Skip to content

Outside Of Time 936



HH

บทที่ 936 คลื่นใต้น้ำก่อตัวขึ้นอีกครา

เอ้อร์หนิวเคยกล่าวไว้ว่า เมื่อคนเราเดินมาถึงจุดหนึ่ง ผู้คนที่พบเจอส่วนใหญ่ ล้วนแต่เป็นมิตร

แต่นั่นไม่ใช่น้ำใจที่แท้จริง

มันถูกกดทับลงไป ไม่อาจหรือไม่ต้องการจะเปิดเผยออกมาเท่านั้น

ส่วนเผ่ามนุษย์นั้น ไม่มีสิ่งใดสวยงามตั้งแต่แรกเริ่ม

ไม่ว่าจะเป็นการกระทำขององค์ชายเจ็ดในอดีต ความหยิ่งผยองของอ๋องชางหลาน หรือกลุ่มอำนาจต่างๆ ที่อยู่บนเรือใหญ่ของเผ่ามนุษย์ที่มีมาหลายหมื่นปี…

พวกเขาทั้งหมดล้วนมีความคิดและผลประโยชน์ของตนเอง

ในยามปกติ การหลอกลวง ต่อสู้กันลับหลัง แย่งชิงอำนาจและอิทธิพล มิใช่เรื่องแปลก

เพียงแต่ทิศทางโดยรวมถูกกดทับจากจักรพรรดิมนุษย์เท่านั้น จึงทำให้ดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างดูรุ่งเรือง และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ทว่าในความเป็นจริง ความกลมเกลียวจะเกิดขึ้นได้ เมื่อเผ่าพันธุ์เผชิญกับวิกฤตถึงชีวิต

หรือไม่…ก็มีผู้แข็งแกร่งเช่นจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวปรากฎกายขึ้น กำราบสรรพสิ่งด้วยพลังอำนาจ เปลี่ยนแปลงความชั่วร้ายให้กลายเป็นดี เปลี่ยนความซับซ้อนให้กลายเป็นความง่ายดาย

เปลี่ยนความขัดขืนให้เป็นความยินยอมอย่างแท้จริง!

มิฉะนั้น ความคิดฟุ้งซ่าน เจตนาชั่วร้าย ผลประโยชน์ก็ยังคงอยู่ตลอดไป ดั่งเช่นทิวาและราตรีกาล

สวี่ชิงเข้าใจหลักการนี้ และเข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้นในวันนี้

ดังนั้น ไม่ว่าอ๋องรั่วหลันจะมีจุดประสงค์ใดในการกระทำเช่นนั้น ก็ไม่สำคัญอีกต่อไป

สวี่ชิงมองอ๋องเจิ้นเหยียนด้วยสีหน้าสงบราบเรียบ

อ๋องเจิ้นเหยียนเองก็มองสวี่ชิงเช่นกัน ก่อนจะเอ่ยเบาๆ

“ดินแดนต้องประสงค์เหมือนกับยามราตรี เจ้า ข้า และทุกสรรพชีวิต แท้จริงแล้วต่างก็อยู่ในความมืด”

“บางคนจมอยู่กับความมืด”

“และบางคนยังคงดิ้นรน…”

“เพราะสิ่งที่ใจปรารถนา คือแสงสว่างอันเที่ยงแท้”

พูดจบ อ๋องเจิ้นเหยียนก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วหันไปหาสวี่ชิง

ขณะที่สวี่ชิงกำลังครุ่นคิด เขาก็ได้ยินเสียงอ๋องเจิ้นเหยียนแว่วเข้ามาในหู

“การที่อ๋องรั่วหลันลงมือกับเจ้า อาจมีความเป็นไปได้อื่น นางอาจมีเป้าหมายที่จะจับตาดูท่าทีของข้าในช่วงนี้…”

ประกายแสงวาบขึ้นในดวงตาของสวี่ชิง

ในขณะเดียวกัน องค์ชายและคนอื่นๆ ก็รีบปรี่เข้ามา แต่ละคนมีสีหน้าหวาดกลัว โดยเฉพาะองค์ชายใหญ่ที่ในใจคุกรุ่นด้วยความโกรธแค้นต่ออ๋องรั่วหลัน

“ท่านอาจารย์…”

องค์ชายใหญ่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สวี่ชิงกลับส่ายหน้า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า”

พูดจบสวี่ชิงก็หันหลังเดินไปก้าวหนึ่ง ก่อนจะหายวับไป

เมื่อปรากฎตัวอีกครั้ง เขาก็มาโผล่ที่ถนนไม่ไกลจากหอประสานเชื่อมไมตรี ขณะที่เดินไป เขาก็หวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะคำพูดของอ๋องเจิ้นเหยียน

ผ่านไปนาน เมื่อกลับมาถึงจวนวิญญาณ เขาก็เก็บงำเรื่องนี้ไว้ในใจ เพราะเขาคิดถึงสิ่งที่ตนเข้าไปพัวพันโดยไม่รู้ตัว ตั้งแต่แรกที่มาถึงเมืองหลวงจักรพรรดิแห่งนี้

ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ตนถูกลอบสังหารในคืนฝนพรำ หรือการขโมยดวงตะวันแสงอรุณหลังจากนั้น รวมถึงคดีใหญ่เช่นสำนักพรรคผสานเทพวังศึกษา และร่างที่เขาเห็นในบ้านหลังนั้น

ทุกอย่างล้วนปรากฎในใจสวี่ชิงในเวลานี้

“จักรพรรดิมนุษย์และราชครูกำลังแลกเปลี่ยนกัน และกำลังเดินหมาก”

“เรื่องนี้ยังมีบุคคลที่ 3…”

สวี่ชิงครุ่นคิด ก่อนหน้านี้เขาเป็นเพียงเบี้ย แม้ว่าเขาจะได้รับกระบี่จักรพรรดิ แต่ตราบใดที่เขายังอยู่ในดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิ เขาก็หนีไม่พ้นชะตากรรมเป็นเบี้ยในกระดาน

ทว่าตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นสถานะหรือพลังต่อสู้ของเขา ทำให้เขากลายเป็นผู้วางหมากคนหนึ่ง

เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูจวนวิญญาณ สวี่ชิงก็เงยหน้าขึ้นมองไปทางวังหลวง

มองดาราจักรพรรดิโบราณที่ลอยคว้างท่ามกลางความขะมุกขะมัวของรัตติกาล

2 ตาฉายแววลุ่มลึก

“คลื่นใต้น้ำคงจะปะทุอีกคราเมื่อถึงวันจักรพรรดิมนุษย์บูชาบรรพชน”

ในคืนมืดนั้น แสงอัสนีบาตฟาดฟัน เสียงคำรามดังกึกก้อง ปะทุไปทุกสารทิศ พลางสั่นสะเทือนหมู่เมฆดำทะมึน

ผืนฟ้าแปรผัน

หมู่เมฆสั่นสะเทือน หยาดฝนโปรยปรายลงสู่โลกมนุษย์

ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย

สวี่ชิงผลักประตูจวนวิญญาณ ขณะที่กำลังเดินเข้าไป ร่างหนึ่งก็พุ่งตัวเข้ามาจากสายฝนไกลๆ

“ศิษย์น้องเล็ก เกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่ข้ากำลังติดตามคนผู้หนึ่งที่ดูเหมือนอาจารย์ เกือบจะออกจากเมืองไปแล้ว จนกระทั่งสัมผัสได้ถึงความผันผวนจากเถาวัลย์เทพศักดิ์สิทธิ์”

การปรากฎตัวของเอ้อร์หนิวทำหน้ารอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าอันขุ่นหมองของสวี่ชิงอีกครั้ง

เมื่อได้เห็นความซับซ้อนของโลกและชั่วร้ายที่เกิดขึ้นอย่างไร้ที่มาที่ไป ความเรียบง่ายจริงใจของเอ้อร์หนิวยิ่งล้ำค่ากว่าเคย

แม้ว่าความเรียบง่ายจริงใจนั้นจะมีไว้สำหรับคนเพียงไม่กี่คนก็ตาม

แต่โชคดีที่สวี่ชิงเป็นหนึ่งในนั้น

รอยยิ้มของสวี่ชิงจึงเปี่ยมสุขยิ่ง

“เรื่องเล็กน้อยไม่สำคัญหรอก” สวี่ชิงกล่าว

เอ้อร์หนิวรู้สึกแปลกใจ มองไปสวี่ชิงแล้วก็หัวเราะขึ้นมา “เช่นนั้นข้าก็สบายใจ ว่าแต่อาชิงน้อย แต่ก่อนข้าเป็นคนพาเจ้าไปทำการใหญ่ ดังนั้นหากต่อไปเจ้าคิดจะทำการใหญ่ใดๆ อย่าลืมเรียกหาศิษย์พี่ใหญ่ด้วยล่ะ ไม่อย่างนั้นศิษย์พี่ใหญ่จะโกรธจริงๆ ด้วย!”

ต้องบอกเลยว่าประสาทรับรู้ของเอ้อร์หนิวเฉียบคมเหลือใดเปรียบ

เมื่อมองจ้องในดวงตาของอีกฝ่าย สวี่ชิงก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า เข้าไปในจวนวิญญาณพร้อมกับเอ้อร์หนิว

ในห้องโถงใหญ่ เอ้อร์หนิวจิตใจยังจดจ่อกับการติดตามก่อนหน้านี้

“ข้าจะบอกให้นะอาชิงน้อย ข้ารู้สึกได้ 7 ส่วนว่าร่างนั้นเป็นตาเฒ่าเฮงซวยนั่น!”

ตลอดเวลามานี้ชื่อของนายท่านเจ็ดจากปากเอ้อร์หนิวเปลี่ยนไปหลายชื่อ จากอาจารย์กลายเป็นตาเฒ่า กลายเป็นไอ้เฒ่า จากนั้นก็เฒ่าทารก จนล่าสุดกลายเป็นตาเฒ่าเฮงซวยไปแล้ว

“ท่านอาจารย์อาจมีเหตุผลของท่าน ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านไม่จำเป็นต้องไปตามหาทุกวันก็ได้…” สวี่ชิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วปลอบโยน

“ไม่ได้หรอก เจ้าเฒ่าแตงเหี่ยวนั่นเจ้าเล่ห์จะตายชัก ข้าหาช้าไปวันหนึ่ง เนื้อเสี้ยวหน้าที่เหลือของเราก็จะน้อยลงไป 1 ชิ้น” เอ้อร์หนิวฟึดฟัด

เมื่อเห็นศิษย์พี่ใหญ่ดื้อรั้นเช่นนี้ สวี่ชิงก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก แต่ในใจของเขาไม่ได้รู้สึกว่าท่านอาจารย์จะขโมยไปกินคนเดียว เขาคิดว่าท่านอาจารย์ทำเช่นนั้นต้องมีเหตุผล

ส่วนเอ้อร์หนิวหลังจากบ่นระบายความโมโหไปพักหนึ่ง เขาก็โบกมือ หุ่นเชิดปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา

เจ้าหุ่นเชิดนี่…อัปลักษณ์มาก ประกอบขึ้นมาอย่างกระท่อนกระแท่น หลายส่วนดูไม่เข้าที่ ดังนั้นจึงทำได้เพียงคงรูปร่างคร่าวๆ เท่านั้น

กวาดสายตามอง ก็เห็นถึงพลังการต่อสู้ของสมบัติวิญญาณแต่เลือนราง เพียงโจมตีครั้งเดียวเจ้าหุ่นเชิดตัวนี้คงพังไม่มีชิ้นดี

“ยากเกินไป นี่ถึงขีดจำกัดของข้าแล้ว” เอ้อร์หนิวถอนหายใจ ขมวดคิ้วด้วยความกลัดกลุ้ม

“รู้อย่างนี้ ชาติก่อนข้าน่าจะเรียนวิชาหุ่นเชิดสักหน่อยก็ดี”

“ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าที่จริงหุ่นเชิดมันสนุกเพียงใด ทั้งยังมีประโยชน์ด้วย ข้าเห็นเฟิงหลินเทานั่นใช้หุ่นเชิด ท่าทางชำนาญน่าดู”

“ไม่ได้ ข้าต้องหาทางซ่อมเจ้าสิ่งนี้ให้ได้เสียก่อน ดูเหมือนว่าต้องสืบดูสักหน่อยว่าในดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิแห่งนี้มีผู้ใดเชี่ยวชาญวิชาหุ่นเชิดบ้าง”

เอ้อร์หนิวพูดพลางขบคิดอย่างหนัก

สวี่ชิงครุ่นคิด สายตาเหลือบมองตามตะเข็บของหุ่นเชิด จากนั้นก็คิดถึงประสบการณ์ในวันนี้แล้วโพล่งออกมาทันใด “ศิษย์พี่ใหญ่ มีอยู่คนหนึ่งที่อาจจะมีวิชาหุ่นเชิด”

เอ้อร์หนิวได้ยินดังนั้นก็หันขวับมองสวี่ชิง

“ฝานซื่อซวง” สวี่ชิงพูดช้าๆ

ดวงตาเอ้อร์หนิวเป็นประกาย นึกทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง

“ข้าพอจะจำได้ เจ้าคนอุบาทที่โผล่มานอกเขาเทวะ พุ่งเข้ามาด้วยท่าทางดุร้าย ยกมือขึ้นเสกหุ่นเชิด หมายจะสะกดเจ้าให้กลายเป็นหุ่นเชิดของเขาใช่หรือไม่?”

“ดูท่าทางเขาจะเก่งวิชาหุ่นเชิดมากจริงๆ แต่พวกเราจะกลับไปเผ่านภาคิมหันต์อีกคราเพราะเรื่องนี้ไม่ได้”

เอ้อร์หนิวขมวดคิ้ว ช่วงนี้เขาเอาแต่ศึกษาหุ่นเชิด ไม่ก็เฝ้ามองแต่เกราะมหาขุนพลสวรรค์ของตน ส่วนเวลาที่เหลือก็สะกดรอยและตามหาอาจารย์

อีกทั้งฝานซื่อซวงเองก็ระแวดระวังตัวอย่างยิ่งตั้งแต่มาถึง ดังนั้นเอ้อร์หนิวจึงไม่ทราบถึงการมาเยือนของอีกฝ่าย

สวี่ชิงหัวเราะลั่น “เขาอยู่ในเมืองหลวงจักรพรรดิ!”

ดวงตาของเอ้อร์หนิวเป็นประกาย

ด้านนอกจวนวิญญาณ สายฟ้าแลบแปลบปลาบในเมฆดำทะมึนไร้ขอบเขต ทำให้ใต้หล้าสว่างจ้าในชั่วพริบตา จากนั้นเสียงฟ้าร้องที่รุนแรงกว่าเมื่อครู่ก็ดังขึ้น

เสียงอัสนีบาตครานี้ดังก้อง ไม่เพียงแต่สะเทือนฟ้าสะท้านดิน แต่ยังดังเข้าโสตประสาทของผู้คนนับไม่ถ้วน ฟาดฟันลงถึงจิตใจ

เอ้อร์หนิวและสวี่ชิงเองได้ยิน

ฝานซื่อซวงเองก็ได้ยิน

เขาผงะหงายอย่างน่าประหลาด จอกเหล้าในมือสั่นเล็กน้อย

ด้วยพลังบำเพ็ญและจิตใจอันแน่วแน่ของเขา เป็นไปไม่ได้ที่สายฟ้าฟาดครั้งหนึ่งจะทำให้เขาสั่นคลอนได้ขนาดนี้

แต่ในขณะที่เขากำลังสงสัยอยู่นั้น ก็มีเสียงดนตรีบรรเลงในที่ที่เขาอยู่ ท่ามกลางเสียงหัวเราะพูดคุยกันนั้น มีเสียงอ่อนโยนแว่วมา “สหายเต๋าฝาน ได้ยินว่าท่านจะจากไปในวันรุ่งขึ้น วันนี้ข้าเชิญพี่หญิงสามมาเพื่อส่งท่านร่วมกัน”

ฝานซื่อซวงเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงนั้น

ที่ที่เขาอยู่เป็นโถงใหญ่ 2 ฟากมีคนอยู่หลายสิบคน แต่ละคนล้วนแต่มีรูปลักษณ์ของอัจฉริยะฟ้าประทานเผ่ามนุษย์ จำได้จากตอนแนะนำตัวว่าพวกเขาเป็นบุตรหลานตระกูลขุนนางและตระกูลชั้นสูง

สำหรับเขาแล้ว สถานะเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน เป็นเพียงนกกระจอกฝูงหนึ่งเท่านั้น

แม้แต่คนที่นั่งข้างเขาในตอนนี้ ก็เป็นองค์หญิงสามแห่งเผ่ามนุษย์ ส่วนอีกคนหนึ่งคือลูกศิษย์ของราชครูเผ่ามนุษย์ บุตรชายลำดับที่ 4 ของจักรพรรดิมนุษย์ อย่างมากก็มีค่าแค่ให้เขาปรายตามองไม่กี่ครั้ง และตอบรับคำเชิญร่ำสุราร่วมกันเท่านั้น

แน่นอนว่าที่เขาตอบรับคำเชื้อเชิญนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาต้องจากไปในวันรุ่งขึ้นแล้ว และคิดว่าภารกิจสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี อีกทั้งสวี่ชิงคงไม่สร้างปัญหาอะไรให้กับตนอีกแล้ว

นอกจากนี้ ตั้งแต่มาถึงเผ่ามนุษย์ เขาก็ไม่ยอมพบปะผู้ใด และไม่ยอมออกไปข้างนอก แม้ปากจะบอกว่าปิดด่านฝึกบำเพ็ญ แต่เขารู้สึกว่าตนเสียหน้า หลังจากกลับไปยังเผ่านภาคิมหันต์แล้ว ตนอาจจะถูกหัวเราะเยาะก็เป็นได้

ดังนั้น วันนี้เขาจึงออกมาข้างนอก

เห็นองค์ชายสี่ผู้มีใบหน้าแย้มยิ้ม พูดจาอ่อนโยน ฝานซื่อซวงก็ข่มความสั่นไหวในใจลง และตอบรับเรียบๆ

องค์ชายสี่ไม่แปลกใจกับท่าทางเช่นนั้น ในสายตาของเขา อีกฝ่ายเป็นถึงอัจฉริยะฟ้าประทานติดอันดับของเผ่านภาคิมหันต์ ทั้งยังฝึกบำเพ็ญไม่นานก็เข้าสู่มหาขั้นเตรียมสู่เทวะ

และทันทีที่ก้าวเข้าสู่มหาขั้นเตรียมสู่เทวะก็เป็นถึงผู้แข็งแกร่งขั้นสูงสุด

ไม่นานมานี้ยังได้รับบรรดาศักดิ์เป็นอ๋องของเผ่านภาคิมหันต์

คนเช่นนี้มีนิสัยหย่งผยองเป็นสิ่งสมควรแล้ว จึงหันไปมององค์หญิงสาม

ฝ่านองค์หญิงสาม ช่วงนี้นางคลุกคลีกับองค์ชายสี่บ่อยขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุผลบางประการ แม้ในใจจะไม่สบอารมณ์กับท่าทีของอัจฉริยะฟ้าประทานนภาคิมหันต์นัก แต่ยังคงแย้มยิ้มและยกจอกเหล้าคารวะ

ฝานซื่อซวงยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ยกมือแตะจอกเหล้าเล็กน้อย เป็นการตอบรับการคารวะ

ฉากนี้ตกแก่สายตาของคนเบื้องล่าง แม้สีหน้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมา แต่ในใจเกิดความคิดอ่านไปต่างๆ นานา

เหล่าอัจฉริยะฟ้าประทานเผ่ามนุษย์ที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ ต่างรู้สึกกดดันภายในใจอยู่ไม่น้อย แม้จะดูเหมือนกำลังร้องรำทำเพลงกันอยู่ แต่ความสนใจล้วนพุ่งไปยังฝานซื่อซวง

เขาคือแขกคนสำคัญของที่นี่

(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version