บทที่ 749 ยืมแล้วก็ต้องคืน
วงแหวนชั้นในดาราจักรพรรดิโบราณ ด้านนอกเมืองหลวงเผ่ามนุษย์ ปลายทางของถนนหยกขาว หลี่อวิ๋นซาน รวมถึงผู้ครองกระบี่อีกสามหมื่นคนไม่ได้เข้าไปในเมือง
แม้ว่าคนจำนวนเท่านี้ไม่นับเป็นอันใดสำหรับเมืองหลวง จักรพรรดิ แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าเกินขอบเขตอำนาจ
จุดนี้หลี่อวิ๋นซานทราบดี ดังนั้นหลังจากส่งสวี่ชิงที่ สุดถนนหยกขาว เขาก็พาผู้ครองกระบี่ไปตั้งค่ายพักแรม เพียงให้ซ่งเสียงหลงนำผู้ครองกระบี่ 100 คนติดตามสวี่ชิงเข้า เมืองไปพร้อมกับองค์หญิงอันไห่
เนื่องจากความโกลาหลของค่ายกลก่อนหน้านี้ ดังนั้น เดิมทีในเมืองหลวงที่มีผู้คนพลุกพล่าน ตอนนี้จึงโล่งขึ้นมาก ต่อให้คลี่คลายวิกฤตของค่ายกลไปแล้ว แต่ผู้คนที่สัญจรไปมาก็น้อยกว่าก่อนหน้านี้
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ กวาดตามองไปยังดูคึกคักกว่า
เมืองหลวงเขตปกครองผนึกสมุทร อีกทั้งก็ยิ่งคึกคักมากขึ้น
เรื่อยๆ
ตอนนี้ องค์หญิงอันไห่พาพวกสวี่ชิงเข้าเมืองหลวงพลาง เอ่ยขึ้นว่า
“สวี่ชิง ในเมืองหลวงจักรพรรดิของพวกเรานอกจาก 5 วังทมิฬบนและ 5 วังทมิฬล่างแล้ว ยังมีฝ่ายอื่นที่ต้อง ระมัดระวังเวลาเผชิญหน้าด้วย
“เช่นจวนอ๋องสวรรค์ทั้ง 33…ที่ตอนนี้เหลือแค่ 32 แล้ว”
คำพูดขององค์หญิงอันไห่ชะงักไปครู่หนึ่ง
“นอกจากนี้ ยังมีพวกขุนนางอาวุโสในราชสำนัก อย่าง อัครเสนาบดี เสนาบดีและมหาเสนา 108 โหวนภา รวมถึงจวนองค์ชาย
“องค์ชายทุกคน ล้วนมีคุณสมบัติในการเปิดจวนทั้งสิ้น แต่จำกัดอยู่แค่ในเมืองหลวงเท่านั้น
“ส่วนหลังจากนั้น คือ 10 สุดยอดสำนักแห่งเผ่ามนุษย์ สำนักเหล่านี้ขุมพลังลึกล้ำ กระทั่งบางส่วนยังสืบย้อนได้ ถึงยุคสมัยจักรพรรดิโบราณ
นายกองฟังถึงตรงนี้ ก็กะพริบตาปริบๆ มองไปทางองค์หญิงอันไห่
“ข้าได้ยินว่ามีสำนักที่มีชื่อเสียงมาก ชื่อว่า…วังเซียน คิมหันต์ใช่หรือไม่พะยะค่ะ’’
ชื่อนี้ทำสวี่ชิงใจกระตุก มองไปทางองค์หญิงอันไห่เช่นกัน
ยังมีหนิงเหยียน แม้เขาจะเข้าใจเรื่องเหล่านี้อยู่บ้าง แต่ เห็นได้ชัดว่ายังไม่มากเท่าอันไห่ จึงเงี่ยหูฟังเช่นกัน อู่เจี้ยนอูก็ยิ่ง ตื่นตัว ขอแค่เกี่ยวข้องกับเสวียนโยวล้วนเป็นสิ่งที่เขายึดมั่นทั้งสิ้น
ทว่าซ่งเสียงหลงกลับไม่สนใจ เขาปฏิบัติตามหน้าที่ตน คุ้มครองสวี่ชิง คอยสังเกตไปทั่วสารทิศ
องค์หญิงอันไห่ได้ยินก็พยักหน้า เอ่ยแนะนำต่อ “10 สุดยอดสำนักนี้แบ่งเป็น…สำนักยอดจักรพรรดิดารา ที่ก่อตั้งขึ้นโดยจักรพรรดิซิงคง หน่อพิสดารจักรวาลมรกตของ อ๋องสวรรค์อวี่หลิง สำนักภูตทมิฬที่ครอบครองวิถียมโลก สำนักเดือนครามสูงสุดของสายโลหิตราชครู
“รวมถึงสำนัก 9 ลี้เพลิงทมิฬที่ก่อตั้งขึ้นในยุคหลัง หอ เลือนโลกีย์ที่ค้าขายในแดนใหญ่หลายแห่ง ยังมีลัทธิสาขาของ ลัทธินอกวิถีเผ่ามนุษย์ที่พลังอำนาจน่าครั่นคร้าม รวมถึง สัจจะวาจาที่บูชาเสี้ยวหน้าเทพเจ้าและตามหาบุตรเทวะ มาโดยตลอด ยังมีวิถีซ่อนดินซึ่งตั้งอยู่ใต้หุบเหวแดนใหญ่ เมืองหลวงจักรพรรดิคอยรับผิดชอบภารกิจพิเศษ”
คำกล่าวเหล่านี้ขององค์หญิงอันไห่แฝงไว้ด้วยข้อมูล มากมาย ราวกับทุกสำนักล้วนมีความพิเศษของแต่ละสำนัก อย่างลัทธินอกวิถี สวี่ชิงรู้มานานแล้วว่านั่นเป็นขั้วอำนาจ สำนักสุดยอดที่กระจายตัวอยู่ทั่วแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ หลักคำสอนของที่นั่นคือการไปจากแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ตามหาแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่ละเผ่าล้วนมีคำสอนนี้อยู่ และเจ้าลัทธินั้นก็ลึกลับ เรื่องที่สวี่ชิงรู้คือหัวหน้าของ พวกเขาถูกเรียกว่า ต้าซือมิ่ง
แล้วก็วิถีซ่อนดินนั่น องค์หญิงอันไห่ไม่รู้ภารกิจของพวกเขา เป็นเพราะนางไม่เข้าใจนภาจรัส ทว่าหลังจากสวี่ชิงได้ยิน ก็คาดเดาได้ทันที
สำนักที่อยู่ในหุบเหว ภารกิจไม่มีอะไรมากไปกว่า ..การเฝ้าประตู
ส่วนสัจจะวาจา สวี่ชิงเคยได้ยินมานานแล้วตอนอยู่ที่ ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ เขารู้ว่ามีคนกลุ่มนี้อยู่ อีกฝ่ายลึกลับมาก สวี่ชิงก็ได้พบปะน้อยมาก
เวลานี้ถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุดของเมืองหลวงจักรพรรดิ
“สัจจะวาจา บูชาเสี้ยวหน้าเทพเจ้าหรือพะยะค่ะ” สวี่ชิงมองอันไห่ ดวงตาฉายแววสงสัย องค์หญิงอันไห่ถอนหายใจเบาๆ “มีทั้งคนศรัทธาและรังเกียจ เช่นนั้นก็ย่อมมีการบูชา ทุก เผ่าล้วนเป็นเช่นนี้ สัจจะวาจาเป็นกลุ่มคน เช่นเดียวกับลัทธินอกวิถี เผ่าต่างๆ ล้วนมี”
“ส่วนหลักคำสอนของพวกเขา คือตามหาบุตรเทวะ …พวกเขาเชื่อว่า คนที่ยังมีชิวีตอยู่ท่ามกลางการลืมตาของ เสี้ยวหน้าเทพเจ้าได้โดยไม่แตกดับ ถือเป็นที่โปรดปรานของ
เทพเจ้า มีศักยภาพที่จะกลายเป็นบุตรเทวะ จึงออกค้นหาคน เช่นนี้ไปทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์”
“กระทั่งได้ยินว่า พวกเขาเชื่อว่าจะต้องมีสิ่งมีชีวิตที่ทน รับการลืมตาของเสี้ยวหน้าเทพเจ้าหลายครั้งโดยไม่ตาย คน เช่นนั้นจะไม่ใช่ที่โปรดปรานของเทพเจ้า แต่นั่นคือบุตรเทวะที่ พวกเขาตามหา”
“หลังจากหาพบ ขอแค่น่าสิ่งมีชีวิตนั้นมาเป็นอาหารเพื่อ เซ่นสังเวย พวกเขาก็จะได้รับพลังเทพเจ้ามา’’
คำพูดขององค์หญิงใหญ่ ทำให้สวี่ชิงเงียบนิ่ง “และสุดท้ายก็คือวังเซียนคิมหันต์ที่พวกท่านพูดถึงก่อนหน้านี้”
“วังนี้พิเศษอย่างยิ่ง เล่ากันว่าวังเซียนคิมหันต์นี้ เป็น สำนักแรกที่ปรากฏขึ้นมาท่ามกลางหมื่นเผ่าในแผ่นดินใหญ่ ต้องประสงค์ อีกทั้งวังเซียนคิมหันต์ตอนแรกไม่ได้มีแค่เผ่ามนุษย์”
“ต่อมาวังเซียนคิมหันต์ก็กระจายตัวออกไป ในหลายๆ เผ่าใหญ่ล้วนมีวังนี้อยู่ทั้งสิ้น”
“กระทั่งลือกันว่าก่อนรัชสมัยจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว วังเซียนคิมหันต์ติดต่อกับวิถีสวรรค์ ยกตนอยู่เหนืออำนาจ จักรพรรดิในระดับหนึ่ง สาเหตุที่จักรพรรดิวิญญาณบรรพกาล ในตอนนั้นต้องการแทนที่วิถีสวรรค์ ก็เกี่ยวข้องกับการเป็น
ศัตรูกับวังนี้ด้วย”
“จนกระทั่งจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวสืบทอดต่อจาก จักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลรวมต้องประสงค์ให้เป็นหนึ่ง ล้มล้างระบบวังเซียนคิมหันต์ ทำให้อำนาจจักรพรรดิเหนือทุกสิ่ง ยิ่งมีข้อตกลงกับวังเซียนคิมหันต์ของเผ่าอื่น”“ภายหลังวังเซียนคิมหันต์จึงปิดวังอยู่ตลอดทั้งปี
ไม่ติดต่อกับโลกภายนอกมากนัก ทุกพันปีจะมีศิษย์ออกมาคน หนึ่ง ไม่เข้าร่วมข้อพิพาท เลือกเพียงบันทึกประวัติศาสตร์ของ เผ่าที่มีในรอบพันปีเท่านั้น”
“ต่อให้ตอนนี้ วังเซียนคิมหันต์ก็เป็นเช่นนี้ ปฏิบัติตาม ข้อตกลงของจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว”
ขณะที่กำลังเอ่ย ทุกคนก็เดินผ่านหอสูง 8 เหลี่ยม เหมือนหอสักการะสูงเสียดฟ้าที่สร้างขึ้นจากไม้ขาวทั้งหมดแห่งนั้น
รอบๆ หอสูง มีกำแพงสีขาวล้อมรอบ รอบด้านมีคลื่นพลังว่างเปล่า ขัดขวางผู้ที่เข้าใกล้ทุกคน
“ราชครูที่มาจากสำนักเดือนครามสูงสุด อยู่แต่ในหอ เด็ดดาราแห่งนี้ตลอด ต่อให้เป็นเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์หรือ ขุนนางชั้นสูงมากมาย ก็ยังไม่มีโอกาสได้พบหน้าเขา มีเพียง เสด็จพอกับองค์ชายสี่เท่านั้นที่เคยเห็นหน้า”
“องค์ชายสี่ เป็นน้องชายของราชครู”“ว่ากันวาราชครูติดต่อกับสวรรค์ได้ มีแผนการแยบยล น่าตื่นตะลึง”
องค์หญิงอันไห่เงยหน้ามองไปทางชั้นเมฆ ที่นั่นมีปราณ หมอกลอยอวล มองเห็นศาลาหลังหนึ่งได้เลาๆ มังกรโบยบินไปมา เปี่ยมไปด้วยความมงคล
สวี่ชิงกวาดตามอง พยักหน้าเล็กน้อย และจากการที่ติดตามองค์หญิงอันไห่มาถึงตรงนี้ นางบอกเล่าขั้วอำนาจ ทั้งหมดในเมืองหลวงจักรพรรดิออกมาอย่างจริงใจยิ่ง ยามนี้นางมองไปทางสวี่ชิง
“คุณชาย อันไห่ก็ต้องกลับวังแล้ว สถานการณ์ใน เมืองหลวงจักรพรรดิพลิกผันอยู่ตลอดเวลา ใจคนที่นี่ซับซ้อน แต่ละฝ่ายยุ่งเหยิง หวังว่าคุณชายจะหูตากว้างไกล จำแนกแยกแยะอย่างรอบคอบได้’’
อันไห่พูดจบก็ย่อกายคารวะ สวี่ชิงคารวะตอบ เขาสัมผัส ถึงความเป็นมิตรขององค์หญิงอันไห่ได้อย่างชัดเจนตลอดทาง ในเมื่อผู้อื่นมีเจตนาดีกับตน เขาก็ย่อมตอบแทนกลับเช่นกัน
“หวังว่าทุกอย่างจะราบรื่นปลอดภัย หลังจากนี้ หาก คุณชายต้องการอันใดในเมืองหลวงจักรพรรดิโปรดแจ้งมาได้เลย’’
อันไห่ยิ้ม หันหลังเดินจากไป
มองแผนหลังขององค์หญิงอันไห่ หนิงเหยียนที่อยู่ข้างๆ ก็กะพริบตาปริบๆ กำลังจะอ้าปากเอ่ยอะไร แต่เมื่อเห็นจื่อเสวียนที่อยู่ไม่ไกล เขาก็เลือกปิดปากเงียบ
แต่สายตาจื่อเสวียนเห็นพฤติกรรมของเขาทั้งหมดได้อย่างชัดเจน จึงเอ่ยเสียงเรียบ
“หนิงเหยียน ไปที่จวนของเจ้าเถอะ”
หนิงเหยียนรีบพยักหน้า เดินนำทางไปยังจวนของเขาใน เมืองหลวงจักรพรรดิ
ในฐานะองค์ชาย หลังจากเติบใหญ่ก็จะออกไปอยู่
ด้านนอก ทุกพระองค์จะมีจวนของตัวเองในเมืองหลวง จวน ของหนิงเหยียนอยู่บริเวณทางเหนือของเมืองหลวง เทียบกับ ที่อื่นแล้วค่อนข้างไกล
แต่หากมองอีกมุม นับว่าที่แห่งนี้สงบมาก โดยเฉพาะขนาดของจวนที่กว้างขวาง มี 3 ชั้น ด้านนอกยังมีทะเลสาบที่ใสราวกระจกอีกแห่ง เมื่อสร้างรวม กับจวนไม่ว่าจะทิวทัศน์หรือบรรยากาศ ล้วนมีรสนิยมอย่างยิ่ง อีกทั้งมีลักษณะประณีต สง่างาม ตามเหลี่ยมมุมของ จวนยังมีพวกกระดิ่งแขวนเอาไว้ ยามลมพัด ผิวทะเลสาบเกิด ระลอกคลื่น ขณะที่พัดพาความหนาวเย็นมา ก็มีเสียงใสดัง กังวานจากทั่วสารทิศ
มองที่นี่ไกลๆ ในดวงตาจื่อเสวียนฉายแววพอใจ ชื่นชอบ อย่างยิ่ง
สวี่ชิงก็มองออกว่าจวนแห่งนี้แตกต่างกับที่พักอาศัยอื่นที่ เห็นตลอดทาง นายกองข้างๆ ก็เอ่ยปากชม
“ที่นี่เมื่อลมโชยนํ้าก็เป็นระลอกคลื่น เสียงเปลี่ยนไปตาม หัวใจ แทรกซึมเข้าไปถึงจิตวิญญาณ ลักษณะโดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง โดยทั่วไปจะต้องมีสิ่งลํ้าค่าเกิดขึ้นในที่แห่งนี้เป็นแน่” เขาพูดพลางมองไปทางทะเลสาบตามสัญชาตญาณ เลียริมฝีปาก
“นี่เป็นที่ที่เสด็จแม่ของข้าตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อพวกเรายาม ยังมีชีวิต”
หนิงเหยียนมองจวนหลังนี้ด้วยสีหน้าหมองหม่น เอ่ย เสียงแผ่วเบา
จากนั้นก็เดินนำทางอยู่ด้านหน้า ไม่ได้เหาะเหินเดินอากาศ แต่เดินไปบนทะเลสาบโดยตรง
ทันทีที่เท้าของเขาแตะผิวน้ำ ปลาหลีฮื้อ 7 สีตัวหนึ่งก็ กระโดดขึ้นมาจากน้ำ แสงอาทิตย์ส่องลงมาที่ตัวปลา สีสันสวยงาม หนวดของมันยาวมาก มีน้ำสาดกระเซ็นขึ้นมา งดงามอย่างยิ่ง
จากนั้นปลาหลีฮื้อแบบเดียวกันก็กระโดดขึ้นมาจาก ผิวนํ้าเบื้องหน้าตัวแล้วตัวเล่าไม่หยุด พวกมันคล้ายมีสติปัญญา จำเจ้านายได้ ส่งพวกของสวี่ชิงไปจนถึงริมทะเลสาบ
แต่น่าเสียดาย ในตอนที่ขึ้นฝั่งมาอยู่หน้าประตูจวน สุนทรีภาพเช่นนั้นหายไปเล็กน้อยเพราะความทรุดโทรมของจวน
มองไกลๆ จวนนี้ยังดูดี แต่เมื่อเข้าใกล้ กลิ่นอาย เสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นตามกาลเวลา เพราะปกติไม่มีผู้ใด อยู่อาศัยปะทะมาที่หน้า
ประตูสีแดงกระดำกระด่าง กระดิ่งก็มีสนิมเกรอะ เมื่อ เปิดประตู วัชพืชขึ้นรกชัฏเต็มลานเรือน ความเงียบเหงาตลบอวล
หนิงเหยียนมองที่นี่พร้อมใจที่ขื่นขม ฝืนฉีกยิ้มออกมา มองไปทางสวี่ชิงกับนายกอง
“ข้ากลับมาแล้ว”
สวี่ชิงตบบ่าหนิงเหยียน ส่วนนายกองก็โบกมือใหญ่
“หนิงจื่อน้อย บ้านเจ้าไม่เลวเลย มาๆๆ พวกเรา เก็บกวาดกันสักหน่อย ข้ารู้สึกว่าที่นี่เป็นทำเลทองสุดยอด ฮวงจุ้ย จากที่ข้าอนุมาน เห็นได้ชัดว่าที่นี่เป็นที่เร้นกายมังกร บ่งบอกว่าอนาคตของเจ้าไม่ธรรมดา”
หนิงเหยียนตื้นตันใจ พยักหน้าหนักๆ จากนั้นก็ ทำความสะอาดจวนนี้พร้อมกับทุกคน
ไม่นานนัก จวนทั้งหลังก็สะอาดเรียบร้อยด้วยการทำ สะความสะอาดของพวกสวี่ชิง ซ่งเสียงหลงยิ่งพาผู้ครองกระบี่ ออกไปสำรวจรอบๆ อย่างละเอียด
ทว่าหนิงเหยียนทางนั้น หลังจากตรวจดูทุกห้อง สีหน้า หดหู่เล็กน้อย ยืนเหม่อลอยอยู่ที่นั้น สวี่ชิงเห็นก็เข้าไปถามไถ่
หนิงเหยียนลังเล สุดท้ายก็เอ่ยสาเหตุขึ้นมาเสียงตํ่าทุ้ม “มีของหายไปสองสามอย่างขอรับ มรดกที่เสด็จแม่ของข้าทิ้งไว้ให้ ตอนนั้นข้ารีบร้อนจากไป อีกทั้งของเหล่านั้นไม่อาจ พกติดตัวไปได้ทุกชิ้น จึงเก็บไว้ในบ้าน
“ตอนนี้หายไปแล้ว เมื่อครู้ข้าส่งสื่อเสียงถามเสด็จพี่ หญิงสาม นางช่วยข้าตรวจสอบให้ บอกว่าองค์ชายสิบแอบ มาเอาออกไป”
“ฝ่ายพระมารดาขององค์ชายสิบ มีเจิ้นเหยียนอ๋อง อ๋อง สวรรค์อันดับหนึ่งของเผ่ามนุษย์ในตอนนี้อยู่ แต่เสด็จพี่สิบ มีนิสัยชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ อ๋องสวรรค์อันดับหนึ่งจึงไม่ โปรดปราน ทว่าน้อยนักที่จะมีคนกล้าไปหาเรื่อง”
“ถ้าเขาเอาไป คงยากที่จะนำกลับมาได้”
หนิงเหยียนเอ่ยขึ้นอย่างขมขื่น สวี่ชิงได้ยินก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง หันหน้าไปมองซ่งเสียงหลง ดวงตาซ่งเสียงหลงฉายประกาย เมื่อสบตากับสวี่ชิง ก็รู้ว่าสวี่ชิงคิดทำอะไร
“พี่ใหญ่ซ่งขอรับ ให้คนนำแผ่นหยกแผ่นหนึ่งไปส่งที่จวน องค์ชายสิบ บอกอีกฝ่ายให้ส่งของที่ยืมไปกลับมาคืนภายใน หนึ่งวัน”
