บทที่ 929 อ๋องเจิ้นชาง!
บ้าน คำนี้ช่างมีความหมายเปี่ยมล้น
คำว่ากลับบ้าน สวี่ชิงเคยได้ยินจากนายท่านเจ็ดเมื่อนานมาแล้ว เขารู้ว่าทุกคนมีความเข้าใจในคำนี้ที่คล้ายคลึงกัน แต่ก็แตกต่างกันไปในแต่ละคน
เช่น บ้านในความคิดของนายท่านเจ็ดคือสำนัก 7 เนตรโลหิต
บ้านในความคิดของอ๋องเจิ้นเหยียนคือเผ่าพันธุ์มนุษย์
สำหรับอดีตเจ้าวังครองกระบี่แห่งเขตปกครองผนึกสมุทร บ้านของเขาคือเขตปกครองผนึกสมุทร
สำหรับสวี่ชิง เขาเดินทางรอนแรมตลอดเวลา จากทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณไปยังมณฑลรับเสด็จราชัน จากนั้นไปยังเขตปกครองผนึกสมุทร และเข้าสู่แดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์…ที่สุดท้ายคือเมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์
ความหมายของบ้านในความคิดของเขาดูเหมือนจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา
จากรังนอนในถ้ำยาจก ไปถึงบ้านพักของหัวหน้าเหลยในฐานที่มั่นคนเก็บกวาด ไปจนถึงสำนัก 7 เนตรโลหิต และวังครองกระบี่แห่งเขตปกครองผนึกสมุทร จนถึงกลุ่มชนเผ่าในเมืองหลวงจักรพรรดิ ณ ปัจจุบัน
โดยไม่รู้ตัว สวี่ชิงก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มคนนั้นอีกต่อไป
กาลเวลามิได้พรากรูปลักษณ์ของเขาไป แต่ก็ยังคงไหลผ่านในชีวิตของเขา โชคดีที่…เวลาไม่ได้สูญเปล่า
แม้ว่ามันจะไม่สามารถย้อนกลับมาได้อีก แต่ก็ทิ้งประสบการณ์ ตกตะกอนความคิดของชีวิต และกลายเป็นของขวัญแห่งโชคชะตา
ของขวัญนี้มีชื่อ
มันเรียกว่าการเติบโต
30 ปี
จากวันที่สวี่ชิงฝังศพทั้งหมดในเมืองที่พังทลายด้วยมือของเขาเอง จนถึงปัจจุบัน ก็ผ่านมา 30 ปีแล้ว
ดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของอ๋องเจิ้นเหยียน สวี่ชิงก็เหม่อลอยไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็มองไปยังจวนหนิงเหยียนในเมืองหลวงจักรพรรดิ ไม่รู้ว่าเหตุใดในสายตาของเขาจึงมีเงาของหญิงสาวคนหนึ่งปรากฏอยู่ ดูเหมือนจะฝังอยู่ในใจมานาน และตอนนี้ก็ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
เขาจำได้ถึงค่ำคืนแรกที่พบกัน เมื่อดอกหลัวหลานดอกหนึ่งร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า
เขาไม่ลืม แม่น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเทพ ที่เคียงข้างกันไปตลอดทาง
ในหูของเขา ยังคงมีทำนองเพลงโสกกำสรดขับกล่อม
เพลงนี้สื่อความหมายถึงยุทธภพ ราวกับบอกเล่าถึงสุขสำราญและโศกสลดของชีวิต แล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะกลายเป็นเหล้าขุ่นไหหนึ่งในท้ายที่สุด
ดื่มลงคอ ในความเปลี่ยวเหงา
ไหลรินอยู่ในใจ ก่อตัวเป็นระลอกคลื่น
ในระลอกคลื่นนั้นสะท้อนภาพหญิงสาวที่กอดเข่าอยู่บนหน้าผา ร่างนั้นกระซิบกระซาบ “บางทีในโลกนี้อาจมีตะเกียงดวงหนึ่ง…”
ตะเกียงนี้ชื่อว่าตะเกียงดำจื่อเสวียน ในตำหนักวิหคหงส์อันมืดมิด โสกกำสรดบรรเลงอย่างเงียบงัน เฉกเช่นวัฏจักร
อดีตที่ผ่านมาปรากฏชัด
“บ้านหรือ”
สวี่ชิงเผยรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาเติบโตขึ้น ความไม่รู้ในอดีต ตอนนี้มิได้เขลาอีกต่อไป
ดังนั้นเขาจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ ท่ามกลางความสงสัยของนายกอง ท่ามกลางรอยยิ้มของอ๋องเจิ้นเหยียน เดินไปยังเมืองหลวงจักรพรรดิเบื้องหน้า
ตลอดทาง สิริมงคลลอยเหนือฟากฟ้า ดอกไม้เบ่งบานบนผืนดิน ข้างกายคืออ๋องเจิ้นเหยียน ข้างหลังคือกลุ่มขุนนาง
ในเมืองหลวงจักรพรรดิ มีประชาชนนับไม่ถ้วนรออยู่
ทันทีที่เห็นร่างของสวี่ชิง เสียงโห่ร้อง แซ่ซ้องสรรเสริญก็ดังกระหึ่มก้องฟ้า
แต่ละเสียงเปล่งออกมาจากก้นบึ้งลึกสุดของหัวใจ
อันที่จริงแล้วชาวบ้านสามัญชนนั้นช่างเรียบง่ายและจริงใจ ตราบใดที่พวกเขาคิดว่าเจ้าเป็นคนดี พวกเขาย่อมไม่หวงแหนความรักและคำสรรเสริญของพวกเขา
การประกาศศักดาต่อหน้าชนเผ่าอื่น สอดคล้องกับคำจำกัดความของวีรบุรุษในใจของเหล่าไพร่ฟ้า
ไม่ต้องพูดถึงต่างเผ่าที่ว่านี้คือเผ่านภาคิมหันต์ความภาคภูมิในที่นี้คือการขึ้นเป็นมหาขุนพลนภาทมิฬของเผ่าพันธุ์นี้
ในขณะเดียวกัน การสิ้นสุดของสงครามก็ทำให้ความรุ่งโรจน์แห่งศักดาครั้งนี้ไม่จำกัดอยู่แค่บุคคล แต่กลายเป็นโชคชะตาของเผ่าพันธุ์ด้วย
ดังนั้นสวี่ชิงที่กลับมาจึงได้รับการต้อนรับในเช่นเดียวกับที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ต้อนรับวีรบุรุษ
ดวงชะตาอันเข้มข้นล้นทะลักมาจากทุกทิศทางพร้อมกับเสียงโห่ร้อง พุ่งเข้าหาสวี่ชิง ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย บำรุงกองดิน บำรุงกระบี่จักรพรรดิ
ท่ามกลางฝูงชนมีร่างที่คุ้นตาแฝงอยู่
เช่น อู๋เจี้ยนอู ขงเสียงหลง และเหล่าผู้ครองกระบี่เขตปกครองผนึกสมุทร
ขณะทอดมองพวกเขา สวี่ชิงก็พยักหน้า เพียงแต่ไม่เห็นจื่อเสวียน ทำให้ในใจของสวี่ชิงนึกป่วนปั่น
ดังนั้นระหว่างทาง สวี่ชิงจึงโบกมือให้อู๋เจี้ยนอูและขงเสียงหลง
ขงเสียงหลงยิ้มและก้าวเข้ามา อู๋เจี้ยนอูไม่กล้าวางท่าในสภาพแวดล้อมนี้ เมื่อเห็นขงเสียงหลงเดินไป เขาก็เดินตามหลังไป
“ขอแสดงความยินดีกับท่านเจ้าดินแดน!”
หลังจากเดินไปอยู่ข้างกายสวี่ชิง รอยยิ้มของขงเสียงหลงก็กลายเป็นความเคร่งขรึม คำนับทันที
“พี่ขง ระหว่างเราไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้” สวี่ชิงยิ้มและพยุงเขาขึ้น
ส่วนอู๋เจี้ยนอูที่อยู่ข้างๆ กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ถูกเอ้อร์หนิวกอดคอและดึงเข้าไปสวมกอด “เจี้ยนเจี้ยนน้อย คิดถึงข้าหรือไม่”
สวี่ชิงไม่ได้สนใจว่าอู๋เจี้ยนอูจะรู้สึกเช่นไร เขามองไปทางขงเสียงหลง ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถาม “หนิงเหยียนและ…จอมเซียนจื่อเสวียน ช่วงนี้สบายดีหรือไม่”
เมื่อขงเสียงหลงได้ยินดังนั้น แววประหลาดใจก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
“หลังจากที่หนิงเหยียนกลับมา เขาก็กระตือรือร้นที่จะฝึกฝนอย่างมาก มุ่งเน้นการฝึกบำเพ็ญ ตอนนี้อยู่ในช่วงเวลาสำคัญของการทะลวงจากระดับปราณก่อกำเนิดเข้าสู่ระดับสมบัติวิญญาณ ตอนนี้กำลังมุ่งมั่นฝึกบำเพ็ญอย่างหนักเพื่อเลื่อนขั้น”
“ส่วนจอมเซียนจื่อเสวียน แฮ่ม ตอนที่ข้ามา จอมเซียนฝากคำพูดมากับข้าอย่างหนึ่ง”
“นางบอกว่า ถ้าเห็นเจ้าแล้วเจ้าไม่ถามถึงนาง ก็ให้ข้าบอกเจ้าไปว่านางออกไปนอกเมืองหลวงจักรพรรดิ ช่วงนี้ไม่อยู่…”
“ถ้าเจ้าถามถึงนาง ก็ให้บอกเจ้าว่า…รอให้เจ้าสะสางธุระเสร็จสิ้นแล้ว นางจะไปหาเจ้า”
ขงเสียงหลงกวาดสายตาดูสวี่ชิงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก้มหน้ามองพื้น ไม่พูดอะไรอีก
สำหรับเรื่องราวระหว่างสหายผู้นี้กับจอมเซียนจื่อเสวียน ผู้เฒ่าส่วนใหญ่ในเขตปกครองผนึกสมุทรต่างเคยได้ยินข่าวลือมากมาย…
สวี่ชิงยิ้ม ไม่ได้ถามอะไรอีก แต่เก็บความคิดทั้งหมด มองไปยังทิศทางของวังหลวง
เมื่อเข้าไปในเมืองหลวงจักรพรรดิ อ๋องเจิ้นเหยียนได้บอกสวี่ชิงแล้วว่า จักรพรรดิมนุษย์เรียกเข้าเฝ้า ให้เขาไปที่นั่นทันทีหลังจากเข้าเมือง ตอนนี้โหวนภา อ๋องสวรรค์ และผู้ช่วยสำเร็จราชการประจำเมืองหลวงจักรพรรดิทั้งหลายต่างรออยู่ที่วังหลวง
แม้ว่าสวี่ชิงจะมีมีสถานะสูงส่งและพลังบำเพ็ญที่เหนือกว่าแต่ก่อนมาก เขาก็ยังมองจักรพรรดิมนุษย์ผู้นี้ไม่ออกอยู่ดี
ขณะนี้ท่ามกลางสายตาทั่วทุกสารทิศ สวี่ชิงมองไปยังสุดสะพานรุ้งเจ็ดสี เบื้องหน้าวังหลวงมีแท่งธูปขนาดใหญ่ 12 แท่งตั้งตระหง่านอยู่
ควันสีเขียวลอยขึ้นมาจากธูปทั้ง 12 แท่งนี้
นั่นคือธูปแห่งการคัดเลือกรัชทายาท!
ตอนที่สวี่ชิงออกจากเมืองหลวงจักรพรรดิ ธูปทั้ง 12 แท่งนี้เผาไหม้ด้วยความเร็วที่ไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ตอนนี้…แท่งที่แทนหนิงเหยียน แม้จะไม่ใช่แท่งที่เผาไหม้เร็วที่สุด แต่ก็กำลังถดถอยลงเช่นกัน
จึงไม่น่าแปลกใจที่หนิงเหยียนจะตั้งใจฝึกฝนเช่นนี้
ส่วนแท่งที่เผาไหม้ช้าที่สุด และเหลือพื้นที่มากที่สุด ตั้งตระหง่านสูงสุด มีทั้งหมด 3 แท่ง
แท่งหนึ่งแทนองค์ชายสี่ในสำนักราชครู แท่งหนึ่งแทนองค์ชายห้าใต้บัญชาอ๋องเจิ้นเหยียน
อีกแท่งหนึ่งคือองค์ชายใหญ่!
ทั้ง 3 ฝ่ายเรียกได้ว่าแบ่งเค้กกันอย่างเท่าเทียม
เมื่อมองดูธูปพวกนั้น สวี่ชิงก็ครุ่นคิด องค์ชายสี่ในฐานะศิษย์ของราชครู เห็นได้ชัดว่ามีความดีความชอบในการรบครั้งนี้ไม่น้อย ส่วนองค์ชายห้ามีความดีความชอบที่ชายแดนซึ่งเป็นเรื่องที่สมควร
ส่วนองค์ชายใหญ่ ต้องเป็นเพราะความดีความชอบของนภาคิมหันต์เป็นแน่
ขณะครุ่นคิด สวี่ชิงและคณะภายใต้การนำของอ๋องเจิ้นเหยียน ก็เดินทางไปยังวังหลวง ในเวลาไม่นาน พวกเขาก็มาถึงหน้าประตูวัง
รูปปั้นขนาดใหญ่ 2 องค์ที่เฝ้าประตู โค้งคำนับเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ
สายตาของสวี่ชิงมองผ่านประตูวัง ผ่านลานกว้าง บันไดที่พุ่งขึ้น ไปยังตำหนักใหญ่จักรพรรดิที่เป็นตัวแทนของเจตจำนงสูงสุดของเผ่ามนุษย์
แทบจะในทันทีที่สวี่ชิงมองไป สายตาที่แฝงไปด้วยความสง่างามก็สบตากับสวี่ชิงจากสวี่ชิงผตำหนักใหญ่
สวี่ชิงก้มศีรษะ คำนับไปทางตำหนักใหญ่
ในเวลาเดียวกัน มีเสียงดังมาจากวังหลวง
“ประกาศ โหวนภาสวี่ เฉินเอ้อร์หนิว เข้าเฝ้า!”
เสียงนี้ดังขึ้นทีละเสียง ในที่สุดก็ดังก้องไปทุกทิศทางเฉกเช่นประกาศิตสวรรค์
สวี่ชิงมองไปที่ศิษย์พี่ใหญ่ ทั้ง 2 ก้าวเข้าไปในวังหลวงพร้อมกันโดยไม่ลังเล
อ๋องเจิ้นเหยียนยิ้มน้อยๆ และเดินตามไปด้วย
ส่วนขุนนางคนอื่นๆ ผู้ที่มีคุณสมบัติก็ติดตามไปด้วยกัน ส่วนคนอื่นๆ ยืนคอยอยู่ที่ลานอย่างสงบ
และแล้วหลังจาก 10 ชั่วอึดใจ สวี่ชิงและคณะก็ก้าวขึ้นบันได เดินเข้าไปในตำหนักใหญ่ที่เต็มไปด้วยผู้คน
2 ฝั่งของโถงใหญ่ เหล่าขุนนางยืนอย่างสงบ
ที่ขั้นบันไดเบื้องหน้า มีเหล่าโหวนภานั่งอยู่ เหนือขึ้นไปคือที่นั่งของอ๋องสวรรค์เผ่ามนุษย์ 32 องค์!
ซึ่งอยู่ที่นี่ในเวลานี้เป็นส่วนใหญ่
และเหนือขึ้นไป บนบัลลังก์มังกรที่ปลายสุดของเหล่าขุนนาง สายพระเนตรจักรพรรดิมนุษย์ล้ำลึกดุจห้วงสมุทร ประทับอยู่ที่นั่นไร้สีพระพักตร์ มองไปทางสวี่ชิง
สวี่ชิงมีสีหน้าเคร่งขรึม ค้อมตัวคำนับ
เอ้อร์หนิวที่อยู่ข้างๆ กะพริบตาปริบๆ เมื่อนึกถึงคำพูดของอ๋องเจิ้นเหยียนก่อนหน้านี้ เขาก็คำนับเลียนแบบสวี่ชิง
“สวี่ชิง” จักรพรรดิมนุษย์ตรัสด้วยพระสุรเสียงราบเรียบ ทุ้มต่ำ ดังก้องไปทั่วทั้งตำหนักใหญ่
“เจ้าเดินทางไปยังนภาคิมหันต์หลายปี เฝ้าสังเกตเผ่านภาคิมหันต์ ดื่มด่ำความลึกลับของขุนพลนภาทมิฬ สัมผัสถึงความเป็นไปของวิถีเวท และได้พบกับอุปราชไอศวรรย์ เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับคนผู้นี้”
เมื่อจักรพรรดิมนุษย์พูดขึ้น รอบข้างก็พลันเงียบสงัด สายตาทั้งหมดจับจ้องไปที่สวี่ชิง
เรื่องราวของเทพทั้ง 3 แห่งนภาคิมหันต์แพร่กระจายไปทั่วดินแดนต้องประสงค์ รายละเอียดในเรื่องราวยังคงเป็นความลับ แต่สำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์ในปัจจุบัน มีความสามารถที่จะรับรู้แล้ว
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สวี่ชิงก็ครุ่นคิด ในใจปรากฏภาพของจิ่วหลีที่ถูกแทงข้างหลัง อุปราชไอศวรรย์ต้องการเป็นเทพ และเทพทั้ง 3 บวงสรวงบูชาต่อดวงวิญญาณขุนพลนภาทมิฬ และสุดท้ายฉากอุปราชไอศวรรย์เกิดความสลดใจและเลือกที่จะสละตัวเองเป็นเครื่องบูชา
ทุกสิ่งทุกอย่างเกินกว่าจะใช้ถ้อยคำสั้นๆ มาพรรณนา
สวี่ชิงพูดด้วยเสียงหนักแน่นหลังจากผ่านไปนาน “คนที่ควบคุมชะตาชีวิตของตนเองไม่ได้ แล้วจะควบคุมชะตาชีวิตของเผ่าพันธุ์ได้อย่างไร ท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างล้วนแต่เป็นภาพมายา ความคิดนำมาซึ่งความรุ่งโรจน์ได้ฉันใด ก็นำมาซึ่งหายนะได้ฉันนั้น”
จักรพรรดิมนุษย์ทรงเงียบไป
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง พระองค์ก็ยกพระหัตถ์ขึ้น ส่งสัญญาณให้ผู้ช่วยสำเร็จราชการ
ผู้ช่วยสำเร็จราชการก้าวไปข้างหน้า สายตาเฉียบคมมองสวี่ชิงอย่างตั้งใจ และพูดเสียงดัง “โองการเทพเซียน จักรพรรดิเสวียนจั้นมีพระบัญชา ดวงชะตาเผ่ามนุษย์รุ่งโรจน์ มีเจ้าแห่งแดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ สวี่ชิงมาจุติ กำราบทัพฟ้าทมิฬ กวาดล้างปฏิปักษ์ต่างเผ่า ประกาศศักดาแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์”
“คุณูปการเบิกทางสู่ความยิ่งใหญ่ พลังอำนาจบรรลุจุดสูงสุด ข้าขอตอบแทนด้วยจวนวิญญาณในเมืองหลวงจักรพรรดิ แต่งตั้งเป็น…อ๋องเจิ้นชาง พร้อมด้วยตำแหน่งอาจารย์ขององค์ชาย!”
เมื่อมีพระราชโองการนี้ออกมา ในตำหนักใหญ่ ยกเว้นเพียงไม่กี่คน ส่วนใหญ่ต่างตกตะลึง แม้ว่าสมาธิจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ยังต้องขยับเขยื้อนอย่างอดไม่ได้
เป็นเพราะความดีความชอบของสวี่ชิง การแต่งตั้งเป็นอ๋องถือเป็นเรื่องสมควร และอยู่ในความคาดหมายของทุกฝ่าย แต่เป็นอ๋องที่มีคำว่าเจิ้นในราชทินนามนั้น มีความหมายยิ่งใหญ่เหลือคณา
อ๋องสวรรค์ผู้พิชิต เป็นจุดสูงสุดของอ๋องสวรรค์ ก่อนหน้านี้ในเผ่าพันธุ์มนุษย์มีเพียงคนเดียวเท่านั้น
เรื่องนี้น่าตกใจมากพออยู่แล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงตำแหน่งอาจารย์ขององค์ชายที่พ่วงมาด้วย
ต้องเท้าความก่อนว่าตำแหน่งอาจารย์ขององค์ชายไม่เพียงแต่มีสถานะสูง สิ่งที่สำคัญกว่าคือสามารถควบคุมลูกหลานของราชวงศ์ทั้งหมด เหล่าองค์ชายเมื่อพบต้องคำนับ
จนกระทั่งมีรัชทายาทปรากฏตัว ตำแหน่งนี้จะต้องได้รับรางวัลตามธรรมเนียมปฏิบัติแต่อดีตกาล จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นอาจารย์ของรัชทายาท
เมื่อถึงตอนนั้น ก็เทียบเท่ากับเป็นอาจารย์ของจักรพรรดิ
ในขณะที่ทุกคนต่างจิตใจระส่ำระส่าย สวี่ชิงเองก็ประหลาดใจอย่างมาก และผู้ช่วยสำเร็จราชการยังอ่านพระราชโองการต่อไป
“และผู้ทรงคุณธรรมเฉินเอ้อร์หนิว ผู้มีความเที่ยงธรรมสูงส่ง กล้าหาญเกินมนุษย์ เก่งกาจดุจสวรรค์ประทาน วีรกรรมเลื่องลือ ขอสั่งให้จวนรังสรรค์ตีเกราะมหาขุนพลสวรรค์จากวัสดุชั้นสูง 17 ชนิด รวมถึงยอดเหล็กโลกันตร์ทมิฬและผลึกน้ำแข็ง 9 สวรรค์”
“ในดินแดนของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ผู้ใดที่ศักดิ์ต่ำกว่าอ๋องสวรรค์ เมื่อพบเจอต้องคำนับ”
รางวัลนี้ดูเหมือนจะงดงาม แต่ในความเป็นจริงไม่มีตำแหน่งทางราชการใดๆ แต่นายกองกลับดวงตาเป็นประกาย ตะโกนออกมาด้วยความลิงโลด “ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี!!”
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)
