านที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ได้หลังหนึ่งแล้วเดินเข้าไป

ในบ้านเต็มไปด้วยฝุ่น บนพื้นมีเศษขวดแตกอยู่มากมาย รอบๆ มีชั้นวางล้มระเกะระกะ ท่าทางน่าจะเคยเป็นร้านขายยามาก่อน

มองสิ่งเหล่านี้ สวี่ชิงโบกมือจัดระเบียบ ส่วนหลิงเอ๋อร์ก็จำแลงกาย มองไปรอบๆ อย่างสงสัยใคร่รู้ ช่วยจัดของพลางส่งเสียงตื่นเต้นออกมา

“พี่สวี่ชิง ท่านจะเปิดร้านขายยาที่นี่หรือไม่เจ้าคะ”

สวี่ชิงได้ยินก็คิด พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เขาคิดถึงครั้งแรกที่เจอกับหลิงเอ๋อร์ อีกฝ่ายอยู่ที่ในโรงเตี๊ยมที่เปิดบนถนนทองผุดกับบิดาของนาง

สำหรับสวี่ชิง จะพักอาศัยก็ดี จะเปิดร้านขายยาก็ได้ ล้วนไม่ส่งผลกระทบอะไรทั้งสิ้น ในเมืองหลิงเอ๋อร์เสนอความคิดนี้ขึ้นมา เช่นนั้นลองเปิดดูสักหน่อยก็น่าจะดี

“ยอดไปเลยเจ้าค่ะ พี่สวี่ชิงข้าจะบอกท่านว่าข้ามีประสบการณ์เปิดร้านขายยาด้วย ข้าทำเป็น”

หลิงเอ๋อร์กระโดดโลกเต้น ดวงตาเป็นประกายแวววาว หลังจากจัดการฝุ่นกับเศษขยะรอบๆ แล้ว นางก็หยิบผ้าขี้ริ้วผืนหนึ่งมาแล้วเริ่มขัดถู

ทั้งๆ ที่มีวิชาเวทที่ใช้จัดการได้ แต่หลิงเอ๋อร์คล้ายจะชอบลงมือด้วยตนเอง เมื่อสวี่ชิงเห็นเช่นนี้ สัมผัสได้ถึงความสุขของหลิงเอ๋อร์ ก็รู้สึกทอดถอนใจ

ตลอดการเดินทางนี้ สวี่ชิงสัมผัสความใสซื่อบริสุทธ์ของหลิงเอ๋อร์ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น นางฉลาดเฉลียว แต่ก็เรียบง่ายมากเช่นกัน เรื่องเล็กๆ มักจะทำให้นางร่าเริงได้ถึงสองสามวัน

ภายใต้การควบคุมดูแลของหลิงเอ๋อร์ ช่วงเช้าตรู่ของวันถัดมา ร้านยาที่ถูกทิ้งร้างมานานร้านนี้ ก็เปิดให้บริการในเมืองเล็กๆ อีกครั้งเช่นนี้

ชื่อร้านหลิงเอ๋อร์ก็ตั้งให้ ชื่อว่าโถงวิญญาณทมิฬ

ส่วนเรื่องยาลูกกลอน สวี่ชิงมีอยู่ติดตัวมากมาย โดยเฉพาะยาลูกกลอนขาวเป็นหลัก

ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นตำรับยาตำรับแรกที่เขาเชี่ยวชาญ แม้เขาจะไม่ต้องการ แต่สำหรับผู้ที่อยู่ในโลกใบนี้ ยาลูกกลอนชนิดนี้ถือเป็นสิ่งที่ต้องมีพร้อมตลอดเวลา

โดยเฉพาะยามอยู่ที่เขตปกครองผนึกสมุทร สวี่ชิงค้นคว้ายาลูกกลอนของไป๋เซียวจัว ก็ได้อะไรมามากมาย

แม้ว่าลูกกลอนขาวที่ไป๋เซียวจัวดัดแปลงจะเพิ่มพิษเข้าไป แต่หากกล่าวถึงสรรพคุณและคุณภาพของยาลูกกลอนขาวแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องที่มอบความผาสุก ระดับการชำระล้างสูงขึ้น

สวี่ชิงจึงเปิดร้านขายยาเล็กๆ นี้กับหลิงเอ๋อร์ ยาที่ขายเป็นหลัก ก็คือลูกกลอนขาว

หลังจากหลิงเอ๋อร์จำแลงกายก็อำพรางหน้าตา กลายเป็นผู้หญิงหน้าตาอัปลักษณ์ผู้หนึ่ง ทำงานเป็นเสี่ยวเอ้อร์อย่างตื่นเต้น เพียงแต่ในเมืองเล็กๆ นี้มีคนอยู่ไม่มาก ร้านที่เพิ่งเปิดใหม่ จึงมีลูกค้าไม่มากเท่าไร

แต่นี่ก็ไม่กระทบกับความร่าเริงของหลิงเอ๋อร์

สวี่ชิงเห็นหลิงเอ๋อร์คาดหวังเพียงนี้ ก็ยอมให้นางออกไปเที่ยวเล่น หลังจากที่เขาปลูกเมล็ดที่นายกองให้มาแล้ว ก็เริ่มฝึกบำเพ็ญและศึกษาค้นคว้าด้านหลังร้านขายยา

ด้านหนึ่งคือเริ่มทดลองเปิดใช้กระจก จับสังเกตอย่างละเอียด อีกด้านหนึ่งก็คือศึกษาคำสาปในร่างกายอสูรร้ายที่จับมาตลอดทางนี้

เวลาก็ค่อยๆ ไหลผ่านไปเช่นนี้

ร้านยาของพวกเขาจากตอนแรกที่ไม่มีคนเข้ามาสอบถาม เปลี่ยนเป็นมีลูกค้าสองสามคนมาซื้อยาลูกกลอนขาวบางครั้ง หลักๆ แล้วเป็นเพราะราคาต่ำ บวกกับประสิทธิภาพไม่เลว

และการเปิดร้านยานี้ ทำให้หลิงเอ๋อร์พละกำลังเต็มเปี่ยม ราวกับเป็นคนเห็นแก่เงินตัวน้อยที่วันๆ เอาแต่จะนับเหรียญวิญญาณที่เป็นรายรับ กระทั่งหยิบบันทึกเล่มหนึ่งออกมาทำบัญชีด้วย

บางครั้งสวี่ชิงที่ฝึกบำเพ็ญเสร็จ เห็นหลิงเอ๋อร์ที่กำลังทำบัญชี ก็รู้สึกสงบขึ้นมา

นับตั้งแต่เรื่องในเมืองหิ่งห้อยที่ทะเลเพลิงสวรรค์ สวี่ชิงก็รู้สึกว่าตนเองคุ้นเคยกับชีวิตที่สงบสุขเช่นนี้ขึ้นเรื่อยๆ และความรู้สึกสงบเช่นนี้ ก็ทำให้เขาเกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจขึ้นเลาๆ

สวี่ชิงบอกอย่างละเอียดไม่ได้ว่าเปลี่ยนแปลงไปตรงจุดไหน แต่เขาก็เพลิดเพลินและดื่มด่ำกับมันมาก

เขาจึงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการสำรวจและค้นคว้า

การศึกษากระจกราบรื่นดีมาก แต่การศึกษาคำสาปกลับไม่ค่อยคืบหน้านัก

ช่วงนี้สวี่ชิงนำพลังพระจันทร์สีม่วงของตนผสานเข้าไปในร่างกายอสูรร้ายพวกนั้นหลายครั้ง ลองสะกดคำสาป แต่ผลลัพธ์กลับย่ำแย่ ล้มเหลวทั้งหมด

เช่นเดียวกับตอนนี้ สวี่ชิงจ้องมองแมงป่องที่ตัวสั่นงันงกตัวหนึ่งตรงหน้า

เขากดมือลงไปบนตัวแมงป่อง จากนั้นก็ผสานพลังพระจันทร์สีม่วงเข้าไป สีของแมงป่องขณะที่เปลี่ยนจากสีน้ำตาลเป็นสีม่วง สวี่ชิงก็สัมผัสคำสาปในร่างกายแมงป่อง

คำสาปของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราส่งผลกระทบกับสรรพชีวิต วิธีการคงอยู่ของมันคือผสานอยู่กับสายโลหิต ยากจะแยกออกจากกัน หากปะทุ ก็จะทำให้สรรพชีวิตกลายเป็นน้ำสีดำในเวลาสั้นๆ

และหลังจากที่พลังพระจันทร์สีม่วงของสวี่ชิงสัมผัสกับคำสาป ทำให้มันจากที่เงียบสงบก็ปะทุขึ้นในพริบตา

ราวกับมีชีวิตขึ้นมาทันที จะสูดรับพลังพระจันทร์สีม่วงของสวี่ชิง

เหมือนสำหรับคำสาปนี้ พระจันทร์สีม่วงของสวี่ชิงมีบางอย่างล่อตาล่อใจอย่างมาก

ภายใต้การทดลองแต่ละครั้ง สวี่ชิงเข้าใจว่าถ้าตนแผ่พลังพระจันทร์สีม่วงเข้าไปไม่เพียงพอ เช่นนั้นก็จะถูกคำสาปกลืนกินแล้วหลอม จากนั้นอสูรร้ายในฐานะที่เป็นร่างทดลอง ก็จะกลายเป็นน้ำเลือดไปในยามที่คำสาปปะทุขึ้นมา

กระบวนการทั้งหมดย้อนกลับไม่ได้

แต่หากสวี่ชิงแผ่พลังพระจันทร์สีม่วงเข้าไปมากพออย่างต่อเนื่อง ดำเนินการฝืนสยบ หลังจากสยบได้สักพัก คำสาปก็ยังคงปะทุขึ้นมาเช่นเดิม

ทว่าบทสรุปค่อนข้างแตกต่าง ร่างทดลองที่ตายใต้สภาพนี้ จะไม่กลายเป็นน้ำเลือด แต่กลายเป็นผงสีดำกองหนึ่งแทน

‘เหมือนการเผาไหม้’

สวี่ชิงมองแมงป่องตรงหน้าที่กลายเป็นผงสีดำฟุ้งกระจายบนพื้นในพริบตา เขาเลิกคิ้วขึ้น ดวงตาฉายแววครุ่นคิด

เขาเคยศึกษาผงสีดำนี้มาแล้ว ไม่มีประโยชน์อันใดเลย ทำให้สวี่ชิงรู้สึกเหมือนหลังจากคำสาปถูกสะกดไว้ ก็เลือกที่จะตายไปพร้อมกับสายโลหิต

‘ยังต้องทดลองมากกว่านี้ รวมถึงสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกันด้วย’

สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด นำอสูรร้ายตัวอื่นที่เจ้าเงาจับมาตลอดทางออกมาศึกษาต่อ

วันคืนจึงผ่านไปทีละวันเช่นนี้

แม้ในเมืองเล็กๆ จะมีการทะเลาะเบาะแว้งกันบ้าง แต่สวี่ชิงหลังจากมาถึงก็ไม่ได้ออกไปด้านนอก อยู่ในสภาวะตัดขาดจากโลกภายนอก กลับเลี่ยงเรื่องจิปาถะบางอย่างไป

และเมล็ดพันธุ์ที่เขาปลูกเอาไว้ ระหว่างที่กาลเวลาที่ไหลผ่านไปนี้ ก็ค่อยๆ แตกหน่อ เติบโตเป็นต้นอ่อนเขียวขจี

ต้นอ่อนนี้แปลกประหลาดอย่างมาก ราวกับมีสติปัญญาอยู่ระดับหนึ่ง ตอนที่สวี่ชิงปรากฏตัว มันก็จะสั่นไหวขึ้นมาด้วยสัญชาตญาณ

และทุกครั้งที่หลิงเอ๋อร์เข้าใกล้ มันก็จะโยกไหวด้วยตัวเอง บิดขยับลำต้น เมื่อทำให้หลิงเอ๋อร์ส่งเสียงหัวเราะเสนาะหูออกมาได้ มันก็ยิ่งออกแรงทำมากขึ้น

ส่วนบรรพจารย์สำนักวัชระ ก็รับผิดชอบภารกิจอารักขา ลอยอยู่บนคาน จดจ้องไปที่ประตูใหญ่เป็นระยะ

ส่วนเจ้าเงา…

มันไม่ค่อยชอบท่าทีประจบเอาใจหลิงเอ๋อร์ของต้นอ่อนนัก หลายครั้งถือโอกาสตอนที่หลิงเอ๋อร์กับสวี่ชิงไม่สนใจไปโผล่ข้างๆ ต้นอ่อนอย่างกะทันหัน จ้องมันอย่างเอาเป็นเอาตาย

ตอนนี้ทุกครั้ง ต้นอ่อนก็จะหดตัว ไม่กล้าขยับเขยื้อน

แต่เจ้าเงาก็ไม่ได้ปรากฏตัวบ่อย มันยังมีภารกิจอื่นอีก บางครั้งต้องออกจากเมืองเล็กๆ ไป คอยจับอสูรร้ายในเทือกเขาทนทุกข์รวมถึงในทะเลทรายผมครามมาให้สวี่ชิง

เช่นนี้จึงทำให้การศึกษาของสวี่ชิงดำเนินการต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง

และทุกครั้งที่มันกลับมา ก็มักจะนำสิ่งที่ได้เห็น ได้ยินรวมถึงความรู้เกี่ยวกับดินแดนนี้ สื่อคลื่นอารมณ์ถ่ายทอดให้กับสวี่ชิง

เขาคอยเป็นล่ามแปลให้ข้างๆ คอยอธิบายคำพูดของเจ้าเงา แต่ว่าบางครั้งเขาก็จะแทรกเรื่องส่วนตัวเข้าไปบ้าง ขุดหลุมให้เจ้าเงา

แม้เจ้าเงาจะเติบโตขึ้นไม่น้อย แต่ถึงอย่างไรก็ยังขาดประสบการณ์ ในสิบครั้งก็มักจะมีสองสามครั้งที่มองไม่ออก

สวี่ชิงไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้ เขาเคยชินกับความขัดแย้งระหว่างสองคนนี้แล้ว

และเขาก็เข้าใจทะเลทรายผมครามผืนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ผ่านเจ้าเงากับบรรพจารย์สำนักวัชระ

อย่างเช่นสวี่ชิงรู้สาเหตุที่ต้องสร้างเมืองดินนี้ที่ตัวภูเขาแล้ว

นั่นเป็นเพราะในทะเลทรายมีเรื่องราวประหลาดอยู่มากกมาย และทุกเรื่อง ล้วนสามารถบดขยี้ทำลายเมืองเล็กๆ ได้อย่างง่ายดาย

มีเพียงการอยู่บนเขาเท่านั้น ที่จะปลอดภัยมากขึ้น

อย่างเช่นเรื่องในทะเลทรายทุกระยะหนึ่ง จะมีแดนมายาปรากฏออกมา บางครั้งก็เป็นทวีปเขียวขจี บางครั้งก็เป็นเมืองบนฟ้า บางครั้งก็เป็นโลกอื่น

พวกมันเคลื่อนที่ได้ และทุกที่ที่เคลื่อนผ่านก็จะปกคลุมไปด้วยความตาย

เพียงแต่เมื่อเข้าไปในแดนมายานี้ ก็ยากจะมีชีวิตรอดออกมาได้ และหลังจากที่แดนมายาหายไป มีเพียงโครงกระดูกที่ถูกแทะเลือดเนื้อจนเกลี้ยงเกลาที่เหลือทิ้งไว้บนผืนดินเท่านั้น

นอกจากนี้เห็ดขนาดยักษ์ที่สวี่ชิงเห็นตลอดทาง ในข้อมูลที่เจ้าเงานำกลับมาก็มีบรรยายไว้ว่า มันเคยเห็นเห็ดยักษ์ลุกขึ้นมายืนในทะเลทราย

รากนับไม่ถ้วนใต้ต้นเห็ดรวมตัวเป็นร่างมนุษย์ เคลื่อนที่อยู่บนทะเลทราย คอยไล่ตามแดนมายา

และสิ่งเหล่านี้ยังไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวที่สุดในทะเลทรายผมคราม ในคำบรรยายกับการสืบข่าวของเจ้าเงา สวี่ชิงยังได้รู้อีกว่าในทะเลทรายผืนนี้ ใช่ว่าสีของลมไม่มีการเปลี่ยนแปลง

หากมีวันใดวันหนึ่งที่สายลมสีดำเปลี่ยนเป็นสีขาว เช่นนั้นสรรพชีวิตที่อยู่กลางทะเลทรายทั้งหมด ก็จะเร่งความเร็วให้เร็วสุดชีวิตหนีตายเข้าไปในตัวภูเขา

ไม่เช่นนั้นก็พบกับจุดจบ มีเพียงยอดเขาที่นี่ ถึงจะไม่ถูกลมทรายโจมตี

ในช่วงเวลาที่ยาวนาน จำนวนครั้งที่สายลมสีขาวปรากฏขึ้นมีอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นบางครั้งจึงมีคนโชคดีหลบหนีสายลมสีขาวเข้าไปในภูเขาที่อยู่ใกล้ๆ จนเลี่ยงการตายได้ทัน

แต่คนที่หนีพ้นเหล่านี้ ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงที่เหมือนกัน

ร่างกายของพวกเขาจะพิการอัปลักษณ์ และรุ่นหลังก็จะเป็นเช่นเดียวกัน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

นี่จึงทำให้สวี่ชิงนึกถึงคนเหล่านั้นในเมืองเล็กๆ

นอกจากนี้ นอกจากสายลมขาว ในทะเลทรายผมครามนี้ยังมีสายลมสีดำอีก เพียงแต่ผ่านไปหลายร้อยปีแล้วก็ยังไม่ปรากฏขึ้น แต่ก็ยังคงมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับสายลมดำอยู่

เมื่อสายลมสีดำปรากฏ สรรพชีวิตทั้งทะเลทรายผมครามจะตายไปกว่าเก้าส่วน ต่อให้จะหลบอยู่ในภูเขาก็ตกอยู่ในอันตราย

แต่ในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรานี้ พบเห็นสถานที่ที่ไม่อันตรายได้น้อย เทียบกับโลกภายนอกที่ความเป็นความตายปรากฏขึ้นตลอดเวลา สายลมดำที่หลายร้อยปีจะเกิดขึ้นสักครั้งนี้จึงไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไร

ทว่าสายลมสีสุดท้ายอีกสีหนึ่ง สีเทา

สายลมเทาเป็นเพียงตำนาน เป็นสิ่งที่สวี่ชิงรู้มาจากปากชายชราที่มาซื้อยาลูกกลอนผู้หนึ่ง สายลมนี้ในประวัติศาสตร์ทะเลทรายผมคราม เคยปรากฏขึ้นเพียงครั้งเดียว

จนมาถึงตอนนี้ก็ผ่านมานานแสนนาน ดังนั้นรายละเอียดเป็นเช่นไร จึงไม่มีใครรู้

ข้อมูลนี้ ทำให้สวี่ชิงเข้าใจทะเลทรายผืนนี้มากขึ้น ขณะเดียวกันช่วงนี้เขาก็กำลังศึกษาเรื่องคำสาปอยู่ และเปิดใช้กระจกหลายครั้ง

ในการสืบเสาะหลายต่อหลายครั้งของเขา จึงเข้าใจการทดสอบของตำหนักขบถจันทร์ชัดเจนขึ้น

‘จุดนี้ของผู้บำเพ็ญตาเดียวที่หนีรอดไปได้ไม่ได้พูดโกหก ไม่ว่าจะกระจกบานใด หากอยู่ในอาณาเขตเทือกเขาทนทุกข์ ล้วนสามารถเข้าไปยังตำหนักขบถจันทร์ได้

‘ขณะเดียวกันก็เป็นวิธีเริ่มการทดสอบด้วย

‘มีเพียงต้องผ่านการทดสอบนี้ ถึงสามารถเข้าสู่ตำหนักขบถจันทร์ได้”

สวี่ชิงนั่งขัดสมาธิอยู่ในบ้าน สายตาหยุดอยู่ที่กระจกเบื้องหน้า ดวงตาฉายแววแน่วแน่

จากความเข้าใจในช่วงหลายวันมานี้ ทำให้เขารู้ว่าการทดสอบเข้าตำหนักขบถจันทร์มีทั้งหมดสามหัวข้อ

หัวข้อที่หนึ่งคือการเซ่นสังเวย

สิ่งนี้อันที่จริงก็เป็นการแสดงความภักดีอย่างหนึ่ง ดังนั้นผู้ที่คิดจะเข้าร่วมตำหนักขบถจันทร์ ต้องสังหารผู้บำเพ็ญตำหนักพระจันทร์สีชาดที่อยู่ในระดับเดียวกันกับตัวเอง

ขอแค่ส่งศพที่สังหารเข้าไปในกระจก ก็ถือว่าการทดสอบข้อแรกเสร็จสิ้น

จุดนี้สวี่ชิงเข้าใจได้ หัวข้อแรกของการทดสอบนี้ เป้าหมายคือตรวจสอบพลังแท้จริงของผู้เข้าร่วม ขณะเดียวกันก็รวมถึงคอยระวังโลกภายนอกด้วย

วิธีการเช่นนี้ หากตำหนักพระจันทร์สีชาดคิดจะส่งคนเข้ามาเป็นหนอน ก็จำเป็นต้องแลกเปลี่ยนด้วยราคาเช่นนี้

พลังบำเพ็ญยิ่งสูง สิ่งที่ต้องแลกก็มากตาม

อีกทั้งนี่ยังเป็นเพียงข้อแรก หลังจากแลกไปแล้ว และผ่านการทดสอบหลังจากนี้ไปไม่ได้ ก็เท่ากับที่ทำมาทั้งหมดไร้ผล

ดังนั้น การทดสอบนี้จึงถูกจัดไว้ด่านแรก

ส่วนการทดสอบข้อที่สองการเข้าร่วมตำหนักขบถจันทร์ คือความศรัทธา

ข้อที่สามสวี่ชิงไม่ทราบ เขาคิดจะแสดงความภักดีให้เรียบร้อยเสียก่อน

พร้อมกับความคิดนี้ สวี่ชิงเงยหน้ามองท้องฟ้าขมุกขมัวด้านนอก ดวงตาฉายแววแน่วแน่ โบกมือเก็บกระจกลงไป ร่างไหววูบออกจากร้านยา

เป้าหมายของเขาไม่ใช่ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดของเทือกเขาทนทุกข์

สร้างตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดขึ้นที่นี่ได้ สวี่ชิงรู้ดีว่าห้ามดูถูกเด็ดขาด

ถึงอย่างไรการจะเข้าร่วมตำหนักขบถจันทร์ จำเป็นต้องแสดงความภักดีให้เรียบร้อย หรือก็คือผู้ที่คิดจะเข้าร่วมทั้งหมด ล้วนต้องจดจ่อที่ตำหนักเทพโดยสัญชาตญาณก่อนทั้งสิ้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ ขอแค่ไม่ใช่คนโง่ ก็ไม่มีทางประมาทเลินเล่อ จากความเข้าใจที่สวี่ชิงได้สัมผัสกับตำหนักเทพมาแล้วหลายครั้ง เขารู้สึกว่าตำหนักเทพมีโอกาสวางกับดักไว้ที่นี่สูงมาก

แน่นอนว่าความคิดทุกคนแตกต่างกัน สวี่ชิงรู้สึกว่าผู้ที่จะเข้าร่วมกับตำหนักขบถจันทร์พวกนั้นคงมีคนโง่อยู่น้อยมากเป็นแน่ จึงมีโอกาสสูงที่จะเลือกไปซุ่มโจมตีผู้บำเพ็ญตำหนักเทพที่พื้นที่อื่นด้านนอกทะเลทราย

แต่สวี่ชิงไม่อยากเสี่ยง

ตอนนี้เขาสวมหน้ากากวิชาเซียน ร่างกายเริ่มแปรสู่สภาวะพรางมารยาและอำพราง ออกจากเทือกเขาตรงไปยังทะเลทราย ค้นหาอสูรร้ายที่พลังบำเพ็ญสอดคล้องกัน

เวลาผ่านไปหลายวันเช่นนี้

อสูรร้ายในทะเลทรายคราม พลังบำเพ็ญสูงต่ำไม่เท่ากัน ระหว่างที่เจ้าเงาออกล่าให้สวี่ชิงช่วงนี้ ก็ทำการปักหมุดจุดอันตรายบางส่วนเอาไว้ ดังนั้นเป้าหมายของสวี่ชิงจึงชัดเจนมาก

สองวันต่อมา ทรายดูดกลางทรายแห่งหนึ่งในทะเลทรายคราม มีเสียงครืนครันดังสนั่น คลื่นวิชาเวทกระจายไปรอบด้าน หนอนสีแดงขนาดยักษ์ตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากใต้ดิน คลื่นพลังบำเพ็ญปราณก่อกำเนิดแผ่ไปทั่วร่าง แต่กลับส่งเสียงโหยหวน

ด้านล่างมัน ร่างสวี่ชิงที่อยู่ใต้ทรายเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วตามติดขึ้นมา ยกมือขวาขึ้นกดลงไปอย่างแรง ทันใดนั้นร่างหนอนสีแดงตัวนี้แหลกเละไปเกือบครึ่ง ร่วงลงมาบนพื้นหายใจรวยริน

สวี่ชิงเก็บมันมา เดินหน้าต่อ

ห้าวันต่อมา แมงป่องยักษ์ขนาดหลายสิบจั้งตัวหนึ่งหลบหนีบนพื้นอย่างรวดเร็ว ด้านหลังของมันมีเงาร่างหนึ่งไล่โจมตีไม่หยุดหย่อน ผ่านไปครู่หนึ่ง จากการมาเยือนของร่างมารฟ้านับไม่ถ้วน แมงป่องตัวนี้ก็ส่งเสียงกรีดร้อง คิดจะพุ่งไปแต่ก็ทำไม่ได้ ถูกร่างเงาข้างหลังไล่ตามมา

ภายใต้เสียงครืนครันเป็นระยะ หนึ่งก้านธูปต่อมา เมื่อทุกอย่างสงบลง สวี่ชิงก็เดินออกมาจากลมดำ กลับไปยังเทือกเขาทนทุกข์

ใช้เวลาหนึ่งวันครึ่ง เขาก็กลับไปยังร้านยาในเมือง หลิงเอ๋อร์ยังดูปกติทุกอย่าง เพียงแต่กังวลกับการที่สวี่ชิงออกไปข้างนอก ตอนที่เห็นสวี่ชิงกลับมา นางก็ถอนหายใจโล่งอก ใบหน้าเล็กกลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง

สวี่ชิงลูบหัวหลิงเอ๋อร์ เดินไปห้องด้านหลัง นั่งลงขัดสมาธิ หลังจากเปิดใช้ค่ายกลปิดกั้น เขาก็ล้วงกระจกมาวางไว้เบื้องหน้า จากนั้นก็สูดลมหายใจลึก ดวงตาเปล่งประกายคม

เขาไม่อยากเสี่ยงซุ่มโจมตีผู้บำเพ็ญตำหนักเทพ หากเรื่องนี้เล็ดรอดออกไป จะยุ่งยากอย่างยิ่ง

เขาจึงคิดจะใช้กลวิธี ใช้วิธีการของตนเองสร้างผู้บำเพ็ญตำหนักเทพขึ้น ใช้เรื่องนี้มาหลอกการพิจารณาตำหนักขบถจันทร์ นี่ก็เป็นเหตุที่เขาศึกษาอยู่นานสองนาน

‘ข้าตรวจสอบไปหลายครั้ง การทดสอบนี้เป็นกลไกประเภทหนึ่ง ไม่มีผู้ควบคุม ดังนั้นข้าน่าจะทำสำเร็จ ทว่าการประทานพรของข้าจะกระตุ้นคำสาป ดังนั้นต้องทำให้รวดเร็วหน่อยถึงจะได้

สวี่ชิงกะพริบตา ขณะที่โบกมือก็หยิบแมงป่องกับหนอนสีแดงที่ตนจับออกมา แล้วประทานพลังพระจันทร์สีม่วงของตัวเองลงไปในนร่างกายที่หายใจรวยรินของพวกมันอย่างรวดเร็ว

เช่นเดียวกับตอนที่ประทานพรให้กับมู่เยี่ยในยามนั้น พริบตา ร่างอสูรร้ายทั้งสองก็สั่นกระตุก แต่ละตัวมีตราประทับสีม่วงปรากฏขึ้น และพริบตาต่อมาคำสาปของพวกมันก็ถูกกระตุ้น

และไม่รอให้คำสาปปะทุ สวี่ชิงก็ลงมืออย่างรวดเร็ว โยนอสูรร้ายสองตัวนี้เข้าไปในกระจก

สวี่ชิงถอยหลังไปสองสามก้าว แม้จะสืบเสาะและศึกษามาอย่างไม่หยุดยั้ง ค่อนข้างมั่นใจกับวิธีการของตน แต่จะสำเร็จหรือล้มเหลว ก็ยังรู้สึกร้อนรน จ้องกระจกเขม็ง

จู่ๆ กระจกนั้นก็สั่นสะเทือนกลางอากาศ แสงบนนั้นกะพริบวูบวาบอย่างรวดเร็ว คล้ายกำลังพิจารณา

กระทั่งผ่านไปหลายสิบอึดใจ ตอนที่สวี่ชิงกังวลขึ้นเรื่อยๆ ในกระจกก็แผ่เจตจำนงที่ทรงพลังออกมา

“ผ่าน!”

สวี่ชิงผ่อนลมหายใจยาว

อันที่จริงเขาก็ไม่คิดจะใช้วิธีการเช่นนี้ แต่ความอันตรายในการซุ่มโจมตีตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดสูงเกินไป โอกาสที่จะเป็นกับดักของอีกฝ่ายก็สูงมาก

ด้านหนึ่งถ้าไม่รอบคอบก็จะเกิดความยุ่งยาก ไม่เอื้อกับความตั้งใจแรกเริ่มที่จะค้นคว้าอย่างสบายใจของเขา

และหากออกจากทะเลทรายผมครามไปที่อื่น เวลาไปกลับอย่างน้อยก็เกือบครึ่งปี เทียบกันแล้ว ตนสร้างขึ้นมาเอง ย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

‘ข้าใช้ความสามารถของตนเองผ่านการทดสอบหัวข้อที่หนึ่งได้แล้ว นี่ก็ไม่ถือว่าโกงล่ะนะ’

สวี่ชิงพึมพำในใจ หลังจากระลึกถึงสิ่งที่อาจารย์สอนตนเอง เขาก็รู้สึกว่าที่ทำเช่นนี้ถูกต้องแล้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version