Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1155

ตอนที่ 1155 หินผุพังสิบสามก้อน

ณ โลกแท้จริงดาราสัจธรรม กลางฟ้ากระจ่างดาว พายุหมุนอยู่มาสิบกว่าเดือนแล้ว ดีที่พายุหมุนไม่ได้แรงขึ้นอีก แต่ก็ยังไม่อ่อนลง มันกวาดล้างไปในฟ้ากระจ่าวดาว ไม่หยุด หมายจะทำลายชีวิตทั้งหมด

ถึงสำหรับคนธรรมดาเวลาสิบกว่าเดือนจะไม่นาน แต่ที่นี่ สำหรับผู้ฝึกฌานที่เดิมทีโลดแล่นไปในฟ้าได้เหล่านั้น สิบเดือน…กลับนานมาก

พวกเขาออกจากที่หลบภัยไปไม่ได้ไกลนัก ไม่รู้ว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น ติดต่อกับสหายที่รู้จักก็ไม่ได้เหมือนถูกขังอยู่ในที่อับจน ทำได้เพียงมองพายุข้างนอกฟ้า รอว่าสักวันหนึ่งที่พายุหมุนอาจจะสลายไปเอง

ทว่าก็มีผู้ฝึกฌานบางส่วนที่อาศัยพลังแข็งแกร่ง อาศัยการศึกษาพายุหมุนมาตลอดสิบกว่าเดือนค่อยๆ หากฏเกณฑ์ที่โผล่มาวูบวาบเล็กน้อยพบ พวกเขาอาศัยกฏเหล่านี้ทำให้ออกไปข้างนอกไกลขึ้นเล็กน้อย ไปยังที่อื่นรอบๆ ไปหาคนที่ยังมีชีวิต หรืออาจจะ…อาศัยโอกาสนี้หาผลประโยชน์!

ซูหมิงนั่งฌานอยู่นอกดาว ตรงจุดที่ไม่ได้ห่างไปไกลมาก ตอนนี้มีหินผุพังยักษ์ สิบสามก้อนกำลังลากยาวเข้ามากลางพายุหมุน หินผุพังสิบสามก้อนนี้เสียดสีในพายุจึงมีขนาดเล็กลงด้วยความเร็วระดับสายตา ดูจากลักษณะแล้ว เกรงว่าอย่างมากสุดสามวันก็จะสลายไปกลางพายุ

นี่เป็นเพราะว่าในหินผุพังเหล่านี้มีพลังจากขั้นพลังขยายออกมาไม่หยุด คอยลดพลังโลกในพายุตลอดเวลา ถ้าไม่อย่างนั้นพวกมันคงสลายไปเร็วกว่านี้

ภายในหินผุพังสิบสามก้อน ทุกก้อนล้วนกลวงตรงกลางและมีผู้ฝึกฌานสามคน นั่งฌานอยู่ อาภรณ์พวกเขายังนับว่าสวยงาม ใบหน้าไม่ถือว่าย่ำแย่ ถึงอย่างไรในเวลาสิบเดือนนี้ แม้โลกแท้จริงดาราสัจธรรมจะกลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว ทว่า ผู้ฝึกฌานก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้สักเท่าไร

กลางหินผุพังสิบสามก้อน นอกจากผู้ฝึกฌานนั่งฌานสามคนในหินทุกก้อนแล้ว รอบตัวพวกเขายังมีผู้ฝึกฌานกระจายกันอยู่หลายสิบคน กลิ่นอายพลังอ่อนแอ ร่างกายถูกตะปูหลายอันตอกไว้กับผนังหิน พวกเขายังมีสติชัดเจน ทว่าขั้นพลังกลับถูกคนใช้วิธีการประหลาดเชื่อมกับหินผุพังตอนที่ตอกร่างกับผนังหิน

พวกเขาถูกทำเป็นหินวิญญาณที่ยังมีชีวิต ถูกปล่อยพลังเข้าไปในหินผุพังตลอดเวลาเพื่อต่อต้านพายุหมุนข้างนอก

“ได้ยินว่าหลายเดือนก่อนมีเบาะแสจากตาแก่เหวินบอกว่าห่างจากที่นี่ไปสามวันมีดาวที่ยังถือว่าใช้ได้อยู่ดวงหนึ่ง ที่นั่นมีระลอกคลื่นพลังกระจายมาด้วย

หวังว่าครั้งนี้พวกเราจะได้รับของดีๆ…..” ชายวัยกลางคนหนึ่งในสามคนที่นั่งฌานอยู่ในหินก้อนแรกในสิบสามก้อนลืมตาขึ้น แสยะยิ้มมุมปาก ก่อนพูดขึ้นช้าๆ

“หากเจอคนสำนักดาราสัจธรรม…..” ชายชราอีกคนในสามคนนี้ลืมตาขึ้น ตอนที่กล่าวเรียบนิ่ง สายตายังมองคนสุดท้ายในสามคน

“สำนักดาราสัจธรรมเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ ยังจะแบ่งสำนักอะไรกันอีก สังหารเขาเสีย แล้วนำพลังมาขับเคลื่อนต้นกำเนิดวิญญาณของหินผุพัง ของวิเศษให้ข้า วิญญาณ ให้เจ้า ร่างเป็นของสหายเหมียว” คนสุดท้ายในสามคนเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง เขาสวมเสื้อคลุมดารา เพียงแต่เสื้อคลุมนั้นไม่เหมือนคนสายตรง แต่เป็นสายเลือดสาขา

ทว่าพลังชายหนุ่มกลับค่อนข้างแข็งแกร่ง บรรลุถึงภัยพิบัติตะวันสมบูรณ์แล้ว ขาดเพียงก้าวเดียวก็จะถึงขั้นกุม แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงขั้นกุม ทว่าแรงกดดันจากตัวเขากลับทำให้สองคนที่กล่าวมองเขาเป็นฐานะเดียวกัน

สองคนนั้น พวกเขาบรรลุถึงขั้นกุม!

ถึงอย่างไรคนที่ใช้ชีวิตได้อย่างอิสระยิ่งภายใต้มหันตภัยครั้งนี้ก็มีผู้อ่อนแอน้อยมาก และก็มีเพียงยอดฝีมือเท่านั้นถึงมีคุณสมบัติทำแบบนี้ได้

สองคนนั้นมองหน้ากันและกันก่อนยิ้มน้อยๆ ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่หลับตาลง

เวลาผ่านไปช้าๆ พริบตาเดียวก็สามวัน เมื่อวันที่สามมาถึง หินผุพังสิบสามก้อนหายไปมากกว่าครึ่ง ทว่าก็ยังไม่สลายไปกลางพายุ แต่กลายเป็นดาวตกสิบสามดวงพุ่งไปยังดาวที่ซูหมิงอยู่

ผ่านไปครู่หนึ่งพลันเกิดเสียงดังสนั่นบนดาวดวงนี้ แรงสั่นสะเทือนรุนแรงทำให้ดาวสั่นไหวไม่หยุด ตรงขอบดาวมีหลายแห่งสลายเป็นเศษม้วนไปยังฟ้ากระจ่างดาวอีกไม่น้อย

ขณะเดียวกันกลางหลุมลึกของดาวนี้ กระเรียนขนร่วงที่อยู่ข้างซูหมิงซึ่งถูก แสงแก่นยมโลกปกคลุมพลันดวงตาเป็นประกายคมกริบ มันกระโดดพุ่งออกจาก แสงแก่นยมโลก ก่อนมองทอดไกลแวบหนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนสีโดยพลัน

‘หนึ่งสองสาม…ย่ากระเรียนมันเถอะ ในหินผุพังสิบสามก้อนมีคนหลายร้อย…ไม่ถูกต้อง มีเพียงสามสิบเก้าคนที่กลิ่นอายพลังยังมีชีวิตชีวา คนอื่น…กลายเป็นหุ่นเชิดองครักษ์ขับเคลื่อนหินสิบสามก้อนนั้น…เหมือนกับใช้คนเป็นหินวิญญาณ ความคิดนี้ไม่เลวเลย ไม่อยากเชื่อว่าจะใช้วิธีนี้เดินทางในผืนฟ้า

พวกเขามาที่นี่…หรือว่าจะเพราะที่นี่?’ กระเรียนขนร่วงกลอกตา ก่อนหดตัวกลับเข้าไปในแสงแก่นยมโลก ร่างหลอมรวมเข้าไปกลางแสงแล้วพลันเปลี่ยนภาพของที่นี่ ทำให้ในสายตาคนอื่นเห็นว่าที่นี่ไม่ใช่หลุมลึกอีก แต่เป็นพื้นเรียบ

เวลาผ่านไปไม่นาน สายรุ้งยาวสามสิบเก้าสายลากยาวเข้ามาจากไกลลิบ พริบตาเดียวก็มาลอยอยู่ตรงจุดที่ซูหมิงปิดด่านนั่งฌาน สามสิบเก้าคนนี้ต่างมีสีหน้าเย็นชา และยังมีความเรียบนิ่ง เห็นได้ชัดว่าทุกคนสังหารมานับไม่ถ้วน ในพวกเขามีคนที่มีแรงกดดันของยอดฝีมืออยู่หกคน ส่วนคนอื่นๆ ที่อ่อนแอที่สุดก็เจ้าปกครองโลกตอนปลาย

มีอดีตผู้ฝึกฌานสำนักดาราสัจธรรมและก็มีคนจากพันธมิตรเผ่าเซียน ผู้ฝึกฌานสองฝ่ายที่เมื่อสิบเดือนก่อนหากเจอหน้ากันจะลงมือสังหารทันทีตอนนี้กลับปรองดองกันมาก ที่เป็นแบบนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับมหันตภัยแห่งสำนักดาราสัจธรรม และยังมีการแบ่งผลประโยชน์ระหว่างพวกเขาด้วย

“แปลก เป็นที่นี่แหละ ตามข้อมูลที่ตาแก่เหวินให้พวกเรามาแล้วน่าจะเป็นที่นี่!” ชายชราแซ่เหมียวในหินผุพังก้อนแรกดวงตาวาววับ ในมือปรากฏแผ่นหยกชิ้นหนึ่ง เมื่อมองไปแล้วกลับขมวดคิ้วพลางกล่าวขึ้นช้าๆ

“หรือว่าตาแก่เหวินจะขายข่าวปลอมให้เรา” ในสามสิบกว่าคนมีคนยิ้มเยาะพูดขึ้น

“ช่างกล้า หากกล้าขายข่าวปลอมให้เรา ข้าจะถลกหนังเลาะกระดูกมัน ใช้น้ำมันศพจุดไฟเผาวิญญาณมัน!”

“ไม่มีทาง ช่วงนี้สหายเหวินยังได้รับคำสรรเสริญจากผู้คนอยู่ ต่อให้ขายข่าวปลอมก็ไม่น่าจะขายให้พวกเรา หรือว่าคนที่นี่จะไปแล้ว?”

“ไปแล้วหรือก็ไม่ก็ซ่อนตัวอยู่ แม้จิตสัมผัสจะมองไม่ออก ทว่าหากทำลายดาวนี้แล้วหลอมรวมเข้าไปในของวิเศษพวกเราก็ไม่ถือว่ามาเสียเที่ยว หากเขาซ่อนตัวอยู่ที่นี่จริงๆ ก็คงปรากฏตัวตอนที่ทำลายดาวเอง” ชายหนุ่มเสื้อคลุมดาราเอ่ยเนิบๆ ด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ขณะกล่าวเขายังยกมือขวาขึ้นคว้าอากาศ ทันใดนั้นฟ้าดินเกิดเสียงดังสนั่น ในมือเขาปรากฏดาบยาวสีดำทึบเล่มหนึ่ง

เมื่อดาบปรากฏ ฟ้าดินถอดสี ไอหนาวแผ่คลุมทำให้ผู้ฝึกฌานรอบตัวต่างมีแววตาละโมบ แต่ในความละโมบกลับมีความกลัวมากกว่า

“สมบัติกำราบสำนักแห่งสำนักดาบเหมันต์พันธมิตรเผ่าเซียน ดาบเหมันต์ตัดฟ้า…..ฮ่าๆ สิ่งนี้อยู่ในมือสหายต่างหากถึงจะคู่ควร ไม่เสียแรงที่ตอนนั้นพวกเราอาศัยจังหวะที่ผู้อาวุโสใหญ่แห่งสำนักดาบเหมันต์คนนั้นบาดเจ็บจนต้องปิดด่านนั่งฌานสังหารเขา” ชายชราแซ่เหมียวยิ้มเล็กน้อย

“สหายเหมียวชมเกินไปแล้ว วิญญาณผู้อาวุโสใหญ่สำนักดาบเหมันต์คนนั้นก็ให้สหายเหมียวไปส่วนหนึ่งมิใช่รึ ตอนนี้จิตสัมผัสเจ้าแกร่งจนอยู่ระดับเดียวกับ คนอัจฉริยะแล้ว

แล้วก็สหายซ่ง เจ้าได้กายเนื้อผู้อาวุโสใหญ่สำนักดาบเหมันต์คนนั้นไปหลอมเป็นหนังเพิ่มมาหนึ่งชั้น เกรงว่าตอนนี้คงมีร่างแข็งแกร่งที่สุดในคนระดับเดียวกันแล้ว” ชายหนุ่มชุดคลุมดาราหัวเราะเสียงดัง แล้วเอ่ยขึ้นพร้อมกับกดมือขวาลงพื้นดิน!

แผ่นดินพลันเกิดเสียงดังสนั่น เส้นสีดำสายหนึ่งปรากฏขึ้น มันบิดไปมาและแยกออกเป็นหลายสาย จากนั้นตัดสลับกันไปมาจนเป็นตาข่ายใหญ่สีดำพุ่งลงพื้นดิน

ตาข่ายใหญ่กว้างจนสุดลูกหูลูกตา ดูจากลักษณะแล้ว หากวางลงไปจะบดทำลายดาวนี้ได้ในพริบตา แยกเป็นเศษหินเหลือคณานับ

อีกทั้งพื้นที่ราบที่กระเรียนขนร่วงสร้างขึ้นก็อยู่ในพื้นที่ของตาข่ายใหญ่ หากมันวางลงมาจริงๆ เช่นนั้นพื้นที่นั่งฌานของซูหมิงจะเผยออกมาทันที

ภาพมายาของกระเรียนขนร่วงสามารถปกปิดจิตสัมผัสได้ทุกอย่าง แต่ก็มีจุดอ่อนใหญ่ยิ่งอยู่ นั่นคือมันเป็นมายาไม่ใช่ของจริง ดังนั้นหากใช้ตามองหรือจิตสัมผัสไม่เป็นไร แต่หากทำลายก็จะถูกพบทันที

‘สมควรตาย ซูหมิงยังต้องใช้เวลาอีกกี่เดือนกัน คนพวกนี้มาอย่างกะทันหัน และยังมีตาแก่เหวินนั่นเป็นใครอีก เหตุใดเขาถึงรู้ว่ามีคนอยู่ที่นี่!’ กระเรียนขนร่วงใน แสงแก่นยมโลกดวงตาขยับวาววับ นัยน์ตาฉายแววอึมครึม มันไม่หลบตาข่ายใหญ่สีดำแม้แต่น้อย

แต่ปล่อยให้ตาข่ายใหญ่วางลงมายังพื้นดิน ขณะแผ่นดินสั่นไหวพลันปรากฏ รอยแยกยักษ์ขึ้นทีละสาย รอยแยกเหล่านี้ตัดสลับกันและลุกลามออกไปพร้อมด้วยเสียงดังอึกทึก เพียงไม่กี่ลมหายใจดาวดวงนี้ก็จะพังทลายลง เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

ทว่ายามนี้เอง ช่วงที่ตาข่ายใหญ่สีดำแผ่ลงมาสัมผัสกับพื้นที่มายาของกระเรียนขนร่วง พื้นที่มายาพลันหายไปเอง ก่อนมีแสงสีดำกลุ่มใหญ่แผ่ขยายออกมาจากภายในสู่นอก

ผู้ฝึกฌานสามสิบกว่าคนนั้นรอบๆ โดนก่อนเป็นอันดับแรก ช่วงที่แสงดำขยายออก มีคนไม่น้อยกรีดร้องเสียงแหลม ภายในร่างกายระเหยไอหนาวขึ้นในฉับพลัน ในนั้นยังมีผู้ฝึกฌานขั้นเจ้าปกครองโลกตอนปลายสี่คนร่างล้มลงกับพื้นพร้อมกับเสียงดังปัง กายเนื้อกลายเป็นก้อนน้ำแข็ง จิตแรกก็หนีไปไม่ได้ จึงถูกแสงดำทะลวงผ่านในพริบตา วิญญาณดับสูญไป

คนที่เหลือโชคดีหนีไปได้ แต่ทุกคนต่างมีสีหน้าหวาดกลัว มีเพียงผู้ฝึกฌานที่มีกลิ่นอายพลังยอดฝีมือหกคนที่แม้จะถอย แต่นัยน์ตากลับฉายแววละโมบเด่นชัด

“นี่มันแสงอะไร!”

“ฮ่าๆ ที่นี่มีคนจริงๆ! เขามีแสงทรงอานุภาพขนาดนี้ แต่กลับซ่อนตัว จะต้องบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงกำหนดลมหายใจรักษาแน่ๆ นี่คือโอกาสของพวกเรา!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version