บทที่ 767 วังศึกษาเผ่ามนุษย์
“วังหลวงของจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวในตอนนั้น
“หรือก็คือที่กราบไหว้บรรพบุรุษของเผ่ามนุษย์ในบัจจุบัน
“ข้าสัมผัสได้วา ตะเกียงดวงนั้น…อยู่ที่นั่นในส่วนลึกของ ดาราจักรพรรดิโบราณ”
ด้านนอกห้องหลอมยาลูกกลอนในจวนหนิงเหยียน จื่อ เสวียนยืนอยู่ที่ราวระเบียง เงยหน้ามองไปที่ดาราจักรพรรดิ โบราณบนท้องฟ้าไกลๆ
ยามนี้เป็นเวลาพระอาทิตย์ตกดิน ปราณหมอกที่ ไหลเวียนบนดาราจักรพรรดิโบราณซับสีเหลืองนวลของฟ้าดิน กลายเป็นเมฆหลากสี มองเห็นมังกรทองหลายตัวโบยบินอยู่ในนั้น กลืนกินดวงชะตา แผ่ความศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งแฝงความลึกลับเอาไว้
“ข้าลองอัญเชิญมา แต่ก็ล้มเหลว ที่ที่ตะเกียงดวงนั้นอยู่ มีผนึกต้องห้ามที่ไม่อาจสั่นคลอนได้ ผนึกเอาไว้อย่างแน่นหนา”
“หากคิดจะนำมันมา ข้าต้องเข้าไปด้านในดารา จักรพรรดิโบราณ”
“แต่ก่อนหน้านี้ข้ารู้สึกได้จากการสัมผัสว่าผนึกบนดารา จักรพรรดิโบราณมีตัวตนบางอย่างในอดีต ทั้งยังมีพวกชน รุ่นหลังให้การสนับสนุน หากข้าพยายามเข้าไป จะต้องโหม คลื่นลูกมหึมาขึ้นมาแน่”
“จึงอยากนำตะเกียงนั่นออกมาโดยไม่ดึงดูดความสนใจผู้ใด ข้าต้องการโอกาสที่จะเข้าไปในดาราจักรพรรดิโบราณได้อย่างราบรื่นสักครั้ง”
คิ้วงามจื่อเสวียนขมวดมุ่น โอกาสนี้หาได้ยากมาก ที่ สำคัญสุดก็คือ ตะเกียงดวงนั้น…ทำไมถึงอยู่ที่ดาราจักรพรรดิ โบราณ
แต่จุดนี้ หลังจากที่จื่อเสวียนมองสวี่ชิงก็ไม่ได้กล่าวอะไร นางไม่อยากให้สวี่ชิงต้องเสียสมาธิเพราะเรื่องนี้
สวี่ชิงเงียบนิ่ง สายตามองไปที่ดาราจักรพรรดิโบราณ ตามจื่อเสวียน ตกอยู่ในภวังค์ความคิด
ตำแหน่งที่จื่อเสวียนสัมผัสได้ ทำให้การจะนำตะเกียง ออกมาเปลี่ยนเป็นยากเย็นแสนเข็ญ ยากจะคาดเดาผล ซับซ้อนยากจะแยกแยะแจกแจง
ที่แห่งนั้นละเอียดอ่อนเกินไป อีกทั้งมีความสำคัญอย่างยิ่ง ผนึกไว้แน่นหนา เขาไปไม่ได้
พูดให้ถูกก็คือ ทอดสายตามองไปทั้งเผ่ามนุษย์ ผู้ที่ มีคุณสมบัติเข้าไปด้านในดาราจักรพรรดิโบราณนั้น มีเพียง คนเดียวตอนนี้
นั่นก็คือจักรพรรดิมนุษย์ มีเพียงเขาที่เปิดผนึกได้
ดวงตาสวี่ชิงฉายแววครุ่นคิด เรื่องที่จื่อเสวียนไม่เอ่ยออกมา เขาก็คิดได้แล้วเช่นกัน
ในตอนนั้นมีคนนำตะเกียงนั่นไปไว้ที่ดาราจักรพรรดิ โบราณ เดิมทีเรื่องนี้ก็มีความแปลกพิกลอยู่แล้ว ถ้าคิดโดย ใช้เหตุผลแบบย้อนกลับ อาจจะมีผู้ที่นำตะเกียงออกไปได้ หลายคน
แต่หลังจากได้ตะเกียงไป คนที่นำไปไว้ในดารา จักรพรรดิโบราณได้ ก็มีเพียงจักรพรรดิมนุษย์เท่านั้น
จักรพรรดิมนุษย์อาจจะเป็นผู้ที่นำตะเกียงไป และอาจจะ ไม่ใช่จักรพรรดิมนุษย์ที่นำออกไป แต่ด้องเป็นจักรพรรดิมนุษย์ แน่ๆ…ที่นำไปไว้ที่ดาราจักรพรรดิโบราณ
ดังนั้นหากอยากให้จักรพรรดิมนุษย์พระราชทานโอกาส ให้นำตะเกียงนี้ออกมา เห็นได้ชัดว่าไม่มีทางเป็นจริงได้
สวี่ชิงจึงเงียบนิ่งไปหลังจากนั้นพักใหญ่ จู่ๆ เอ่ยปากขึ้นมา
“ยังมีอีกคนหนึ่งที่เข้าไปในดาราจักรพรรดิโบราณได้” จื่อเสวียนถอนสายตากลับมา มองไปทางสวี่ชิง “ระหว่างทางองค์หญิงสามเคยบอกวา ผู้ที่ร่วมเซ่นไหว้ บรรพบุรุษนอกจากจักรพรรดิมนุษย์ ก็เป็นองค์รัชทายาท”
“เพียงแต่เผ่ามนุษย์ตอนนี้ ยังไม่มีการแต่งตั้งองค์รัชทายาท”
“หากมีองค์รัชทายาท อีกทั้งองค์รัชทายาทยอมให้การ ช่วยเหลือ พวกเราก็จะมีโอกาสเข้าไปในดาราจักรพรรดิโบราณ”
สวี่ชิงเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ ถอนสายตากลับมาจาก ดาวโบราณ
จื่อเสวียนได้ยินก็ยิ้ม หันหน้าไปมองโถงบรรพชนที่หนิง เหยียนอยู่ เอ่ยเสียงแผ่วเบา
“ข้าก็มีวิธี ต้องเตรียมตัวสักหน่อย อาจจะเข้าไปในดารา จักรพรรดิโบราณโดยที่ไม่ดึงดูดความสนใจได้”
“ส่วนวิธีของเจ้า ข้าเชื่อว่าหากเป็นหนิงเหยิยน จะค่อนข้างยาก ทว่านิสัยเด็กคนนี้ไม่เลวเลย”
ส่วนหนิงเหยียนตอนนี้ หลังจากฝึกบำเพ็ญวันนี้เสร็จก็ นั่งสมาธิในโถงบรรพชนอีกครั้ง หลังจากพักผ่อนเล็กน้อย ดวงตาเขาก็เผยความแน่วแน่ ฝึกบำเพ็ญเบื้องหน้ารูปของ มารดาของตน
สำหรับเขา การสัมผัสรับรู้ดาราจักรพรรดิโบราณเป็น ประสบการณ์ครั้งหนึ่งที่ต้องสลักไว้ให้ถึงกระดูก
เพราะเหล่าเสด็จพี่ของเขา โดยพื้นฐานก็ได้รับประโยชน์ มาบ้าง แม้นจะไม่ได้มรดกโหวนภากันทุกคน แต่สัมผัสรับรู้ บางสิ่งบางอย่างมาได้ มีเพียงเขาที่ไม่ได้อะไรเลย
เรื่องนี้ ผิวเผินดูไม่ยี่หระสนใจ แต่ในใจกลับค่อนข้าง ไม่สบอารมณ์
เวลาก็ไหลผ่านไปถึง 7 วันเช่นนี้ เรื่องนำตะเกียงดำจื่อเสวียนกลับมา ไม่ใช่เรื่องที่จะทำสำเร็จได้ในเวลาสั้นๆ ยังต้องวางแผน สวี่ชิงก็บอกเรื่องนี้กับนายกอง ถึงอย่างไรจากความเข้าใจในตัวนายกองของเขา นายกองทางนั้นก็สนใจดาราจักรพรรดิโบราณนานแล้ว ความจริงก็เป็นดังว่า นายกองกระตือรือร้นกับเรื่องนี้อย่างแรงกล้า ตบอกบอกกับสวี่ชิงว่าเขาจะต้องหาวิธีทำการ ใหญ่นี้ให้สำเร็จให้ได้
ด้านจื่อเสวียนก็ไปเตรียมตัวตามวิธีการของนาง
ส่วนหนิงเหยียนทางนั้นก็ตั้งใจฝึกบำเพ็ญมากกว่าเมื่อก่อน นั่งสมาธิอยู่ในโถงบรรพชนแทบทุกวัน
และทั้งเมืองหลวงจักรพรรดิ หลังจากเรื่องการสัมผัสรับรู้ ดาราจักรพรรดิโบราณจบลงก็ค่อยๆ กลับมาสงบสุขตามเดิม ราวกับกระแสนํ้าลด กลับสู่สภาวะปกติ
สงครามของเผ่าฟ้าทมิฬก็เปลี่ยนเป็นราบรื่น การเข้ารวมของเผ่านภาคิมหันต์ไม่ได้เป็นอุปสรรคกับ เผ่ามนุษย์มากมายอย่างที่จินตนาการไว้ พวกเขาเหมือนแค่ แสดงท่าที คิดจะใช้เรื่องนี้ดูปฏิกิริยาของเผ่ามนุษย์ว่าเป็นเช่นไร
ส่วนรายละเอียดในเรื่องนี้รวมถึงจักรพรรดิมนุษย์มี ปฏิกิริยาอย่างไร สวี่ชิงไม่ทราบ
เขาเวลานี้ หลังจากจัดการสิ่งที่ต้องทำรวมถึงทำให้ สมบัติลับกระบี่จักรพรรดิให้เสถียรแล้ว ก็เลือกมุ่งหน้าไปที่วัง ศึกษา
ในเมื่อมาถึง เมืองหลวงจักรพรรดิมนุษย์ ทั้งยังมี คุณสมบัติเข้าวังศึกษา สวี่ชิงอยากไปดูวังศึกษาเผ่ามนุษย์ที่ จักรพรรดิมนุษย์เสวียนจั้นก่อตั้งขึ้นมาเองกับมือ ว่ามีความรู้ อยู่มากน้อยเพียงใดกันแน่
สำหรับความรู้ สวี่ชิงนั้นให้ความเคารพมาตลอด เขารู้ดี ความรู้ที่ตนมีเทียบกับทั้งเผ่ามนุษย์เป็นเพียง ข้าวฟ่างเมล็ดหนึ่งในมหาสมุทรเท่านั้น เขากระหายที่จะได้
ความรู้มากกว่านี้ ยิ่งอยากเห็นจุดประกายที่เกิดจากการแลก เปลี่ยนความคิดกันตลอดจนสายฝึกตนของเผ่ามนุษย์นับไม่ถ้วน
ดังนั้นสวี่ชิงจึงมาถึงวังศึกษาที่ตั้งอยู่ทางของเมืองหลวง จักรพรรดิตอนเช้าตรู่วันนี้
อาณาบริเวณวังศึกษากว้างขวางอย่างยิ่ง ราวกับเป็น เมืองขนาดย่อม สิ่งปลูกสร้างด้านในเป็นเจดีย์สีขาวเป็นแห่งๆ มองแล้วสะอาดตา และมีร่างเงาปรากฏอยู่ไม่มากนัก
เพียงแต่ด้านหน้าของที่นี่ มีรูปสลัก 2 รูปตั้งตระหง่านอยู่ หนึ่งชราหนึ่งผู้เยาว์ หนึ่งสูงหนึ่งเตี้ย ชายชราสวมชุดคลุมบัณฑิต ส่วนผู้เยาว์สวมชุดผ้าฝ้ายเนื้อหยาบธรรมดา
ชายชราซึ่งผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน เปี่ยม ไปด้วยปัญญา ประสานมือไว้ระดับหน้าอก
ส่วนผู้เยาว์ก็ปราดเปรื่อง สีหน้าเคารพนบน้อม โค้งคารวะ
ต่างฝ่ายต่างอยู่ในท่าคารวะซึ่งกันและกัน
หมายถึงลำดับอาวุโส เรียนรู้มรดก ผู้เยาว์จึงต้องคารวะ ส่วนผู้อาวุโสประสานมือ หมายถึงต่างฝ่ายต่างลบสถานะออกไป มีความเท่าเทียมอย่างหมดจดระหว่างกันไม่หยิ่งผยอง เพราะมรดก และไม่ควรแบ่งแยกชนชั้นวรรณะ ยิ่งมีความปรารถนาดีให้กัน รูปสลักสองรูปนี้ จักรพรรดิมนุษย์เป็นผู้ให้ตั้งไว้เป็นประตูของวังศึกษา
ระหว่างพวกเขามีคลื่นแสงวูบวาบ ก่อตัวเป็นประตูบาน
ใหญ่
เทียบกับเจดีย์ขาวที่เงียบสงบด้านหลัง ประตูคลื่นแสงนี้ มีคนเดินเข้าออกเป็นระยะ คึกคักอย่างยิ่ง และคนที่เข้าออกก็ มีทั้งผู้มากลากดี และผู้ที่หยาบกระด้าง
แต่ไม่ว่าอย่างไร เมื่อเข้าไปในประตูนี้ สถานะของทุกคน ก็จะเท่าเทียมกัน
ล้วนเป็นผู้รํ่าเรียน
ทว่ากฎเกณฑ์จะอย่างไรก็เป็นกฎเกณฑ์ คนที่จงใจ เปิดเผยสถานะย่อมมี แต่เนื่องจากการคงอยู่ของจักรพรรดิ มนุษย์เสวียนจั้น สภาพแวดล้อมโดยรวมของวังศึกษา ส่วนใหญ่จึงยังรักษาแนวคิดแรกเริ่มเอาไว้
สวี่ชิงก้าวเข้าไปในประตู ทันทีที่เดินเข้าไปในวังศึกษาก็ สัมผัสสิ่งเหล่านี้ได้
ด้านในประตูวังศึกษา ไม่ใช่เจดีย์ขาวในเมืองหลวงที่โล่ง กว้างแห่งนั้น แต่เป็นมิติเอกเทศ อาณาเขตด้านในกว้างขวาง กว่าด้านนอกมาก ราวกับเป็นเมืองขนาดย่อมแห่งหนึ่ง ลักษณะสิ่งปลูกสร้างเหมือนกับด้านนอกไม่ผิดเพี้ยน เต็มไปด้วยเจดีย์ขาวหลายแห่งสูงต่ำไม่เท่ากัน
เหมือนกับว่าวังศึกษาที่ด้านนอก เป็นเงาย่อส่วนของวัง ศึกษาที่แท้จริง
ที่นี่มีผู้รํ่าเรียนมากมาย อาภรณ์ของทุกคนล้วนเป็นแบบ เดียวกัน สวมชุดผ้าฝ้ายหยาบธรรมดาเหมือนกับรูปสลัก ผู้เยาว์ เดินสัญจรไปมาระหว่างเจดีย์ขาวแต่ละแห่ง
ต่างสวมหน้ากากไว้บนใบหน้า กระทั่งเสียงก็ยังถูกเปลี่ยน หญิงหรือชายก็ยากจะแยกออก
ทุกอย่างนี้ เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงโดยมีกฎเกณฑ์ สนับสนุนทันทีที่เข้ามาในวังศึกษา กลิ่นอายก็เช่นกัน ตำแหน่ง ที่ปรากฏตัวตอนที่เข้ามาไม่แน่ไม่นอนคล้ายกับการส่งข้าม ดังนั้นสถานะที่แท้จริงของแต่ละคนในด้านทฤษฎี จึงไม่อาจตรวจสอบได้
จุดที่สวี่ชิงปรากฏตัว คือทางตะวันตกเฉียงใต้ของวังศึกษา เดินเข้ามาในวังศึกษา เขามองกลุ่มคนรอบๆ ที่เดินไป มาไม่ขาดสาย คนเหล่านี้มีเดินจับกลุ่มสี่ห้าคนพลางศึกษา และหารือกันอย่างร้อนแรง
บ้างก็อยู่คนเดียว ก้าวเดินอย่างรีบร้อน
ยังมีบางคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บริเวณที่โล่งกว้าง เหมือน กำลังครุ่นคิด
มากมายหลากหลายรูปแบบ เจดีย์ขาวแต่ละแห่งที่ตั้งตระหง่านในวังศึกษานั้นเป็นสายต่างๆ ยิ่งสูงมากเท่าไร ก็จะหมายถึงผู้ที่ยอมรับและเข้าร่วมสายนี้มีมากเท่านั้น
บ้างก็เป็นสายที่มีเจดีย์สูง ผู้รํ่าเรียนเข้าออกมากมาย คึกคักอย่างยิ่ง
เจดีย์สูงบางแห่งก็เป็นเจดีย์ที่ผู้สัญจรผ่านไม่แม้แต่ จะชายตามอง เมินเฉยโดยสิ้นเชิง
กระทั่งมีผู้ร่ำเรียนบางคนที่กระตือรือร้น คอยยืนดึงคนที่ เดินผ่านไปมาด้านหน้าเจดีย์ แนะนำสายทางตนเอง
“ผู้รํ่าเรียนท่านนี้ ลองมาชมสายฝึกวิญญาณของพวกข้าสิ วิชาฝึกวิญญาณ เน้นแนวคิดวิญญาณล่องลอย กายหยาบ ของเราเป็นเพียงแค่เรือเท่านั้น มีเพียงการฝึกจิตวิญญาณ ขึ้นไปจนสูงสุด ถึงจะหลุดพ้นได้อย่างแท้จริง กลายเป็นวิถีสวรรค์”
“ในบรรดาสายต่างๆ มากมายทั้งหมดของวังศึกษา สาย เทพยดาของพวกเราถือว่ายอดเยี่ยมอย่างแท้จริง สวรรค์โลก และสามัญสามอย่าง เป็นเขตแดนที่แตกต่างกันสามแห่ง หาก มาที่สายนรชนของพวกเรา จากสามัญแปรเป็นโลก จากโลก สู่เทพยดา สรรพสิ่งหรือต้นไม้ใบหญ้าล้วนสัมผัสรับรู้ได้ทั้งสิ้น!”
“โบราณกล่าวไว้ว่าเต๋ามีสามพันวิถี ไม่แบ่งแยก แข็งแกร่งหรืออ่อนแอ แม้พืชพันธุ์จะอยู่นอกวิถีแต่ก็เด็ดดาราได้ ยินดีต้อนรับหากมาทำความรู้จักกับสายพืชพันธุ์ใหญ่ของ พวกเรา!”
จากการที่สวี่ชิงเดินไปเรื่อยๆ ก็ได้ยินเสียงทำนองนี้ดังอยู่ ข้างหูตลอดเวลา ยิ่งมีบางคนถึงกับมาขวางทางเขา แนะนำ สายของตนอย่างกระตือรือร้น
กระทั่งสายบางสายมีความคิดไม่ตรงกันจนเกิด การโต้เถียงกันขึ้นมา
เดินมาถึงตรงนี้ ตอนแรกสวี่ชิงยังปรับตัวไม่ค่อยได้ เขาไม่เคยเจอสถานที่เช่นนี้มาก่อน จึงลองเข้าไปในเจดีย์ขาวบางแห่ง แม้เขาจะเลือกไม่เข้าร่วมกับเจดีย์ขาวเหล่านั้น แต่ ความรู้ทั้งหมดก็เปิดให้ได้ศึกษาอย่างเต็มที่
ด้านในราวกับหอเก็บหนังสือ ยอมให้สวี่ชิงเข้าไปอ่าน ทั้ง ยังไปศึกษาและหารือกับคนอื่นได้ด้วย เห็นเป็นเช่นนี้ สวี่ชิงก็รู้สึกประทับใจ
ในสายพืชพันธุ์ใหญ่ ไม่เพียงแต่ได้พบความรู้ที่ตนเคย เรียนมาก่อนหน้านี้ ยิ่งมีบางความคิดเห็นที่มีความโดดเด่น เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ทั้งยังมีเจดีย์ขาวของสายฝึกวิญญาณ ที่นำเสนอแนวคิด การฝึกบำเพ็ญ ทำให้สวี่ชิงได้ครุ่นคิดพิจารณา
ยิ่งมีอีกแห่งที่มีชื่อว่าสายควบคุม โดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง ที่ สายนี้ควบคุมไม่ใช่อสูร แต่เป็นดวงชะตาของต่างเผ่า
ทุกอย่างนี้ ทำให้สวี่ชิงรู้สึกสนใจและเคารพวังศึกษา
อย่างเข้มข้น
ไม่ว่าความรู้เหล่านี้จะคงอยู่หลังจากใช้กาลเวลาเป็นตัว พิสูจน์หรือไม่ แต่ความคิดที่ได้แลกเปลี่ยนกันของเผ่ามนุษย์ ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้รวมถึงการจุดประกายแรงบันดาลใจ กระทั่งเรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่ทำให้ความคิดกลับมา เจริญงอกงามได้อีกครั้ง
และจากการเดินต่อไป จากความเข้าใจ สวี่ชิงก็เห็นสาย ที่เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในวังศึกษาตอนนี้ สายผสานเทพ
มีผู้รํ่าเรียนเกือบสามส่วน เข้าร่วมกับสายนี้ สายนี้เน้นการสร้างและปรับปรุงร่างกายของตนเอง ใช้เลือดเนื้อสิ่งมีชีวิตที่มีความเป็นเทพ ปลูกถ่ายในร่างกาย จากนั้นทำให้ร่างกายค่อยๆ ปรับตัวจนกระทั่งควบคุมเองได้ สุดท้าย ตอนที่ทุกส่วนของร่างกายกลายเป็นเลือดเนื้อที่ มีความเป็นเทพ ก็จะมีความสามารถเช่นสิ่งมีชีวิตที่มีความ เป็นเทพอย่างแท้จริง ไอพลังประหลาด…จะไม่กลํ้ากรายอีกต่อไป ทว่าจะกลายเป็นตัวตนลักษณะเดียวกับปราณวิญญาณ
และเป้าหมายสุดท้ายของสายนี้ คือการผสานเทพ ผสานเลือดเนื้อเทพเจ้า แล้วกลายเป็นเทพเจ้าไปในที่สุด เจ้าสายนี้ เป็นชายกลางคนที่ค่อนข้างโดดเด่น สวมชุดบัณฑิตแตกต่างกับผู้ร่ำเรียนคนอื่น
แม้จะสวมหน้ากาก มองไม่เห็นหน้าตา แต่ความสง่างาม นั้นเด่นชัดอย่างยิ่ง
ตอนที่สวี่ชิงอยู่ด้านหน้าเจดีย์ขาวสายนี้ เจ้าสายก็เดิน เข้ามาพอดี กวาดตามองกลุ่มคนด้วยสายตาเรียบนิ่ง
สวี่ชิงชะงักฝีเท้า
บุคลิกเช่นนี้ของอีกฝ่าย ทำให้เขานึกถึงคนผู้หนึ่งที่เขต ปกครองผนึกสมุทรในอดีตขึ้นมา
