บทที่ 778 ข้ายืนอยู่ตรงหน้าเจ้า
“สำนักย่อยยอดจักรพรรดิดาราถูกปล้น!”
“เห็นว่าของหายไปเยอะมาก มีจารึกหินที่เก็บไว้ใน เขตหวงห้าม จารึกนี้ในวันปกติธรรมดาทั่วไปอย่างยิ่ง มีเพียง ในคืนที่ฝนตกฟ้าคะนองจะมีเงาปรากฏขึ้นรางๆ”
“เคยถูกสำนักยอดจักรพรรดิดาราศึกษามานานในที่สุด ก็ไขปริศนาภาพพิเศษสลักบนหินก้อนหนึ่งได้ เงาเลือนรางในนั้นคือผู้บำเพ็ญหลอมตันเถียนโบราณผู้หนึ่ง มีคุณค่าทางโบราณคดี แต่อันที่จริงก็ไม่ได้มากถึงเพียงนั้น’’
“หินก้อนนี้หายไปก็ช่างเถิด แต่ของชิ้นอื่นที่ถูกปล้นไปก็ เรียกได้ว่าอุกฉกรรจ์…ได้ยินว่ามีพื้นที่ส่วนหนึ่ง ต้นไม้ ก้อนอิฐ
กระทั่งสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ตรงนั้นทั้งหมดถูกรื้อไป 3 ส่วน ดิน บางแห่งถูกขุดลงไป 3 ฉื่อ ราวกับตั๊กแตนลง…’’
“ที่ยิ่งไม่น่าเชื่อคือ อาภรณ์บางส่วนก็ถูกขโมยไปด้วย!”
“เกิดอะไรขึ้น…ขโมยของพวกนั้นไปทำไม”
แม้สำนักย่อยอดจักรพรรดิดาราจะไม่ได้มีพื้นที่กว้างขวาง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นหนึ่งในสิบสุดยอดสำนักของเผ่ามนุษย์ เมื่อสำนักมีการเคลื่อนไหวย่อมดึงดูดสายตาผู้คน โดย เฉพาะเรื่องถูกปล้น
ประกอบกับสิ่งที่สูญหายไปแปลกประหลาดยิ่ง
ดังนั้นเช้าตรู่วันนี้ เรื่องการปล้นสำนักย่อยยอดจักรพรรดิ ดาราจึงเล่าลือออกไปไม่หยุด คนที่ได้ฟังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ล้วนตกตะลึงระคนสงสัยกับเรื่องนี้
ไม่นานนัก ก็มีคนสืบข้อมูลลับบางอย่างผ่านพวก เส้นสายและข้อมูลเหล่านี้ ก็เหมือนนํ้าเย็นที่สาดลงไปในนํ้ามัน เดือด ปะทุขึ้นมาทันที
“หนึ่งในโจรวิชาเวทย์ที่สำแดงคือขั้นใหญ่ของสายเซียน ต่างวิถี!”
“อีกทั้งจากการพิจารณาของสำนักย่อยยอดดาราจักรพรรดิ จำนวนไหมวิญญาณของคนผู้นี้มากถึงแสนเส้น อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เหนือกว่าบรรพจารย์ทั้งสองของสายเซียนต่างวิถีไปแล้ว!”
“เรื่องนี้เป็นไปได้อย่างไรกัน ข้าก็เคยไปทำความเข้าใจสายเซียนต่างวิถีมาก่อน ความเร็วในการบำเพ็ญเชื่องช้ายิ่ง หากอยากมีไหมวิญญาณนับแสนเส้น…ยังไม่ต้องพูดถึงเลยว่า ร่างกายแบกรับการแบ่งแยกวิญญาณออกมาเช่นนี้ได้หรือไม่ เพียงแค่เวลาที่ใช้ก็เกือบหมื่นปีแล้ว!!”
“น่าเหลือเชื่อจริงๆ!”
ข่าวคราวแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว แค่ช่วงเช้า ลมพายุก็พลันก่อตัวขึ้น ขณะที่ปกคลุมไปทั้งเมืองหลวงจักรพรรดิ ก็ย่อมเล่าลือไปถึงวังศึกษาด้วย
และในฐานะที่สายเซียนต่างวิถีเป็นต้นเหตุของเรื่อง
ทั้งหมด ในยามกลางวัน ก็มีผู้รํ่าเรียนจำนวนมากรวมตัวอยู่ ด้านนอก ต่างมองมาที่เจดีย์ขาวสายเซียนต่างวิถีอย่างไม่อยาก เชื่อ พากันวิพากษ์วิจารณ์
เพราะตัวแทนของสำนักยอดจักรพรรดิดาราที่ยื่นเรื่อง ขอเข้าไปในเจดีย์ขาว ตอนนี้ยังไม่เดินออกมา
จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งก้านธูป ตัวแทนสำนักยอด จักรพรรดิดาราคนนั้นก็เดินออกมาจากเจดีย์ขาวสายเซียน ต่างวิถีด้วยสีหน้าปั้นยาก รีบร้อนจากไป
ด้านหลังเขา เป็นเจ้าสายเซียนต่างวิถีตลอดจนศิษย์ทั้ง 3 คน
แม้ตอนนี้หน้ากากของวังศึกษาจะบดบังระลอกคลื่น อารมณ์ของพวกเขาเอาไว้ แต่ความตกตะลึงที่เผยออกมาจาก ดวงตา ก็แสดงให้เห็นใจที่ไม่สงบของพวกเขาทั้ง 4
อารมณ์ของพวกเขาเวลานี้ มีทั้งความตื่นตะลึง สับสน ตื่นเต้นตลอดจนความคลั่งไคล้ผสมปนเปกัน
สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นในสำนักย่อยยอดจักรพรรดิดารา พวกเขาได้ยินคำเล่าลือมาตั้งแต่แรกๆ แต่ไม่ได้สนใจ จนกระทั่งเรื่องผู้บำเพ็ญลึกลับสำเร็จขั้นใหญ่สายเซียนต่างวิถี ปรากฏตัวขึ้น ทำให้พวกเขาตกตะลึง
จากนั้นตัวแทนของสำนักยอดจักรพรรดิดาราก็มาหา บอกรายละเอียดมากมาย รวมถึงตรวจสอบข้อมูลของผู้ บำเพ็ญในสายเซียนต่างวิถี พวกเขาถึงได้รับรู้ความจริงของ เรื่องที่เกิดขึ้น
ความปั่นป่วนในใจพวยพุ่งขึ้นไปถึงขีดสุดแล้ว
และการสอบสวนของสำนักยอดจักรพรรดิดาราก็ยัง ไม่ได้คำตอบ แม้หลายปีมานี้ศิษย์หลักที่บำเพ็ญในสายเซียน ต่างวิถีจะมีแค่ 4 คน แต่อันที่จริงด้านนอกก็ผู้ที่บำเพ็ญวิชาสาย เซียนต่างวิถีอยู่
ถึงอย่างไรการก่อตั้งวังศึกษาก็เพื่อทำลาย การเล่นพรรคเล่นพวก ทำให้ทุกคนเรียนเคล็ดวิชาได้ ดังนั้นต่อให้สายเซียนต่างวิถีจะกำหนดไว้ว่าต้องเป็นศิษย์หลักถึง จะศึกษาได้ แต่ความเป็นจริง หลายครั้งกฎข้อนี้ก็ไม่ได้สลักสำคัญ
ดังนั้นนับแต่โบราณมา มีคนมากมายที่รู้วิชาสายเซียน ต่างวิถี หากหมายจะตรวจสอบ ก็ประหนึ่งงมเข็มในมหาสมุทร
และด้วยความคิดในกรอบนี้ ผู้คนจึงคิดว่าเจ้าสายอาจ เป็นผู้บำเพ็ญลึกลับสำเร็จขั้นใหญ่ผู้นั้นไปตามสัญชาตญาณ และที่เป็นไปได้มากกว่า…ผู้บำเพ็ญลึกลับผู้นั้นจะต้องเป็นตา
เฒ่าที่ซ่อนตัวมานับพันปีแน่!
สรุปแล้วเป็นผู้ใด ก็ต่างคนต่างความคิด ด้านนอกไม่รู้ สายเซียนต่างวิถีทั้ง 4 ยิ่งไม่รู้
เวลานี้เจ้าสายเซียนต่างวิถียืนอยู่ด้านนอกเจดีย์ขาว สะกดความตื่นเต้นในใจ พยายามทำให้ตัวเองสงบลง กวาดสายตาไปที่ร่างของผู้ร่ำเรียนในวังศึกษารอบๆ เขารู้สึกสะท้อนใจสุดคณานับ
“กี่ปีแล้วที่สายเซียนต่างวิถีไม่ได้เป็นที่สนใจเช่นนี้ ไม่มีผู้ร่ำเรียนห้อมล้อมเช่นนี้…”
นอกเหนือจากใจที่โหมซัด เขายังรู้สึกตื้นตันใจกับผู้ ลึกลับขั้นสูงของสายเซียนต่างวิถีคนนั้นอย่างยิ่ง ยิ่งภาคภูมิใจ จึงสูดลมหายใจลึก เปล่งเสียงกับคนด้านภายนอก
“ข้าไม่ทราบว่าสำนักย่อยยอดจักรพรรดิดาราไปยั่วยุ อะไรผู้อาวุโสของสายข้าผู้นั้น จนทำให้ผู้อาวุโสสายข้าต้อง ลงโทษเล็กๆ น้อยๆ เพื่อเป็นการตักเตือนเช่นนี้ ทว่าเรื่องราวใน ครั้งนี้ สายเซียนต่างวิถีของข้ารับผิดชอบได้!”
“ตั้งแต่โบราณมา ผู้ที่เรียนวิชาสายเซียนต่างวิถีของข้า มีมากมาย ยิ่งมีการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ดังนั้นในเผ่ามนุษย์ เรา จึงมีผู้แข็งแกร่งสายเซียนต่างวิถีอยู่มากมายนัก”
“แต่เดิม ข้าไม่อยากป่าวประกาศเรื่องนี้ให้ด้านนอกรับรู้ เพราะสายของข้าอ่อนน้อมถ่อมตนมาโดยตลอด ไม่ข้องแวะ กับเรื่องทางโลก ใช้ฐานะอย่างสายทั่วไปติดต่อกับด้านนอก แต่วันนี้…ในเมื่อผู้อาวุโสสายข้าลงมือแล้ว พวกเราก็จะไม่หลบซ่อนอีก”
“ใช่แล้ว คนผู้นี้คือหนึ่งในผู้แข็งแกร่งสายเซียนต่างวิถี ของข้า!”
เจ้าสายเซียนต่างวิถีเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ เสียงสะท้อนก้อง ทำให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นในกลุ่มผู้ร่ำเรียนรอบๆ นับไม่ถ้วน และท่ามกลางความจอแจนี้ เจ้าสายเซียนต่างวิถีนำมือไพล่หลัง เชิดหน้าเดินกลับเข้าไปในเจดีย์ขาว
ศิษย์ 3 คนนั้นก็เดินตามไปอย่างฮึกเหิมทันที
จนกระทั่งทั้ง 4 กลับเข้ามาในเจดีย์ขาว จากการปิดประตู ศิษย์ทั้ง 3 ก็สะกดความตื่นเต้นในใจไว้ไม่ไหวอีก พากันมอง ไปทางเจ้าสาย
“ท่านอาจารย์ นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
“ท่านอาจารย์ สายเซียนต่างวิถีของพวกเรา มีผู้แข็งแกร่งขนาดนั้นอยู่จริงหรือ”
“ไหมวิญญาณหนึ่งแสนเส้นเชียวนะ นี่…เป็นไปได้อย่างไร”
เสียงคนทั้ง 3 กำลังสั่นเทิ้ม
เจ้าสายเซียนต่างวิถีเงยหน้า เอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ
“ไม่รู้!”
หากเป็นแต่ก่อน ศิษย์ 3 คนนี้จะต้องกล่าวยอกย้อนเป็นแน่ ถึงอย่างไรเจ้าสายก็ไม่ทำอะไรพวกเขาอยู่แล้ว พวกเขากระทั่งยังอยากจะถูกขับออกด้วยซํ้า
แต่ตอนนี้ 3 คนนี้กลับเชื่อฟังอย่างไม่ค่อยจะได้เห็น คนหนึ่งเดินมาบีบนวดไหล่ให้เจ้าสาย คนหนึ่งปรนนิบัติพัดวี คนหนึ่งไปจัดการแผ่นหยก ต่างมองเจ้าสายตาปริบๆ
เจ้าสายเซียนต่างวิถีรู้สึกสบายอกสบายใจอย่างยิ่ง ได้รับ การปรนนิบัติเช่นนี้ เขาไม่ได้สัมผัสมานานมากแล้ว จึงเอ่ย ด้วยเสียงราบเรียบ
“ช่างเถิด แม้หลายปีมานี้พวกเจ้าทั้ง 3 คน จะพลาดพลั้งไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำผิดร้ายแรง ถือว่าผ่าน การพิจารณาก็แล้วกัน เช่นนั้นบางเรื่องก็ควรจะบอกพวกเจ้า
เสียที”
ศิษย์ทั้ง 3 ได้ยิน หูก็ตั้งทันที ใจสั่นสะท้าน
เจ้าสายกวาดตามอง ก็ยิ่งรู้สึกกระชุ่มกระชวย เริ่มคุยโว โอ้อวดออกมาช้าเนิบ
“ข้าย่อมรู้ฐานะของผ้อาวุโสผู้นี้อยู่แล้ว สิ่งที่ข้าเคยพูด
กับภายนอกก่อนหน้านี้ก็เป็นเรื่องจริง”
“สายของพวกเราเคยรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด ทำให้ผู้คน
จับตามอง เป็นอุปสรรคกับการบำเพ็ญ ต่อมาบรรพจารย์จึง มีข้อตกลงลับๆ ว่าให้ศิษย์รุ่นหลังอ่อนน้อมถ่อมตน ใช้ฐานะ
อย่างคนธรรมดาติดต่อกับโลกภายนอก”
“จึงยอมให้สายตกต่ำลง”
“แต่ความจริงแล้ว…สายเซียนต่างวิถีเปลี่ยนจากที่แจ้ง สู่ที่ลับ ผู้ที่มีไหมวิญญาณนับแสนเส้นในสายมีอยู่หลายคน กระทั่งไหมวิญญาณหนึ่งล้านเส้นก็มีอยู่ 1 คน!”
“เรื่องนี้เป็นความลับสุดยอด พวกเจ้าห้ามแพร่งพราย ออกไปเด็ดขาด! ตอนนี้ยังไม่รีบไปจัดเรียงตำราโบราณพวกนั้นอีก แบ่งแยกประเภทให้เรียบร้อยด้วย!’’
เจ้าสายแค่นเสียงเย็นชา
ศิษย์สายทั้ง 3 ต่างสูดลมหายใจลึก พยักหน้ารัวเร็ว
แม้ในใจจะยังไม่ค่อยอยากเชื่อ แต่ท่าทีตอนนี้เปลี่ยนจากหน้า
มือเป็นหลังมือไปแล้ว รีบไปตรงที่เจ้าสายเคยยืนอยู่ประจำ ทำ เรื่องที่เจ้าสายเคยทำ…
ลมพายุของสายเซียนต่างวิถีที่พัดกวาดในวังศึกษา รวมถึงเมืองหลวงจักรพรรดิก็ทวีความรุนแรงขึ้นจากการ ยอมรับของสายเซียนต่างวิถีเช่นนี้
เวลาไหลผ่านไปหนึ่งวัน เช้าตรู่วันถัดมา สวี่ชิงลืมตาขึ้นในห้องลับ
เขาลองใช้วิชาสายเซียนต่างวิถีสูดรับเลือดเนื้อซื่อหมู่ สุดกำลังมาตลอดทั้งวัน ระหว่างนี้มีล้มเหลวบ้าง แต่สุดท้าย เขาก็สูดรับสำเร็จในระดับหนึ่ง
‘มีการแปรสภาพน้อยไปหน่อย’
สวี่ชิงขมวดคิ้ว สัมผัสทะเลความรู้สึกของตัวเอง เวลานี้ มีไหมวิญญาณเกือบห้าแสนเส้นแผ่ปกคลุม
เพิ่มขึ้นมาแสนกว่าเส้น เป็นสิ่งที่เขาได้จากการสูดรับ เลือดเนื้อซื่อหมู่ 50 กว่าก้อน
และในความเป็นจริง เลือดเนื้อซื่อหมู่ก้อนหนึ่งหนุนนำ การสำแดงสภาวะที่สองของเขาได้ ดังนั้นหากมองย้อนกลับ ไปที่รากฐาน สวี่ชิงรู้ว่าผลลัพธ์ที่ได้จากการแปรสภาพของตน ยังไม่พอ
ดีที่หลังจากที่ก้อนเนื้อซื่อหมู่ถูกสูดรับก็ไม่ได้สลายไป เพียงแห้งเหี่ยวเท่านั้น ส่วนลึกของมันยังแฝงพลังต้นกำเนิด เทพเอาไว้ แต่เพราะผสานรวมกับเลือดเนื้อซื่อหมู่ถี่เกินไป วิชาสายเซียนต่างวิถีก็แปรสภาพไม่ได้แล้ว
“แค่นี้ก็คุ้มแล้ว!”
ดวงตาสวี่ชิงเปล่งประกาย หลังจากที่เขาในตอนนี้ เชี่ยวชาญขึ้นเล็กน้อย ก็ควบคุมไหมวิญญาณให้กลายเป็น สภาวะเทพเจ้าขั้นสองได้ในพริบตา ไม่ต้องใช้พลังจากเลือดเนื้อซื่อหมู่คอยเสริมอีก
‘ยังมีเลือดเนื้อซื่อหมู่อีกหนึ่งร้อยกว่าก้อน…ข้าต้องการ วิชาสายเซียนต่างวิถีที่สูงชั้นมากกว่านี้ หากเป็นเช่นนี้ อาจ สามารถแปรสภาพได้มากขึ้นก็ได้’
‘ถึงอย่างไรไหมวิญญาณต้นกำเนิดพลังเทพที่สภาวะ เทพเจ้าชั้นสามต้องการ…หนึ่งล้านเส้นก็อาจจะยังไมพอ’
สวี่ชิงครุ่นคิด หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็ลุกขึ้นยืน เดิน ออกจากจวนมุ่งหน้าไปที่วังศึกษาท่ามกลางแสงตะวันยามเช้า ส่วนนายกองยังไม่กลับมา
สวี่ชิงไม่สนใจ เมื่อมาถึงทางเข้าวังศึกษา ทันทีที่ก้าวเท้า เข้าไปก็เหมือนการส่งข้ามที่สุ่มปรากฏตัวด้านในวังศึกษา เสื้อผ้าอาภรณ์เปลี่ยนไป ใบหน้ามีหน้ากากเพิ่มขึ้นมา
ผู้คนหลั่งไหลมาที่นี่เป็นจำนวนมาก เสียงจ้อกแจ้กจอแจ เหมือนจะดังมากกว่าปกติ
สวี่ชิงมองซ้ายขวาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินไปที่สายเซียน ต่างวิถี เสียงวิพากษ์วิจารณ์รอบด้านก็ดังมาอย่างไม่อาจควบคุม เมื่อได้ยินถ้อยคำวิพากษ์วิจารณ์ผู้บำเพ็ญลึกลับสายเซียนต่างวิถี เขาก็ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้าน
ครู่ต่อมา เดินผ่านฝูงชน สวี่ชิงก็มองเห็นเจดีย์ขาวของสายเซียนต่างวิถี ที่นี่แตกต่างไปจากก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง มีผู้ รํ่าเรียนหลายสิบคนกำลังขอคำแนะนำวิชาสายเซียนต่างวิถีอย่างนอบน้อม
เจ้าสายนั่งหลังตรงอยู่ด้านในด้วยแววตาน่าเกรงขาม ศิษย์ทั้ง 3 ต่างเชิดหน้าขึ้นกำลังอธิบายให้ผู้อื่นฟัง หลังจากสังเกตเห็นสวี่ชิง เจ้าสายก็พยักหน้าเบาๆ
ศิษย์ทั้ง 3 คนนั่นก็ร้องเรียก ดึงตัวเขาไปทันที หนึ่งในนั้นน้ำเสียงเจือความภาคภูมิใจ เอ่ยเสียงเบา
“ทำไมเมื่อวานเจ้าไม่มา ได้ยินเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวกับสายเซียนต่างวิถีของพวกเราแล้วกระมัง
“ข้าจะบอกเจ้าให้นะว่าอันที่จริงสายเซียนต่างวิถีของ พวกเราซ่อนเร้นอำพรางมาตลอด แท้จริงแล้วพวกเราแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ผู้อาวุโสที่มีไหมวิญญาณหลายแสนเส้นผู้นั้น เป็นหนึ่งในบรรพจารย์สายของเรา!”
ขณะที่ศิษย์คนนี้กำลังจะกล่าวเพิ่มเติม เจ้าสายก็กระแอมไอ
“มีคนมาเจ้าไปต้อนรับหน่อยสิเสวียนเหลยจื่อ”
สวี่ชิงประสานมือ ศิษย์ที่เอ่ยอยู่ข้างๆ ก็หยุดพูดทันที พูดทิ้งท้ายว่า
“มีเรื่องบางเรื่อง เจ้าเพิ่งเข้ามายังไม่อาจล่วงรู้ได้ สรุปง่ายๆ เจ้าทำให้ตัวดีๆ แล้วกัน อันที่จริง…พวกเราร้ายกาจยิ่ง!”
สวี่ชิงกะพริบตาปริบๆ เขาคาดการณ์ภาพนี้ไว้นานแล้ว จึงทำทีตื่นเต้น พยักหน้าอย่างหนักแน่น จากนั้นก็มองไปที่ ประตูซึ่งมีผู้รํ่าเรียนเดินเข้ามาเจ็ดแปดคน สวี่ชิงก้าวเข้าไป เอ่ยอย่างสงบนิ่ง “ทุกท่านมาที่นี่ด้วยเรื่องอันใด หากอยากจะรู้เรื่องสาย เซียนต่างวิถี ข้าอธิบายให้กับพวกท่านได้”
เนื่องจากกฎของวังศึกษา ผู้รํ่าเรียนเจ็ดแปดคนนี้ล้วน มีลักษณะเดียวกันในสายตาสวี่ชิง แต่มีหนึ่งในนั้นที่ระแวดระวังตัว ถือโอกาสตอนที่คนอื่นสอบถามสวี่ชิง เขาก็ กวาดสายตามองทุกคนรวมถึงสวี่ชิงอย่างรวดเร็ว
สุดท้ายก็จดจ้องไปทางเจ้าสายสองสามครั้ง พึมพำในใจ
‘ด้านนอกพูดกันว่าผู้บำเพ็ญสายเซียนต่างวิถีผู้นั้นเป็น ตาเฒ่าอายุนับพันปี แต่ข้าที่ประมือกับเขาวันนั้น อีกฝ่ายไม่ได้ แสดงออกมาว่ามีชีวิตอยู่มาเนิ่นนานชัดเจนนัก โดยเฉพาะการ พูดจาก็น้อยยิ่ง น่าจะเป็นพวกเงียบขรึมไม่ค่อยพูด เป็นไปได้ หรือไม่ว่าเจ้าหมาสองนั่น…จะเป็นเจ้าสายคนนี้!’
คิดถึงตรงนี้ ผู้รํ่าเรียนคนนี้ก็คล้ายจะทำตามใจชอบ ถามกับสวี่ชิงที่อยู่ข้างๆ ประโยคหนึ่ง
“ผู้รํ่าเรียนท่านนี้ ข้าอยากจะเข้าร่วมสายเซียนต่างวิถี อยากทราบเรื่องสายนี้สักหน่อย เช่นเจ้าสายท่านนี้ของพวกเรา ดูแล้วน่าจะเป็นคนเงียบขรึมพูดน้อย เหมือนว่าอายุก็ไม่มากเท่าไรกระมัง…”
สวี่ชิงได้ยิน ก็มองคนผู้นี้ผาดหนึ่ง รู้สึกระแวดระวังขึ้นมา
