บทที่ 731 ท่านปู่เก้าผู้มากประสบการณ์
เผชิญหน้ากับคำถามของเฉินหยางจื่อผู้นำพันธมิตร เดิมสวี่ชิงไม่อยากพูดมากแต่เมื่อมองสีหน้าโกรธเกรี้ยวของจื่อเสวียนตลอดจนนึกถึงแผนการของผู้นำพันธมิตรคนนี้ ทั้งสีหน้าของผู้บำเพ็ญเขตปกครองผนึกสมุทรที่อยู่รอบๆ
จึงเอ่ยเสียงเรียบว่า
“ดวงตะวันแห่งแสงอรุณ”
พริบตาที่กล่าวคำนี้ออกมา ในตำหนักใหญ่เขตปกครอง ทุกคนอดหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้ เสี่ยเลี่ยนจื่อก็ดี จื่อเสวียนก็ดี ยังมีผู้บำเพ็ญเขตปกครองผนึกสมุทรที่อยู่รักษาการณ์คนอื่นๆ พากันสูดลมหายใจ สีหน้าไม่อยากเชื่อผุดขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม
“ดวงตะวันแหง่แสงอรุณ?”
“นี่…นี่…”
เสียงฮือฮา ขณะที่ดังออกมาจากปากของทุกคน เสียงตกใจจากเฉินหยางจื่อก็ดังยิ่งกว่าทุกเสียง สะท้อนก้องบาดหู
“ดวงตะวันแห่งแสงอรุณ!”
“เจ้าๆๆ…”
เฉินหยางจื่อสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ตอนแรกเขาไม่เชื่อ แต่การสลายไปของร่างกายรวมถึงภาพสุดท้ายระหว่างส่งข้ามมา แสงและความร้อนที่น่าครั่นคร้ามนั่น ทำให้เขาไม่อาจโกหกตัวเองได้
แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าที่ที่ตนอยู่คือเมืองหลวงขององค์ชายเจ็ด…
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าองค์ชายเจ็ดทางนั้นมีผู้ใต้บังคับบัญชาที่จงรักภักดีอยู่เกือบล้านคน รวมถึงสำนักต่างๆ จากแดนใหญ่ที่มาพึ่งพา นึกถึงกลุ่มคนที่วางรากฐานให้องค์ชายเจ็ด นึกถึงการเตรียมการทั้งหมดของอีกฝ่ายหลายปีมานี้…
ร่างของเฉินหยางจื่อสั่นสะท้านขึ้นอย่างไม่อาจควบคุม ใจเต้นรัวเร็ว ขนลุกชูชันขึ้นมาทั้งตัวทันที
เขานึกภาพออกว่าการระเบิดของดวงตะวันแห่งแสงอรุณ จะต้องครอบคลุมทั้งเมืองหลวง มาพร้อมพลังสังหารและต้องน่าครั่นคร้ามถึงขีดสุดแน่นอน
และแม้ต้นกำเนิดทุกอย่างนี้จะมาจากเขตปกครองผนึกสมุทร แต่คลื่นวนเลือดเนื้อที่ตนเปิด กลับกลายเป็นช่วยส่งเสริม
กระทั่ง…หากมีคนบอกว่าเขาคือผู้สมรู้ร่วมคิด ถึงกับยอมกล้ำกลืนแสร้งเข้าหาองค์ชายเจ็ดเพื่อทำภารกิจสำคัญยิ่งให้สำเร็จ ต้องมีคนไม่น้อยที่เชื่อเป็นแน่
ทุกอย่างนี้ จะทำให้เขาไม่มีที่ยืนในเผ่ามนุษย์ โทสะที่มาจากอ๋องเทียนหลัน จะต้องฉีกทึ้งจิตวิญญาณของเขาเป็นแน่
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ หากองค์ชายเจ็ดแตกดับ…
“เจ้ากล้าดีอย่างไร! ไยเจ้าจึงมีดวงตะวันแห่งแสงอรุณ!!”
เฉินหยางจื่อร้องเสียงแหลม ในที่สุดเขาก็เสียกิริยาแล้ว มองไปทางสวี่ชิงอย่างไม่อยากเชื่อ ความตื่นกลัวครืนครันในร่างกายเขาราวกับทลายภูเขาล่มมหาสมุทร
กระอักเลือดออกคำหนึ่ง ร่างของเขาโซซัดโซเซถอยหลังไป ความขมขื่นในใจราวกับกระแสน้ำขึ้น ท่วมจมเขาเสียมิด
เขาน้อยใจ เขาเสียใจ เขาจนใจ
แผนการทั้งหมดของเขาสำเร็จแล้ว ทุกอย่างราบรื่นมาก แต่ผลสุดท้าย จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงเลย
“แค่ทดสอบครั้งเดียวเท่านั้น เจ้า…เจ้าถึงกับโยนดวงตะวันแห่งแสงอรุณไป!”
เฉินหยางจื่อกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง
ในใจมีประโยคหนึ่งที่พูดไม่ออก อันที่จริงเขาอยากพูดมาก ในเมื่อมีดวงตะวันแห่งแสงอรุณ สวี่ชิงแค่หยิบออกมาให้ข้าเห็นก็พอแล้ว ให้องค์ชายเจ็ดเห็นก็พอแล้ว
หลังจากได้เห็นใครยังจะยุ่งพวกเจ้า…
ต้องทำถึงเพียงนี้เชียวหรือ…
ความคิดนี้ ทำให้ในใจเขายิ่งขมขื่น
พลังบำเพ็ญทั้งร่างก็ลดลงมากด้วยร่างนี้สลายไป ลดระดับลงจากหวนสู่อนัตตาขั้นสาม กระทั่งหวนสู่อนัตตาขั้นสองก็ไม่มั่นคง กลิ่นอายทั้งร่างแปรปรวน อยู่ระหว่างหวนสู่อนัตตาขั้นหนึ่งและสอง
และจากสภาพของเขา เกรงว่าจะคงไว้ได้ไม่นานนัก
เขาจึงไม่ลังเลแม้แต่น้อย ถอยหลังออกไปทันที คิดจะหนีออกจากที่นี่สุดชีวิตต่อให้ตอนนี้เขายังพอลงมือได้ แต่การลดระดับของพลังบำเพ็ญ ความโหดเหี้ยมของสวี่ชิง ทำให้เขาหวาดกลัว
หวาดกลัวจากในกระดูก จากในจิตวิญญาณ
สิ่งที่เขากังวล ยังมีดวงตะวันแห่งแสงอรุณ และยิ่งกังวล…คือชิงฉินบนฟากฟ้ารวมถึงของวิเศษเวทต้องห้ามของเขตปกครองผนึกสมุทร
หลังจากที่สูญเสียพลังบำเพ็ญไป เขาก็รู้ว่าในวันนี้เป็นยามที่วิกฤตที่สุดในชีวิตของตนแล้ว
พริบตาที่เขาถอยหลังไป เสี่ยเลี่ยนจื่อก็พุ่งออกมา จื่อเสวียนก็ก้าวออกมาเช่นกัน บนท้องฟ้ามีเสียงแกว๊กของชิงฉินดังมา พลังชีวิตที่แข็งแกร่งวูบหนึ่งแผ่มาจากฟากฟ้า ขณะที่พุ่งเป้าไปที่เฉินหยางจื่อ ชิงฉินก็กำลังโฉบลงมาอย่างรวดเร็ว
ชั่วพริบตาก็มาปรากฏตัวเหนือตำหนักใหญ่ แรงกดดันที่มาจากมันปกคลุมไปทั่วสารทิศ เสียงแกว๊กดังสนั่นหวั่นไหว
เห็นเป็นเช่นนี้ เฉินหยางจื่อก็ทำได้เพียงสะกดความหวาดผวาในใจ สีหน้าบิดเบี้ยว เปล่งเสียงแหลมออกมาอย่างเศร้าใจ
“สวี่ชิง คนเขตปกครองผนึกสมุทรหมื่นกว่าคนที่หนีออกมาจากสมรภูมิ เป็นข้าที่ทำให้พวกเขามีชีวิตรอด ข้าทิ้งตราประทับเอาไว้ที่จิตวิญญาณบนร่างพวกเขา หากข้าตาย พวกเขาก็จะแตกดับทั้งร่างกายและจิตวิญญาณทันที!
“ต่อให้พวกเขาสลายตราประทับได้ แต่ก็ต้องใช้เวลา และหากผนึกข้า ข้าจะระเบิดจิตวิญญาณตัวเอง ตอนที่วิญญาณสลาย พวกเขาก็จะตายไปพร้อมกับข้า
“ปล่อยข้าไปเสีย เช่นนี้พวกเจ้าก็จะมีเวลาสลายตราประทับแลกชีวิตของข้า คนเดียวกับชีวิตผู้บำเพ็ญนับหมื่นคนของเขตปกครองผนึกสมุทร การแลกเปลี่ยนนี้คุ้มกับพวกเจ้า!”
เฉินหยางจื่อเป็นคนรอบคอบจริงๆ ยิ่งมีการคาดการณ์ที่ไม่ธรรมดา ต่อให้มาถึงขั้นนี้ เขาก็ยังมีแผนสำรองเตรียมไว้ ตอนนี้เมื่อกล่าวออกมา พวกเสี่ยเลี่ยนจื่อก็อดชะงักไม่ได้
ต่อให้เป็นชิงฉิน ก็ไม่มั่นใจว่าตอนที่สังหารเฉินหยางจื่อจะสลายตราประทับวิญญาณได้ มันเป็นเพียงมหาวิหคตัวหนึ่ง เรื่องสลายตราประทับ ไม่ใช่สิ่งที่มันถนัด
สถานการณ์คล้ายจะเข้าตาจน แต่สีหน้าของสวี่ชิงยังเป็นปกติ ไม่สนใจเฉินหยางจื่อที่ดิ้นรนเอาชีวิตรอด แต่เงยหน้ามองไปบนท้องฟ้า
เรื่องที่คนรอบๆ ทำไม่ได้ ท่านปู่เก้าอาจแก้ไขได้อย่างง่ายดาย สวี่ชิงกำลังจะร้องขอ
แต่ตอนนี้เอง ในใจมีเสียงท่านปู่เก้าดังมาก่อน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
เพียงแต่คำพูดของอีกฝ่าย ทำให้สวี่ชิงประหลาดใจขึ้นมาด้วยสัญชาตญาณ
เขามองเฉินหยางจื่อที่กำลังถอยหนีไม่หยุด ผมเผ้ารุงรังแสดงความคลุ้มคลั่งออกมาท่าทางราวกับวิปลาส เลือกที่จะทำตาม
เอ่ยเสียงเรียบว่า
“ตบปาก!”
เมื่อสวี่ชิงกล่าวออกมา ฟ้าดินเปลี่ยนสี สายลมโหมเมฆทะลัก โลกภายนอกสายฟ้าแล่นแปลบปลาบ โลกขมุกขมัวขึ้นมา
พลังยิ่งใหญ่วูบหนึ่งพลันแผ่ลงมา ทำให้ตำหนักใหญ่สั่นคลอนครืนครัน ทุกคน สีหน้าพรั่นพรึง เฉินหยางจื่อยิ่งตัวสั่นอีกครั้ง จิตใจจะพังทลาย
ราวกับเสียงของสวี่ชิงก็คือระเบียบ ก็คือกฎเกณฑ์ เป็นเจตจำนงของฟ้าดิน ตอนที่คำพูดดังออกมา กฎเกณฑ์ก็ทำตาม หลังจากที่พลังวูบนี้มาถึง ก็กลายเป็นฝ่ามือไร้รูปร่างข้างหนึ่ง ตบไปที่หน้าของเฉินหยางจื่ออย่างแรง
เสียงบึ้มดังขึ้น เฉินหยางจื่อยิ่งร้องโหยหวนน่าสังเวช ถูกตบจนกระเด็น เลือดเนื้อใบหน้าด้านขวาเหวอะหวะ
ขณะที่ดูแล้วน่าสยดสยอง ทุกคนล้วนสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดมหาศาลที่เฉินหยางจื่อต้องแบกรับเวลานี้
ทั้งตัวเขาร้องอย่างน่าเวทนาด้วยสัญชาตญาณ สมองขาวโพลนไปหมด รู้สึกเพียงว่า ตนถูกพลังมหาศาลที่ไม่อาจจินตนาการได้วูบหนึ่งกระแทกมาที่ร่างราวกับภูเขาทั้งลูกพุ่งชน
ไม่อาจต้านทาน ไม่อาจหลบเลี่ยง และไม่รอให้เขาได้ตั้งตัว ร่างกายยังลอยม้วนไป สวี่ชิงก็กล่าวออกมาอีกครั้ง
“ตบอีก!”
กฎเกณฑ์ปรากฏลงมา เสียงร้องของเฉินหยางจื่อกลายเป็นโอดครวญ ใบหน้าข้างซ้ายของเขาถูกโจมตีด้วยพลังมหาศาลจนคอเกือบขาด ทั้งตัวคนตอนนี้ดูแล้วเหมือนไม่ใช่คน
ร่างกายก็ถูกตบกระเด็นกลับมาจากจุดที่ไกลๆ มาตกอยู่ตรงหน้าสวี่ชิง
เลือดในปากรวมถึงที่คอทะลักออกมาไม่หยุด วิหคทองที่จำแลงออกมาเริ่มแตกสลาย น่าเวทนาอย่างยิ่ง
“การใช้กฎเกณฑ์เช่นนี้ เจ้าๆๆ…เจ้ามีพลังบำเพ็ญระดับใดกันแน่!!”
หลังจากร่วงลงกับพื้น เฉินหยางจื่อดิ้นรน เอ่ยอย่างอ่อนแรง สีหน้าฉายแววหวาดกลัว ใกล้จะเสียสติเต็มที ตอนนี้เหลือเพียงความตื่นกลัวเท่านั้น สิ่งที่ประสบพบเจอเมื่อครู่ เขารู้สึกว่าน่ากลัวยิ่งกว่าตอนที่ได้ยินคำว่าดวงตะวันแห่งแสงอรุณก่อนหน้านี้เสียอีก
เพราะเขารู้ว่าการใช้กฎเกณฑ์แบบนี้ การทำให้กฎเกณฑ์เป็นเช่นนี้ ทำให้เจตจำนงฟ้าดินกลายเป็นร่างกายของตน ไม่ใช่สิ่งที่หวนสู่อนัตตาทำได้…
“คุกเข่า”
สวี่ชิงไม่ตอบ เอ่ยเสียงราบเรียบ
เมื่อเปล่งเสียงออกมา เฉินหยางจื่อก็โอดครวญอีกครั้ง สองขาของเขาแตกแหลกเป็นชิ้นๆ ในพริบตา แต่ไม่สลายหายไป ถูกก่อร่างขึ้นมาใหม่ คล้ายโก่งโค้งมาแต่กำเนิด
เขาจึงทำได้แค่คุกเข่า
“เตรียมสู่เทวะ…” เฉินหยางจื่อใจแตกสลาย มองสวี่ชิงจากนั้นก็มองจื่อเสวียน ดวงตาฉายแววอ้อนวอนเป็นครั้งแรก
“ศิษย์น้องหญิง เห็นแก่ที่พวกเราเคยเป็นศิษย์ร่วมสำนัก เห็นแก่หน้าของท่านอาจารย์ ปล่อยข้าไปสักครั้ง…”
จื่อเสวียนเงียบนิ่ง ส่ายหน้า
เฉินหยางจื่อสิ้นหวัง แววตาคุ้มคลั่ง กำลังจะทำให้พินาศไปด้วยกัน
สวี่ชิงเอ่ยเสียงราบเรียบ
“ช่วงชิง!”
เมื่อกล่าวออกมา ฟ้าดินครืนครัน เจตจำนงของเขาก่อตัวเป็นมือยักษ์ ควานเข้าไปในร่างเฉินหยางจื่อ เฉินหยางจื่อกรีดร้อง ร่างกายเริ่มแตกสลาย ปราณวิญญาณนับไม่ถ้วนลอยออกมา
พลังบำเพ็ญของเขา ถูกช่วงชิงไปในเสี้ยวขณะนี้
เหลือเพียงเลือดเนื้อรวมถึงจิตวิญญาณ ที่ยังคงอยู่ในตำหนักใหญ่
“เลือดเนื้อแปรเป็นเทียน จิตวิญญาณหล่อเลี้ยงเปลวเพลิง”
สวี่ชิงพูดขึ้นอีกครั้ง ชั่วพริบตา ร่างของเฉินหยางจื่อก็บิดเบี้ยวอย่างรุนแรง ถูกบีบอัด ถูกหล่อหลอม สุดท้ายกลายเป็นเทียนเลือดเนื้อเล่มหนึ่ง!
เทียนถูกจุดไฟ จิตวิญญาณของเขากลายเป็นขี้ผึ้งเทียน หลอมละลายต่อเนื่อง
โศกาอาดูรทุกข์ทรมาน เสียงกรีดร้องที่ไม่เหมือนมนุษย์ สะท้อนก้องออกมาจากการที่ไฟเทียนเล่มนี้หลอมละลายไม่หยุด
สวี่ชิงยกมือ ถือเทียนไว้ หันหลังเดินไปหาจื่อเสวียนทางนั้น วางเทียนไว้ตรงหน้านาง
“มอบให้ท่าน เป็นของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ ขอรับ”
สวี่ชิงลังเลครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดออกมา
จื่อเสวียนมองสวี่ชิง นางคิดไม่ถึงว่าสวี่ชิงจะทำเช่นนี้ สวี่ชิงที่นางรู้จัก นี่คล้ายจะไม่ใช่นิสัยของอีกฝ่าย แต่ไม่เป็นไร ยามนี้ จื่อเสวียนรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง
นางรับเทียนไป ดวงตาเปล่งประกายร้อนแรงออกมา
นางเตรียมจะนำตะเกียงดวงนี้ วางไว้ที่ประตูนอกจวนของตน เป็นตะเกียงที่ส่องสว่างทั้งกลางวันและกลางคืน จุดไฟไว้ตลอด
ในตำหนักใหญ่เงียบสนิท มีเพียงเสียงกรีดร้องที่ยังดังออกมาจากไฟตะเกียง
ในดวงตาบรรพจารย์เสี่ยเลี่ยนจื่อฉายประกายชื่นชม มองศิษย์หลานเพียง คนเดียวของตน ในใจชื่นชมอย่างยิ่ง เขารู้สึกว่าสวี่ชิงเก่งกาจ มีนิสัยค่อนข้างคล้ายตนตอนหนุ่มๆ รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าความเร่าร้อน
และท่ามกลางการจับจ้องของทุกคน สวี่ชิงเงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า ประสานหมัดคารวะ
ในใจเขา มีเสียงเย็นชาของผู้อาวุโสเก้าดังมา
‘ศัตรูบางคน ต้องใช้กระบี่ฟาดฟันสังหาร
‘แต่คู่มือที่มายุ่งกับสตรีของตนประเภทนั้น หากเจ้าสังหารไวเกินไป ก็ค่อนข้างเสียอรรถรส
‘ดังนั้น เจ้าต้องค่อยๆ ทรมาน ทำให้พิการ สุดท้ายค่อยแปรเป็นของกำนัล
‘นี่ถึงจะเป็นวิธีที่ทำให้สตรีประทับใจ เรื่องนี้ข้ามีประสบการณ์ ตอนนั้นก็เคยช่วยคนทำเรื่องเช่นนี้มากมาย’
สวี่ชิงประหลาดใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินท่านปู่เก้าพูดยาวถึงเพียงนี้ คิดไม่ถึงว่าท่านปู่เก้าที่ปกติเย็นชา จะมีประสบการณ์มากล้น
จึงทำได้เพียงพยักหน้า แต่สังเกตเห็นแววตาของจื่อเสวียนยามนี้ สวี่ชิงรู้สึกว่า บางทีที่ท่านปู่เก้าพูดอาจถูกต้อง
แต่เขายังเชื่อว่า ศัตรูควรจะสังหารให้ตายในดาบเดียว ไม่ควรยืดเยื้อนัก
‘แค่ครั้งนี้เท่านั้น’ สวี่ชิงงพึมพำในใจ