Skip to content

Outside Of Time 770


บทที่ 770 พายุตั้งเค้า

‘ศิษย์พี่ใหญ่มีภพที่แล้วหลายภพ กลับชาติมาเกิดหลายชาติ ลึกลับเกินคาดเดา’

‘ศิษย์พี่รองมีวาสนาจากหวงเหยียนได้รับความรักจาก วิหคเพลิงสวรรค์ ย่อมมีส่วนที่ไม่ธรรมดา’

‘ศิษย์พี่สาม…มีความเกี่ยวพันกับจักรพรรดิภูต บางที อาจจะมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์’

‘เช่นนั้นข้า…มีจุดที่พิเศษอัศจรรย์อะไร’

สวี่ชิงเงียบนิ่ง เขาไม่คิดว่าตัวเองจะแตกต่างอะไรกับคนอื่นสักเท่าไรนอกเสียจาก…เขามีความสัมพันธ์กับอีกา แล้วก็ตอนนั้นที่สู้กับซื่อหมู่ ภาพที่ได้เห็นในผลึกวารีสีม่วง ห้วงเวลาที่ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จนั้น

ในห้วงเวลานั้นเขาตายแล้ว นี่ไม่เหมือนกับประสบการณ์ของเขา

“ข้าตายแล้วครั้งหนึ่งจริงๆ หรือ”

ในแสงจันทร์ สวี่ชิงพึมพำเสียงเบา เสียงผสานไปในความมืด คล้ายว่าวาดระลอกคลื่นไปในม่านฟ้าราตรี

ชั้นเมฆไม่รู้ว่าสัมผัสได้หรือไม่ จากลมที่พัด ก็ตลบอวล มาในม่านราตรี ค่อยๆ หนาขึ้น สายฟ้าที่เนื่องจากเสียงฟ้าผ่า ที่ปรากฏช้ากว่าแสง จึงไร้เสียง ปรากฏวับแวมในนั้น ไม่นานนักเสียงฟ้าที่ดังช้าก็มาเยือน เสียงเปรี้ยงปร้างฟาดผ่าไปทั่วทั้งเมืองหลวง ฝนเทลงมา ตกอยู่ทั้งคืนจวนจนกระทั่งฟ้าสาง ก็ยังคงมืดครึ้มอึมครึม ทำให้คนเกิดความรู้สึกขี้เกียจโดยไม่รู้ตัว

จนกระทั่งหลังเที่ยง ฝนก็ตกลงมาอีกครั้ง สวี่ชิงวันนี้ไม่ได้ไปวังศึกษา สายแทบจะทั้งหมดที่นั้นเขา พิจารณาได้ประมาณหนึ่งแล้ว ตอนนี้ที่อยู่ตรงหน้าเขาคือ ตัดสินใจเลือก

นอกจากนี้ ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งคือวันนี้เขามีนัด คนที่นัดคือองค์หญิงสาม

หากเป็นคนอื่นสวี่ชิงจะปฏิเสธก็ได้ แต่ความปรารถนาดี ที่แสดงออกมาตลอดทางขององค์หญิงสามก่อนหน้านี้ ทำให้ เขายากที่จะปฏิเสธ นิสัยของเขาก็เป็นแบบนี้

ดังนั้น ต่อให้วันนี้ฝนตกหนัก แต่ตอนยํ่าคํ่า สวี่ชิงก็ยัง กางร่มกระดาษนํ้ามันเดินออกไปจากจวน

แม้ว่าผู้บำเพ็ญจะใช้พลังบำเพ็ญก่อเป็นกำแพงสกัดกั้น เม็ดฝนที่ร่วงลงมา แต่ในเมื่อตัวอยู่ในโลกโลกีย์ เรื่องบางเรื่อง ก็ไม่จำเป็นต้องทำตัวต่างจากคนอื่น

นี่เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกจิตใจ และเป็นสายฝึกฝนจิต ของวังศึกษาที่สวี่ชิงสัมผัสรับรู้ได้มา

ตอนนี้เดินอยู่บนถนนเมืองหลวง มองผู้คนสัญจรไปมา สวี่ชิงเดินไม่เร็ว ขบคิดสายของวังศึกษาพลางเดินไปยัง สถานที่ที่นัดหมาย

ฝนร่วงหล่นบนร่มกระดาษน้ำมัน ส่งเสียงซู่ซ่าออกมา แล้วไหลไปตามร่ม กลายเป็นเส้นระหว่างที่ไหลลงพื้นดิน ลมพัดมันเฉียง ขาดเป็นช่วงๆ

สุดท้ายก็กลายเป็นเม็ดฝน ร่วงหล่นไปบนพื้นพร้อมกับ เหล่าสหายของมัน

‘หยดฝนคือหยดฝน หยดฝนไม่ใช่หยดฝน หยดฝนก็ ยังคงเป็นหยดฝน’

สวี่ชิงเงยหน้ามองม่านฟ้า ระลอกคลื่นในใจที่เกิดขึ้น เพราะที่มาที่ไปของอาจารย์ตัวเองและคำพูดของศิษย์พี่ใหญ่ค่อยๆ สงบลง

‘ความหฤหรรษ์ของโลกใบนี้ก็เป็นเพราะความไม่รู้ของมัน

‘ส่วนข้าเคยตายไปแล้วครั้งหนึ่งจริงหรือไม่ นี่ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือข้ายังมีชีวิตอยู่’

‘ถ้าดีกว่านี้อีกเล็กน้อยก็ยิ่งดีเลย’

สวี่ชิงพึมพำในใจ นี่เป็นความฝันในตอนเด็กๆ ที่อยู่ที่ถ้ำยาจก ตอนนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนี้ไม่เคยเปลี่ยนไป

มีชิวิตอยู่ต่อไป

มีเพียงแค่มีชีวิตอยู่ต่อไปเท่านั้นจึงจะเลิกม่านที่บดบังอยู่ ข้างหน้าได้ ถึงจะมองเห็นความจริง ถึงจะสามารถ…ร่วมกับท่านอาจารย์ กับศิษย์พี่ใหญ่ กับสหายในสำนัก…เดินทางไปด้วยกันได้

สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ท่ามกลางสายฝนที่ตกหนักยามพลบคํ่า ค่อยๆ เดินจากไปไกล จวบจนเมื่อฟ้าเริ่มมืดมิด เขาก็ มาถึงทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองหลวง

ที่นั่นมีตำหนักหงส์ตำหนักหนึ่ง

สิ่งก่อสร้างที่คล้ายกันทำให้สวี่ชิงจ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง

ที่นี่เป็นจวนนอกวังขององค์หญิงสาม นัดในวันนี้ไม่ได้มีแค่เขาเท่านั้น ยังมีผู้เก่งกาจอัจฉริยะของแดนใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิอีกจำนวนหนึ่งด้วย ทั้งยังมีสหายสนิทของนาง ตลอดจนผู้มีความสามารถปราดเปรื่องอีกจำนวนหนึ่ง

สวี่ชิงรู้ นี่คือวิธีแสดงความความหวังดีขององค์หญิงสาม คิดจะแนะนำคนให้เขารู้จักมากขึ้น

แม้จะไม่ถนัดเรื่องการปฎิสัมพันธ์ แต่สำหรับความหวังดี สวี่ชิงเลือกที่จะรับเอาไว้ และทันทีที่เขาก้าวเข้ามาในจวนองค์หญิงสาม ท้องฟ้าก็พลันมีเสียงสายฟ้าคำรามลั่นดังมา

ความดังของเสียงสายฟ้านี้สะท้านฟ้าดิน เหมือนมีเทพ ยักษ์ส่งเสียงคำรามอยู่ในท้องฟ้า ทำให้เม็ดฝนนับไม่ถ้วน ระเบิดกลายเป็นหมอกฝน

ในใจของทุกคน จากเสียงสายฟ้าเลื่อนลั่นสะท้านฟ้าดิน ที่ดังกะทันหันนี้ก็เกิดระลอกคลื่นขึ้นมา

สวี่ชิงขมวดคิ้ว ฝีเท้าหยุดชะงัก เงยหน้ามองไปยังม่าน ฟ้าอันมืดมิด

สายฟ้าย่อมสั่นสะท้านเขาไม่ได้ แต่ความรู้สึกไม่เป็นสุข ที่เกิดขึ้นในใจ ในทันทีที่เสียงฟ้านี้ดังมา ก็รุนแรงเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือสัญญาณเตือนวิถีสวรรค์

ต้องรู้ว่าต่อให้เป็นเรื่องลอบสังหารในเมืองหลวงก็ยังไม่มี สัญญาณเตือนวิถีสวรรค์แบบนี้ แต่ตอนนี้ สัญญาณเตือนนี้ เกิดเป็นระลอกคลื่นในใจของเขา

‘มีเรื่องใหญ่อะไรกำลังจะเกิดขึ้น…’

สวี่ชิงในใจครุ่นคิด เดินไปในจวนองค์หญิงสาม

ขณะเดียวกัน ทางเหนือของวังหลวง ที่นั่นมีกลุ่มสิ่งก่อสร้างลึกลับกลุ่มหนึ่ง เป็นสีดำทั้งหมด โดยมีเจดีย์สีดำเป็นองค์ๆ ตั้งเรียงเป็นสี่เหลี่ยมคางหมูวางพาดผ่าน

ชายขอบสูงที่สุด ตรงกลางตํ่าที่สุด ในขณะที่เป็นเหลี่ยม เป็นมุม การป้องกันรอบๆ เข้มงวด มีการเดินลาดตระเวนอยู่ ทุกชั่วขณะ ตอนนี้ยิ่งมีค่ายกลน่าครั่นคร้าม และเป็นสถานที่ที่ ค่ายกลเมืองหลวงทำการเฝ้าระวังสูงที่สุด

ที่นี่ก็คือวังรังสรรค์ หนึ่งใน 5 วังทมิฬบนที่ศึกษาค้นคว้า วิชาเซียนและเทพเจ้าโดยเฉพาะ และเป็นที่ศึกษาค้นคว้าดวงตะวันแห่งแสงอรุณด้วยเช่นกัน

วังนี้สำหรับเผ่ามนุษย์แล้วมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ดังนั้น นอกจากผู้นำระดับสูงของของวังรังสรรค์แล้ว จักรพรรดิมนุษย์ยังกำหนดให้ดำรงตำแหน่งอยู่ในวังรังสรรค์ ส่วนองค์ชายเก้าในยามที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในวังรังสรรค์ เคยสาบานไว้ว่า ชั่วชีวิตนี้จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการชิงตำแหน่งรัชทายาท ตัวเองจะไม่ลำเอียงฝักใฝ่เข้ากับฝ่ายใดเด็ดขาด ดังนั้น การสัมผัสรับรู้ดาราจักรพรรดิโบราณก่อนหน้านี้ เขาจึงไม่ได้เข้าร่วม

สำหรับเขาแล้ว การค้นคว้าศึกษาวิชาเซียนและเทพเจ้า เป็นเป้าหมายที่ใหญ่ที่สุด และเขาก็ไม่ทำให้จักรพรรดิมนุษย์ผิดหวัง ในด้านศึกษาค้นคว้าพัฒนาดวงตะวันแห่งแสงอรุณก็ มีส่วนมีคุณงามความชอบด้วยเช่นกัน

โดยปกติแล้ว นอกเสียจากจักรพรรดิมนุษย์จะเรียกเข้าเฝ้า ไม่เช่นนั้นแล้วเขาแทบจะไม่ออกข้างนอก ทว่าวันนี้…ใน ยามที่ผืนฟ้าสายอัสนีบาตฟาดผ่าสะเทือนเลื่อนลั่นในฝนที่ตกหนักนี้ ร่างของเขาโซซัดโซเซเดินออกมาจากหอชั้นใน สีหน้าของเขาแฝงด้วยความลนลาน แฝงด้วยความตื่นกลัว เนื้อตัวสั่นเทา ปล่อยให้ฝนสาดเปียกชุ่มไปทั่วทั้งตัวทันที ส่งเสียงหวีดแหลมออกไปรอบๆ

“ด้วยฐานะโอรสองค์ที่เก้าแห่งจักรพรรดิมนุษย์ และ

ผู้คุมกฎวังรังสรรค์ ขอออกคำสั่งให้วังรังสรรค์ปิด ณ บัดนี้ ไม่อนุญาตให้ใครออกไปทั้งนั้น ผู้ขัดขืนคำสั่ง ประหาร ไม่มีละเว้น!!”

เสียงของเขาสะท้อนก้อง มาพร้อมด้วยสายฟ้า ค่ายกล เมืองหลวงแปรเปลี่ยนเป็นผนึกสะกดมาที่นี่ และภาพที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันนี้ ก็สร้างความตื่นตกใจสงสัยให้กับผู้บำเพ็ญ ทั้งหลายในวังรังสรรค์

แต่องค์ชายเก้าไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เขาเอาแผ่นหยก ออกมาส่งสื่อเสียงทันที จากนั้นดวงตาก็แดงกํ่า คุ้มกันที่นี่ เอาไว้รอคอย…การมาเยือนของจักรพรรดิมนุษย์

ในขณะเดียวกันนี้ ผู้นำระดับสูงจำนวนหนึ่งของวัง รังสรรค์ก็ทยอยปรากฏตัวขึ้น แต่ละคนต่างหน้าเขียวคลํ้า ยํ่าแย่อย่างสุดขีด ต่างเงียบนิ่งท่ามกลางสายฝน

ขณะเดียวกัน ในจวนองค์หญิงสาม ในตำหนักหงส์ เสียงเพลงขับขาน ฟ้อนรำระบำร่าย องค์หญิงสามนั่งอยู่ข้างบน เชื้อเชิญให้สวี่ชิงนั่งกับนาง ส่วนคนอื่นๆ นั่งลงสองฝั่ง ประมาณหลายสิบคน มีชายมีหญิง ไม่เป็นสายเลือด รุ่นหลังผู้มีอำนาจชนชั้นสูงก็เป็นอัจฉริยะเก่งกาจยอดฝีมือ เมิ่งอวิ๋นไป๋ก็อยู่ในนี้ ต่างพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

เนื่องจากทุกคน องค์หญิงสามคิดใคร่ครวญอย่าง ละเอียดแล้วจึงเชื้อเชิญ ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วจะไม่เกิดเรื่องที่ ไม่อภิรมย์ในงานเลี้ยง พวกเขาโดยส่วนมากแล้วล้วนเป็นมิตร และเคารพสวี่ชิง

ถึงอย่างไรแม้สวี่ชิงกับพวกเขาล้วนเป็นผู้บำเพ็ญรุ่นเดียวกัน แต่ฐานะของเขาพิเศษโดยเฉพาะได้รับกระบี่จักรพรรดิ มีความหมายอย่างมหาศาล ดังนั้นตลอดงานเลี้ยง แม้สวี่ชิงจะไม่ถนัดเรื่องการเข้าสังคม แต่เมื่อพูดคุยก็ ผ่อนคลายเป็นอย่างมาก

และหลังจากดื่มเหล้ากันได้ประมาณหนึ่งแล้ว จากความ ครึกครื้นของบรรยากาศ ภายใต้การชักนำจากองค์หญิงสาม หัวข้อสนทนาก็ค่อยๆ เปลี่ยนมาเรื่องวังศึกษา

“ทุกคนคงได้ยินแล้วกระมัง ประกาศจากสายผสานเทพ วังศึกษา ครึ่งเดือนหลังจากนี้จะเปิดการทดสอบศิษย์คนสำคัญ ครั้งนี้จะคัดเลือกคนร้อยคนเป็นศิษย์คนสำคัญ’’

“พูดถึงสายผสานเทพ ก็ไม่พูดถึงศิษย์ตัวแทนสายของสายนี้ไม่ได้ น่าเสียดายที่คนคนนี้ตัวตนลึกลับ ไม่เคย ปรากฏตัวภายนอก…แต่ได้ยินมาว่าเขาผสานเทพทั่วทั้งร่าง ได้เกือบแปดส่วนแล้ว ปกติอาศัยของวิเศษเวทอำพราง’’

“ส่วนกำลังรบก็น่าตื่นตะลึงนัก ข้าได้ยินว่าศิษย์ตัวแทน สายของสายผสานเทพท่านนั้นใช้มือเพียงข้างเดียวก็สามารถ

สยบสิ่งมีชีวิตคุณสมบัติเทพระดับหวนสู่อนัตตาขั้นหนึ่งได้แล้ว”

“อัจฉริยะเก่งกาจเช่นนี้ ทั้งยังทำตัวสงบเสงี่ยมเช่นนี้ ในอนาคตจะต้องยิ่งไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน”

คนทั้งหลายทอดถอนใจ ระหว่างนั้นยังพูดถึงสายอื่นๆ อย่างเช่นสายฝึกวิญญาณ สายหมื่นวิชา สายฝึกจิตใจ สายศิลาหยก ล้วนพูดถึงทั้งนั้น และทุกครั้งที่พูดถึงศิษย์ตัวแทน สายของสายเหล่านี้ ทุกคนต่างเอ่ยคำชื่นชม ในสีหน้ายิ่งมีความอิจฉา

ขณะเดียวกันก็ต่างพูดถึงการคาดเดาตัวตนที่แท้จริง ของศิษย์ตัวแทนสายเหล่านี้ คาดเดาอะไรก็มีทั้งนั้น กระทั่ง มีคนเดาว่าศิษย์ตัวแทนสายคนหนึ่งคือองค์ชาย

เห็นได้ชัดว่าอิทธิพลของสายใหญ่ๆ ในวังศึกษาไม่จำกัด อยู่แค่วังสำนักศึกษาเองแล้ว แต่สามารถส่งอิทธิพลต่อโลกภายนอก ระดับการให้ความสนใจสูงมาก

“น่าเสียดาย ตอนนี้ในวังศึกษาสายผสานเทพเป็นสายหลัก สายอื่นๆ ล้วนตามหลัง ซึ่งยากจะทำให้เกิดการแย่งชิง
ของสายอย่างดุเดือด ข้าเคยอ่านจากในตำราโบราณของวังศึกษา วังศึกษาก่อตั้งจนถึงปัจจุบันนี้ เกิดการแย่งชิงครั้งใหญ่ของสาย 4 ครั้ง ทุกครั้งล้วนดึงความสนใจจากเมืองหลวงทั้งเมือง ยิ่งใหญ่นัก”

มีคนสูดลมหายใจ คนอื่นๆ ก็ต่างพยักหน้า หัวข้อ สนทนาขยายออกไปอีก มีคนพูดถึงสายเซียนต่างวิถี

“เทียบกับสายเหล่านี้ ความจริงแล้วข้าสนใจสายเซียน

ต่างวิถีมากกว่า แต่น่าเสียดาย สายนี้ตกต่ำแล้ว’’

“สรุปแล้วเป็นเพราะฝึกบำเพ็ญสายนี้ยากลำบากนัก เงื่อนไขพรสวรรค์สูงมาก นี่ก็ช่างเถิด ที่สำคัญที่สุดคือ พวกเขาไม่มีคนที่ประสบความสำเร็จจริงๆ ปรากฏขึ้นเลย”

คนที่พูดถึงสายเซียนต่างวิถีเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ชื่อว่า มู่หนาน

เขาท่วงท่าสง่างาม รอยยิ้มอ่อนโยน ก่อนหน้านี้ตอนที่สวี่ชิงมาถึง องค์หญิงสามได้แนะนำว่าอีกฝ่ายมาจากสาขาหลัก ลัทธินอกวิถีเผ่ามนุษย์ ตอนนี้น้ำเสียงของเขาสะท้อนใจ พูดต่อไปว่า

“วีรชนที่สำเร็จได้ครึ่งขั้นมีเพียงแค่ 2 คน คนหนึ่งถูกตีตาย คนหนึ่งหลังจากที่แปลงร่างก็หายตัวไป ดูเหมือนได้รับการบูชา แต่ไม่ต่างอะไรกับสัญลักษณ์ตัวแทน ทั้งเป็นเวลาที่ผันผ่าน น้อยคนที่จะเคยเห็น ก็ค่อยๆ ถูกลืมเลือนไป”

“แต่ว่า ในสำนักข้ามีภาพเงาเคลื่อนไหวช่วงหนึ่ง บันทึก สภาพถักวิญญาณของเฉินเต้าเจ๋อเอาไว้’’

พูดจบเขาก็เหมือนมองไปทางสวี่ชิงผาดหนึ่งอย่างไม่ได้

ตั้งใจ

สวี่ชิงประสานสายตากับเขา สีหน้าเป็นปกติ เอ่ยราบเรียบ

“สหายมู่หนาน ภาพบันทึกเงานี้สามารถขอชมได้หรือไม่

มู่หนานได้ยินก็ยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ “นี่เป็นความลับของลัทธิข้า หากเป็นคนอื่นไม่ได้ แต่เจ้าแดนสวี่อยากชม แน่นอนว่าย่อมได้’’

พูดแล้ว มู่หนานก็เอาแผ่นหยกชิ้นหนึ่งออกมา คลายมือเบาๆ ลอยไปหาสวี่ชิง

สวี่ชิงคว้าเอาไว้ ตั้งสมาธิมองไป เพียงพริบตา ในสมองก็ มีภาพฉากหนึ่งผุดขึ้นในภาพนั้นเป็นผู้บำเพ็ญกลางคนสวม ชุดนักพรตคนหนึ่ง ขณะที่เขาสะบัดมือ ไอพลังประหลาดมหาศาลที่แผ่อยู่ข้างหลังก็ผสานมาในร่าง ร่างของเขา เปลี่ยนไปในทันทีรูปร่างเปลี่ยนจากร่างมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิต คุณสมบัติเทพที่เหี้ยมเกรียม

มองภาพนี้ สวี่ชิงสีหน้าเป็นปกติ แต่ในใจกลับ มีระลอกคลื่นอารมณ์

เพราะนี่คล้ายกับสภาวะเทพของเขาเป็นอย่างมาก!

และในขณะที่ในใจสวี่ชิงเกิดระลอกคลื่นอารมณ์ จู่ๆ เสียงระฆังเป็นระลอกๆ ก็พลันดังก้องไปทั้งเมืองหลวง เสียงหนักแน่นยิ่งกว่าสายฟ้า อีกทั้งยังดัง 9 ครั้ง

คนทั้งหลายในงานเลี้ยง อึ้งตะลึงก่อน จากนั้นก็ต่างหน้าเปลี่ยนสี มีคนกระทั่งว่าผุดลุกขึ้นมา

“ระฆังจักรพรรดิดัง 9 ครั้งนี่คือเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น

แล้ว!”

สวี่ชิงสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ความรู้สึกไม่สงบจากสัญญาณวิถีสวรรค์ก่อนหน้านี้ ตอนนี้ยิ่งรุนแรงขึ้นในใจ

ขณะเดียวกันนอกตำหนักขององค์หญิงสาม เสียงแหวกอากาศอย่างรวดเร็วดังมา

เสี้ยวขณะต่อมา องครักษ์วังหลวงสวมชุดเกราะสีทองทั้ง ร่างกลุ่มหนึ่งก็พุ่งเข้ามา มาปรากฏตัวในงานเลี้ยง

จิตสังหารกระจายทั่วงานเลี้ยง ในขณะที่คนทั้งหลาย ต่างตกใจสงสัย ผู้บำเพ็ญเกราะทองผู้เป็นผู้นำ สายตาเย็นชา จับไปที่ร่างสวี่ชิง โค้งตัวคารวะ จากนั้นก็เหยียดตัวตรง เอ่ยเสียงเย็นขึ้นว่า

“องค์จักรพรรดิมีบัญชารับสั่งให้เจ้าแดนสวี่เข้าวังเข้าเฝ้าเดี๋ยวนี้!”

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version