ตอนที่ 1154 มองชีวิตพลางนับวัฏจักร
แม้จะไม่ชอบเรียนหนังสือ แต่ก็เป็นบุตรชายของครูสอนหนังสือ จางเหวินจางคิดว่าตนน่าจะพูดโน้วน้าวคนได้ เพียงแต่เขารู้สึกว่ามันยากอยู่เล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงเชื่อฟังเชวี่ยนเว่ยบุตรสาวของตระกูลตงสาวผู้งดงามคนนั้นที่เขาชอบมากมาตั้งแต่เยาว์วัยจนเติบใหญ่….
เขาเริ่มแสดงสีหน้าแสร้งเป็นตรึกตรองบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะนอน กินหรือเดินทาง ไม่ว่าทำเรื่องใดเขาจะต้องแสดงสีหน้าขบคิดก่อน นี่คือวิธีที่หญิงคนที่เขาชอบมากมาแต่เยาว์วัยบอก ให้ตนขบคิดบ่อยๆ แบบนี้คนอื่นจะคิดว่าเขามีความรู้
จางเหวินจางแสดงวิธีแบบนี้ออกมาได้ถึงจุดสูงสุด เมื่อเขาเติบใหญ่ จากตอนแรกสุดที่แสร้งทำเป็นขบคิด ก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นขบคิดจริงๆ
จนกระทั่งวันหนึ่งที่เขากับหญิงคนที่ชอบตบแต่งกัน ท่ามกลางสายตาชื่นชมของคนรอบๆ เขาก็กำลังขบคิดถึงชีวิต ต่อให้คารวะฟ้าดินก็ยังถูกหญิงคนนั้นลากไปอย่างโมโหถึงจะคารวะฟ้าดินเสร็จ
เขาเป็นคนโชคดี เพราะหญิงคนที่เขาชอบมีบิดาที่ไม่ชอบนาง ดังนั้นงานแต่งที่ไม่สมฐานะแบบนี้ บิดานางจึงไม่สนใจแม้แต่น้อย กระทั่งไม่ออกมา
ความโชคดีเหมือนติดตามเขาไปตลอด ในระหว่างตรึกตรองถึงชีวิต เขาเหมือนค่อยเข้าใจอะไรบางอย่าง แต่เมื่อคิดดีๆ แล้วกลับไม่เข้าใจ
เวลาผ่านไปช้าๆ ฤดูร้อนปีที่สามหลังพวกเขาแต่งงาน ในคืนฝนตกเกิดพายุกระหน่ำ มีสายฟ้าแลบ ภรรยาเขากำลังจะคลอดแล้ว
ในคืนวันนี้ พ่อตาเขาหรือบิดาของหญิงคนนั้นออกไปเงยหน้าหัวเราะเสียงดังอยู่กลางสายฝนราวกับเสียสติ เขาไม่สนสายฝนที่อาบชโลมทั่วร่าง เสียงหัวเราะดังกึกก้องและยังมีความเสียใจ
จางเหวินจางมองพ่อตากลางสายฝนราวกับคลุ้มคลั่งพลางเข้าสู่ห้วงความคิด เพียงแต่การคิดครั้งนี้น้อยครั้งมากก็ถูกความว้าวุ่นใจตัดทิ้งไป เพราะ…เสียงกรีดร้องของภรรยาเขาดังแว่วมาจากในห้อง นั่นคือเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดจากการคลอดยาก
เสียงนี้ทำให้เขาใจสั่น ตรึกตรองถึงชีวิตไม่ได้อีก กระทั่งเขายังหวาดกลัว กลัวว่าวันนี้จะต้องลาจากกันชั่วนิรันดร์ เขากลัวว่าเมื่อวันนี้ผ่านไปแล้วตนจะกลายเป็นบ้าอย่างพ่อตา
เมื่อเสียงกรีดร้องดังมาไม่หยุด เมื่อเสียงหัวเพราะพ่อตากลางสายฝนดังขึ้นเรื่อยๆ จางเหวินจางตัวสั่น ตอนนี้เองประตูห้องของภรรยาเปิดออก หมอตำแยที่ไปรับมาวิ่งออกมาด้วยสีหน้าหวาดกลัว
“ปีศาจ…ปีศาจ!”
จางเหวินจางใจสั่นสะท้าน เขาพลันพุ่งเข้าไปมองภรรยาใกล้คลอดในห้อง พอเห็นนางมีสีหน้าเจ็บปวดแล้วก็ร้องเรียกคนเสียงดังให้แบกเกี้ยวมาแล้วออกจากบ้านนี้ไปอย่างรวดเร็ว
เขาต้องไปเชิญหมอ ต้องไม่ใช่หมอตำแยอีก เพราะเขามีความรู้สึกเด่นชัดว่าการคลอดครั้งนี้อาจจะเกิดความเป็นตาย นี่ไม่ใช่เรื่องที่หมอตำแยจะช่วยได้อีก ต้องใช้หมอถึงจะช่วยชีวิตได้!
เขาวิ่งฝ่าฝนผ่านร้านบะหมี่ที่ยังคงอยู่กลางสายฝน ไม่ได้สนใจชายชราที่นั่งบนหินใหญ่ในร้านซึ่งกำลังมองมาทางเขา เอาแต่เดินไปอย่างเร่งรีบ
จนกระทั่งเขาไปเชิญหมอที่ใกล้เคียงกับหมอโม่ในตอนนั้นในเมืองกลับมายังบ้าน จางเหวินจางมองห้องภรรยาใกล้คลอดอย่างร้อนใจ เขาพลันกัดฟันผลักประตูเข้าไป เขาไม่อยากรอข้างนอก เขาต้องเข้าไปเพื่อกุมมือภรรยาเอาไว้และผ่านความยากลำบากครั้งนี้ไปด้วยกัน
ทว่าทันทีที่เขาจะผลักประตู ประตูห้องก็ถูกเปิดออกมาจากข้างใน ท่ามกลางฟ้าผ่า ดังสนั่น เขาเห็นทารกในอ้อมกอดหมอคนนั้น และก็เห็นภรรยาแน่นิ่งอยู่บนเตียง เหมือนสิ้นลมหายใจไปแล้ว
เกิดเสียงโครมดังในความคิด ข้างหูยังมีเสียงหัวเราะแหลมของพ่อตาข้างนอก เขาตัวสั่น เดินไปอยู่ตรงหน้าภรรยา มองภรรยาหน้าซีดขาวเหมือนศพ แต่มุมปากยังคงยิ้มด้วยความรักของมารดา หัวใจเขาถูกฉีกอย่างแรง เขาในยามนี้ไม่ขบคิดถึงชีวิตคนอีก แต่พลันหมุนตัวกลับมาจ้องหมอคนนั้นตาเขม็ง
ร่างกายเขาเกิดเงามายาขึ้นโดยไม่รู้ตัว ราวกับว่าตรงหน้าเขามีอีกร่างเงากำลังรวมขึ้นช้าๆ อีกทั้งหมอคนนั้นยังมองเขาด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
ภาพนี้จางเหวินจางไม่รู้ว่าแทบจะเหมือนกับที่พ่อตาเคยประสบ ทว่าความต่างคือพ่อตาเขาในตอนนั้นหลังปรากฏเงามายาข้างหลัง แต่เขาตอนนี้ตนกลายเป็นเงามายา และสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือร่างรวม
ตอนนี้เองพลันเกิดเสียงอึกทึกในความคิดจางเหวินจาง ราวกับความทรงจำที่ถูกผนึกบางอย่างเปิดออก ช่วงที่ความทรงจำเปิดออก เขาเหมือนตื่นจากวัฏจักร ลืมตาจากการหลับใหล แววตาเขาไม่ใช่บ้าคลั่งอีก แต่เป็นมีสติชัดเจน รูปลักษณ์เขาดูไม่ต่างอะไรจากเดิม แต่กลับเหมือนมีความปราดเปรียวเพิ่มมา
เขาหลับตาลง ครั้นความทรงจำเปิดออกและตื่นจากวัฏจักรแล้ว เขาก็นึกออกทุกอย่าง เขาไม่ใช่จางเหวินจาง เขาคือ…ซูหมิง!
เขาคือซูหมิงแห่งโลกแท้จริงดาราสัจธรรม เขาคือซูหมิงแห่งเผ่ายมโลก เขาคือ ซูหมิงที่กำลังใช้วิธีแห่งการหลอมทุกสรรพสิ่งบนดาวผุพังดวงหนึ่งหมายจะหลอมแหวนสีขาวนั้น!
เขานึกทุกอย่างออกแล้ว แต่มีเพียง…วัฏจักรหลายต่อหลายครั้งในอดีตที่ยังนึกไม่ออก ความทรงจำเขาเหมือนหยุดไว้ในช่วงนั้นที่เข้ามาในวัฏจักร
ขณะเงียบ ซูหมิงหันหน้าไปมองร่างหญิงที่นอนอยู่บนเตียงแวบหนึ่ง เขามองหน้านาง ทันใดนั้นเขาตัวสั่นเบาๆ หน้าตานางคือไป๋เฟิ่งในความทรงจำ หรือก็คือไป๋หลิงแห่งภูเขาทมิฬในความทรงจำเขา…
‘วัฏจักรนี้ นางคือภรรยาข้า…’ ซูหมิงยกมือขวากดตัวไป๋หลิงเบาๆ พลังชีวิตหลั่งไหลเข้าไปในร่างนาง ทำให้ชีวิตที่จะสลายไปฟื้นฟูกลับมา จากนั้นนางจึงลืมตาขึ้นทีละนิด
นางมองซูหมิง ใบหน้าอ่อนแอเผยรอยยิ้ม
“ให้ข้า…ดูหน้าลูกหน่อย…”
ซูหมิงมองไป๋หลิง เขาที่ความทรงจำกลับมาเกิดความซับซ้อนในใจ เพียงแต่ไม่ได้เผยมาทางสีหน้าเท่านั้น เขาพยักหน้าให้ ก่อนอุ้มทารกมาจากอ้อมกอดหมอคนนั้น เดินมาอยู่ข้างไป๋หลิง สองคนมองทารกคนนั้นด้วยกัน ไป๋หลิงยิ้มด้วยความรักของมารดา
“เหมือนเจ้ามาก แต่อย่าให้ทึ่มทื่อแบบเจ้าเด็ดขาด” ไป๋หลิงพูดด้วยรอยยิ้ม แต่ในรอยยิ้มยังมีความอ่อนแรง
ซูหมิงหลับตาลงปิดความซับซ้อนในดวงตา ถอนหายใจอยู่ภายใน
เวลาผ่านไปวูบเดียวก็สามปี
ในสามปีนี้ ซูหมิงอยู่กับไป๋หลิง เขาไม่ตรึกตรองถึงชีวิตอีก เพราะชีวิตไม่มีอะไรให้เขาตรึกตรองอีก นี่คือหนึ่งวัฏจักร ชีวิตคนในภาพมายา ในชีวิต ทุกคนล้วนหลับใหล มีเพียงซูหมิงที่ตื่นอยู่ เขาเห็นความชอบโกรธเศร้ามีความสุขของผู้คน เห็นความอ่อนโยนจากไป๋หลิงที่มีต่อเขา มองบุตรเติบโตขึ้นเรื่อยๆ อารมณ์ความคิดนั้นไม่อาจใช้คำพูดมาบรรยาย
บางครั้งการตื่น…ก็มักจะเป็นความเจ็บปวด หากซูหมิงไม่ได้นึกออกทุกอย่าง เขาก็คงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตามเดิม ทว่าวันนี้เขาทำได้แล้ว แต่เพราะเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นของปลอมเลยไม่อาจทุ่มเทลงไปได้ทั้งกายและใจ
วันหนึ่งหลังจากสามปี บิดาไป๋หลิงปิดตาลงจากโลกนี้ไป
ผ่านไปอีกสามปี บิดาของซูหมิงในวัฏจักรนี้หรือครูสอนหนังสือคนนั้นก็มาถึงสุดทางของชีวิตเช่นกัน ชีวิตลาจากร่างกายไป
เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดาในโลก ร้านบะหมี่ในอดีตก็ไม่อยู่มานานแล้ว กลายเป็นพื้นที่กว้างโล่ง คลับคล้ายกับซ่อนตัวหายไปไปในกาลเวลา
จนกระทั่งเด็กคนนี้เติบโตขึ้นทีละน้อย จนกระทั่งบนใบหน้าไป๋หลิงปรากฏรอยย่น จนกระทั่งซูหมิงแก่ชราลง กาลเวลาพาสองคนไปในวัฏจักรนี้ไกลขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว
ไป๋หลิงมีความสุข ถึงตอนนี้จะชราลง แต่ทุกครั้งที่มองซูหมิง แววตาจะมีความอ่อนโยน ยามเอ่ยจะพูดถึงวัยเด็กกับซูหมิงในวัฏจักรนี้ พูดถึงการอยู่ด้วยกันตั้งแต่เยาว์วัยจนถึงตอนนี้
ซูหมิงเริ่มให้ตัวเองไม่นึกถึงอดีตอีก ค่อยๆ ให้กายและใจตกอยู่ในห้วงวัฏจักร คอยนับเส้นผมขาวของกันและกันที่ชราลงเรื่อยๆ
จนกระทั่งบุตรสาวพวกเขาตบแต่งออกไป จนกระทั่งกาลเวลาผ่านไปอีก หลายสิบปีอย่างไร้ปราณี ไป๋หลิงแก่ชราลงเรื่อยๆ รอยย่นมากขึ้น สุดท้ายยามเที่ยงคืนวันหนึ่ง นางจับมือซูหมิง มองฟ้ากระจ่างดาวนอกหน้าต่างพลางพูดเบาๆ
“ข้าฝัน ฝันเห็นภูเขาลูกหนึ่ง เห็นชนเผ่าโบราณ เห็นว่าข้าเป็นหญิงของเผ่าหนึ่ง สวมผ้าหนังสัตว์สีขาว ตรงระหว่างคิ้วมีเครื่องประดับส่องแสงน้อยๆ และเจ้า…เป็นคนอีกชนเผ่าหนึ่ง เจ้าแบกข้าขึ้นหลังในคืนจันทร์โลหิต…..เดินวนในยามเช้าตรู่นอกภูเขา ไม่ยอมส่งข้ากลับ…
ข้าฝันถึงสัญญาหนึ่ง สัญญาระหว่างข้ากับเจ้า….” ไป๋หลิงพึมพำ มุมปากยกยิ้ม ตอนที่คำพูดนี้กลายเป็นเสียงเบาๆ นางหลับตาลงและไม่ลืมตาขึ้นอีก
ซูหมิงจับมือไป๋หลิง นัยน์ตาเขาฉายแววหวนคะนึงคิด มองชีวิตไป๋หลิงค่อยๆ หายไป มองทั้งโลกจนถึงวันนี้ เหมือนใกล้จะผ่านไปถึงหกสิบปีแล้ว
หนึ่งปีต่อมา ซูหมิงขายบ้านสี่มุมทิ้ง เพราะที่นี่ไม่มีร่างเงาในความทรงจำเขาอีก เมื่อเวลาผ่านไป เขากลายเป็นคนชราที่อายุมากสุดในเมืองนี้ เขาเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในช่วงเวลาหกสิบปีของเมืองนี้ เห็นการเกิดแก่เจ็บตายมากมาย ดังนั้นเขาจึงขายบ้าน แล้วสร้างเป็นฐานหนึ่งตรงที่พื้นที่กว้างโล่งกลางเมือง ตรงนั้นตั้งเป็นร้านบะหมี่
ลวกเส้น ตุ๋นน้ำซุป ผูกตุ๊กตาปมหญ้า มองชีวิตคนพลางนับวัฏจักร…..