บทที่ 748 โอกาสอันหาได้ยากของผู้มากความสามารถ
ตอนที่พวกสวี่ชิงมาถึง ค่ายกลเมืองหลวงจักรพรรดิถูก กระตุ้นจนอยู่ในสถานะเฝ้าระวัง แม้เรื่องนี้จะค่อนข้างบังเอิญ แต่ความเป็นไปได้ว่าสิ่งที่เอ้อร์หนิวพูดออกมาว่าเป็นความ จงใจของผู้อื่นมีมากกว่า
และความจริงก็เป็นเช่นนั้น
ตอนที่พวกสวี่ชิงหยุดฝีเท้าที่ด้านนอกค่ายกล มีคนกำลัง แค่นหัวเราะอยู่ในมุมมืดวงแหวนชั้นในเมืองหลวงจักรพรรดิ ขณะเดียวกันขั้วอำนาจในเมืองหลวงจักรพรรดิมากมายล้วน กำลังจับตามอง
สำหรับพวกเขา พวกสวี่ชิงที่มาจากเขตปกครองผนึก สมุทรล้วนเป็นคนแปลกหน้า ทั้งเบื้องหลังก็น่าครั่นคร้าม แต่ ความเข้าใจของพวกเขาส่วนใหญ่มาจากรายงานรวมถึงข้อมูล
ไม่เคยได้สัมผัสจริงๆ
และความสลับซับซ้อนนี้ในเมืองหลวงจักรพรรดิที่ยาก จะเข้าใจ ไม่มีทางสัมผัสกับคนแปลกหน้าได้ง่ายๆ
ดังนั้นการจับตาดู จึงเป็นสิ่งที่ขั้วอำนาจส่วนใหญ่ใน เมืองหลวงจักรพรรดิตอนนี้เลือกใช้
พวกเขาก็ยินดีที่เห็นคนอื่นลงมือตรวจสอบเรื่องราว จากนั้นตนจะได้นำมาตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรในอนาคต ถึงอย่างไรโลกใบนี้ก็ไม่ได้มีเพียงดำกับขาว จุดยืน ผลประโยชน์ ล้วนตัดสินจากการกระทำ สถานะสหายหรือ ศัตรู ก็จะเปลี่ยนไปตามหน้ากากที่อยู่ในใจ
และระหว่างที่เปลี่ยนแปลง บางครั้งก็ชั่วพริบตา บางครั้ง ก็ค่อยเป็นค่อยไป ทุกอย่างอยู่ที่ความต้องการ
เผ่ามนุษย์เป็นเช่นนี้ เผ่าต่างๆ ก็เป็นเช่นนี้ นี่เป็นสิ่งที่ แสดงให้เห็นความซับซ้อนของมนุษย์ และเป็นองค์ประกอบที่ สังคมมี
ขณะที่หลายฝ่ายจับจ้อง เอ้อร์หนิวที่อยู่ด้านนอกค่ายกล ใบหน้าแย้มยิ้ม หันหน้าไปมองสวี่ชิง
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าเห็นว่าอย่างไร”
สวี่ชิงสีหน้าเรียบเฉย มองค่ายกลตรงหน้า เอ่ยเสียงตํ่าทุ้ม
“ในเมื่อมีคนอยากดู ก็ให้พวกเขาดูไป”
สวี่ชิงพูดพลางก้าวเข้าไปในค่ายกลตรงหน้า เขามั่นใจในผลึกวารีสีม่วงของตนมาก ไม่ว่า จะจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลหรือซื่อหมู่ก็ไม่เคยสัมผัสผลึกวารีสีม่วงในตัวเขาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงค่ายกลเลย
และนอกจากผลึกวารีสีม่วง สวี่ชิงก็ไม่มีอะไรต้องปิดบัง ตอนนี้ที่ก้าวเดินไป เสี้ยวขณะที่เขาเหยียบลงบนค่ายกล ค่ายกลก็แผ่ระลอกคลื่นออกมา ปกคลุมร่างเขาไว้ การตรวจ สอบ…เริ่มต้นขึ้น
พลังการตรวจสอบเพิ่งจะทำงาน ค่ายกลก็ปั่นป่วนทันที แสงสีน้ำเงินกะพริบวูบวาบ ปกคลุมไปทั่วสารทิศ
สีนํ้าเงิน หมายถึงค่ายกลยกระดับขึ้นในระดับหนึ่ง สวี่ชิงสัมผัสได้วาการเปลี่ยนแปลงของค่ายกลเกิด จากร่างเทพเจ้าของตน เห็นได้ชัดว่ากายเนื้อของตนกระตุ้นค่ายกลนี้ไม่น้อย
ในเมืองหลวงจักรพรรดิ ขั้วอำนาจต่างๆ ที่จับตาดูทางนี้ ก็พากันครุ่นคิด และพริบตาต่อมาใจพวกเขาก็มีระลอกคลื่น เล็กน้อย
เพราะจากการก้าวไปด้านหน้าของสวี่ชิง จากการ ตรวจสอบที่ลํ้าลึกขึ้น ค่ายกลขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเมืองหลวง จักรพรรดิก็เปลี่ยนสีอีกครั้ง จากสีนํ้าเงินกลายเป็นสีเหลือง ค่ายกลครืนครัน ยกระดับอีกครั้ง!
ครั้งนี้สวี่ชิงก็สัมผัสถึงต้นที่มาได้เช่นกัน นั่นเป็นผล มาจากสมบัติเทพของตน ส่วนด้านหลังเขา เวลานี้ก็จำแลง สมบัติเทพออกมาขณะที่ค่ายกลบิดเบี้ยว
หากเป็นเช่นนี้อันที่จริงก็ยังพอทำเนา แม้แสงสีเหลืองของค่ายกลจะปรากฏขึ้นไม่บ่อยนัก แต่สำหรับผู้มีอำนาจและฝ่ายต่างๆ ในเมืองหลวงจักรพรรดิยังพอรับได้
ทว่าชั่วพริบตา ความคิดของพวกเขาก็เปลี่ยนไป เพียง เห็นวัตถุทรงกลมลูกหนึ่งที่เอวสวี่ชิงกำลังลอยขึ้นมาเองด้วย การถูกกระตุ้นของค่ายกลนี้
แสงเจิดจ้าพร่างพราย!
การลอยขึ้นและการเปล่งแสงออกมา ก็ทำให้ค่ายกล เมืองหลวงจักรพรรดิส่งเสียงแหลมหวีดหวิวเต็มไปด้วย
ความเร่งด่วน ขณะที่สะท้อนก้องไปแปดทิศ ก็ทำให้ฝ่ายต่างๆ ที่จับตามองระแวดระวังทันที
สีของค่ายกล เปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีส้ม!
นั่นเป็นการเตือนภัยที่รุนแรงอย่างหนึ่ง หมายถึงวิกฤต หมายถึงอันตราย!
องค์หญิงอันไห่ที่อยู่ไม่ไกล ตอนนี้สีหน้าก็เปลี่ยนไป มอง สวี่ชิงเดินเข้าไปในค่ายกล จิตใจของนางโหมซัด
“เขามีดวงตะวันแห่งแสงอรุณจริงๆ!”
แต่ยังไม่จบเท่านี้ สวี่ชิงเดินต่ออีกก้าว เลือดเนื้อซื่อหมู่ บนตัวเขา ก็เปล่งแสงเลือดสีชาดออกมาจากในสมบัติเทพและ ในถุงเก็บของ
แสงเลือดนี้พวยพุ่งขึ้นมาอย่างน่าตกตะลึง กลิ่นอาย เทพเจ้าปกคลุมฟ้าดิน สั่นคลอนค่ายกล ทำให้ค่ายกลตอนนี้ ปะทุขึ้นจนถึงขีดสุด ขณะที่ผันผวนอย่างรุนแรง เจดีย์ทมิฬทั้ง หมดกำลังสั่นสะเทือน จากนั้นแสงค่ายกลก็เปลี่ยนเป็นสีแดง!
เตือนภัยสีแดง!
เสี้ยวขณะนี้ ขั้วอำนาจต่างๆ ในเมืองหลวงจักรพรรดิก็ พากันเคร่งขรึม ส่วนพวกที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดก็เคร่งขรึมเช่นกัน
“เลือดเนื้อซื่อหมู่!”
“ได้ยินว่าเขาแค่ช่วย แต่การเข้าร่วมไม่มีหลักฐานแน่ชัด ตอนนี้ดูท่าจะไม่ใช่เช่นนั้นแล้ว!”
“เขาไม่ใช่แค่ร่วมสังหารซื่อหมู่ แต่ได้รับเลือดเนื้อของ นางมาด้วย!”
ขณะที่ฝ่ายต่างๆ กำลังสั่นสะท้าน เลือดเนื้อซื่อหมู่ รวมถึงดวงตะวันบรรพกาลก็ถูกกระตุ้นขึ้นพร้อมกัน ทำให้ระหว่างพวกมัน มีแนวโน้มว่าจะเกิดการผสานกันในระดับหนึ่ง
แนวโน้มนี้ไม่ใช่ง่ายดายเช่น 1+1…
ดังนั้นชั่วพริบตา สีของค่ายกลเมืองหลวงจักรพรรดิ ก็ เปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีดำทันที!!
ผืนดินทั้งหมดในเมืองหลวงจักรพรรดิสั่นสะท้าน เปิด การป้องกันจากศูนย์กลางเผ่ามนุษย์ทั้งหมดรอบด้านในเสี้ยว ขณะนี้ กระทั่งมีเสียงระฆังโบราณดังก้องไปทั้งเมืองหลวง จักรพรรดิ
เหงง…หงาง…เหงง…
เสียงระฆังโบราณสะท้อนก้องฟ้าดิน สั่นคลอนจิตใจคน และยิ่งเร่งจังหวะขึ้นเรื่อยๆ และเสี้ยวขณะนี้ขั้วอำนาจต่างๆ ใน เมืองหลวงจักรพรรดิก็พากันใจสั่นสะท้าน
ยิ่งมีกลิ่นอายที่น่าครั่นคร้ามหลายสายระเบิดออก มาจากในเมืองหลวงจักรพรรดิ พวยพุ่งมายังที่แห่งนี้
นายกองทางนั้นก็ตกใจ ทุกคนที่มาจากเขตปกครองผนึก สมุทร สีหน้าเคร่งขรึม จิตสังหารปะทุออกมา ดวงตาหลี่อวิ๋น ซานฉายประกายเย็นเยียบ ดวงตาหงส์ของจื่อเสวียนมี แสงหม่นพาดผ่าน มองไปทางดาราจักรพรรดิโบราณ เมฆหมอกบนดาราจักรพรรดิโบราณเวลานี้เคลื่อน คล้อยเร็วขึ้นแบบแทบจะสังเกตไม่เห็น
เห็นว่ามหันตภัยกำลังจะเกิดขึ้น จู่ๆ นายกองทางนั้นก็ ตะโกนออกไป
“เจ้าแดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ของเรารับราชโองการของ จักรพรรดิให้มาที่นี่ พวกเจ้าใช้ค่ายกลนี้หมิ่นเกียรติ ยิ่ง บีบบังคับให้เจ้าแดนของข้าระเบิดพลังออกมาเอง นี่ หมายความว่าอย่างไร!”
“หรือจะแยกคลื่นศักดิ์สิทธิ์ออกจากแดนใหญ่เมืองหลวง จักรพรรดิ ทำให้เผ่ามนุษย์ของเราแตกแยก เรื่องนี้…เป็น เจตนาร้าย!”
ผู้ที่อยู่เบื้องหลังหน้าเปลี่ยนสี พวกเขาอยากจะตรวจสอบสวี่ชิงสักเล็กน้อยเท่านั้นจริงๆ แต่ผลลัพธ์ ทำให้ พวกเขารู้สึกตัวว่าเรื่องนี้บานปลายใหญ่ไปแล้ว!
ใหญ่จนพวกเขาไม่อาจแบกรับได้
พวกเขาแค่อยากข่มขู่สวี่ชิง ไม่ได้อยากจะโหมลมพายุที่นี่
แต่ชั่วพริบตาสถานการณ์ก็ดำเนินไปไกลในระดับที่
เกือบจะควบคุมไม่ได้ ราคาที่ต้องจ่ายนี้พวกเขาแบกรับไม่ไหว
เตือนภัยสีดำ นั่นแทบจะเป็นขีดจำกัดของวิกฤตแล้ว
อีกทั้งทุกคนก็มองออกว่าวิกฤตจากร่างสวี่ชิงถูกค่ายกล กระตุ้นขึ้นมา เขาไม่ได้เป็นคนสำแดงออกมาเอง
ดังนั้นพริบตาต่อมา การกระทำของพวกเขาก็ถูกฝ่ายต่างๆ ใช้วิธีที่หลากหลายยับยั้งและตำหนิทันที ยิ่งวังพิธีการที่รับผิดชอบค่ายกลยังแทรกแซง ทำให้คลื่นพลังของค่ายกล ใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิลดระดับลง ลดแรงกระตุ้น
ไม่นานกระบวนการนี้ก็เสร็จสิ้นไม่กี่อึดใจต่อมา ค่ายกล ที่ปกคลุมบนร่างสวี่ชิงก็กลับสู่สภาพปกติไม่ตรวจสอบอีก เปลี่ยนเป็นอ่อนโยน
ส่วนนายกองและหลี่อวิ๋นซานอีกทั้งจื่อเสวียนรีบพุ่งเข้า ไปหาสวี่ชิงที่ยืนหลับตาอยู่ตรงนั้น ทำปางมือรอบตัวเขาเพื่อ ช่วยสะกด
ขณะที่ขั้วอำนาจต่างๆ กำลังจับตามอง ครู่ต่อมา สวี่ชิงก็ ลืมตาขึ้น
ในที่สุดการผสานของดวงตะวันบรรพกาลและเลือดเนื้อซื่อหมู่บนร่างเขาก็ถูกยับยั้ง
นายกองสูดลมหายใจลึกๆ มองไปทางสวี่ชิง หัวเราะแห้งๆ เขาค่อนข้างแยกไม่ออกว่าเมื่อครู่นี้สวี่ชิงคิดจะผสานกันจริง หรือไม่ หรือแค่แกล้งขู่เท่านั้น
แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาสัมผัสความบ้าคลั่งนี้ได้แล้ว ขั้ว อำนาจฝ่ายต่างๆ ของแดนใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิ…ก็สัมผัสได้เช่นกัน
จื่อเสวียนไม่พูดอะไรมาก ช่วยสวี่ชิงจัดเสื้อผ้า มองตาเขา ขณะที่สีหน้าอ่อนโยนก็มีความแน่วแน่
สวี่ชิงยิ้ม พยักหน้าให้จื่อเสวียน จากนั้นก็มองนายกอง กะพริบตาปริบๆ แล้วเดินไปด้านหน้า
ค่ายกลที่อ่อนโยนขจัดสิ่งกีดขวางเบื้องหน้าเขา ทำให้สวี่ชิงรวมถึงทุกคนจากเขตปกครองผนึกสมุทรเดินเข้าไปในค่ายกลได้อย่างราบรื่น เสี้ยวขณะที่เหยียบผืนแผ่นดินเมืองหลวงจักรพรรดิ สวี่ชิงมองไปข้างหน้าไกลๆ
เบื้องหน้าเขา เป็นถนนหยกขาวกว้างใหญ่เส้นหนึ่ง ถนนที่กว้างใหญ่เช่นนี้ในวงแหวนชั้นในมีอยู่นับพันเส้น ราวกับเป็นเส้นแสงของดวงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาหลายสาย เปล่งประกายเจิดจ้า เชื่อมกับพื้นที่ในเมืองทั้งหมด
ในพื้นที่ที่ไกลออกไป มองเห็นสิ่งปลูกสร้างมากมาย หลังคาสีแดงอิฐสีขาว ขนาดไม่เทากัน แม้จะโบราณแต่ เต็มไปด้วยความตระการตา ทำให้รู้สึกถึงความสง่างาม ทรงพลัง
ตัดสลับด้วยหอ 5 เหลี่ยม 3 ชั้น มีเอกลักษณ์เป็นอย่างยิ่ง
รายละเอียดแต่ละแห่งงดงามหรูหรา สอดคล้องกับรูปแบบเคร่งขรึมและเด็ดเดี่ยว ทอดยาวอยู่บนผืนแผ่นดินของวงแหวนนี้ ประกอบกันเป็นเมืองมหาอำนาจอันดับหนึ่งของเผ่ามนุษย์
ในเมืองมีสิ่งปลูกสร้างแห่งหนึ่ง แม้จะอยู่ห่างไกล แต่ยัง เด่นสะดุดตา นั่นคือหอสูง 8 เหลี่ยมที่สร้างจากไม้สีขาวทั้งหลัง ราวกับวิหารแห่งสวรรค์ที่สูงเสียดฟ้า ความสูงของมันกระทั่งสูงกว่ารูปสลักที่ชายแดน
ยอดอยู่ในชั้นเมฆ ขณะที่ปราณหมอกลอยอวล เหมือน เห็นศาลาหลังหนึ่งอยู่ในนั้นรางๆ รอบด้านมีมังกรโบยบิน ฉวัดเฉวียน เปี่ยมไปด้วยความมงคล
“ที่นั่นคือหอเด็ดดาราที่พำนักของราชครู”
“ราชครูลึกลับมาก ปกตินอกจากเสด็จพ่อเรียกเข้าเฝ้า ไม่เช่นนั้นจะไม่พบปะผู้ใดเลย ต่อให้เป็นข้าก็ไม่เคยเห็นแม้แต่ เงาด้านหลัง”
องค์หญิงอันไห่สูดลมหายใจลึก จัดการอารมณ์เล็กน้อย มายืนอยู่ข้างๆ สวี่ชิง สังเกตเห็นสายตาของเขา จึงเอ่ยอย่าง ถอนใจ
สวี่ชิงจับจ้องไปที่หอเด็ดดารา พยักหน้า “และในเมืองหลวงจักรพรรดิ นอกจากวังจักรพรรดิแล้ว ยังมีอีก 10 วัง หรือก็คือ 5 วังทมิฬบนรวมถึง 5 วังทมิฬล่าง “นี่เป็นระเบียบโบราณ ปกติ 5 วังทมิฬบนในดินแดน ปิดล้อมจะตั้งกรมครองกระบี่ กรมอาญารวมถึงกรมพิธีการขึ้นมา แต่ในเมืองหลวงจักรพรรดิยังมีวังโองการจำเพาะที่ รับผิดชอบติดต่อกับภายนอกรวมถึงงานวาระพิเศษ และวัง สุดท้ายคือวังรังสรรค์อีกแห่งที่คอยศึกษาวิชาเซียนรวมถึง เทพเจ้าโดยเฉพาะ”
“5 วังทมิฬบน ทุกวังเป็นเสาหลักคํ้าฟ้าของเผ่ามนุษย์ พวกเขารักษาศักดิ์ศรีของเผ่ามนุษย์ ณ โลกภายนอก”
“ส่วน 5 วังทมิฬล่าง ส่วนใหญ่เน้นการปกครองภายใน แบ่งออกเป็นวังปกครอง วังสันติบาล วังบริพาร วังศึกษาและ วังพลเรือน”
จากการแนะนำขององค์หญิงอันไห่ สวี่ชิงก็ถอนสาย ตากลับมาจากหอเด็ดดารา ทอดสายตามองออกไป
เขตเมืองตรงหน้าที่ปลายสายตา มองเห็นถนนที่ถูกปู เป็นสีรุ้งเส้นหนึ่งได้ มันกว้างใหญ่จนน่าตื่นตะลึง พาดจาก วงแหวนชั้นใน พาดผ่านความว่างเปล่าตรงไปที่ดารา จักรพรรดิโบราณ
และปลายถนนเส้นนี้ ก็คือบริเวณที่อยู่ใกล้ดารา จักรพรรดิโบราณ มีวังจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่วังหนึ่งตั้งอยู่บนสายรุ้ง
วังจักรพรรดินี้ราวกับลอยอยู่บนความว่างเปล่า ดูแล้ว ยิ่งใหญ่ทรงพลัง แสงสีทองเจิดจ้าไปทั้งหลัง และเห็นลวดลาย แกะสลักได้ ด้านในเป็นหยกวาวระยับชั้นดี ตำหนักแต่ละหลัง
ตั้งสลับซับซ้อนกันราวกับเป็นอนุสรณ์สถานลึกลับน่าอัศจรรย์ใจ
มองไกลๆ ราวกับเป็นประตูของดาราจักรพรรดิโบราณ! เนื่องจากอยู่ห่างกันมาก อีกทั้งกลิ่นอายของดารา จักรพรรดิโบราณก็ยิ่งใหญ่มหาศาลเกินไป พลังอำนาจของตัว วังจักรพรรดิจึงผสานไปกับดวงดารา ยากจะโดดเด่นขึ้นมา แต่ด้วยพลังอำนาจนี้ก็ยังทำให้จิตใจผู้คนสั่นสะท้านได้
และขณะที่องค์หญิงอันไห่แนะนำ เสี้ยวขณะที่สวี่ชิงมอง วังจักรพรรดิ ก็มีสายตาหนึ่งจับจ้องมาที่สวี่ชิงจากด้านในวัง จักรพรรดิซึ่งน้อยคนนักที่สัมผัสได้
จากนั้นก็เบนสายตาไปที่จื่อเสวียน ผ่านไปสักพัก ก็ถอนสายตากลับไป ขณะเดียวกัน ราชครูผมประบ่าสีม่วงในชุดคลุมยาว สีม่วงยืนในหอเด็ดดาราที่สูงเสียดเมฆในเมืองหลวงหอนั้น ปลอยให้ลมพัดผ่านอาภรณ์
สีหน้าเขาอ่อนโยน มองลงมาที่พื้นดิน มุมปากยกขึ้น ยิ้ม เล็กน้อย
“น้องชาย ในที่สุดเจ้าก็มาเสียที”
ขณะเดียวกัน ศาลเจ้าไว้สำหรับบูชาแห่งหนึ่งใน โถงบรรพบุรุษซึ่งตั้งอยู่ในส่วนลึกของหอนางโลมหรูหรา อลังการที่มีเสียงโสเภณีดังออกมาในเมืองหลวง ในศาลเจ้านั้นมีจิ้งจอกดินเหนียวองค์หนึ่ง…
ตอนนี้เอง จิ้งจอกดินเหนียวสั่นไหวเล็กน้อย ทำจมูก ฟุดฟิด
“กลิ่นปราณพลังหยางของเจ้าน้องชายตัวแสบนี่นา…”
