บทที่ 773 ธูปรัชทายาทเผ่ามนุษย์
ชั่วยามที่ 6 ของการสืบสวนคดีดวงตะวันแห่งแสงอรุณที่หายไป
ท้องฟ้าเป็นยามโพล้เพล้ ทว่าไร้ซึ่งแสงอัสดง เมฆดำทะมึนทำให้ยามพลบค่ำที่เหมือนมาเยือนแล้ว เหมือนยังไม่มา ฟ้าราตรีมาเยือนโลกมนุษย์ก่อนล่วงหน้า
หยาดน้ำฝนยังคงโปรยปรายไปพร้อมกับเสียงอัสนีครืนครัน บรรยากาศกดดันประกอบกับร่างเงาขององค์รักษ์ในเมืองหลวง ทำให้ความเย็นยะเยือกแผ่ปกคลุมเมืองหลวงเผ่ามนุษย์แห่งนี้
คืนนี้ ถูกกำหนดให้เป็นคืนที่ไม่อาจหลับไหล
การสอบสวนที่มาจาก 5 วังทมิฬบนครอบคลุมเป็นบริเวณกว้าง นอกจากองค์ชายแล้ว ยังมีผู้บำเพ็ญที่องค์ชายมี สัมพันธ์ด้วยอีกมากมาย
คนเหล่านี้ในชั่วยามที่ 6 ถูกคุมตัวไปแล้วกว่าครึ่ง
บ้างก็อยู่ในที่บำเพ็ญ บ้างก็อยู่ในสำนัก บ้างก็อยู่ในเรือน จะฝ่ายใดเมื่อเผชิญหน้ากับความน่าเกรงขามของจักรพรรดิ มนุษย์ล้วนเลือกก้มหน้าทั้งสิ้น
หากต่อต้าน จะสังหารไม่ละเว้น และน้ำฝนที่โปรยปรายก็ชะล้างเลือดไป มีเพียงกลิ่น คาวเลือดที่ยากจะจางหาย ค่อยๆ คละคลุ้งไปตามฝืนฟ้าราตรี ท่ามกลางฝนห่าใหญ่ในราตรีมืดมิด สวี่ชิงสวมชุดคลุม ยาวผู้ครองกระบี่ กำลังอยู่ระหว่างทางไปยังคุกสวรรค์ ฝีเท้า เปลี่ยนเป็นเร่งรีบตามสภาพจิตใจและสภาพแวดล้อม
เขาร่วมสอบสวนคดีดวงตะวันแห่งแสงอรุณที่หายกับวัง ครองกระบี่ทุกขั้นตอน เห็นหลักฐานที่ถูกสอบสวนออกมาทั้งหมด และสัมผัสกระแสคลื่นใต้น้ำขององค์ชายแต่ละคนได้
‘ไม่ควรเป็นเช่นนี้’
สวี่ชิงเงยหน้า สายตามองผ่านน้ำฝนไปยังวังหลวงในยามราตรี
คุกสวรรค์อยู่ในวังหลวง ประตูที่เข้าไม่ใช่ทางสะพานสายรุ้ง แต่เป็นประตูที่อยู่ด้านข้าง
‘องค์ชายเหล่านี้จะผู้ใดก็ไม่ธรรมดาทั้งนั้น พวกเขาไม่มีทาง ถูกตรวจสอบว่ามีความเกี่ยวข้องได้ง่ายดายเช่นนี้ นอกเสีย จาก…มีคนที่คอยชักใยและผลักดันเรื่องทุกอย่าง’
‘ราชครูหรือ’
‘อีกทั้งที่จักรพรรดิมนุษย์พิสูจน์ตัวเองก็ค่อนข้างแปลก’
สวี่ชิงขมวดคิ้ว เขามักจะรู้สึกว่าหลังจากมาถึง เมืองหลวงจักรพรรดิ เรื่องเหล่านี้ที่ตนเห็นยังมีช่องโหว่ เหมือนตัวต่อชิ้นสำคัญขาดไปหนึ่งชิ้น
“จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าคนวางหมาก ไม่ได้มีสองคน…”
สวี่ชิงชะงักฝีเท้า ทัณฑ์สวรรค์สายหนึ่งพาดผ่านท้องฟ้า ส่งเสียงครืนครัน ส่องสะท้อนวังหลวง และสะท้อนใบหน้าสวี่
ชิงที่กำลังครุ่นคิด
นานหลังจากนั้น สวี่ชิงหลับตาลง ตอนที่ลืมตาสีหน้าเขาก็ปกติ เดินเข้าในประตูด้านข้างวัง
ด้วยคำสั่งของวังครองกระบี่ เขาจึงผ่านเข้าไปตรวจตราได้อย่างราบรื่น เดินลงไปยังชั้นใต้ดินของวังด้วยการนำทาง ขององครักษ์เกราะดำ 3 คน
สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกรวมถึงกลิ่นอายน่า ครั่นคร้ามได้ตลอดทาง ทั้งยังมีอักขระผนึกต้องห้ามบนอิฐทุก
ก้อน สวี่ชิงเข้าใจว่าคุกแห่งนี้น่าจะนับเป็นคุกที่แน่นหนาที่สุด ของเมืองหลวงจักรพรรดิแล้ว
แม้เขาจะมีคำสั่งก็ยังต้องผ่านการตรวจสอบทีละชั้น จน ยืนยันได้ว่าไม่มีปัญหา สวี่ชิงถึงถูกพามายังห้องขังที่คุมตัวหนิงเหยียน
คุกสวรรค์ของวังหลวงมีทั้งหมด 9 ชั้น ยิ่งลึกเท่าไร สถานะของคนคนนั้นในราชวงศ์ก็ยิ่งสูงเท่านั้น และยิ่งลึกลับ
โดยเฉพาะนับตั้งแต่ชั้นที่ 6 เป็นต้นไป ห้ามเข้าเยี่ยมโดยสิ้นเชิง
หนิงเหยียนถูกขังไว้ที่ชั้น 3
ทั้งห้องขังถูกผนึกต้องห้ามปกคลุม หนิงเหยียนสวมห่วง ผนึกไว้ทั้งตัว ทำให้เขาเป็นเหมือนคนธรรมดาที่นี่ ต่อให้ติดปีกก็หนีไม่ได้ และสีหน้าเขาก็ซับซ้อนมาก นั่งอยู่บนพื้นนิ่ง ไม่ไหวติง
กระทั่งสัมผัสถึงการมาเยือนของสวี่ชิงได้ เขาจึงเงยหน้า ขึ้นอย่างฝืนใจ มองยังสวี่ชิงที่อยู่ด้านนอกห้องควบคุมตัวผนึก ต้องห้าม
“ลูกพี่…”
จ้องมองหนิงเหยียน สวี่ชิงนั่งลงขัดสมาธิ กวาดตาไปรอบๆ
“สภาพที่นี่ถือวาพอใช้ได้ไม่ได้สกปรกอย่างที่ข้าคิดไว้เท่าไรนะ’’
หนิงเหยียนยิ้มขืน
“ทั้งยังสงบดีด้วย เจ้าจะสงบใจที่นี่ได้”
หนิงเหยียนเงียบนิ่ง
“หลังจากสงบใจแล้ว เจ้าอาจจะนึกเรื่องที่เจ้ามองข้ามไปออกได้’’
สวี่ชิงไม่กล่าวต่อ มองหนิงเหยียนอย่างสงบนิ่ง หนิง เหยียนตึงเครียดขึ้นมาเล็กน้อยตามสัญชาตญาณ ดวงตา ทั้งสองที่ประสานกับสวี่ชิงหลุกหลิกเล็กน้อย
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป
หนิงเหยียนก้มหน้า สวี่ชิงหลับตา มีเพียงความเงียบสงัดเงียบสนิทไปหมด กระทั่งผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูป สวี่ชิงจึงลุกขึ้นยืน “ในเมื่อเจ้าไม่มีอะไรจะกล่าวกับข้าเช่นนั้นข้าไปละ”
สวี่ชิงหันหลังจะเดินออกไปด้านนอก ในกรงขังด้านหลังเขา หนิงเหยียนมองแผ่นหลังสวี่ชิง ความลังเลและความกังวลในใจตัดสลับกัน กระทั่งสวี่ชิงเดินไป 5 ก้าว หนิงเหยียนก็กัดฟัน “ลูกพี่”
สวี่ชิงชะงักฝีเท้า
“แม้เรื่องนี้จะมีความเป็นไปได้ที่จะมีคนปลอมตัวเป็นข้า แต่ความเป็นไปได้ที่มากกว่าคือ…เสด็จพี่ของข้า องค์ชายสิบเอ็ดขอรับ”
สวี่ชิงหันหลัง มองหนิงเหยียนผ่านผนึกต้องห้าม “มีการชันสูตรสุสานขององค์ชายสิบเอ็ด เขาตายไปแล้วจริงๆ”
สีหน้าหนิงเหยียนซับซ้อน ลูบพื้นห้องขัง ก้มหน้าลง เสียงแผ่วเบา
“ลูกพี่…ข้ากับเสด็จพี่ เป็นพี่น้องฝาแฝด ตอนเด็กๆ พวกเราชอบละเล่นบางอย่างบ่อยๆ ขอรับ”
สวี่ชิงสีหน้าเคร่งขรึม “การละเล่นนี้คือซ่อนหา
“แต่ทุกครั้ง เขาหาข้าเจอตลอด ไม่ว่าข้าจะซ่อนอยู่ที่ให้ เขาล้วนทราบดี”
“ไม่รู้เพราะอะไร ตอนนั้นข้าถามเขา เขาบอกว่ารอให้ข้า โตแล้วข้าก็จะรู้ ทั้งๆ ที่เขาเกิดก่อนข้าแค่หนึ่งก้านธูปเท่านั้น”
“จนถึงวันนี้ หลังจากที่ข้าถูกส่งมาที่นี้…”
หนิงเหยียนเงยหน้าขึ้น มองไปทางสวี่ชิง “ข้ารู้คำตอบแล้ว ตอนนั้นไม่ว่าข้าจะซ่อนที่ใด อันที่จริง เขาอาศัยความสัมพันธ์พิเศษระหว่างพวกเรา สัมผัสได้ขอรับ”
“ข้าเองก็สัมผัสได้แล้วเช่นกัน”
หนิงเหยียนชี้ไปที่พื้น
“ด้านล่าง มีกลิ่นอายของเสด็จพี่อยู่”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ใจสวี่ชิงก็มีคลื่นโหมซัดทันที “กลิ่นอายนี้ไม่ปกติ ข้าก็ยากจะอธิบาย ความรู้สึกเดียว คือ…ทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกหน้า อีกทั้งยังแฝงความน่าพิศวงเอาไว้”
“ข้าลองร้องเรียกดู แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง”
หนิงเหยิยนขมขื่น ความรู้สึกผสมปนเปวันนี้ ส่งผลกระทบกับเขาอย่างมาก
โดยเฉพาะตอนที่สัมผัสถึงกลิ่นอายพี่ชายในคุกสวรรค์ได้ ทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขาจำได้แม่น ว่าเสด็จพี่กับเสด็จแม่ตายไปพร้อมกัน
แต่วันนี้ ใต้คุกสวรรค์แห่งนี้ เขากลับสัมผัสกลิ่นอายของเสด็จพี่ได้
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ไม่รู้ไยจึงเป็นเช่นนี้ แต่เขาไม่ใช่เด็ก เขาเข้าใจ…ว่าในนี้ เก็บความลับอันยิ่งใหญ่เอาไว้
สวี่ชิงเงียบนิ่ง สายตาไปอยู่ที่พื้น ที่นี่คือชั้น 3 ด้านล่างยังมีอีก 6 ชั้น
และที่นี่คือคุกสวรรค์ในวังหลวง มีเพียงพระบัญชาของ จักรพรรดิมนุษย์เท่านั้น ถึงจะนำคนมาขังที่นี่ได้
“คนที่ตายไป และคล้ายจะยังไม่ตาย กลับปรากฏตัวใน คุกสวรรค์ที่มีแค่จักรพรรดิมนุษย์ทรงบัญชาให้คุมขังเท่านั้น …อีกทั้งองค์ชายสิบเอ็ดที่น่าสงลัยว่าจะยังไม่ตายพระองค์นี้ ก็ ขโมยดวงตะวันแห่งแสงอรุณไป’’
‘เป้าหมายของเขา ไม่ทราบ’
‘จะเป็นหรือตาย ก็ยังไม่ทราบ’
สวี่ชิงยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้ว จู่ๆ สมองเขาก็นึกถึงภาพ พระมารดาของหนิงเหยียน ตอนนี้พอนึกดู ก็คล้ายว่าทั้งหมด ทั้งมวลนี้จะเกี่ยวข้องกับการสิ้นพระชนม์ของพระมารดาหนิง เหยียนในตอนนั้น
และจักรพรรดิมนุษย์ ก็มีความลับยิ่งใหญ่ ราชครูก็ยิ่งเป็นเช่นนี้
เนิ่นนานหลังจากนั้น สวี่ชิงก็ออกจากคุกสวรรค์ กลับมา ที่วังครองกระบี่
เขาไม่ได้บอกเรื่องนี้กับคนอื่น
และเมื่อไม่ได้อะไรจากการสอบสวนหนิงเหยียนก็ทำให้คดีนี้ไม่อาจสืบสวนต่อได้
จนกระทั่งกลางดึกวันนี้ หลังจากผ่านไป 8 ชั่วยาม วังครองกระบี่ก็ถวายเอกสารรายงานการสอบสวนทั้งหมดแล้ว
4 วังที่เหลือ ก็ทยอยถวายขึ้นไป จากผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอันเนื่องมาจากทิศทางไม่เหมือนกัน ตอนถวายรายงานเบื้องหน้าจักรพรรดิมนุษย์ จากการพลิกอ่านของจักรพรรดิมนุษย์ ทัณฑ์สวรรค์บน ท้องฟ้ายิ่งลั่นครืนครันราวกับกำลังกราดเกรี้ยว จะฟาดผ่า ลงมาตลอดเวลา
ทว่าสุดท้ายโทสะนี้ก็ไม่ได้ปะทุออกมา จักรพรรดิมนุษย์ หลับตาลง หลังจากสงบนิ่งไปเนิ่นนาน ทั่งพระวรกายก็ราวกับ ทรงพระชราภาพไปเล็กน้อย
แต่ตอนที่เขาลืมตาทั้งสองขึ้นอีกครั้ง จักรพรรดิมนุษย์ที่ เผด็จการไร้ที่สิ้นสุดสะกดไปทั้ง 8 ทิศ ความน่าเกรงขามของ พระองค์กลับมาอีกครั้ง ดวงตาฉายประกายเด็ดขาด ประกาศ พระราชโองการที่สั่นสะท้านจิตใจออกมากับเผ่ามนุษย์
ด้านนอกวังหลวง นับจากวันนี้จะสร้างธูปรัชทายาท สีแดงชาดทั้งสิ้น 12 ดอก แต่ละดอกสูง 99 จั้ง เว้น ระยะห่าง 9 จั้ง!
นอกจากองค์หญิงอันหราน อันเป่ยทั้งสอง รวมถึงอันไห่ ที่อยู่ใน 12 องค์หญิงองค์ชาย ให้ผสานเลือดและวิญญาณ เข้าไปพระองค์ละดอก ประทับไว้ที่จิตวิญญาณ
“ในเมื่อพวกเจ้าจะชิงบัลลังก์ แทนที่จะสร้างคลื่นใต้นํ้า ก่อกวนราชสำนัก มิสู้ทำต่อหน้าธารกำนัลเสียยังดีกว่า”
“นับจากวันนี้ จะจุดธูปทั้ง 12 ดอกพร้อมกัน หาก มีคุณูปการจะมอดช้า หากมีความผิดจะมอดเร็วตาม การกระทำขององค์ชายองค์หญิงแต่ละพระองค์ อีกหนึ่งปี ธูปที่มอดช้าที่สุดและสูงที่สุด ก็จะเป็น…องค์รัชทายาท!”
เมื่อประกาศพระราชโองการนี้ออกไป จิตใจของผู้คนใน เมืองหลวงจักรพรรดิก็ครืนครัน ทุกขั้วอำนาจล้วนใจสั่นสะท้าน จักรพรรดิมนุษย์เด็ดขาดกับเรื่องการแต่งตั้งรัชทายาทจริงๆ ขณะเดียวกันก็ทำลายคลื่นใต้นํ้าทั้งหมด ชี้นำ ให้เรื่องการชิงบัลลังก์เป็นไปในทางที่ถูกที่ควร
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกอย่างล้วนอยู่ต่อหน้าธารกำนัล ใคร อยากเป็นองค์รัชทายาทก็ต้องรักษาธูปของตนเอาไว้ให้ดี ให้ มอดช้าที่สุด เช่นนี้ถึงจะตั้งตระหง่านสูงเด่นได้ในที่สุด อีกทั้งหากไร้คุณูปการก็ไม่ได้ เพราะธูปมอดไหม้อยู่ตลอดเวลา
ทันใดนั้น องค์ชายแต่ละพระองค์ที่คอยจับตาดูทิศทาง เรื่องการหายไปของดวงตะวันแห่งแสงอรุณในเมืองหลวงจักรพรรดิ ก็ดวงตาเปล่งประกายคมปลาบออกมา
และจากการประกาศของพระราชโองการ คดีดวงตะวันแห่งแสงอรุณที่หายไปก็กลายเป็นคดีที่ยังไม่ได้รับการคลี่คลาย และไม่มีใครพูดถึงอีก
หนิงเหยียนกับองค์ชายเก้าก็ถูกปล่อยตัวออกมา ตำหนักวังหลวง ประตูวังปิดสนิท ไม่มีประชุมราชการ 7 วัน
หนิงเหยียนที่กลับมาถึงจวน หลังจากผ่านเรื่องราวครั้งนี้ นิสัยเขาก็เปลี่ยนไป ขังตัวเองอยู่แต่ในโถงบรรพชน
สวี่ชิงรู้ว่าตอนนี้หนิงเหยียนน่าจะอยากอยู่คนเดียว จึงมองไปที่โถงบรรพชน นึกย้อนถึงเรื่องในวันนี้ เขาก็ได้คำ ตอบข้อหนึ่งที่อยู่ในใจ
‘คนที่วางหมากชนะตานี้แล้ว’
ขณะเดียวกัน ตอนที่วังหลวงปิดประตู การห้ามออกนอก เคหะสถานในยามวิกาลในเมืองหลวงจักรพรรดิผ่อนคลายลง ขณะที่ทุกคนตื่นตะลึงกับเรื่องธูปรัชทายาท ในวังหลวง บนหอ สูงเสียดฟ้า ลมพายุหวีดหวิว
จักรพรรดิมนุษย์ยืนอยู่ตรงนั้น มือไพล่หลัง มองดารา จักรพรรดิโบราณขนาดยักษ์เบื้องหน้า
ด้านหลังเขา มิติบิดเบี้ยว ร่างเงาของราชครูเดินออกมา ประสานมือให้จักรพรรดิมนุษย์ ยิ้มเล็กน้อย
“ยินดีกับฝ่าบาทด้วยพะยะค่ะในที่สุดก็ทรงตัดสินพระทัยอย่างเด็ดขาด สะบั้นข้อผูกมัดสุดท้ายออกได้’’
ดวงตาทั้งสองของจักรพรรดิมนุษย์ล้ำลึก ไม่ได้หันพระพักตร์ไป เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
“ต่อให้เจ้าจะเป็นองค์รัชทายาทม่วงคราม แต่ตอนนี้ เจ้ายังไม่แข็งแรง ชํ้ายังอยู่ในอาณาบริเวณเผ่ามนุษย์ข้า หาก ข้าจะสังหารเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องยาก”
สีหน้าราชครูอ่อนโยน เอ่ยเสียงแผ่วเบา “กระหม่อมเพียงจะช่วยทำความฝันของฝ่าบาทให้สำเร็จเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ฝ่าบาทก็ทราบดีว่าข้าเพียงแค่ผลักดันเล็กน้อย หลังม่านยังมีคนอื่นอยู่”
“ส่วนจะเป็นใคร ฝ่าบาทก็มีคำตอบอยู่แล้วพะยะค่ะ’’
จักรพรรดิมนุษย์สีหน้าไร้อารมณ์
“ฝ่าบาท มีเทพเจ้าให้ความสนใจแล้ว ดังนั้นในเมื่อ ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ก็ต้องทำโดยเร็วที่สุดพะยะค่ะ ถึงอย่างไรการแลกเปลี่ยนนี้…ก็ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
ราชครูอมยิ้ม กล่าวจบร่างกายก็พร่าเลือน หายไปกับ สายลม
ในหอสูงเสียดฟ้าเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมสะท้อนก้อง
ในสายลมนั้น สายตาจักรพรรดิมนุษย์ก็เหมือนทะลวง
ผ่านหมอกเมฆ มองเข้าไปในส่วนลึกดาราจักรพรรดิโบราณ…
