ตอนที่ 1153 ความทรงจำเจ็ดลมหายใจ
นาง คือเด็กหญิงน้อยที่มารดาตายและไม่ได้รับความรักจากบิดา
ตั้งแต่เล็กจบเติบใหญ่ นางไม่เคยเห็นบิดายิ้มเลย ไม่ได้รู้สึกถึงความรักจากบิดาแม้แต่น้อย ตั้งแต่นางจำความได้ ในยามค่ำคืน นางต้องห่มผ้าห่มเอง ยามกลางวัน นางต้องเลี่ยงห้องของบิดาอย่างระมัดระวัง เพราะหากเจอกัน นางจะเห็นแววตาเย็นชา จากบิดา
ความเย็นชาในแววตานั้นราวกับกำลังโทษนางว่าเหตุใดถึงไม่ตายไปเสียที แม้นางจะยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง แต่นางก็เข้าใจ…
นางไม่มีสหาย มีเพียงบุตรชายของครูสอนหนังสือที่เติบใหญ่มาด้วยกัน เป็นสหายที่เล่นด้วยกันมาแต่เยาว์วัย หากมีเพิ่มอีกหนึ่ง บางทีอาจจะเป็นครูสอนหนังสือคนนั้น เขาสอนให้ตนสร้างกุศลกรรม สอนหนังสือตน และยังรับผิดชอบเรื่องที่บิดาควรจะทำให้อีกด้วย
เมื่อนางเติบใหญ่ขึ้น นางไม่ร้องไห้ในยามค่ำคืนอีก เพราะนางรู้ว่าบิดาไม่ชอบตน ตนทำให้มารดาตาย ทุกอย่างเป็นเพราะตน
นางออกจากบ้านหลังนี้น้อยครั้งมาก นางไม่อยากออกไป เพราะทุกครั้งที่ออกไป พอกลับมาแล้วแววตาบิดำจะเหมือนแฝงไว้ด้วยความอาฆาต ซึ่งนั่นคือคำถามว่า เหตุใดนางถึงยังกลับมาอีก เพราะเหตุใด…ถึงไม่ตายข้างนอก!
นางที่เติบโตในสภาพแวดล้อมแบบนี้ขี้กลัวมา และยังขี้ขลาดมาก แต่วันนี้นางตัดสินใจจะออกไป เพราะเมื่อวานในห้องเรียน นางได้ยินครูสอนหนังสือบอกว่าการช่วยหนึ่งชีวิตก็เท่ากับการสร้างกุศลกรรม นางจึงอยากไปหาชาวประมงเพื่ออ้อนวอนให้ปล่อยปลาไปเหมือนกับสหายที่เล่นด้วยกันมาแต่เยาว์วัย
ดังนั้น ถึงฟ้าจะเริ่มมีเมฆดำแล้ว เหมือนว่าอีกประเดี๋ยวก็จะเกิดฝนตกหนักติดกันหลายวัน ทว่านางก็ยังแอบวิ่งออกไป จนมาถึงฐานตกปลาริมทะเลสาบ เห็นชาวประมงกำลังนั่งอยู่ และยังมีตาข่ายปลาแขวนอยู่บนเสา ในนั้นมีปลาตัวใหญ่กำลังดิ้นรนตัวหนึ่ง
“ผู้อาวุโส ให้ปลาตัวนี้กับข้าได้หรือไม่?”
เด็กหญิงน้อยกล่าวเสียงเบากับชาวประมงที่กำลังหันหลังตกปลาอยู่
“มันน่าสาร ท่านอย่ากินมันเลย ขอร้องล่ะให้ข้าเถอะ ให้ข้าปล่อยมันกลับบ้านเถอะ….” เด็กหญิงน้อยเอ่ยอ้อนวอน
ชาวประมงคนนั้นหมุนตัวกลับมา เขาเป็นชายชราคนหนึ่ง เป็นชายชราที่มีหน้ำตาใจดีอย่างยิ่ง เขามองเด็กหญิงน้อยพลางหัวเราะ
“เด็กพวกนี้ หลายวันก่อนก็มีเด็กคนหนึ่งมาขอให้ข้าปล่อยปลาไป วันนี้เจ้าก็มาด้วย แต่หากปล่อยปลาไปแล้ว ข้าจะอยู่อย่างไรล่ะ” ชายชราชาวประมงยิ้มพลางเก็บเบ็ดตกปลา หลังใส่เหยื่อไปแล้วก็เหวี่ยวลงไปในทะเลสาบอีกครั้ง
“ผู้อาวุโส คนที่ท่านพูดถึงคือพี่ชายข้าเอง วันก่อนเขาให้ท่านปล่อยปลาไป วันนี้ก็ให้ข้าด้วยเถอะ มันน่าสงสารมาก บิดามารดามันจะต้องร้อนใจมากแน่ๆ …..” เด็กหญิงน้อยเดินเข้าไปหลายก้าว แล้วก้มหน้ามองปลาในตาข่ายข้างเสา
“ใครบอกว่าข้าปล่อยปลาให้เขา เด็กคนนั้นพอเห็นข้าไม่ยอมก็ถอดใจวิ่งกลับไป” ชายชราชาวประมงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เด็กหญิงน้อยมึนงง แต่สีหน้ากลับแน่วแน่ นางยกมือเล็กขึ้นทุบหลังให้ชาวประมงคนนั้นด้วยท่าทีน่ำรักมาก
“ผู้อาวุโส ขอร้องล่ะ”
เวลาผ่านไปช้าๆ เด็กหญิงน้อยอ้อนวอนอยู่หนึ่งชั่วยามกว่า ชาวประมงคนนั้นก็ยิ้มพลางส่ายหน้าด้วยท่าทีจนปัญญา จึงยืนขึ้นเดินมาอยู่ข้างเสาที่แขวนตาข่ายปลา จากนั้นเปิดตาข่ายออกแล้วโยนออกไป ปลาในนั้นพลันว่ายลงไปในทะเลสาบ วูบเดียวก็มุดลงไปกลางน้ำและหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“เอาล่ะ ข้าปล่อยมันแล้ว แบบนี้พอใจรึยัง” ชาวประมงยิ้มพลางตีหัวเด็กหญิงน้อยเบาๆ ขณะเด็กหญิงน้อยคนนั้นยิ้มอย่างมีความสุข เขาก็หมุนตัวกลับมาตกปลาต่อ
เด็กหญิงน้อยยิ้มอย่างเบิกบานใจ ก่อนวิ่งจากไปพร้อมด้วยเสียงหัวเราะปานกระดิ่งเงิน
นางในอายุยังน้อยไม่รู้เลยว่าคล้อยหลังนาง ชาวประมงคนนั้นยกเบ็ดตกปลาขึ้น ไม่รู้ว่าใช่ปลาที่เพิ่งปล่อยไปหรือปลาตัวใหม่ติดเบ็ดมา จากนั้นเขาก็ใส่ไว้ในตาข่ายเดิม แล้วแขวนไว้บนเสาต้นเดิม
เด็กหญิงน้อยวิ่งกลับไปในเมืองด้วยความตื่นเต้น วิ่งผ่านร้านบะหมี่โดยที่ไม่ได้สนใจชายชราคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนหินใหญ่และกำลังมองด้วยสายตาซับซ้อน เขามองเด็กหญิงน้อยวิ่งไกลออกไป ก่อนเคาะมวนบุหรี่กับพื้นเบาๆ
เพียงเคาะลง เด็กหญิงน้อยที่กำลังวิ่งพลันหยุดชะงักครู่หนึ่ง นางเห็นโลกตรงหน้ากลายเป็นเศษก่อนม้วนขึ้นเป็นน้ำวนดูดนางเข้าไปข้างใน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ตอนที่เศษภายในน้ำวนรวมขึ้นอีกครั้งก็กลายเป็นทะเลสาบลึก
ปลาว่ายอยู่ในทะเลสาบ ทะเลสาบนี้ลึกมาก ไม่รู้ว่ามุ่งหน้าไปที่ใด ปลาตัวนี้ขยับไหวในน้ำ เหมือนว่ายไปมาอย่างไร้จิตสำนึก
มันคือปลาที่อยู่ในทะเลสาบมาไม่รู้กี่ปีแล้ว มันไม่มีความทรงจำมากนัก หากมีจริงๆ บางทีคงมีแค่เจ็ดลมหายใจ
มันจำเรื่องราวได้เพียงเจ็ดลมหายใจ ส่วนอื่นๆ จะว่างเปล่า
วันเวลาผ่านไปจนกลายเป็นปีต่อปี มันก็ยังว่ายในทะเลสาบแบบเดิม บางครั้งก็ขึ้นมาเหนือน้ำมองสายลมหิมะข้างนอก มองการไหลเวียนของสี่ฤดู เคยมีช่วงเวลาหนึ่งมันอยากพุ่งออกจากผิวน้ำมากเพื่อไปมองฟ้าข้างนอกสักครั้ง ได้มองแผ่นดินสักครั้ง ทว่าความคิดนี้เพิ่งโผล่มา ยังไม่ทันที่มันจะได้ทำอะไรก็กลายเป็นส่วนนอกเหนือความทรงจำที่เลยเจ็ดลมหายใจไปแล้ว และถูกมัน…ลืมไป
มันที่มีความทรงจำเพียงเจ็ดลมหายใจไม่รู้ว่าความเศร้าคืออะไร และก็ไม่รู้จักความสุข เพราะเจ็ดลมหายใจนั้นสั้นมาก สั้นจนถึงขั้นที่เศร้า อย่างมากก็แค่ เจ็ดลมหายใจก็จะลืมความเศร้าไป
ถึงจะมีความสุข อย่างมากก็เพียงเจ็ดลมหายใจก็จะลืมไป
ดังนั้นช่วงเวลาส่วนใหญ่ ในความคิดมันจะขาวโพลน ไม่มีความทรงจำ ไม่มีความคิด มีเพียงว่ายไปในทะเลสาบตามสัญชาตญาณ มองสหาย มองความมืด มองไกลออกไปที่ไม่มีอนาคต
จนกระทั่งวันหนึ่ง มันเห็นเหยื่อตกปลาหย่อนลงมาในทะเลสาบ
มันรู้ว่านั่นคืออะไรแต่ก็ยังพุ่งเข้าไปงับเอาไว้ ตอนที่ร่างมันถูกตะขอตกปลาเกี่ยวและถูกกระชากขึ้นนั้น มันเห็นท้องฟ้าสีคราม เห็นโลกภายนอกผิวน้ำ น่าเสียดาย…..ความทรงจำมันมีเพียงเจ็ดลมหายใจ ช่วงที่มันถูกใส่ไว้ในตาข่ายและถูกแขวนบนเสา มันทำได้เพียงแค่ดิ้นรนอยู่ในตาข่ายใต้น้ำ แต่ก็ดิ้นรนไปได้เพียงเจ็ดลมหายใจ เพราะ….มันลืมไปว่าตนถูกคนตกขึ้นมา…..
และก็ลืมไปว่าทะเลสาบที่ตนอยู่ไม่ควรจะเล็กขนาดนี้ ไม่ควรจะมีตาข่ายที่ออกไปไม่ได้แบบนี้ ดังนั้นมันจึงว่ายอยู่ในตาข่ายอย่างสุขสบาย
จนกระทั่งตาข่ายถูกคนยกขึ้น ขณะมันที่ขึ้นจากผิวน้ำดิ้นรนไม่หยุดและหายใจติดขัด มันเห็นเด็กหญิงน้อยคนหนึ่ง นางกำลังยกตาข่ายขึ้น ซึ่งนางนี่เองที่เป็นตัวการทำให้มันเป็นทุกข์เช่นนี้
มันจ้องเด็กหญิงน้อยคนนั้นด้วยแววตาเหี้ยมโหด ขณะมันกำลังดิ้นรนไม่หยุด เวลาก็ผ่านไปทีละลมหายใจ มันลืมไปแล้วว่าเหตุใดเด็กหญิงน้อยถึงยกตาข่ายที่มันอยู่ขึ้น มันจำได้เพียงว่าคนที่ทำให้มันเป็นทุกข์คือเด็กหญิงน้อยคนนี้
แม้ความทรงจำจะมีแค่เจ็ดลมหายใจ แต่จนถึงตอนที่มันดิ้นหลุดออกจากปาก ตาข่ายที่ถูกเปิดออกอย่างกะทันหัน มันลืมไปแล้วว่าตนถูกคนตกขึ้นมาจากทะเลสาบ ลืมไปว่าตนถูกใส่ไว้ในตาข่าย ลืมว่าตาข่ายนั้นไม่ใช่บ้านมัน มันจำได้เพียงว่าในลมหายใจแรกของความทรงจำ เด็กหญิงน้อยคนนี้สร้างความเจ็บปวดให้มัน ดังนั้นเมื่อกลับลงไปในน้ำแล้วมันจึงกระโดดขึ้นมาอีกครั้ง มันไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตัวมันถึง ขยายใหญ่ขึ้นในพริบตา ก่อนใช้ปากงับเด็กหญิงน้อยกระชากลงไปในทะเลสาบ……
เวลาเหมือนผ่านไปช้าๆ อีกครั้ง มันไม่รู้เลยว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว บางทีอาจเพียงเจ็ดลมหายใจ สรุปคือ….ตอนนี้มันเห็นเหยื่อปลาหย่อนลงในทะเลสาบอีกครั้ง
มันลืมอันตรายจากเหยื่อตกปลาไปแล้ว และก็เหมือนจะรู้ว่าเหยื่อตกปลานั้นคืออะไร จนเมื่อมันงับอีกครั้งก็ถูกตกขึ้นจากผิวน้ำอีกรอบ ถูกใส่ไว้ในตาข่ายอีกรอบ ตอนที่ถูกวางลงในทะเลสาบที่มีพื้นที่จำกัด มันก็ลืมตอนเริ่มของเรื่องราวไปเหมือนเดิม จำได้เพียงตอนจบ
ครั้งนี้มันไม่เห็นเด็กหญิงน้อย แต่ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ช่วงที่ตาข่ายเปิดออกและมันว่ายออกจากตาข่ายกลับไปในทะเลสาบนั้น มันพุ่งขึ้นมาเหนือน้ำ สายตามองเด็กหญิงน้อยที่เหมือนจะมองมันข้างชายชราที่ยืนอยู่บนฐานตกปลา….
มันมองเด็กหญิงน้อยเดินจากไปไกล จนกระทั่งเจ็ดลมหายใจผ่านไป มันก็ว่ายในทะเลสาบต่อ แต่ครั้งนี้มันเหมือนพยายามนึกอะไรบางอย่าง จนกระทั่งมันงับเหยื่อตกปลาอีกครั้ง ถูกตกขึ้นมาอีกครั้ง….จนกระทั่งแสงจันทร์ส่องลงมา มันขึ้นจากผิวน้ำ มันลืมช่วงเริ่มและก็ลืมช่วงท้าย ถูกชายประมงคนนั้นหิ้วไปส่งให้กับ ร้านบะหมี่ จนถึงตอนนี้มันลืมตาขึ้น มองผ่านตาข่ายเห็นชายชราถือมวนบุหรี่คนหนึ่ง เขากำลังใช้ใบไม้ทำขึ้นเป็นตุ๊กตาหญ้าพลางมองมัน
“เจ้าคือตัวข้าคนที่หกที่ข้าพบ…..” นี่คือคำพูดชายชรา น้ำเสียงมีการผ่านโลกมานาน ประโยคเดียวเนิบๆ พูดออกมารวมเจ็ดลมหายใจ ปลาตัวนี้ได้ยินเต็มๆ และกลายเป็นความนิรันดร์ในความทรงจำ กลายเป็นเสียงครึกโครม มันเหมือนนึกอะไรออก จากนั้นโลกในดวงตาปลาตัวนั้นพังลง เศษซากกลายเป็นน้ำวน ระหว่างที่น้ำวนหมุนโคจรยังเอาจิตสำนึกสุดท้ายของปลาตัวนั้นไปด้วย มันมองไม่เห็นเศษเหล่านี้รวมกัน มองไม่เห็นว่ามีหนึ่งโลกปรากฏขึ้นตรงหน้าอีกครั้ง
จางเหวินจาง นี่คือนามเขา ฟังดูธรรมดามาก แต่ความจริงเป็นนามที่มีเสน่ห์ บิดาเขาเป็นคนตั้งให้ จางเหวินจางเป็นบุตรชายของครูสอนหนังสือ ซึ่งเขาคิดว่านามนี้ก็ไม่เลว
อย่างน้อยสุด มองจากนามนี้ก็รู้ว่าเขาเป็นปัญญาชน
ทว่าความจริงเขาไม่ค่อยชอบเรียนหนังสือ เขาชอบทำอาหารด้วยตัวเอง อย่างเช่นซุปตุ๋น อย่างเช่นอาหารประเภท
บะหมี่บางอย่าง หรืออาจเป็นเพราะงานอดิเรกนี้เอง เมื่อเขาเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงไม่ได้สุภาพเหมือนชื่อ แต่เป็นชายหนุ่มร่างท้วม
ใบหน้ากลมดูทึ่มทื่อเล็กน้อย ทว่าในดวงตาเป็นประกายบางครั้ง คนที่เห็นจะรู้ว่าเขามีความหลักแหลมอยู่บ้าง แต่ก็เท่านั้น ถึงอย่างไรความฉลาดที่คนอื่นเห็นก็มักจะแสร้งแสดงออกมาเพราะไม่อยากให้คนอื่นมองว่าตนไม่ฉลาด