Skip to content

Outside Of Time 808


บทที่ 808 สิ่งที่ได้รับจากต้นกำเนิดพลังเซียน

ในใจสวี่ชิงค่อนข้างปั่นป่วน เขาไม่คิดเลยว่าโลกนี้จะมีสิ่งมหัศจรรย์อย่างต้นกำเนิดพลังเซียน!

ต้นกำเนิดพลังเซียนที่เหนือกว่าวิถีสวรรค์นี้ มีประโยชน์ที่ทำให้รู้สึกเหลือเชื่อและคาดไม่ถึง

‘ต้นกำเนิดของทุกวิชาในพสุธาแดนดิน…’

สวี่ชิงสูดหายใจลึก มองพื้นดินไปตามสัญชาตญาณ ก่อนหน้านี้เขารู้ว่าแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ผนึกนภาจรัสในอดีตเอาไว้ด้านล่าง และรู้ว่านอกจากแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์แล้ว อันที่จริงท้องฟ้าผืนนี้ก็เป็นของนภาจรัส

สิ่งที่แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์สะกดไว้ เป็นเพียงหนึ่งในอาณาจักรเทวะของนภาจรัสที่มีมากมายเท่านั้น

ส่วนพสุธาแดนดินก็คือบ้านเกิดของเซียนคิมหันต์ และเป็นแหล่งกำเนิดที่แท้จริงของทุกเผ่าในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ณ ปัจจุบันนี้ซึ่งอยู่ด้านล่างถัดไปอีก

คิดแล้วที่นั่นคงกว้างใหญ่ไพศาลไร้ที่สิ้นสุด มีสรรพชีวิตมากมายนับไม่ถ้วน ส่วนวิชา พลังวิเศษ และวิชาเวททั้งหมดของพวกเขาล้วนเกิดจากต้นกำเนิดพลังเซียนที่ผู้อาวุโสเซียนคิมหันต์ทั้ง 9 ในยุคโบราณร่วมกันรังสรรค์ขึ้น

ซึ่งวิเคราะห์แจกแจง รวบรวม จัดระเบียบ และถ่ายทอดออกไป

จึงทำให้ดอกไม้แห่งการบำเพ็ญในอาณาจักรต่างๆ ของพสุธาแดนดินแบ่งบานชั่วนิรันดร์ วิชาร้อยแปดพันเก้าที่คนมากมายได้รับผ่านวาสนา ต้นกำเนิดล้วนมาจากต้นกำเนิดพลังเซียนนี้

เรื่องราวและประโยชน์เช่นนี้ ทำให้ใจสวี่ชิงยิ่งสั่นสะท้าน ไม่อาจพรรณนา ในสมองมีเพียงคำว่ายิ่งใหญ่

ขณะเดียวกัน สวี่ชิงก็นึกถึงการลงมือของผีเสื้อน้อยที่แปลงร่างเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเคล็ดวิชาวิถีพุทธองค์ปีศาจเพลิงโรยราหรือหนองน้ำแดนดินนั่น เห็นได้ชัดว่ามาจากต้นกำเนิดพลังเซียน

‘จินตนาการได้ว่า ผู้ที่ควบคุมและใช้พลังวิเศษระดับนี้ได้อย่างเต็มที่ จะต้องเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งพสุธาแดนดินแน่

‘เช่นนั้น ไม่รู้ว่าในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์จะมีอะไรประมาณนี้หรือไม่…’

สวี่ชิงจมจ่อมอยู่ในภวังค์ความคิด และคล้ายว่าผีเสื้อน้อยจะเดาความคิดเขาได้ จึงเปล่งเสียงก้องสะท้อน

“เจ้ากำลังคิดว่าแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์มีสิ่งที่คล้ายกับต้นกำเนิดพลังเซียนอยู่หรือเปล่าใช่หรือไม่ ข้าจะบอกเจ้าให้ เพราะเจตจำนงของนภาจรัส ประโยชน์ของต้นกำเนิดพลังเซียนจึงมีข้อจำกัดในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ทำได้แค่รวบรวม ไม่อาจพัฒนาหรือถ่ายทอดได้”

“มีเพียงผู้สืบทอดวังเซียนคิมหันต์ทุกคนในเผ่าต่างๆ เท่านั้น จึงจะใช้สิทธิ์และปัจจัยของแต่ละคนสัมผัสรับรู้ต้นกำเนิดพลังเซียนได้ ส่วนคนอื่นจะไม่มีโอกาสนี้เลย”

“อีกทั้งต่อให้เป็นข้าก็ยังต้องแลกกับบางสิ่งถึงจะได้รับโอกาสนี้ กฎระเบียบทุกอย่างของต้นกำเนิดพลังเซียนเป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม!”

“ครั้งที่แล้วข้าพยายามสุดชีวิตถึงขโมยสมบัติชิ้นหนึ่งในสำนักย่อยยอดจักรพรรดิดารามาให้ต้นกำเนิดพลังเซียนได้ แต่เจ้ากลับได้มาง่ายดายถึงเพียงนี้!”

เสียงผีเสื้อน้อยสะท้อนก้องในศาลเจ้าเก่าแก่ เสียงกระจ่างชัดแฝงความไม่ยินยอม ทำให้โถงศาลเจ้าเก่าแก่นี้มีชีวิตชีวายิ่งขึ้น

สวี่ชิงมองเจ้าวังเซียนคิมหันต์ จากนั้นก็มองผีเสื้อน้อยตัวนั้น อดคาดเดาบางอย่างในใจขึ้นมาไม่ได้ บางที…ความมีชีวิตชีวาของผีเสื้อน้อยตัวนี้อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เจ้าวังเซียนคิมหันต์รับเป็นศิษย์ในตอนนั้นก็ได้

ที่นี่จมอยู่ในแม่น้ำกาลเวลาและในประวัติศาสตร์โบราณ ราบเรียบจืดชืดไร้สีสัน เงียบเหงาตลอดจนการผ่านห้วงเวลามาเนิ่นนานปกคลุมอยู่ในที่แห่งนี้อย่างเข้มข้นถึงขีดสุด

ทำให้เมื่อคนที่นี่ซึมซับทุกอย่างนี้นานวันเข้า ย่อมมีบรรยากาศเก่าแก่ออกมาเป็นธรรมดา

แต่การมีอยู่ของภารกิจก็ทำให้วังเซียนคิมหันต์ได้แต่คงอยู่เช่นนี้ต่อไปทุกยุคทุกสมัย

‘ยามที่ผีเสื้อน้อยนี้กลายเป็นเจ้าวังเซียนคิมหันต์…นางก็อาจเป็นเหมือนเจ้าวังตรงหน้าผู้นี้ในสักวัน เกิดในยุคปัจจุบันแต่ดำรงชีพเหมือนอยู่ในอดีต ชีวิตผันแปรไปตามกาลเวลาขณะทำภารกิจ”

สายตาสวี่ชิงละจากผีเสื้อน้อย ไม่ใส่ใจน้ำเสียงของนาง แต่มองไปทางเจ้าวังเซียนคิมหันต์แล้วประสานมือเอ่ย “ผู้เยาว์เข้าใจเจตนาของผู้อาวุโสแล้ว”

“เรื่องนี้…ทำได้ขอรับ แต่ผู้เยาว์อยากเห็นต้นกำเนิดพลังเซียนกับตาตัวเอง”

เจ้าวังเซียนคิมหันต์ไม่กล่าวอะไร เพียงยกมือขาวเนียนขึ้น เหนี่ยวนำแสงเทียนบนแท่นบูชาตรงหน้าเบาๆ เทียนทั้ง 6 เล่มก็ลุกโชนโชติช่วงทันที ส่องแสงปกคลุมไปด้านนอก

ทั้งๆ ที่เป็นแค่เทียน แต่ขณะที่เปล่งแสงแผ่ปกคลุม ก็ก่อเป็นทะเลเพลิงโถมซัดอยู่กลางอากาศของศาลเจ้าโบราณ ระหว่างที่ซัดสาดครืนครัน แสงประทีปก็สว่างกว่าก่อนหน้านี้ยิ่ง ทำให้ศาลเจ้าโบราณที่บรรยากาศอึมครึมสว่างไสวขึ้น

จักรพรรดิโบราณแต่ละคนบนภาพฝาผนังรอบๆ ก็ราวกับมีชีวิตขึ้นมาท่ามกลางแสงสว่างนี้ แผ่พลังอำนาจจักรพรรดิของเผ่ามนุษย์ออกมา

พลังอำนาจนี้ผสานกับทะเลเพลิงกลางอากาศในโถงศาลเจ้า ก่อร่างเป็นภาพวาดภาพหนึ่ง

สถานที่จริงของภาพวาดนี้ไม่รู้ว่าเป็นที่ใด ที่ปรากฏออกมายามนี้คล้ายเป็นแค่หน้าต่างบานหนึ่ง มองออกไปจากหน้าต่างบานนี้จะเห็นพื้นที่โล่งกว้างที่ที่งดงามผืนหนึ่ง

ในนั้นมีดอกไม้ขนาดใหญ่ยักษ์ดอกหนึ่ง

นั่นคือ…ดอกผูกงอิง

ตามลำต้นของมันมีตราประทับนับไม่ถ้วน ซึ่งทุกตราจะแผ่พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามออกมา หลังจากดูภาพรวม ก็ทำให้ดอกผูกงอิงดอกนี้น่ามหัศจรรย์อย่างยิ่ง มีเพียงหนึ่งเดียว

ส่วนโคนต้นก็มีดินเลนที่อุดมไปด้วยสารอาหารบำรุงมัน แต่เมื่อมองอย่างละเอียดจะพบว่านี่คือเลือดเนื้อของศพเทพเจ้านับไม่ถ้วนที่ทับถมกันจนเป็นดินเลนเช่นนี้

ราวกับ…หลังจากผู้อาวุโสเซียนคิมหันต์ที่แข็งแกร่งในยุคแรกทั้ง 9 องค์โค่นล้มอาณาจักรเทวะนภาจรัส ก็สังหารเทพเจ้าทุกพระองค์แล้วนำมาทิ้งไว้ที่นี่เป็นส่วนใหญ่

ให้เหล่าองค์ท่านมาเป็นขุมพลังให้แก่ดอกผูกงอิงตลอดกาล

ขณะเดียวกัน จิตวิญญาณของเทพเจ้าเหล่านี้ก็ถูกสะกดไว้ที่นี่ ถูกบังคับให้คุกเข่าคารวะ ปากก็ส่งเสียงร้องโหยหวนที่ทั้งโศกเศร้าและน่าหวาดกลัว สุรเสียงเทพของเหล่าองค์ท่านจะทำให้ดอกผูกงอิงโคจรเสถียรยิ่งขึ้น

นี่ก็คือต้นกำเนิดพลังเซียน

ที่เซียนคิมหันต์ทั้ง 9 ร่วมกันสร้างขึ้นทับอาณาจักรเทวะ จนเกิดเป็นต้นกำเนิดพลังเซียน!

และยังมีศพอีกนับร้อยนอนจมอยู่ในดินเลนที่เกิดจากเลือดเนื้อเทพเจ้า ซึ่งยังย่อยสลายไม่หมด ราวกับตัวตนของเหล่าองค์ท่านเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์เกินไป จึงใช้เวลาในการย่อยสลายยาวนานไม่รู้จบ

ในนี้มีศพอยู่ร่างหนึ่งที่สวี่ชิงมองเพียงปราดเดียวก็ใจสั่นครืนครัน ร่างกายเกิดเค้าลางจะแหลกสลาย พลังต้นกำเนิดเทพในร่างก็สั่นสะท้าน

ภาพนี้ทำให้สวี่ชิงแทบหยุดหายใจ

ศพร่างนั้นเป็นร่างที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาศพทั้งหมดในดินเลนเลือดเนื้อนี้ เพราะไม่มีอะไรที่นำมาเปรียบเทียบได้ จึงประมาณความใหญ่โตอย่างชัดเจนได้ยาก

แต่กลิ่นอายจากร่างองค์ท่านแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่สวี่ชิงเคยพบ เมื่อเทียบกับองค์ท่าน ชื่อหมู่เป็นประหนึ่งแสงหิ่งห้อย แม้แต่มหาจักรพรรดิครองกระบี่ก็เป็นเพียงแสงหิ่งห้อยเช่นกัน

เทพเจ้าองค์นี้ มีปราณจักรพรรดิ!

“นั่นคืออดีตจักรพรรดิเทพของอาณาจักรเทวะแห่งนี้”

เสียงของเจ้าวังเซียนคิมหันต์ดังก้องขึ้น

ใจสวี่ชิงโหมซัด สุดท้ายก็เบนสายตาไปที่ดอกผูกงอิง

มันกำลังเบ่งบาน ผลัดเมล็ดปุยนุ่มๆ นับไม่ถ้วนออกไป ทุกเมล็ดไม่ใช่สีขาว แต่เป็น 3 สี สีแดง สีเหลืองและสีน้ำเงิน เวลานี้ลอยละล่องอยู่ทั่วมิติเต็มมิติไปหมด ลอยออกไปไกลเรื่อยๆ

จินตนาการได้ว่าเมล็ดเหล่านี้ก็คือพลังวิเศษและวิชา พวกมันกำลังกระจายไปตามอาณาจักรต่างๆ ของพสุธาแดนดิน

ขณะเดียวกัน ก็มีเมล็ดบางส่วนที่โผล่ขึ้นมาจากความว่างเปล่า ผสานเข้าไปในดอกผูกงอิง ถูกสูดรับ แปรผัน จากนั้นก็ถูกผลัด ลอยออกไปอีกครั้ง

วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า

สวี่ชิงเห็นฉากนี้ก็รู้สึกเลื่อมใสต้นกำเนิดพลังเซียนอย่างยิ่ง จึงนำเมล็ดพันธุ์วิญญาณเมล็ดหนึ่งออกมาจากร่างกายให้มันลอยอยู่เบื้องหน้าช้าๆ

เมล็ดพันธุ์วิญญาณเปล่งแสงสีม่วง ลอยผ่านหน้าต่างไปยังสถานที่ที่ดอกผูกงอิงเติบโตด้วยการควบคุมจิตเทพของสวี่ชิง ขณะที่ลอยเข้าไป มันก็กลายร่างเป็นดอกผูกงอิง ลอยเข้าไปใกล้ต้น

พริบตาต่อมาก็ผสานเข้าไป

ส่วนประสาทสัมผัสเทพของสวี่ชิงที่แฝงอยู่ในเมล็ดพันธุ์วิญญาณ เดิมควรจะถูกลบไปทันที ทำให้เมล็ดพันธุ์วิญญาณนี้ว่างเปล่า แต่จากการโบกมือของเจ้าวังเซียนคิมหันต์ แทรกแซงพลังในการแผดเผาของเทียน จึงทำให้กระบวนการนี้ช้าลง

“คนนอกไม่อาจสัมผัสรับรู้ต้นกำเนิดพลังเซียนได้โดยตรง มีเพียงขณะที่ส่งมอบคุณูปการเท่านั้นถึงจะได้รับโอกาสนี้ แต่เพียงพริบตาก็หายไป ทว่าด้วยอำนาจของข้า ทำให้การรับรู้ในเมล็ดพันธุ์วิญญาณของเจ้าคงอยู่ได้ 10 อึดใจ ให้เจ้าบริหารเวลาเอง จะได้พลังวิเศษอันใดอยู่ที่วาสนาของเจ้า”

เสียงของเจ้าวังเซียนคิมหันต์สะท้อนก้องในหัวสวี่ชิง เขาได้ยินแล้ว แต่ไม่อาจตอบกลับได้

เพราะตอนนี้ ใจเขากำลังโหมกระหน่ำ เสียงทัณฑ์สวรรค์ฟาดผ่าดังขึ้นข้างหูนับครั้งไม่ถ้วน สัมผัสรับรู้ทั้งร่างเข้าสู่สภาวะที่ไม่อาจอธิบาย

เหมือนเขาเข้าไปในมิติที่ดอกผูกงอิงเติบโต ด้านล่างเป็นดินเลนจากเลือดเนื้อ ด้านหน้าเป็นดอกผูกงอิงที่สูงเสียดฟ้า

ส่วนขนาดของตัวเขาก็เท่ากับเมล็ดของดอกผูกงอิง เล็กจ้อยไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง

รอบตัวเขาเป็นเมล็ดดอกผูกงอิงนับไม่ถ้วน ซึ่งทุกเมล็ดมีเงาร่างเลือนรางมากมายปรากฏอยู่ด้านใน และร่างเงาเหล่านั้นกำลังสำแดงเคล็ดวิชาและพลังวิเศษ

แน่นขนัดอัดแน่น ไร้ที่สิ้นสุด

คล้ายว่าเขาจะศึกษาได้ทุกเมล็ด แต่เคล็ดวิชามีมากเกินไป แตกต่างหลากหลายปะปนกัน การจะตรวจดูทีละวิชานั้นไม่มีทางเป็นไปได้

ในระยะเวลาสั้นๆ นี้ เขาไม่มีทางใช้วิธีการนี้หาวิชาที่เหมาะสมที่สุดได้อยู่แล้ว ดังนั้น…วิธีที่สวี่ชิงเลือก ไม่ใช่การตรวจดูทุกวิชา

แต่เป็นการสำรวจ ไม่ว่าจะตรงหน้าหรือที่อยู่ไกลออกไป ขอแค่อยู่ในขอบเขตที่ประสาทสัมผัสเทพสัมผัสถึง เขาล้วนสำรวจทั้งหมด กวาดผ่านเมล็ดดอกผูกงอิงทีละเมล็ด

หลังผ่านไปไม่กี่อึดใจ จู่ๆ ดวงตาทั้ง 2 ของสวี่ชิงก็จ้องเพ่ง

เขาเห็นเมล็ดดอกผูกงอิงเมล็ดหนึ่งแตกต่างกับเมล็ดอื่น มันไม่ได้เป็นเมล็ดที่จะลอยออกไปด้านนอก แต่ลอยกลับเข้ามา

แม้ด้านในจะมีร่างเงา แต่เมื่อเทียบกับดอกผูกงอิงเมล็ดอื่น ด้านในเมล็ดนี้มีเพียง 2 ร่างเท่านั้น นั่งสมาธิซ้ายขวา

อีกทั้ง ทันทีที่สวี่ชิงเห็นเมล็ดนี้ พลังพระจันทร์ม่วงในร่างกายก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง

แต่เวลามีจำกัด สวี่ชิงจึงไม่อาจคิดนานได้ เขาตัดสินใจเด็ดขาด ควบคุมประสาทสัมผัสเทพของตนประชิดเมล็ดดอกผูกงอิงนั้นอย่างรวดเร็ว เพียงแต่ไม่ได้ราบรื่นนัก

เมล็ดนั้นอยู่ค่อนข้างไกล

ประเด็นสำคัญคือ มันลอยอยู่บริเวณเหนือศพจักรพรรดิเทพองค์นั้นพอดี แม้ยังห่างกันไกล แต่แรงกดดันเหมือนจะรุนแรงยิ่ง

ทว่าจะรอให้เมล็ดนั้นลอยมาแล้วค่อยเก็บก็ไม่ทันการ

สวี่ชิงสัมผัสได้ว่าจิตเทพของตน เริ่มปรากฏเค้าลางจะสลายไป เขาเข้าใจดีว่า…เหลือเวลาไม่มากแล้ว

“สู้ตาย!”

สวี่ชิงพุ่งทะยาน สำแดงความเร็วสูงสุด หลบเลี่ยงเมล็ดอื่นๆ ขณะที่เข้าใกล้อย่างรวดเร็ว ศพจักรพรรดิเทพเจ้าด้านล่างก็ชัดเจนขึ้นทุกขณะ

ในที่สุดก็มีสิ่งที่นำมาเปรียบเทียบกับขนาดขององค์ท่านได้แล้ว เมื่อเทียบกับองค์ท่าน สวี่ชิงเหมือนขนเส้นหนึ่งบนร่างกาย!

และแรงกดดันที่มาจากศพจักรพรรดิเทพเจ้าก็ยิ่งน่ากลัวถึงขีดสุด ต่อให้ตอนนี้สวี่ชิงจะอยู่ด้านบนห่างจากตัวศพมากก็ยังได้รับผลกระทบ ทัณฑ์สวรรค์ในใจฟาดผ่าสนั่นหวั่นไหวทันใด ร่างที่แปรจากจิตเทพของเขาก็ใกล้จะแหลกสลาย

สวี่ชิงตัดสินใจเด็ดขาด ไม่รอให้แรงกดดันนี้บีบคั้นจนแหลกสลาย ดำเนินการแผดเผาจิตเทพของตัวเองก่อน ท่ามกลางเสียงครืนครัน ร่างจิตเทพของเขาเริ่มปริแตก แต่เขาก็ใช้พลังจากการแผดเผานี้พุ่งออกไปได้อีกระยะหนึ่ง

จึงสัมผัสกับเมล็ดดอกผูกงอิงที่ลอยมานั้นพอดี

ทันทีที่สัมผัส เสียงเก่าแก่น่าเกรงขามเสียงหนึ่งก็ดังก้องในใจสวี่ชิง

“ฟ้าดินโลกใบนี้ พินิจเปรียบดั่งหนึ่งบ่อ…”

(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version