Skip to content

Outside Of Time 769


บทที่ 769 มีบุญคุณต่อเจ้าในชาตินี้ ชี้นำเจ้าในชาติหน้า

นี่ ก็คือสายเซียนต่างวิถี!

นัยน์ตาสวี่ชิงเป็นประกายฉายวาบ แผ่นหยกนี้เนื้อหาไม่ เยอะ แต่งดงามหมดจดทุกคำ ถ่ายทอดระบบของสายเซียน ต่างวิถีออกมากระชับได้ใจความ

แม้แผ่นหยกไม่ได้บรรยายวิธีอย่างละเอียด แต่จากคำสรุปผ่านตัวอักษรเหล่านี้กับความเข้าใจในวิชาของสวี่ชิงก็พอมองออกอยู่บ้าง

วิชานี้มีจุดคล้ายคลึงกับสายผสานเทพ แต่อันหนึ่งคือ ครองเทพ อันหนึ่งคือผสานเทพ อย่างแรกมีร่างกายของเผ่า มนุษย์โดยสมบูรณ์ วาดโครงร่างเทพเจ้าในทะเลความรู้สึก เบ้าหมายคือการหยิบยืมวิชาครองเทพมาทะลวงขั้น และ สำเร็จตนเป็นเซียนต่างวิถี

‘แต่อย่างหลังคือการละกายเนื้อของเผ่ามนุษย์ทีละนิด แทนที่ด้วยกายเทพ สุดท้ายสำเร็จเป็นเทพโดยสมบูรณ์ และ กลายเป็นเทพมนุษย์

‘แนวคิดเช่นนี้…น่าทึ่งโดยแท้มิน่าเฉินอวิ๋นบอกว่าสาย เซียนต่างวิถีเป็นสายอันดับหนึ่งในวังศึกษาในอดีต’

สวี่ชิงตรองในใจแล้วมองพื้นที่โล่งโดยรอบอีกครั้ง เข้าใจ ว่าวิชานี้คงมีช่องโหว่ และช่องโหว่นี้ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้สาย เซียนต่างวิถีตกตํ่า

‘เงื่อนไขในการฝึกบำเพ็ญคงจะสูงยิ่ง!

‘และการหลอมวิญญาณเป็นเส้นไหมไปถักทอเทพเจ้า หรือสิ่งมีชีวิตประเภทเทพที่อ้างถึง นี่ย่อมมีความเสี่ยงสูงในตัว มันเอง ระยะการฝึกบำเพ็ญก็คงไม่เร็วนัก

‘เฉินอวิ๋นถึงได้บอกว่าแนวคิดนี้ไม่สอดคล้องกับ ความเป็นจริง’

“หรือว่า ไม่เคยมีคนทำสำเร็จหรือขอรับ”

หลังสวี่ชิงวิเคราะห์ในหัว มองไปทางเจ้าสายที่กำลังพลิก หาสิ่งของและยกข้อสงสัยของตนออกมา

“ใครบอกไม่เคยมีคนทำสำเร็จ” นํ้าเสียงเจ้าสายเซียน ต่างวิถีเจือแววไม่พอใจ แค่นเสียงทีหนึ่ง

“แปดพันปีก่อน หลี่เสวียนเฟิงแห่งสายเซียนต่างวิถีข้า ถักทอร่างฐานในจิตใจและจิตวิญญาณสำเร็จ จากนั้นสำแดง มันออกมา สนับสนุนกำลังรบ น่าเกรงขามไร้ใดเปรียบ”

กล่าวถึงตรงนี้ นั้าเสียงเจ้าสายเซียนต่างวิถีเปี่ยมด้วย ความภูมิใจ แต่เพิ่งสิ้นเสียง หนึ่งในสามศิษย์ผู้เกียจคร้านที่นั่ง อยู่ตรงประตูเอ่ยเสียงค่อย

“อืม บรรพจารย์หลี่เสวียนเฟิงฝึกบำเพ็ญหนึ่งพันปีเต็ม เกือบสิ้นอายุขัยถึงใช้วิญญาณถักทอร่างฐานสิ่งมีชีวิตประเภท

เทพเขตขั้นสมบัติวิญญาณออกมาได้ ช่างเก่งกาจโดยแท้”

เจ้าสายเซียนต่างวิถีพลันถลึงตา “ถึงจะช้าไปหน่อย แต่หลังบรรพจารย์หลี่เสวียนเฟิง สำเร็จและหยิบยืมวิชาครองเทพในทะเลความรู้สึก ก็มีกำลังรบแข็งแกร่งทรงพลัง!”

“ใช่ๆๆ แต่หลังจากนั้นถูกสมบัติวิญญาณเผ่าอื่นที่ฝึก บำเพ็ญห้าร้อยปีฆ่าตาย” อีกคนใน 3 ศิษย์ถอนหายใจ

ด้านเจ้าสายเซียนต่างวิถีเบิกตากว้างกว่าเดิม ฉายแวว ไม่พอใจ

“ยังมีห้าพันปีก่อน บรรพจารย์เฉินเต้าเจ๋อแห่งสายข้าก็ สำเร็จไม่ใช่หรือ เพียงหนึ่งความคิด สิ่งมีชีวิตประเภทเทพที่ กักเก็บไว้ในจิตใจจะครอบคลุมทั่วร่าง สะเทือนฟ้าสะท้านดิน’’

“ใช่ๆๆ แล้วหลังจากนั้นบรรพจารย์เฉินเต้าเจ๋อก็คืนร่างเดิมไม่ได้…ตอนนี้ตัวอย่างยังวางอยู่ใต้เจดีย์ขาว ท่านอาจารย์ สายผสานเทพอยากมาซื้อ พวกเราขายไปเลยไม่ดีกว่าหรือ” คนตรงกลางใน 3 คนถอนหายใจยาว กล่าวโน้มน้าว

“อย่ามาเอ่ยถึงสายผสานเทพกับข้า นั่นมันแนวคิดอะไร เละเทะเหลวไหล ลิงใส่เสื้อคนก็เป็นคนแล้วรึ!’’

เจ้าสายเชียนต่างวิถีสะบัดแขนเสื้อ ถ้อยคำเปี่ยมความ เหยียดหยันต่อสายผสานเทพอย่างรุนแรง

ศิษย์ 3 คนนั้นต่างถอนหายใจ หนึ่งในนั้นมองสวี่ชิง กล่าวอย่างหดหู่

“ผู้ร่ำเรียนท่านนี้ ข้าว่าเจ้ารีบไปเสียดีกว่า พวกเรา สามคนไปไม่ได้ ตอนนั้นทึ่มทื่อ นึกว่าที่ที่ตกตํ่าต้องมีสมบัติล้ำค่า อยากมาเก็บของดี หมายจะปูทางสู่อนาคต…ที่ไหนได้ ถูกตาแก่นี่โน้มน้าวว่าต้องเป็นศิษย์หลักถึงจะเรียนได้ เลย ลงนามข้อตกลงตลอดชีพ’’

“พวกเราไปไม่ได้ มีแต่ต้องอยู่ที่นี่’’

“เจ้าไม่ใช่คนเมืองหลวงจักรพรรดิกระมัง เลยไม่รู้ เบื้องลึกเบื้องหลังในนี้ ข้าว่าเจ้าควรมีสติ’’

เจ้าสายเซียนต่างวิถีได้ยินแล้วไม่รู้ใบหน้าที่สวมหน้ากาก เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เขายังคงแค่นเสียงตามเคย ยอบ กายลงหาของในกองแผ่นหยกต่อไป

ชั่วขณะหนึ่ง ทั้งเจดีย์ขาวเงียบสงบลง สวี่ชิงลังเล มองศิษย์ 3 คนนั้น มองเจ้าสายเซียนต่างวิถีและขอตัวออกมา

กระทั่งเดินออกมาร้อยจั้ง สวี่ชิงเหลียวมองเจดีย์ขาวสาย เซียนต่างวิถี

ทั้งที่อยู่ทางตะวันออกของวังศึกษาอย่างมีนัยยะสำคัญ ตำแหน่งก็เป็นบริเวณที่สวยงาม ดีกว่าตอนนั้นที่นี่คงคึกคัก อย่างยิ่ง ทั้งยังมีผู้รํ่าเรียนแวะเวียนมามากมาย

แต่ปัจจุบันว่างโล่งไปหมด ความรุ่งเรืองที่ผ่านมาก็เป็น

แค่อดีต บัดนี้น้อยคนนักจะสนใจ

มีเพียงลูกศิษย์ 3 คน ดูท่าทางพวกเขาจะพูดจริง ถูก

โน้มน้าวมาโดยแท้ คำพูดยังแฝงความโกรธแค้นอย่างเข้มข้น

ส่วนเจ้าสายคงรู้สึกผิด จึงได้แต่แค่นเสียงตามเคยเพื่อรักษา

ศักดิ์ศรีสุดท้ายในฐานะเจ้าสายเซียนต่างวิถี

‘ไม่รู้บรรพจารย์ทั้งสองที่พวกเขาบอกว่าสำเร็จ ถักทอ เงาร่างเทพเจ้าในทะเลความรู้สึกและแสดงมันออกมาเป็น สภาวะแบบใด’

สวั๋ชิงครุ่นคิด เดินหายเข้าไปในฝูงชน

พริบตาเดียว ผ่านไปอีกครึ่งเดือน สำหรับสายในวังศึกษา ส่วนใหญ่สวี่ชิงดูมาหมดแล้ว ความรู้ที่สั่งสมก็เพิ่มพูนขึ้นทุกวัน แต่เหล่านี้ล้วนไม่ชัดแจ้ง เวลาและกำลังที่มีไม่อาจทำให้เขาเข้าใจทุกสายได้อย่างละเอียด

สุดท้ายก็ไม่ได้เลือกเข้าสายใด

จุดสำคัญที่ส่งผลต่อการเลือกของเขาคือในหัวเขา ครุ่นคิดเรื่องเซียนคิมหันต์ตลอดเวลา

สองคำนี้เหมือนมีพลังมหัศจรรย์บางอย่าง ทำให้ใจเขา วนเวียนอยู่กับมันโดยตลอด

กล่าวโดยสรุป สวี่ชิงรู้ว่ามันมาจากประโยคที่ท่าน อาจารย์พูดกับตนหลังจากหลอมบรรพจารย์สำนักวัชระใน ตอนนั้น

‘หล่อหลอมโดยอ้างอิงจากเคล็ดวิชาที่เซียนคิมหันต์ บันทึกไว้ในคัมภีร์โบราณ ดังนั้นข้าจึงเรียกมันว่าอาวุธเซียน!’ ยามนี้จันทร์กระจ่างดวงดาวบางตา ในจวนหนิงเหยียน สวี่ชิงนั่งขัดสมาธิอยู่กลางลาน มองดวงจันทร์ขาวผ่องบนท้องนภา ในหัวปรากฏทุกฉากที่ได้เจอกับท่านอาจารย์จนถึงวันนี้

‘ตอนท่านอาจารย์เอ่ยถึงเซียนคิมหันต์ ข้าไม่เข้าใจ นึก ว่าเป็นแค่ทฤษฎีตีอาวุธเวทอย่างหนึ่ง’

‘แต่หลังมาถึงเมืองหลวงจักรพรรดิและได้สนทนากับ องค์หญิงสาม ทำให้ข้าเกิดความสงสัยในขั้นแรกมาจนถึง

ประสบการณ์หนึ่งเดือนในวังศึกษา โดยเฉพาะสายเซียนต่าง วิถีนั่น…’

แสงจันทร์ตกต้องบนกายสวี่ชิง เหมือนคลุมผ้าโปร่งบาง ให้เขาชั้นหนึ่งในฉากราตรี ทำให้ทั่วกายเขาแผ่แสงจันทร์ออกมา เพียงแต่ยามแผ่ขยายออกไปหนึ่งจั้ง แสงเรืองรองนี้เป็นสีม่วง

‘ไฉนท่านอาจารย์จึงรู้วิชาของเซียนคิมหันต์…ทั่งยังใช้ มันได้เป็นอย่างดี’

‘ประโยคของเขาในตอนนั้น บัดนี้ดูเหมือนฝังความคิด หนึ่งให้ข้าดุจเมล็ดพันธุ์ ทำให้ข้าค่อยๆ แตกหน่อตาม ความเข้าใจในเมืองหลวงจักรพรรดิ’

สวี่ชิงก้มหน้า หยิบเหล็กแหลมออกมาวางตรงหน้าแล้ว เพ่งมองอย่างละเอียด

เวลาผ่านไปทีละน้อย ครึ่งชั่วยามต่อมา เสียงฝีเท้า พร้อมทำนองเพลงดังมาจากนอกจวน

เงาร่างของนายกองโซเซกลับมาแล้ว

เขาดูอารมณ์ดียิ่ง ทั้งยังดื่มสุรา ยามนี้ย่างเหยียบแสง จันทร์ผ่านลานบ้านแล้วเห็นสวี่ชิง พลันฉีกยิ้ม

“อาชิงน้อย ช่วงนี้เรียนที่วังศึกษาเป็นอย่างไร ข้ารู้สึก ไม่เห็นเจ้าหลายวันแล้ว

“ข้าจะบอกให้ ช่วงนี้ข้าเจอสถานที่ดีๆ เจ้าคงรู้จักหอ โลกีย์กระมัง” พูดไป นายกองที่กลิ่นสุราเต็มตัวเดินมาถึงข้าง กายสวี่ชิง พลันยกมือออกแรงตบไหล่เขา “หอโลกีย์ไม่เลวเลย”

สวี่ชิงเงยหน้ามองนายกอง

“ข้าเคยไป ก็เจอการลอบสังหารตอนออกจากที่นั่น ข้า เคยบอกท่าน”

นายกองกะพริบตา หัวเราะฮ่าๆ “ใช่แล้ว ข้าก็ไปตรวจสอบเรื่องเจ้าถูกลอบสังหารนั่นละ”

พูดจบ นายกองหยิบสุรากาหนึ่งยื่นให้สวี่ชิง เพื่อไม่ทำลายความบันเทิงเริงรมย์ของศิษย์พี่ใหญ่ สวี่ชิง ไม่ได้บอกเขาว่าจิ้งจอกดินเหนียวอยู่ที่นั่น ยามนี้รับสุรามาลิ้มรส มึนหัวเล็กน้อย

นี่คือเซียนเมามายของหอโลกีย์

“มีเรื่องในใจหรือ” นายกองถือกาสุราของตน ดื่มอึกหนึ่ง แล้วมองสวี่ชิง ถามด้วยความแปลกใจ

สวี่ชิงครุ่นคิด เอ่ยเสียงค่อย

“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านอาจารย์…เป็นใครมาจากไหนกันแน่ ขอรับ”

พอสวี่ชิงพูดออกมา ด้านนายกองมือที่ถือกาสุราพลัน หยุดกึก วางลงแล้วมองตาเขา

ดวงตาทั้งสี่สอดประสานกัน สังเกตเห็นความจริงจังใน แววตาสวี่ชิง นายกองยิ้มเล็กน้อย

“ตาเฒานั่นมีที่มาลึกลับยิ่ง เจ้าดูศิษย์ที่เขารับสิ”

“ข้า อัจฉริยะฟ้าประทานอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินใหญ่ ต้องประสงค์!”

สวี่ชิงกะพริบตา พยักหน้าเห็นด้วยอย่างจริงจัง นายกองได้ใจ กล่าวต่อ

“เจ้า อัจฉริยะฟ้าประทานอันดับสองแห่งแผ่นดินใหญ่ ต้องประสงค์!”

“เจ้ารอง เฮอะๆ วาสนารักของนางไม่เลวเลย เจ้าก็เดา ได้แล้วกระมัง ก่อนหน้านี้ข้ายังสงสัยอยู่บ้าง กลับเขตปกครอง ผนึกสมุทรคราวก่อนเลยตั้งใจไปตรวจสอบ

“ยังมีเจ้าชั่วสามนั่นอีก ข้าบอกเจ้าให้นะ อย่ามองว่า ตอนนี้เจ้านั่นตกตํ่า ข้าบอกเลย ในหัวมันมีแต่แผนหลอกลวง ทั้งยังมีความลับไม่น้อย ข้าสงสัย…ว่ามันเกี่ยวข้องกับ จักรพรรดิภูติ!

“ไม่มีใครรู้เผ่าพันธุ์หรือที่มาของจักรพรรดิภูติ แต่บน อาวุธของเขามีตราแผ่นดินเทวะ และเคยสังหารผู้ฝึกบำเพ็ญ ในแผ่นดินเทวะ”

“เจ้าว่า ตอนนั้นมียอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้จะไม่มีที่มาได้ อย่างไร แต่ทั้งๆ ที่เป็นแบบนั้น ข้าจึงมีการคาดเดาที่อาจหาญ เขาอาจมาจาก…”

นายกองพูดพลางยกมือชี้ท้องนภา ม่านตาสวี่ชิงหดพลัน บนท้องนภา นอกจากเสี้ยวหน้าเทพเจ้า บนฟ้าพร่างดาวที่ไกลออกไป ยังมีสิ่งอื่น

“แดนศักดิ์สิทธิ์!”

นายกองสะอึกสุราแล่วหัวเราะ “นี่เป็นการคาดเดาของข้า แล้วก็เกี่ยวกับท่านอาจารย์ ข้าบอกความลับเจ้าอย่างหนึ่งแล้วกัน”

“มีอยู่ชาติหนึ่ง ข้าเคยเจอคนหนึ่งคล้ายคลึงกับตาเฒ่ามาก ไม่ใช่ท่าทางคล้าย แต่เป็นความรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก แบบนั้น…”

สวี่ชิงได้ยิน สายตาพลันจดจ้อง

“อีกอย่าง ตอนข้าเพิ่งคารวะอาจารย์ชาตินี้ เคยนึกว่า เหมือนข้าเคยเจอเขามาก่อน แต่ความจริงข้าสูญเสีย ความทรงจำไปไม่น้อย”

นายกองส่ายหน้า ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย

“อาชิงน้อย ไม่ต้องคิดมาก เจ้าต้องเอาอย่างข้า มีความสุขก็พอ ต้องมีความสุขให้ได้ทุกวัน หากเป็นเช่นนั้นก็ อยู่ในเขตขั้นสูงสุดแล้ว”

พดจบนายกองเดินโซเซไปทางที่พัก เดินได้เจ็ดแปดก้าว เขาก็ชะงักฝีเท้า ยืนหันหลังให้สวี่ชิงอยู่ใต้แสงจันทร์และส่ง เสียงนุ่มนวลออกมา

“อาชิงน้อย ยังจำคำที่ข้าพูดข้างกายเจ้าตอนเจ้าคารวะ อาจารย์ที่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตได้หรือไม่”

“คารวะจักรพรรดิโบราณหนึ่งครั้ง คารวะฟ้าดินสามครั้ง

คารวะอาจารย์เก้าครั้ง”

“จักรพรรดิโบราณเสวียนโยว สร้างคุณูปการยิ่งใหญ่ ควรคารวะหนึ่งครั้ง”

“ฟ้าดินลึกลํ้า แบกรับสรรพสิ่ง ควรคารวะสามครั้ง”

“ทว่าจักรพรรดิโบราณสูงส่ง ไม่เคยมีบุญคุณต่อเจ้า ฟ้าดินสรรพชีวิตทะเลทุกข์หาได้เคยชี้นำเจ้า มีเพียงผู้เป็นอาจารย์ที่บุกน้ำลุยไฟ มีบุญคุณต่อเจ้าในชาตินี้ ชี้นำเจ้าใน

ชาติหน้า ทำทุกอย่างสุดความสามารถ ร่วมเดินมหามรรคา ควรแล้วที่เจ้าจะคารวะเก้าครั้ง!”

ท่ามกลางแสงจันทร์ เสียงของนายกองในลานบ้าน

แฝงความรู้สึกแห่งวันเวลา สะท้อนช่วงชีวิตนี้

“ชาตินี้ ไม่ใช่แค่เราเดินทางร่วมกัน อาจารย์ก็ร่วมทางด้วย!”

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version