Skip to content

Outside Of Time 948


บทที่ 948 เมื่อบุปผาของข้าเบ่งบาน ดอกไม้ทั้งปวงจะโรยรา

วลีนี้ วันนี้…จักรพรรดิมนุษย์ตรัสออกมาหลายครั้งแล้ว

ทุกครั้งที่ได้ยินใจขององค์ชายสิบเอ็ดก็ยิ่งดำดิ่งลงเรื่อยๆ จนกระทั่งตอนนี้ จิตใจของเขาก็ตกต่ำลงอย่างควบคุมไม่ได้

เวลานี้สีหหน้าของเขาซีดเซียว ถอยร่นโดยสัญชาตญาณ ร่างกายสั่นเทา ดวงตาเต็มไปด้วยความสับสน และความเหลือเชื่อ

ทว่าจักรพรรดิมนุษย์ยังคงสงบเยือกเย็น ตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงใดๆ

ไม่ว่าองค์ชายสิบเอ็ดจะทำอะไร งัดไพ่เด็ดอะไรออกมา หรือใช้กลยุทธ์ใดๆ ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นเพียงเรื่องตลกสำหรับจักรพรรดิมนุษย์

ดังนั้น จักรพรรดิมนุษย์จึงไม่สั่งให้ผู้ใดไปกำราบองค์ชายสิบเอ็ด ปล่อยให้เขาทำตามใจชอบ

เห็นได้ชัดว่าในสายตาของพระองค์ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเด็กน้อยที่กำลังงอแงต่อหน้าพ่อแม่เท่านั้น

หากพ่อแม่ไม่สนใจและปล่อยให้เด็กน้อยร้องโวยวายต่อไป ร้องไห้จนสุดท้ายความเคียดแค้นมลายหายไป สุดท้ายแล้วลูกน้อยก็จะกลับมาเป็นเด็กดีดังเดิม

แต่หากพ่อแม่ไม่พอใจ เด็กน้อยก็ต้องได้รับบทลงโทษ ถูกพ่อแม่สั่งสอน

เมื่อได้รับบทเรียนแล้ว ลูกที่รู้จักกลัวก็จะกลับมาเป็นเด็กดี

ส่วนศัตรูภายนอกที่ลูกน้อยเรียกมา ไม่ได้สลักสำคัญ เพราะเป็นเพียงเหยื่อล่อ ไม่ว่าจะดาหน้ามามากน้อยเพียงใด แค่ฟาดทีเดียวก็สิ้นเรื่อง

ท่าทีและสายตาเช่นนี้ ทำให้องค์ชายสิบเอ็ดแทบจะหายใจไม่ออก

เขารู้สึกอึดอัด เหมือนมีบางอย่างอัดแน่นอยู่ในอก ความมั่นใจที่เคยมีเริ่มสลายไป

ความรู้สึกหมดสิ้นกำลังที่อธิบายไม่ได้เติบโตขึ้นจากจิตใจที่แตกสลายนั้น แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย และในที่สุดก็กลายเป็นเลือดที่พ่นออกจากปากเขา

“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้…”

“ท่านเป็นเจ้าเหนือหัวขั้นสูงสุดได้อย่างไร…”

“เหตุใดคำสาปถึงใช้ไม่ได้ผล…”

การเตรียมการทั้งหมดของเขากลายเป็นเรื่องไร้สาระต่อหน้าอีกฝ่าย

เขาอุตส่าห์แลกทุกอย่างเพื่อร่วมมือกับต่างเผ่า แต่แล้วก็ถูกทำลายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวโดยอีกฝ่ายหนึ่ง

สิ่งของต่างๆ ของเขา ตั้งแต่ภาพวาดแห่งความแค้นจนถึงคำสาปเลือด กลายเป็นเพียงของเล่นทั้งสิ้น

จักรพรรดิมนุษย์ยืนอยู่ตรงนั้น

ดั่งภูผาที่ค้ำจุนสวรรค์!

ตราบใดที่โค่นพระองค์ลง โลกมนุษย์ก็จะไม่ล่มสลาย!

ความรู้สึกนี้รุนแรงอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่คุกรุ่นในใจขององค์ชายสิบเอ็ดเท่านั้น แต่ยังฝังแน่นอยู่ในใจของขุนนางทั้งหลายและประชาชนในเมืองหลวงจักรพรรดิอีกด้วย

ทว่า องค์ชายสิบเอ็ดยังคงไม่ยอมแพ้

ดวงตาของเขาแดงก่ำ จ้องมองจักรพรรดิมนุษย์แน่นิ่ง ภายใต้สายตาที่สงบเยือกเย็นของจักรพรรดิมนุษย์ หัวใจของเขากลับลุกโชนราวกับไฟ ในที่สุดเปลวไฟก็ปะทุออกมาทั่วร่าง กัดกินจิตใจของเขา

มือขวาของเขายกขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วชี้ไปข้างหน้า

ในทันใดนั้น ภาพวาดโบราณก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา!

ในภาพวาดนั้น มีหญิงสาวผู้หนึ่ง

นางสวมชุดสีน้ำเงินเรียบง่าย ดูสง่างาม ผมของนางไม่มีเครื่องประดับใดๆ ใบหน้าของนางงดงาม ดวงตาฉายแววฉลาดหลักแหลม มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มแฝงเจือด้วยความขี้เล่น

เมื่อพิจารณาจากรูปลักษณ์แล้ว นางไม่ได้สวยโดดเด่น ทว่าต้องยอมรับว่าเป็นผู้หญิงที่มีบุคลิกโดดเด่น ดวงตาของนางดูมีประกาย สามารถสัมผัสได้ถึงความร่าเริงในตัวนางผ่านภาพวาด

นี่คือภาพวาดที่แขวนอยู่ที่จวนหนิงเหยียน เป็นภาพวาดขององค์ชายสิบเอ็ดและพระมารดาของหนิงเหยียน!

ใครเป็นผู้วาดภาพนี้ไม่ทราบได้ แต่วาดได้อย่างมีชีวิตชีวา แม้แต่ภาพสะท้อนในดวงตาก็ยังถูกวาดออกมา

แม้จะดูพร่าเลือน แต่จากโครงร่างแล้ว ดูเหมือนว่าในดวงตาของนางจะมีภาพสะท้อนของแท่นบูชาอยู่…

เมื่อมองภาพวาดอีกครั้ง สวี่ชิงรู้สึกปลดปลง ทันใดนั้นสายตาก็ตกลงบนภาพสะท้อนของแท่นบูชาที่เลือนลางในดวงตาของหญิงสาวในภาพ ให้ความรู้สึกคุ้นตาแก่เขา

ทันใดนั้นเอง ดวงตาของสวี่ชิงก็เบิกกว้าง

แท่นบูชานั้นเป็นรูป 5 เหลี่ยม ดู…คล้ายกับแท่นบูชาที่เขาทำลายไปก่อนหน้านี้มาก

ฉากนี้ทำให้สวี่ชิงตกใจ

“เสวียนจั้น!”

องค์ชายสิบเอ็ดคำรามด้วยความโกรธแค้น ใบหน้าบิดเบี้ยว ร่างกายของเขาในขณะนั้นพร้อมที่จะปะทะกับทุกสิ่ง มองจักรพรรดิมนุษย์ด้วยสายตาคั่งแค้น

จักรพรรดิมนุษย์เงียบไป พระองค์เบือนสายตาจากองค์ชายสิบเอ็ดมองไปยังภาพวาด จ้องมองหญิงสาวในภาพวาด พระพักตร์ฉายแววผันผวนเล็กน้อย ความทรงจำผุดขึ้นในแววตา

“เสวียนจั้น นี่คือของขวัญชิ้นสุดท้ายที่ข้าเตรียมไว้ให้ท่าน!”

เสียงขององค์ชายสิบเอ็ดดังก้องราวกับใบมีดที่กำลังจะตัดผ่านฟากฟ้า

“ทุกสิ่งที่ข้าทำในวันนี้ ไม่ว่าจะร่วมมือกับต่างเผ่า หรือเสียสละทุกอย่าง ก็เพื่อล้างแค้นให้เสด็จแม่ของข้า!”

“ข้าไม่สนใจเผ่าพันธุ์ใดๆ ทั้งสิ้น ไม่สนใจหลักธรรมใดๆ และข้าก็ไม่ต้องการตำแหน่งองค์ชาย ข้ารู้ว่าการกระทำของข้าจะถูกคนมากมายดูหมิ่นและเกลียดชัง แต่ข้า…ไม่สนใจอีกแล้ว!”

“ไม่ว่าสวรรค์จะล่มสลาย เผ่าพันธุ์จะสูญสิ้นก็ช่าง ข้าไม่สนใจ! ตั้งแต่ต้นจนบัดนี้สิ่งเดียวที่ข้าปรารถนาคือการสังหารท่าน!”

เสียงขององค์ชายสิบเอ็ดดังก้องกังวานไปทั่วทุกทิศ ไอเลือดกระจายไปทั่ว

“วันนี้ที่นี่ ข้าหนิงชางขอถามขุนนางเผ่ามนุษย์ทุกคน!”

“ดวงตะวันแสงอรุณ พวกท่านทราบดีว่าแม้จักรพรรดิมนุษย์จิ้งอวิ๋นจะเป็นผู้เสนอแนวคิดนี้ แต่ผ่านมากี่หมื่นปีก็ยังไม่มีการพัฒนาใดๆ ความคืบหน้าเชื่องช้ายิ่ง”

“เป็นเสด็จแม่ของข้าที่สร้างโครงสร้างภายในทั้งหมดของดวงตะวันแสงอรุณขึ้นมา ด้วยพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมของนาง ด้วยร่างกายมนุษย์ธรรมดาของนาง!”

“เป็นเสด็จแม่ของข้าที่สละอายุขัยและพลังชีวิต เพื่อเผ่ามนุษย์ เพื่อจักรพรรดิมนุษย์ เพื่อพวกเจ้า…ทำให้ดวงตะวันแสงอรุณเกิดขึ้นเร็วขึ้นอย่างน้อย 3 หมื่นปี!”

“เป็นเสด็จแม่ของข้า ที่เลื่อนขั้นการศึกษาเทพเจ้าของจวนรังสรรค์ ให้เทียบเท่ากับเผ่าพันธุ์ทรงพลัง!”

“เป็นเสด็จแม่ของข้า ที่ซ่อมแซมและเสริมสร้างเผ่ามนุษย์ให้อยู่ในขั้นสูงสุด ปกป้องพวกเจ้าทุกคน!”

“แต่…จุดจบของนางเป็นอย่างไร?”

“จุดจบของนางคือกลายเป็นสารอาหารบำรุงของจักรพรรดิมนุษย์!!”

“กลายเป็นสารอาหารบำรุงให้กับจักรพรรดิมนุษย์ที่พวกเจ้าทุกคนยกย่องนักหนา!”

“เสวียนจั้น พรสวรรค์ของท่านธรรมดา ท่านได้สละตัวเองเพื่อเป็นเจ้าเหนือหัวต่างแดน แต่หลังจากนั้นท่านก็คลุ้มคลั่ง ละโมบในพรสวรรค์ของเสด็จแม่ข้า จนไม่สนใจความสัมพันธ์คู่ฝึกเต๋า กลืนกินนางเข้าไป!!”

“ท่านไม่คู่ควรแก่การเป็นจักรพรรดิมนุษย์ ไม่คู่ควรแก่การเป็นสามี ไม่คู่ควรแก่การเป็นบิดา!!”

องค์ชายสิบเอ็ดหัวเราะเยาะ เสียงของเขาแผ่กระจายไปทั่วทุกทิศ ขุนนางต่างเงียบงัน

จักรพรรดิมนุษย์หลับตาลง

แม้ว่าสวี่ชิงจะไม่เคยได้พบกับมารดาของหนิงเหยียนโดยตรง แต่ในช่วงหลายปีที่อยู่ในดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิแห่งนี้ เขาก็ได้ยินเรื่องราวของนางจากปากของหนิงเหยียนมาบ้าง

แม้ว่าหนิงเหยียนจะไม่ได้เล่าให้ฟังมากนัก แต่จากคำพูดเพียงน้อยนิด เขาก็สัมผัสได้ถึงความงดงามราวกับเทพธิดาของนาง

ทว่า…เมื่อนางสิ้นพระชนม์ พระนามและเรื่องราวของพระมเหสีผู้เป็นที่รักยิ่งของจักรพรรดิมนุษย์ก็กลายเป็นเรื่องต้องห้าม ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึง

สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตนั้นกลายเป็นปริศนา

ท่ามกลางความเงียบงันของเหล่าขุนนาง องค์ชายสิบเอ็ดก็คุกเข่าลงเบื้องหน้าภาพวาด ก้มลงคารวะอย่างแรง น้ำตาไหลอาบแก้ม

ราวกับกล่าวอำลา

จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นมา กรีดนิ้วจนเลือดหยดหนึ่งพุ่งตรงสู่ภาพวาด

จักรพรรดิมนุษย์ไม่ได้ขัดขวาง

เมื่อเลือดหยดนั้นผสานเข้าไป ทันใดนั้นดวงตาของพระมารดาในภาพวาดก็เปล่งประกาย ส่องแสงระยิบระยับออกมา

แสงเหล่านั้นลอยออกมาจากภาพวาด มารวมตัวเบื้องหน้าขององค์ชายสิบเอ็ด กลายเป็น…ดอกไม้เรืองแสง!

ทว่าดอกไม้นี้กลับเหี่ยวเฉา ดูท่าทางกำลังจะโรยรา

ขณะจ้องมองบุปผาดอกนี้ ความขมขื่นก็แล่นเข้ามาในใจองค์ชายสิบเอ็ด ความเจ็บปวดแผ่ซ่าน ความคะนึงถึงยิ่งแรงกล้า

ภาพและเสียงของพระมารดาในความทรงจำก็ปรากฏขึ้นมาไม่หยุดหย่อน

“นี่คือดอกไม้แห่งดวงชีพของเสด็จแม่”

“แม้ว่าเสด็จแม่จะเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา และด้วยเหตุผลบางประการทำให้ไม่สามารถฝึกฝนวิชาได้ แต่หากจะพูดถึงพรสวรรค์แล้ว ในบรรดาเผ่ามนุษย์ นางคือผู้ที่มีพรสวรรค์เป็นอันดับ 1 !”

“เมื่อครั้งที่นางศึกษาเกี่ยวกับดวงตะวันแสงอรุณ นางก็ได้บรรลุ แม้นางจะไม่มีพลังบำเพ็ญ แต่ก็สามารถสร้างดอกไม้แห่งดวงชีพขึ้นมาได้ ด้วยวิธีการพิเศษ”

“นางได้มอบดอกไม้ดอกนี้ซึ่งเกิดจากสายโลหิตของนางเองให้แก่ข้าและหนิงเหยียน”

“ในเวลานั้น ข้ายังไม่เข้าใจ แต่เมื่อนึกย้อนกลับไปก็ชัดเจนว่าเสด็จแม่ทรงทราบถึงจุดจบของพระองค์แล้ว จึงได้มอบดอกไม้นี้ให้แก่พวกเรา 2 พี่น้องเพื่อเป็นเครื่องรางคุ้มกันภัย”

“ดอกไม้นี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นดวงตะวันแสงอรุณดั้งเดิม หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของดวงตะวันแสงอรุณ!”

“ผู้ใดก็ตามที่ได้อาบแสงจากดวงตะวันแสงอรุณ ล้วนแต่ต้องตกอยู่เคราะห์กรรมของมัน ดังนั้น เมื่อมันเหี่ยวเฉา สรรพสิ่งจึงเจริญงอกงาม แต่หากมันเบ่งบาน สรรพสิ่งที่เคยต้องแสงดวงตะวันแสงอรุณจะต้องโรยรา!”

“เสวียนจั้น นี่คือเหตุผลที่ข้าขโมยดวงตะวันแสงอรุณมา!”

“แม้ท่านจะดับพลังทำลายล้างของมันได้ แต่เมื่อท่านถือดวงตะวันแสงอรุณไว้ในมือ ท่านก็ต้องแสงดวงตะวันแสงอรุณแล้ว!”

“ดูสิว่าท่าน…จะหลีกเลี่ยง…ภยันตรายที่มุ่งมาสู่ตัวท่านได้อย่างไร!”

เสียงขององค์ชายสิบเอ็ดดังกึกก้องไปทั่ว เมื่อเสียงสะท้อนหายไป ดอกไม้ไฟที่เหี่ยวเฉาตรงหน้าเขาก็สั่นไหว กลีบดอกแย้มบาน เกสรตัวผู้แกว่งไกว

บุปผาเบ่งบาน เกสรสั่นไหว ดอกไม้ที่เหี่ยวเฉานี้ ในขณะนี้…กำลังเบ่งบานท่ามกลางฟ้าดิน!

ราวกับการเบ่งบานของชีวิต

ในชั่วพริบตา ดวงตะวันแสงอรุณก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า อุณหภูมิสูงขึ้นอย่างรวดเร็วแผดเผาฟ้าดิน สูญตาเผาไหม้ โลกาเปลี่ยนสี ลมสงบ เมฆหยุดนิ่ง

ไม่ว่าจะเป็นในเมืองหลวงจักรพรรดิ บนสะพานหมอก หรือแม้แต่ในดาราจักรพรรดิโบราณ ล้วนมีจุดแสงปรากฏขึ้นบนร่างกายของทุกคนในขณะนี้

จุดแสงเหล่านี้ เหมือนกับเคราะห์กรรมที่เกิดจากดวงตะวันแสงอรุณ ฝังรากลึกอยู่ในสายเลือด

เวลานี้จุดแสงทั้งหมดนี้ต่างพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า และในที่สุด ในขณะที่ทุกคนต่างตกตะลึง จุดแสงเหล่านี้ก็รวมตัวกันบนท้องฟ้า ก่อตัวกลายเป็นดอกไม้ที่บานสะพรั่งระหว่างฟ้าดิน!

ประดับโลกา สะเทือนจิตใจผู้คน

แสงของมัน เปรียบดั่งดวงดาวบนฟากฟ้าที่ส่องลงมาสู่พื้นโลก มอบชีวิตและพลังให้แก่ผู้คน

กว้างใหญ่ไพศาล

เมื่อถึงวันขึ้น 8  ค่ำ เดือน 9 ฤดูใบไม้ร่วง เมื่อบุปผาของข้าเบ่งบาน ดอกไม้ทั้งปวงจะโรยรา!

ในชั่วพริบตา ความโรยราก็ผุดขึ้นมาจากผืนดิน จากสรรพสิ่งทั้งปวง และจากฟากฟ้า!

และท้ายที่สุด…ทั้งหมดก็มุ่งตรงไปเข้าใส่ร่างของจักรพรรดิมนุษย์!

จักรพรรดิมนุษย์ลืมตาขึ้นในเวลานี้

ดวงตาของพระองค์เอ่อเล้นด้วยความทรงจำ ความอาลัย และความซับซ้อน จนกระทั่งในที่สุด พระองค์ก็ทรงถอนหายใจเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี

ในขณะที่ทรงถอนหายใจ พระองค์ก็ยกพระหัตถ์ขึ้น

อัญเชิญดอกไม้ที่บานสะพรั่งบนท้องฟ้าเบาๆ

การอันเชิญครั้งนี้ทำให้เกิดฉากอันน่าตื่นตะลึง องค์ชายสิบเอ็ดเองยังตะลึงงันสุดขีด

ดอกไม้ที่บานสะพรั่งนั้น บินไปหาจักรพรรดิมนุษย์ ตกลงบนฝ่าพระหัตถ์ของพระองค์ แล้ว…ก็หลอมรวมเข้ากับร่างกายของพระองค์!

การที่ดอกไม้นี้หลอมรวมเข้าไปนั้น เหมือนกับการกลับคืนสู่รากเหง้าไม่มีการปฏิเสธใดๆ ไม่มีการหยุดชะงักใดๆ

ราวกับว่า ดอกไม้นี้กับจักรพรรดิมนุษย์ เป็นหนึ่งเดียวกันมาแต่ต้น

ฟ้าดินเงียบสงัด

สายตานับไม่ถ้วนที่เต็มไปด้วยความสงสัยและความหวาดกลัว ต่างมุ่งไปที่จักรพรรดิมนุษย์

สายตาเหล่านั้นเต็มไปด้วยความปั่นป่วน หากจะเปรียบ ก็เปรียบดั่งคลื่นยักษ์ที่พร้อมจะกลืนกินโลก

และคนที่รู้สึกปั่นป่วนที่สุด ก็คือองค์ชายสิบเอ็ด

เขารู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่านับร้อยครั้ง ร่างกายสั่นเทา หายใจหอบ หน้าซีดเผือดจากนั้นจึงแดงก่ำ

“เป็นไปไม่ได้ เรื่องนี้…เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้!”

“นี่คือดอกไม้แห่งดวงชีพของเสด็จแม่ จะไปหลอมรวมกับร่างของผู้อื่นได้อย่างไร นี่…นี่…ท่าน…”

สวี่ชิงในขณะนั้นก็รู้สึกปั่นป่วนในใจเช่นกัน ในใจก็เกิดความสงสัยที่ไม่เคยคิดมาก่อน

ท่ามกลางลมหายใจกระชั้นถี่ของทุกคน ท่ามกลางความเงียบสงัดของฟ้าดิน ท่ามกลางเปลวเพลิงบนดาราจักรพรรดิโบราณ ท่ามกลางความกดดันรอบด้าน…

สายตาของจักรพรรดิมนุษย์ก็เลื่อนออกจากฝ่าพระหัตถ์ มองไปรอบๆ แล้วสุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่องค์ชายสิบเอ็ด

ต่อมา พระองค์ก็ยกพระหัตถ์ขวาขึ้นมาจรดลงหว่างคิ้ว แล้วแตะเบาๆ

ในทันใดนั้น…ใบหน้าของพระองค์ก็พร่าเลือน แผ่นหนังแผ่นหนึ่งหลุดลอกออก เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริง!

เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง

ใบหน้าสง่างาม มีกลิ่นอายสูงส่งมาแต่กำเนิด ดวงตากระจ่างใสราวกับดวงดาว เปล่งประกายด้วยปัญญาและความเด็ดเดี่ยว ราวกับจะมองทะลุจิตใจของผู้อื่น และมองเห็นทุกสิ่งในโลกได้

คิ้วของนางนุ่มนวลและมั่นคงราวกับขุนเขาที่อยู่ไกลลิบ ให้ความรู้สึกสงบและมั่นคง

รูปร่างสง่าผ่าเผย ดุจต้นสนที่ยืนตระหง่านท้าลมหนาว ราวกับว่าไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด นางก็สามารถรักษาความสง่างามของตนไว้ได้

ท่าทางของนางสง่าผ่าเผย ราวกับนางกำลังเขียนตำนานของตัวเองอยู่ทุกขณะ

ใบหน้าของนางเหมือนกับภาพวาดพระมารดาของหนิงเหยียนมาก เพียงแต่ดูโรยรากว่าเดิม และดูสง่างามมากขึ้น

ในขณะนั้น ทุกคนต่างตกตะลึง

สมองขององค์ชายสิบเอ็ดขาวโพลน

“เสด็จแม่…”

(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version