Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1152

ตอนที่ 1152 ฟ้ามีเต๋า เต๋ามีวัฏจักร

ซูหมิงลืมฐานะตัวเอง เสียความทรงจำในอดีตไป เหมือนเขาคิดว่าตัวเองเป็น ชายร่างกำยำของภรรยาใกล้ตลอดจากก้นบึ้งหัวใจจริงๆ

เพียงแต่ว่าส่วนลึกในใจเขาคลับคล้ายว่ามีความลังเลเสี้ยวหนึ่ง ความลังเลจางมาก เล็กน้อยจนไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึง ประหนึ่งว่าถูกลบร่องรอยไปจากวัฏจักรแล้ว

ครั้นเกิดความร้อนรนในใจ ร่องรอยนั้นก็จางลงเรื่อยๆ จนกระทั่งซูหมิงมองข้ามไป เขาดึงมือหมอคนนั้นขึ้นเกี้ยวแล้วก็มุ่งหน้าไปยังบ้านตนอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจฝนที่ตกหนักลงมาเรื่อยๆ

ผ่านร้านบะหมี่นั้น เขายังคงไม่สนใจหลายคนในร้านบะหมี่ และก็ไม่สนใจมารดาซึ่งเสียบุตรไปกลางสายฝนไกลๆ ที่กำลังร้องเรียกด้วยเสียงเล็ก

จนกระทั่งกลับมาถึงบ้าน ขณะที่ซูหมิงรออย่างร้อนรนนอกห้อง เขาก็ลืมอดีตทุกอย่างไป ราวกับว่าเขาในตอนนี้คือคนธรรมดา เป็นสามีของภรรยาที่ใกล้จะคลอด

เขาวิตกกังวลในใจ ดวงตาแดงน้อยๆ เมื่อมีเสียงกรีดร้องของภรรยามาจากในห้อง ความรู้สึกลังเลเหมือนบีบหัวใจเขาเอาไว้แน่น…..

จนกระทั่งหมอโม่เข้าไปในห้องไม่นาน เสียงร้องของภรรยาก็ดังถึงขีดสุดก่อนประตูเปิดออก ตอนที่ซูหมิงเห็นหมอโม่อุ้มทารกอาบไปด้วยเลือด เขารู้สึกเหมือนเป็นบิดาจริงๆ จึงเดินเข้าไปจะกอดทารกเอาไว้ ทว่าสายตากลับมองไปยังเตียงในห้องโดยจิตใต้สำนึก ตอนที่เห็นภรรยาแน่นิ่ง เขาตัวสั่นขึ้นมา

นัยน์ตาเขาฉายแววเศร้าโศก ไม่สนใจหมอ ไม่สนใจทารก แต่เดินไปยังเตียง มองหญิงที่ไม่มีลมหายใจแต่กลับยิ้มมุมปากด้วยความรักของมารดา ในใจซูหมิงเกิดความเจ็บปวดราวหัวใจถูกฉีก

เขาตัวสั่น ความรู้สึกสมจริงมาก เหมือนว่าเขากับหญิงคนนี้อยู่ด้วยกันมาครึ่งชีวิตจริงๆ ….

“นี่คือการเลือกของเจ้ารึ เหตุใดไม่ถามข้าก่อน เพราะเหตุใด!” ซูหมิงพลันหันหน้าไปมองหมอที่อุ้มทารก ดวงตาสองข้างเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยและยังมีความบ้าคลั่ง

เขาเข้าใจ ภรรยาที่คลอดยากมีโอกาสสูงมากที่จะรักษาไว้ได้เพียงหนึ่ง แต่หากให้เขาเลือก เขาจะเลือกภรรยาอย่างไม่ลังเล ไม่ใช่ทารก

แต่…..การเลือกนี้กลายเป็นอดีตไปแล้ว

ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากการฉีกในใจจมจิตใจซูหมิง เขาฝืนยิ้มด้วยความปวดร้าว ในความคิดเปิดพายุฝนออก ในพายุฝนนั้นเหมือนมีความทรงจำเลือนราง ในความทรงจำนั้นเหมือนว่าทุกอย่างเป็นหนึ่งวัฏจักร ในความทรงจำนั้นคลับคล้ายว่าเขาไม่ใช่เขาอีก แต่กลายเป็นหมอโม่ตรงหน้า

ในความทรงจำนั้น คล้ายว่า….การเลือกทารกก็เป็นการเลือกของเขาเอง

ความสับสน บ้าคลั่งและความเศร้าที่บอกไม่ถูกในใจเขาตอนนี้ทำให้เขายกมือขวาขึ้นโดยจิตใต้สำนึก เขามีความรู้สึกเด่นชัดเหมือนว่าขอเพียงตนชี้นิ้วไป ทุกชีวิตจะ มอดดับลง

เขายกมือขึ้นชี้หมอคนนั้น

เขาเห็นหมอคนนั้นมีแววตาเหลือเชื่อ ภายในความเหลือเชื่อเหมือนแฝงไว้ด้วยความเข้าใจเสี้ยวหนึ่ง ความเข้าใจนี้ทำให้ซูหมิงนึกอะไรบางอย่างออก แต่ก็ถูกความเศร้ากลบไปอย่างรวดเร็วมาก

หมอคนนั้นล้มลง หมดลมหายใจ….

ซูหมิงเงยหน้าหัวเราะด้วยความปวดร้าว ท่ามกลางเสียงหัวเราะดังก้อง คลับคล้ายว่าเป็นการตอบกลับเสียงเรียกของหญิงคนนั้นจากในสายฝน……

คืนนี้คนที่ตายไม่ได้มีเพียงหมอคนนั้น แต่ยังมีหมอตำแยอีกสี่คน คนเหล่านี้เสียชีวิตทั้งหมด เมื่อเช้าวันที่สองมาถึง หลังจากฝนหยุด ศพพวกเขาถูกฝังในคืนวานแล้ว

ด้วยฐานะของซูหมิงในเมืองนี้ เขาเพียงจ่ายตำลึงไปในราคาสูงลิ่วก็แก้ไขทุกอย่างได้แล้ว วันยังคงดำเนินต่อไป เวลาผ่านไปช้าๆ หนึ่งปี สามปี หกปี…..

ทารกหญิงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เริ่มเต็มไปด้วยความปราดเปรียว กลายเป็นเด็กหญิงน้อยน่ารัก ทว่านางไม่ได้รับความรักจากบิดา ตอนที่พ่อลูกอยู่ด้วยกันลำพัง นางจะเห็นแต่แววตาเย็นชาของบิดา

สหายของนางเพียงคนเดียวคือบุตรชายของครูสอนหนังสือในบ้าน เป็นเด็กชายที่เกิดก่อนนางหลายเดือน เติบโตมาด้วยกัน เรียนหนังสือมาด้วยกัน

ซูหมิงไม่ชอบเด็กหญิงคนนี้ เพราะนางกับมารดานางเหมือนกันมาก ทำให้เขานึกถึงภรรยาที่ตายไป ทุกครั้งหัวใจเขาจะเกิดความเจ็บปวดราวจะถูกฉีก

เขามักจะมองฟ้าเงียบๆ ในวันฝนตก มองสายฝนตกลงมา มองโลกทั้งใบถูก ปกคลุมอยู่กลางฉากฝน จากนั้นจะนึกถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนฝนตกวันนั้นเมื่อหลายปีก่อนโดยไม่รู้ตัว

จนกระทั่งวันหนึ่ง ในคืนฝนตกแบบเดียวกัน ซูหมิงมองสายฝนข้างนอก ช่วงที่เขาหลับตาลง โลกกลายเป็นเศษ กลายเป็นน้ำวนยักษ์ เมื่อเขาลืมตาขึ้น เศษเหล่านั้นพลันรวมเข้าด้วยกัน

เขาไม่ใช่บิดาของเด็กหญิงอีก แต่เป็นชายวัยกลางคนร่างผอม สวมอาภรณ์ยาว บนใบหน้ามีรอยแผลเป็น เขามีความรู้ความสามารถมาก แต่ด้วยใบหน้าอัปลักษณ์จึงถูกคนรังแกครั้งแล้วครั้งเล่า ชีวิตนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ ทำได้เพียงเป็นครูสอนหนังสืออยู่ในบ้านของคนมีชื่อเสียงและฐานะในเมืองนี้

“คุณครู ผู้คนสร้างกุศลกรรมเพื่อให้สวรรค์เห็นนี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่?” เสียงไพเราะพร้อมด้วยความสงสัยดังเข้าหูซูหมิง ทำให้เขาก้มหน้าลงมองเด็กน้อย สองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าในห้องสอนหนังสือ

เด็กสองคนนี้อายุหกเจ็ดขวบ เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง คนที่ถามคือเด็กหญิงคนนั้น นางกำลังมองซูหมิงด้วยแววตาไร้เดียงสา

นักเรียนของเขามีแค่สองคน หนึ่งเป็นบุตรชายเขา อีกหนึ่งเป็นบุตรสาวของคนมีชื่อเสียงและฐานะ

เขาสอนบุตรชายมาเสมอว่าต้องมีเมตตา ต้องมีความชอบธรรม หนึ่งชีวิตเป็นดั่งต้นสน ต้องไม่ยอมศิโรราบ เขาก็สอนเด็กหญิงคนนั้นที่ไม่ได้รับความรักจากบิดาเสมอว่าต้องพึ่งตัวเอง อย่าเสียใจ จงเติบใหญ่เป็นคนจิตใจดี…..

“ย่อมเป็นอย่างนั้น การสร้างกุศลกรรมคือจุดเริ่มต้นของคน หากทุกคนสร้างกุศลกรรม ในใต้หล้าจะไม่มีเรื่องที่ไม่ดีอีก พวกเจ้าจงจำจุดนี้เอาไว้ ความดีคือเจตนาเดิม การสร้างกุศลกรรมไม่ใช่เพื่อให้สวรรค์เห็น แต่ตอนที่ช่วยเหลือคนอื่นเราจะได้รับการชะล้างจิตใจ” ซูหมิงยิ้มแล้วพูดเบาๆ

“ข้ารู้ ข้ารู้ ท่านพ่อ เมื่อวานข้าเห็นมีคนตกปลา ก็เลยขอร้องให้ผู้อาวุโสตกปลาคนนั้นปล่อยปลาไป นี่ก็คือการสร้างกุศลกรรม” เด็กชายคนนั้นยิ้มพลางพูดเสียงดัง

“สิ่งมีชีวิตในโลกนี้ล้วนมีวิญญาณ วันนี้เจ้าสร้างกุศลกรรมแล้ว ช่วยไปหนึ่งชีวิต เช่นนั้นภายภาคหน้าสักวันหนึ่งจะได้รับการตอบแทน” ซูหมิงยิ้มพร้อมพูดขึ้น ครั้งนี้ในวัฏจักรเขาไม่

มีความทรงจำในอดีตเลย กระทั่งความลังเลเสี้ยวนั้นในใจในวัฏจักรครั้งก่อนยังหายไปด้วย กลายเป็นคนโลกนี้จริงๆ

“เช่นนั้นจากนี้ไปหากข้าเห็นคนตกปลา ข้าก็จะสร้างกุศลกรรมบ้าง” เด็กหญิงน้อยเหมือนไม่ยอมเอามากๆ มองเด็กชายแวบหนึ่งแล้วก็แบะปาก

ซูหมิงเห็นสีหน้าเด็กสองคนตรงหน้าแล้วก็ยิ้ม จนวันนี้ค่อยๆ เข้าสู่ยามโพล้เพล้ เมื่อจบวันนี้แล้ว ซูหมิงก็อยู่ที่ร้านบะหมี่ในเมืองนี้คนเดียวตามกิจวัตรของเขา กำลังกินบะหมี่ซุปร้อนชามหนึ่ง กลิ่นของน้ำซุปเยี่ยมมาก ในความทรงจำเขา เหมือนว่าจะมาที่นี่บ่อยๆ

โดยเฉพาะเถ้าแก่ร้านบะหมี่แห่งนี้เป็นชายชราแก่ชราผมขาวคนหนึ่ง เขาสวมอาภรณ์สีเทา นวดแป้งบะหมี่ด้วยตัวเองอยู่ที่นี่มาตลอดหลายปี ต่อให้มีผู้ร่วมงานคนหนึ่ง ก็ได้แค่เป็นลูกมือเท่านั้น

เวลาที่ลูกค้าน้อย ชายชราคนนั้นจะนั่งสูบบุหรี่บนหินใหญ่ข้างๆ ใช้ใบไม้ข้างกายทำขึ้นเป็นหุ่นใบไม้ทีละตัว มองคนสัญจรไปมารอบๆ บ้างก็ดื่มกับลูกค้าสองสามแก้ว ดวงตาสองข้าง

เขาขุ่นมัวเล็กน้อย ทว่าตอนที่ซูหมิงมองชายชราคนนี้ทุกครั้ง จะรู้สึกแปลกมาก

คลับคล้ายว่าเขาเห็นความสงสารเสี้ยวหนึ่งในดวงตาอีกฝ่าย และยังมีความขมขื่นหลังความสงสารนั้น

หลายปีมานี้เป็นเช่นนี้มาตลอด แต่ซูหมิงไม่ได้ถาม เขาชอบที่นี่ ชอบนั่งดื่มซุปตุ๋นที่นี่ มองคนสัญจรไปมาข้างนอกพลางนึกถึงชีวิตตัวเอง

จนกระทั่งวันนี้ซูหมิงวางชามลงและเงยหน้าขึ้น เขาเห็นชายชราคนนั้นยังคงมองตนเหมือนเดิม ซูหมิงจึงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น

“เหตุใดลุงชอบมองหน้าข้า? ไม่ใช่แค่วันสองวัน แต่หลายปีมาแล้วที่ข้ามาที่นี่ ลุงก็ทำแบบนี้ตลอด”

“ข้าไม่ได้กำลังมองเจ้า แต่เจ้ากำลังมองตัวเองต่างหาก” ชายชราคนนั้นเคาะบุหรี่บนพื้น ขณะยิ้มยังพูดเบาๆ อย่างมีความหมายลึกซึ้ง

ซูหมิงมองชายชราคนนั้น เขาตรึกตรองอยู่ชั่วครู่ก็ยังไม่เข้าใจความหมายแฝงในคำพูดนั้น จึงส่ายศีรษะ

“ไม่เข้าใจรึ…..ฮ่าๆ ข้ากำลังมองเมื่อไรที่เจ้าไม่มาที่นี่ และเมื่อไร….ที่เจ้าอีกคนมาที่นี่”

ซูหมิงขมวดคิ้ว ขณะกำลังจะกล่าวนั้น เขาก็ได้ยินเสียงพึมพำกับตัวเองจากชายชรา

“ชาวประมงมักจะมาที่นี่ เพราะข้าซื้อปลาเขาทุกวัน ดังนั้นน้ำลวกเส้นหมี่ถึงมีรสชาติ…..เด็กทุกคนก็ไม่แน่ว่าทุกคนจะมีจิตใจดีจากก้นบึ้งหัวใจ มีเพียงเต๋าที่ถูกสอนให้สร้างกุศลกรรมเท่านั้นถึงจะไปขอร้องให้ชาวประมงปล่อยปลาที่ติดเบ็ดไป…..

สวรรค์มีเต๋า เต๋ามีวัฏจักร หากเด็กคนนั้นไม่ถูกปลาตัวใหญ่กระชากลงไป ภรรยาของขุนนางก็คงไม่สิ้นใจจากการคลอด ดังนั้นแล้ว….หมอก็ยังเป็นหมอ คงไม่ตาย…..ขุนนางก็ยังเป็นขุนนางที่รักบุตร

ดังนั้นเขาก็คงไม่ให้ครูมาสอนบุตรตัวเอง แต่จะสอนด้วยตัวเอง บางทีเนื้อหาที่สอนอาจจะไม่ใช่การสร้างกุศลกรรม และก็คงไม่มีการให้ไปอ้อนวอนขอให้ชาวประมงปล่อยปลาตัวนั้น…..

ฉะนั้นแล้วก็จะไม่มีครูสอนหนังสือ และก็ไม่มีบุตรชายเขา…..”

ซูหมิงฟังถึงตรงนี้ใจเขาพลันสั่นสะท้าน เขาลุกพรวดขึ้นเหม่อมองชายชราคนนั้น รู้สึกรางๆ เหมือนในความคิดมีบางอย่างแตกออก ทว่าตอนนี้เองชายชราคนนั้นถอนหายใจเบา เขามองซูหมิงด้วยแววตาซับซ้อน สายตานี้ทำให้ซูหมิง….มีความรู้สึกเหมือนมองตัวเองในกระจก

“ยังไม่ถึงเวลาเข้าใจ ไปเถอะ ไปเถอะ…..” ชายชราส่ายศีรษะ ก่อนเคาะมวนบุหรี่ในมือกับพื้นเบาๆ ทันใดนั้นเกิดเสียงครึกโครมในความคิดซูหมิง โลกที่เขาเห็น แตกออกเป็นเสี่ยงๆ โลกทั้งใบกลายเป็นน้ำวนยักษ์

น้ำวนส่งเสียงดังสนั่น เพียงพริบตาเดียว เศษแตกกระจายจากโลกก็หลอมรวมขึ้นมาใหม่ กลายเป็นอีกภาพหนึ่ง กลายเป็นชีวิตในวัฏจักรต่างกันในโลกเดียวกัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version