บทที่ 915 สหายเฟิงผู้ขี้ระแวงกับเจ้าคนรู้มาก 2 คน
“ไม่ค่อยจะถูกแฮะ”
บนท้องฟ้าเขตปกครองพิสดารบันลือ ทันทีที่เรือศึกบรรพกาลของสวี่ชิงย่างกรายเข้ามา จากกลิ่นตลบอวลคละคลุ้งของกลิ่นเลือดเข้มข้น ดวงตาทั้ง 2 ของสวี่ชิงที่อยู่บนเรือศพบรรพกาลก็จ้องเพ่ง
เอ้อร์หนิวที่อยู่ข้างๆ เขาแต่เดิมก็เอ้อระเหยลอยชายอยู่แล้วก็สีหน้าเปลี่ยนไปทันที เอ่ยพึมพำ
“ความเข้มข้นของคาวเลือดนี่ อย่างน้อยต้องมีสิ่งมีชีวิตตายมากกว่าล้านขึ้นไปถึงจะรวมได้มากขนาดนี้”
“ล้านหรือ” สวี่ชิงในใจเกิดความระแวดระวังภัย หลังจากกวาดสายตามองรอบๆ ก็ทอดสายตามองไปที่ไกล
2 ปีก่อนเส้นทางที่เขาเดินทางไปเผ่านภาคิมหันต์ไม่ใช่เส้นทางนี้ เหตุที่ขากลับเลือกเส้นทางนี้ก็เพราะความระมัดระวังรอบคอบ ด้วยเหตุนี้เมื่อไม่กี่วันก่อนถึงได้ตัดสินใจ
เพื่อการนี้ สวี่ชิงและนายกองยังต่างรวบรวมข้อมูลของที่นี่อีกด้วย
ก็นับว่ามีความเข้าใจในเขตปกครองแห่งนี้ รู้ว่าชายแดนของเขตปกครองนี้ มีเผ่าพันธุ์พื้นถิ่นจำนวนหนึ่งอาศัยอยู่กระจายกันไป
เผ่าพันธุ์เหล่านี้เนื่องจากอาศัยอยู่ในพื้นที่กันชนพื้นที่แคบของ 2 เผ่า ปกติแล้วก็ระมัดระวังรอบคอบมาก ส่งส่วยบรรณาการให้กับทั้งเผ่ามนุษย์และเผ่านภาคิมหันต์
แต่กลิ่นคาวเลือดในตอนนี้ทำให้ทั้ง 2 คนจิตใจหนักอึ้งไปเล็กน้อย
“ไม่รู้ว่าเลือดที่ทำให้เกิดกลิ่นคาวเลือดขนาดนี้เป็นอสูรร้าย หรือเผ่าพันธุ์เหล่านั้นที่นี่”
สวี่ชิงขบคิดในใจ มองตากันกับนายกอง ต่างมองห็นความเคร่งเครียดของกันและกัน
ไม่ว่าเลือดที่ทำให้เกิดกลิ่นคาวเลือดนี้จะเป็นอสูรร้ายหรือเผ่าพันธุ์ใด ล้วนบ่งบอกว่าเขตปกครองพิสดารบันลือเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลง เปลี่ยนมาไม่ปลอดภัย
“คงไม่ใช่เทพเจ้าองค์ไหน หรือตัวประหลาดแก่ที่ไหนวางแผนจะปล้นพวกเราที่นี่หรอกกระมัง” นายกองระแวดระวัง
“หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ พวกเราไม่มีทางได้กลิ่นเลือดคละคลุ้งขนาดนี้ที่นี่แน่ แหวกหญ้าให้งูตื่นแบบนี้ไม่เหมือนฝีมือของเทพเจ้า” สวี่ชิงครุ่นคิด เอ่ยเสียงต่ำทุ้มออกมา
หากมีการดักซุ่มลอบโจมตีจริงๆ ย่อมมีการอำพราง หรือตอนนี้ก็ต้องมีพันธนาการอะไรปะทุขึ้นมาถึงจะถูก
แต่ตอนนี้ นอกจากกลิ่นคาวเลือดแล้ว ทุกอย่างเป็นปกติ
นายกองได้ยินคำนี้ก็พยักหน้า
“และก็ไม่เหมือนฝีมือของพวกตัวประหลาดแก่พวกนั้น หยาบเกินไป”
ทั้ง 2 คนหารือกันครู่หนึ่ง นายกองคิดว่าเคลื่อนหน้าต่อไปได้ แต่สวี่ชิงหลังจากขบคิดก็ตัดสินใจอ้อมเขตปกครองนี้
แม้เดินมาถึงตรงนี้หากจะย้อนกลับเปลี่ยนเส้นทาง คิดจะกลับเผ่ามนุษย์ต้องอ้อมรอบหนึ่ง ไม่พูดว่าเสียเวลา แต่ระดับความอันตรายเกรงว่าจะเพิ่มขึ้นตามเวลาที่ผ่านพ้นไป
อีกทั้งที่นี่ห่างจากพื้นที่เผ่ามนุษย์ไม่ไกล ด้วยความเร็วของพวกเขา อย่างมาก 7 วันก็ไปถึง
แต่ในเมื่อเกิดเรื่องไม่ชอบมาพากล ด้วยนิสัยของสวี่ชิงย่อมไม่มีทางกระโจนเข้าไปหา
ดังนั้นพวกเขาจึงสรุปความเห็นร่วมกัน ถอยไปจากเขตปกครองพิสดารบันลืออย่างรวดเร็วก่อน จากนั้นค่อยอ้อมเป็นพื้นที่เล็กๆ เดินทางอย่างระมัดระวัง โดยเตรียมใช้เวลาเพิ่ม 2 ถึง 3 เท่า จากอีกทิศทางหนึ่ง ที่นอกเขตปกครองพิสดารบันลือ
และในตอนที่สวี่ชิงกับนายกองเลือกที่จะจากไป ในพื้นที่แห่งหนึ่งที่ห่างจากที่นี่เป็นระยะทางหนึ่ง ที่นั่นมีเมืองของต่างเผ่าเมืองหนึ่ง
เมืองนี้เป็นของเผ่าเล็กๆ เผ่าหนึ่ง รอบๆ ถูกผนึก ในนั้นล้วนแต่น่าอเนจอนาถชวนสังเวช ศพเกลื่อนพื้น บนพื้นไหลนองไปด้วยเลือดสดๆ
จำนวนผู้คนที่ตายไป ได้ยินแล้วชวนให้ครั่นคร้าม
และที่กลางท้องฟ้า ผู้แข็งแกร่งหลายคนของเผ่านี้ แต่ละคนต่างสีหน้าตื่นกลัวและร้อนรน ที่มากกว่านั้นคือความสิ้นหวัง
สิ่งที่พวกเขาประมือด้วยคือเมฆแมลงเป็นกลุ่มๆ ก่อขึ้นจากตะขาบสีดำตัวเท่าแขนมากมาย ที่หลังของตะขาบเหล่านี้ล้วนมีภาพสัญลักษณ์หน้าผี
แต่ละตัวล้วนเหี้ยมโหดดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง เสียงคำรามรวมเข้าด้วยกันเล็กแหลมสุดขีด
จำนวนไม่น้อยกว่าหลายหมื่น
ภายใต้การล้อมโจมตีของพวกมัน ผู้อาวุโสที่มีพลังบำเพ็ญระดับหวนสู่อนัตตาเหล่านั้นของเผ่านี้ไม่อาจยืนยันได้นานเลย ไม่นานก็มีคนหนึ่งพลังบำเพ็ญแห้งเหือด ถูกแมลงร้ายฝูงหนึ่งรุมไป ชอนไชร่างกาย ตายอย่างน่าอนาถ
เหนือศีรษะพวกเขามีเงาร่าง 2 ร่างยืนอยู่กลางท้องฟ้า
เป็นชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง เป็นชายหนุ่มแซ่เฟิงและผู้หญิงที่ชื่อหลานเหยาที่ก่อนหน้านี้ลงมาเยือนจากนอกพิภพเมื่อก่อนหน้านี้นั่นเอง
“ตะขาบทมิฬวิญญาณผีพวกนี้ที่สหายเฟิงเลี้ยงมหัศจรรย์ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย ดูท่าทางพวกมัน น่ากลัวว่าใช้เวลาอีกไม่เท่าไร ก็จะวิวัฒนาการเป็นตะขาบนภาแล้ว” หลานเหยาเอ่ยราบเรียบ
ชายหนุ่มแซ่เฟิงที่อยู่ข้างๆ นางได้ยินก็ยิ้ม
“สหายหลานเอ่ยชมเกินไปแล้ว ตะขาบทมิฬพวกนี้หากอยากให้วิวัฒนาการ ไม่มีเวลาสามสี่ร้อยปีก็ไม่มีทางเลย ต่อให้เป็น…เอ๋”
ชายหนุ่มแซ่เฟิงยังพูดไม่ทันจบ จู่ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไป ทอดสายตามองไปที่ไกล
ในดวงตาหลานเหยาประกายเร้นลับฉายวาบอย่างบางเบาจนแทบจะไม่เห็น เอ่ยเสียงแผ่วเบา “สหายเฟิง พบอะไรเข้าหรือ”
“ไม่อะไร คิดว่าสหายหลานคงสังเกตเหมือนกันแล้วกระมัง ข้าแซ่เฟิงก่อนหน้านี้ เพื่อความรอบคอบก็ได้วางเนตรมิติที่เอามาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ด้วยเอาไว้ ดวงตานี้ในเผ่าของข้าเป็นของล้ำค่าลับ แม้ผลอื่นๆ ธรรมดาๆ ทั่วไป แต่ในด้านซ่อนอำพรางก็พิเศษเป็นอย่างยิ่ง อสูรมิติที่เป็นต้นกำเนิดพลังของมัน ก็เป็นสิ่งที่มาจากนอกแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ไม่อยู่ในกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้ หากไม่ใช่ผู้มาเยือนจากนอกพิภพก็ไม่สามารถค้นพบได้เลย”
“และเมื่อครู่ จากเนตรมิติข้างหนึ่งก็สำรวจได้จากที่ไกลๆ ว่ามีผู้บำเพ็ญชั้นล่างท้องถิ่น 2 คนปรากฏตัวขึ้น”
ชายหนุ่มแซ่เฟิงหรี่ตา เอ่ยช้าเนิบ
“แต่ว่า 2 คนนี้ก็ระมัดระวังรอบคอบนัก ไม่ได้เข้ามา แต่เลือกที่จะจากไป เช่นนี้ ข้าก็ขี้เกียจจะแบ่งสมาธิไปขัดขวาง อีกทั้งยังต้องให้ความสำคัญกับการเตรียมการใหญ่ในตอนนี้เป็นหลัก นับว่าพวกเขาโชคดีไป”
หลานเหยาหัวเราะเบาๆ
“สหายเฟิงลงมือได้รอบคอบระมัดระวังเช่นนี้ ท่าทางคำพูดที่กระตุ้นให้เยวี่ยตงจากไปก่อนหน้านี้ ก็ไม่ได้ประมาทกับที่แห่งนี้จริงๆ”
ชายหนุ่มแซ่เฟิงไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ แววตาของหลานเหยาฉายประกายวาบเล็กน้อย ก็ไม่ได้ถามอะไรอีก
ส่วนสวี่ชิงและเอ้อร์หนิวที่ถูกพวกเขาพูดถึงตอนนี้ก็ไปจากเขตปกครองพิสดารบันลือแล้ว ยิ่งกว่านั้นในเส้นทางต่อจากนั้น เรือศึกบรรพกาลที่รูปร่างเป็นหญิงชรา สวี่ชิงก็ได้ประสานปางมือเปลี่ยนให้รางเลือน พลังอำพรางแผ่ออก ความเร็วก็เร็วขึ้นกว่าก่อนหน้านี้อีกหลายส่วน
กลิ่นเลือดหายไปแล้วจริงๆ ด้วย แต่ความระมัดระวังของทั้ง 2 คนไม่ลดลง ผ่านไปอีกหลายวันเช่นนี้เอง ตลอดทางปลอดภัยดี ตอนนี้ห่างจากพื้นที่เผ่ามนุษย์เหลือระยะทางอีก 3 วัน
แต่ในตอนนี้เอง ที่ปลายขอบฟ้าไกล หมอกสีแดงเดือดพล่าน กลิ่นคาวเลือดนั่นก็ปรากฏขึ้นในสัมผัสรับรู้ของทั้ง 2 คนอีกครั้ง
อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าเพิ่งก่อขึ้นได้ไม่นาน ตอนนี้กำลังแผ่ลามออกไป
สวี่ชิงสีหน้าเคร่งขรึมทันที นายกองทางนั้นในดวงตาฉายประกายดุดันขึ้นเช่นกัน
ทั้ง 2 ต่างโคจรพลังบำเพ็ญ จับจ้องสายตามองไปทางหมอกเลือด
ในดวงตานายกองประกายแสงสีฟ้าพุ่งออกมา ดวงตาดำมืดของสวี่ชิงเก็บลงไป สายตาของทั้ง 2 ต่างมีพลังมองทะลุ ทะลวงการขวางกั้นจากหมอก มองเห็นภาพนรกอเวจีในม่านหมอก
“นั่นมัน…” คำพูดนายกองหยุดชะงัก เสียงแฝงด้วยความแปลกประหลาด
สวี่ชิงก็ขมวดคิ้วเช่นกัน
ภายใต้การมองทะลุจากสายตาของพวกเขา ก็มองเห็นต้นกำเนิดของหมอก
นั่นเป็นเมืองของเผ่าเล็กๆ เผ่าหนึ่ง
เมืองนี้ถูกหมอกห้อมล้อม ในเมืองเงียบสงัด ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ รอดทั้งสิ้น สิ่งที่มีอยู่คือเจดีย์โครงกระดูก 99 องค์ที่ทับถมขึ้นมาจากซากศพนับไม่ถ้วน
เจดีย์ทุกองค์ล้วนเป็นโครงกระดูกเกือบหมื่นโครง
เผ่าเล็กๆ เผ่านี้ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ กองทับถมเป็นเจดีย์สูง อีกทั้งดวงตาที่ 3 ที่หว่างคิ้วของเผ่านี้ทุกคนต่างโดนควักออกมา
กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นส่งออกมาจากร่างของสมาชิกเผ่าเล็กๆ ที่ที่หน้าผากมีตาที่ 3 เผ่านี้นั่นเอง
รวมเข้าด้วยกันถึงจะได้เกิดเป็นหมอกเลือดเช่นนี้
“สังเวยโลหิต!”
“สังเวยโลหิต!”
นายกองพึมพำ
“วิญญาณของเผ่านี้ถูกดึงออกไปแล้ว วิธีการสังเวยโลหิตเช่นนี้ไม่เหมือนบวงสรวงเทพเจ้า เหมือนกับเป็นการหลอมของวิเศษที่พลานุภาพน่าครั่นคร้ามอะไรมากกว่า”
สวี่ชิงกวาดสายตามองเมืองนี้ เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
“ดูท่าแล้ว หมอกเลือดในเขตปกครองพิสดารบันลือก่อนหน้านี้ก็เกิดขึ้นแบบนี้เหมือนกัน”
นายกองพยักหน้า หลังจากมองประเมินหมอกเลือดอย่างละเอียดก็พลันเอ่ยขึ้น
“แต่ว่าหมอกเลือดไม่ได้ถูกเก็บไป เห็นได้ชัดว่าคนคนนั้นที่ทำเรื่องเช่นนี้จะยังหลอมไม่เสร็จ…”
“น่าจะไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา พวกเราเดินทางต่ออย่างสุดกำลังจะดีกว่า กลับถึงเผ่ามนุษย์แล้วค่อยว่ากัน เรื่องพวกนี้พวกเราไม่มีความจำเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวพันด้วย”
นายกองมองไปทางสวี่ชิง
สวี่ชิงย่อมไม่ความเห็นอกเห็นใจพร่ำเพื่อต่อการดำรงอยู่ของต่างเผ่า ได้ยินก็พยักหน้า ทั้ง 2 คนตัดสินใจเก็บเรือศึกบรรพกาลลงไป พลังบำเพ็ญโคจร เพียงพริบตาก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยเงา ทะยานไปข้างหน้าอย่างเร็วรี่
ในขณะเดียวกัน ห่างจากในกลางพื้นที่ที่นี่ไม่ไกลมากนัก ผู้บำเพ็ญแซ่เฟิงและหลานทั้ง 2 ที่เปลี่ยนให้พื้นที่ของพื้นถิ่นเผ่าพันธุ์อีกแห่งหนึ่งกลายเป็นสังเวยโลหิต ก็เหยียบย่างมากลางท้องฟ้า
“สังเวยโลหิตทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว ถึงเป้าหมายที่กำหนดไว้แล้ว เช่นนี้ เข้าไปในที่แห่งนั้นก็จะไม่มีอะไรมาขัดขวางอีก”
ชายหนุ่มแซ่เฟิงมองธงเลือดในมือ ในดวงตาที่อึมครึม ตอนนี้ก็เห็นแววตื่นเต้นกลุ่มหนึ่งอย่างยากนักที่จะได้เห็นออกมา
“วิญญาณสิ่งมีชีวิต 20 ล้านที่รวมคนธรรมดาและผู้บำเพ็ญ ทั้งยังชักนำทะเลเลือดโครงกระดูกมา วิธีเช่นนี้หากอยู่ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ นี่คือทำผิดข้อต้องห้ามมหันต์ จะต้องถูกกระชากวิญญาณทำลายจิต สหายเต๋าเพื่อให้ได้สิ่งนั้น ก็ไม่สนใจอะไรแล้วจริงๆ”
หลานเหยาที่อยู่ข้างๆ เขาเอ่ยราบเรียบ
“หึ สหายหลันไม่จำเป็นต้องประชดเสียดสี ข้าทำเช่นนี้ไม่ได้แค่เพื่อตัวเองเท่านั้น หลังจากได้สิ่งนั้นมาก ประโยชน์ที่เจ้าจะได้ก็มหาศาลเช่นกัน”
“อีกทั้ง ในแดนศักดิ์สิทธิ์ข้าย่อมไม่กล้าทำเช่นนี้ แต่ที่นี่ไม่เหมือนกัน นอกจากนั้นสหายหลานอย่างได้ลืมคำสัญญาหลังจากที่เรื่องสำเร็จของพวกเรา ถึงตอนนั้นอย่าได้คืนคำไม่ทำตามวาจา ไม่เช่นนั้น…”
ชายหนุ่มแซ่เฟิงหรี่ตา มองไปทางหลานเหยา
“สหายเฟิงขี้ระแวงไปแล้ว หากทุกอย่างเป็นดั่งที่เจ้าบอกจริง คำสัญญาหลังจากเรื่องสำเร็จของเจ้ากับข้า ข้าย่อมไม่คืนคำ”
หลานเหยายิ้มบาง
ชายหนุ่มแซ่เฟิงพยักหน้า กำลังจะพูดอะไรอีก แต่สีหน้าพลันเคร่งขรึม เงยหน้ามองไปทางที่ไกล ประกายเย็นเยือกในดวงตาฉายวาบ
“มาอีกแล้วหรือ”
“หลายวันก่อนปรากฏตัว เดิมคิดว่าพวกเขาก็แค่ผ่านมา เลือกที่จะจากไปก็ปกติ แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนเส้นทางใหม่ ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง”
“การสอดแนมหลายครั้งเช่นนี้ อีกทั้งยังไม่จากไป แม้จะมีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาผ่านมาจริงๆ แต่ก็เป็นไปได้ว่า 2 คนนี้…มีจุดประสงค์อื่น!”
“นอกจากนี้ พวกเขารู้ถึงสังเวยโลหิตแล้ว ยากจะรับประกันว่าหลังจากจากไปแล้วจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้”
ชายหนุ่มแซ่เฟิงขมวดคิ้ว นิสัยของเขาเดิมก็ขี้ระแวงอยู่แล้ว เรื่องแผนการก็ยังสำคัญเป็นอย่างยิ่งอีกต่างหาก เห็นมีคนทำเช่นนี้ ในใจของเขาเกิดความคิดต่างๆ ผุกขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
สุดท้ายจิตสังหารก็เกิดขึ้น
“เพื่อรับประกันไม่ให้พลาด ผู้บำเพ็ญระดับหวนสู่อนัตตา 2 คนนี้ฆ่าเสียก็จบ!”
คิดถึงตรงนี้ ชายหนุ่มแซ่เฟิงร่างเพียงไหววูบ ความเร็วปะทุขึ้นทันที พุ่งตรงไปยังที่ไกล หลานเหยาคนนั้นสายตาฉายประกายฉายวาบขึ้นมา เลือกที่จะตามอยู่ข้างหลัง
เพียงพริบตา เงาร่างของพวกเขาทั้ง 2 คนก็หายลับไป
1 วันหลังจากนั้น ในพื้นที่ที่ห่างจากชายแดนเผ่ามนุษย์ 2 วัน ข้างหน้าเงาร่างที่พุ่งทะยานของสวี่ชิงและนายกอง ท้องฟ้าพลันมืดหม่น สายฟ้าเป็นทางๆ คำรามฟาดผ่า ยิ่งมีลมพายุน่าครั่นคร้ามเกิดขึ้นมาจากท้องฟ้า พัดหอบไปทั่วทุกสารทิศ
เสียงแค่นขึ้นจมูกดังมาตามลมพายุ
“ทั้ง 2 จงหยุดอยู่ที่นี่เสียเถิด!” ขณะพูด ในพายุก็พลันมีมือยักษ์สายลมสายฟ้าข้างหนึ่งยื่นออกมา คว้าไปทางพวกสวี่ชิงทั้ง 2 คนเต็มแรง
มือยักษ์นี้ปกคลุมผืนฟ้าที่นี่ไปเกือบครึ่ง พลังมหาศาลท่วมท้น ทรงพลังไม่อาจต้านทาน ทุกที่ที่ผ่านสายฟ้าแลบแปลบปลาบบ้าคลั่ง สั่นสะท้านจิตใจ
ร่างของสวี่ชิงและนายกองพลันหยุดชะงัก สีหน้าเปลี่ยนไปทันที ต่างถอยไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว แต่กลับสายไปแล้ว
มือยักษ์นั้นคว้าลงมา กำเงาร่างสวี่ชิงและนายกอง หลังจากที่คว้าไว้ก็ขยี้อย่างโหดเหี้ยม
เสียงบึ้มดังขึ้น สวี่ชิงและนายกองแหลกละเอียดทันที
“เอ๋”
แทบจะในพริบตาที่ระเบิดแหลก ในพายุก็มีเสียงแปลกประหลาดดังออกมา จากนั้นก็มีคน 2 คนเดินออกมาจากในนั้น เป็นชายหนุ่มแซ่เฟิงและหลานเหยานั่นเอง
มองเลือดเนื้อที่ปรากฏในมือสายลมสายฟ้าพวกนั้น ชายหนุ่มแซ่เฟิงสีหน้าเคร่งเครียด
“หุ่นเชิดเลือดเนื้อ ไม่ใช่ร่างจริง”
“เพียงแต่ฝีมือแค่นี้ คิดว่าหนีไปได้จริงๆ หรือ”
ชายหนุ่มแซ่เฟิงแค่นเสียงขึ้นจมูก ร่างรางเลือนหายไปในทันที มาปรากฏในที่ไกล ไล่โจมตีต่อ
ในขณะเดียวกัน ในบริเวณที่ห่างไปจากที่นี่ครึ่งวัน เงาร่างที่ทะยานไปอย่างรวดเร็วของสวี่ชิงและนายกองต่างสีหน้าเปลี่ยนไป
“หุ่นเชิดเลือดเนื้อที่ตบตาร่องรอยของข้า 2 ร่างนั้นถูกทำลายแล้ว จิตสังหารต่อพวกเราพลุ่งพล่านเลย ที่นี่ห่างจากเผ่ามนุษย์อีก 2 วัน ท่าทางพวกเราคงหนีไม่ทันแล้ว”
ในดวงตานายกองฉายประกายอึมครึม
สวี่ชิงไม่พูดอะไร สายตากวาดไปที่พื้น จับจ้องไปยังบนภูเขาเตี้ยๆ ลูกหนึ่ง เพียงไหววูบก็ร่อนลง ยืนอยู่บนยอดเขา สะบัดมือแผ่ไหมวิญญาณนับไม่ถ้วนผสานไปรอบๆ
ยิ่งมีพันธนาการเป็นทางๆ แผ่ตามไปด้วย อำพรางอยู่รอบๆ
จากนั้นเกราะมหาขุนพลฟ้าทมิฬก็พลันปรากฏบนร่างเขา ขณะเดียวกัน มือข้างหนึ่งเพียงพลิก กริชสีเลือดเล่มหนึ่งก็มาปรากฏในมือ
กริชเล่มนี้สลักลวดลายลึกลับเอาไว้ รวมเป็นใบหน้าเหี้ยมเกรียม ตอนนี้ลอยออกมา กัดฝ่ามือสวี่ชิงเอาไว้
สวี่ชิงสีหน้าเป็นปกติ ปล่อยให้ใบหน้าเหี้ยมเกรียมนี้กลืนกินเลือดของตัวเอง จากนั้นใบหน้าดวงนี้ก็คลุ้มคลั่ง ซ่อนอำพรางไปในกริช แล้วก็บีบไปทีหนึ่ง กริชเล่มนี้ก็ผสานไปในฝ่ามือ หายไปไร้ร่องรอย
มีเพียงเสียงหายใจที่ดังออกมาจากฝ่ามือสวี่ชิง
เสียงนี้หนักแน่น แฝงไว้ด้วยความปรารถนา แปลกประหลาดเป็นที่สุด
เป็นกริชกระหายวิญญาณที่ได้มาหลังจากสวี่ชิงได้ฐานะมหาขุนพลฟ้าทมิฬ
ทำเรื่องพวกนี้เสร็จ สวี่ชิงก็เงยหน้า ในดวงตาฉายจิตสังหาร
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นสู้สักศึกก็ได้แล้ว”
นายกองหัวเราะเหี้ยมเกรียม ร่างร่อนลงมาเช่นกัน นั่งอยู่ข้างๆ สวี่ชิง ร่างประกายแสงสีฟ้าพร่างพร่ายทั่วถ้วนพลันแผ่ออกไปข้างนอก
หลังจากปกคลุมไปรอบๆ เป็นบริเวณร้อยลี้ก็กะพริบวาบแล้วหายไป
จากนั้นในดวงตาของเขาก็มีใบหน้าแปลกประหลาดทับซ้อน อีกทั้งเป็นครั้งแรกที่หลุดออกมาจากดวงตาทั้ง 2 ข้าง ลอยอยู่ข้างนอก ก่อเป็นใบหน้ามายาร้อยกว่าดวง วนล้อมอยู่รอบๆ แล้วต่างซ่อนอำพรางไป
จากนั้นเขาก็ชกไปที่หน้าอกตัวเองหมัดหนึ่ง ทันใดนั้นเสียงคำรามต่ำที่สั่นสะท้านจิตใจก็ดังออกมาจากที่หลังของเขา เนื้องอกก้อนหนึ่งนูนขึ้นมาจากตรงนั้น ตอนนี้เนื้องอกแตกออก มือกระดูกสีฟ้าข้างหนึ่งทะลวงออกมาจากในนั้น
การปรากฏขึ้นของมือนี้ สวี่ชิงก็ยังต้องหวั่นไหวไปเช่นกัน สัมผัสได้ถึงอันตรายที่แผ่ออกมาจากในนั้น
และมือข้างนี้ ไหววูบไปกลางอากาศ ซ่อนอำพรางลงไปในพริบตา
ยังไม่จบแค่นี้ นายกองกัดฟันกรอด ยกมือกดไปที่กระดูกท้ายทอยของตัวเองแล้วดึงกระดูกสันหลังของตัวเองออกมา
ร่างทรุดฮวบลงไป แต่ไม่นานก็ยืนขึ้นมาอีกครั้ง รอยยิ้มยิ่งเหี้ยมเกรียมขึ้น
“ศิษย์น้องเล็ก ก่อนหน้านี้ข้ายังมีอีกประโยคหนึ่งไม่ได้พูดออกมา”
“ข้า ได้กลิ่นของวิเศษ”
“เหมือนว่าจะอร่อยมาก”
นายกองพูดพลางเลียริมฝีปาก ในดวงตามีแววบ้าคลั่งฉายวูบวาบ
สวี่ชิงได้ยิน ในใจกระตุกวูบ หลังจากคิดๆ ก็ยกมือประสานปางมือ ทันใดนั้นเงาใต้ฝีเท้าก็รางเลือน แผ่ไปข้างนอก ขณะเดียวกันข้างหลังก็มีตะเกียง 7 ดวงปรากฏขึ้น แล้วผสานเข้ามาในร่างเพียงพริบตา
จากนั้นก็หลับตาไม่พูดจา
หลังจากนั้น 1 ชั่วยาม ดวงตาทั้ง 2 ของสวี่ชิงพลันลืมตื่นขึ้นมา แววบ้าคลั่งในดวงตานายกองที่อยู่ข้างๆ เขายิ่งเข้มข้น ทั้ง 2 เงยหน้าพร้อมกัน มองไปทางท้องฟ้า
บนท้องฟ้า เมฆเลือดพลันปรากฏขึ้น โหมทะลักไปทั่วทิศ ในยามที่สายฟ้าฟาดผ่าคำราม ในนั้นก็มีเงาร่างชายหนึ่ง หญิงหนึ่งเดินออกมา
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)
